วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2019, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




patijja.jpg
patijja.jpg [ 98.08 KiB | เปิดดู 922 ครั้ง ]
คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ในถ้อยคำนี้ ความหมายมิได้อยู่แค่คำแปลตามตัวอักษร (“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ”) แต่ความหมาย มีความลึกซึ้งไปกว่านั้น …. คือ

คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ในถ้อยคำนี้ มีความหมายที่ลึกซึ่งมากกว่าคำแปลแบบนี้ คือ

คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” นั้น แท้จริงแล้วความเกิดขึ้นของสิ่งนั้น (หรือธรรมนั้น) มิได้เกิดขึ้นลอย ๆ อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน แต่มีธรรมที่เป็นเหตุให้ธรรมนั้น ๆ เกิดขึ้น, คำ ๆ นี้ พระพุทธองค์กำลังทรงแสดงถึงผลธรรม, หรือปฏิจจสมุปปันนธรรม คือธรรมในฝ่ายที่เป็นผล…ว่าตามหลักของปฏิจจสมุปบาทแล้ว ธรรมที่ว่านี้ ก็ได้แก่ สังขาร…จนถึง ชรา มรณะโสกะ….อุปายาส ฯ



อธิบายว่า “สังขาร จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัยให้, หรือเพราะ อวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด, เพราะมีอวิชชา, จึงมีสังขาร…/ และเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ…..ไปเรื่อย ๆ จนถึง ชาติ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดชรา-มรณะ โสกะ…อุปายาส” คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” นั้น มันมิได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ แต่มันมีเหตุให้เกิดขึ้น …. นี่คือความหมายที่แฝงอยู่ในพระดำรัสนี้… และในขณะเดียวกัน คำว่า “สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ก็มิได้หมายความว่า สิ่งนั้น ๆ มันดับไปเอง โดยไม่มีอิงเหตุ-ปัจจัย คือมันจะดับไปได้ ก็เพราะเหตุมันดับ เหมือนไฟจะดับ ก็เพราะมีเหตุให้มันดับ เช่น น้ำมันหมด เชื้อไฟหมด…เป็นต้น เช่นเดียวกัน… สังขารดับ ก็เพราะเหตุคืออวิชชาดับ, วิญญาณดับ ก็เพราะเหตุคือสังขารดับ…ชรา-มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดับ ก็เพราะ ชาติ ดับ ดังนี้

สรุปว่า ตัวธรรมที่เป็นเหตุ คือ ปัจจัยธรรม, หรือปฏิจจสมุปปาทธรรม แฝงอยู่กับพระดำรัสที่ว่า “สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” …

เป็นอันว่า ในพระดำรัสที่ว่านี้ คือ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” นั้น เป็นการแสดงหลักของปฏิจจสมุปบาท อันบุคคลผู้ที่จะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล ท่านได้บรรลุ

ในข้อมูลส่วนนี้ ควรดูความหมายของ คาถาที่ท่านพระอัสสชิ กล่าวแก่อุปติสสปริพพาชก ที่ว่า

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ

(ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น, และทรงตรัสถึงธรรมที่เป็นเหตุแห่งความดับของธรรมเหล่านั้นด้วย, พระมหาสมณะ มีปกติตรัสอย่างนี้)

ความหมายแห่งพระคาถานี้ ก็เป็นการแสดงหลักของปฏิจจสมุปบาทโดยชัดแจ้ง ซึ่งอุปติสสปริพพาชก ต่อมาก็คือท่านพระสารีบุตร สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ด้วยบาทคาถาแรกเท่านั้น ฯ

อีกประการหนึ่ง “ความเกิดขึ้นแห่งธรรมทั้งหลาย ตามนัยของพุทธศาสนาแล้ว ยังมีหลายนัยะ เช่น ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขตธรรม มีปัจจัยให้เกิด ๔ อย่าง คือ กรรม, จิต, อุตุ, อาหาร” ซึ่งมีรายละเอียดมากพอสมควร จะไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้…

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 115 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร