วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 00:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาทะที่พบเห็นบ่อย ๆ ในกลุ่มผู้ศึกษาพระอภิธรรม

'' ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม
คือ มีแต่ จิต เจตสิก รูป ที่ปฎิบัติ ไม่มีตัวตนใครไปปฎิบัติค่ะ ''

" ก็ตาคุณเห็นเป็นนิมิตอดีตสีที่ดับนับไม่ถ้วนที่ปรากฏให้คิดถึง
คนสัตว์วัตถุสิ่งของคือคิดเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) "

" บอกแล้วว่าสัจจะไม่มีสิ่งภายนอกกายใจตนเองมีแล้วไม่มีใครทำ
คิดเองจะรู้ไหมคะว่าจริงๆตัวคุณก็ไม่มีแล้วจะมีคนสัตว์วัตถุภายนอกรึ "

'' สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ชื่อครับ ความเป็นบุคคล ก็ไม่ใช่บุคคลที่เป็นตัวตน
หากยังยึดบุคคลด้วยความเป็นตัวตนก็คือ อุปาทานปรารภแม้บัญญัติ
นั่นแหละเป็นตัวตน ''


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 00:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 01:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาทะของผมในเรื่องมีสัตว์ มีบุคคล หรือไม่มี

ก็ผมนั่งพิมพ์อยู่เห็น ๆ อย่างนี้ เอาไม้มาเคาะหัวผมก็ทุกข์จริงเจ็บจริงแน่นอนอย่างนี้ จะปฏิเสธได้
ยังไง ว่าสัตว์ไม่มี บุคคลไม่มี

แต่ตามความจริงโดยสภาพเนื้อแท้แล้ว ผมที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ เอาไม้มาเคาะหัวผมก็ทุกข์จริงเจ็บจริงนี้
เป็นเพียงการประชุมกัน ทำกิจแล้วดับไป ของ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ

สิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ควรตามเห็นว่าเป็นอัตตา
เมื่อไม่เห็นว่าเป็นอัตตาก็ค้นหาสัตว์ บุคคล ในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 01:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล . ไม่ได้หมายรวมถึงผู้ศึกษาพระอภิธรรมทั้งหมด ผมเองก็เป็นผู้สนใจศึกษาพระอภิธรรมเช่นกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 19:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย

คำจริงที่ชี้ให้เห็นให้เข้าใจตรงสัจจะคือคำวาจาสัจจะตามคำตถาคต
ตถาคตให้ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจความจริงที่ตัวเองกำลังมีกิเลสให้เข้าใจ
ไม่ได้ให้เอาคำของพระองค์ไปกล่าวโดยไม่บอกเหตุผลถูกผิดดีชั่วตรงที่กำลังมี
คำว่าตรงที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ไม่ดีที่ไม่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นอยู่ไม่รู้หรือคะ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ กับคุณ love J กับจิตที่เป็นกุศล และความเพียรเริ่มก่อตัวขึ้น
แล้วครับ รักษาไว้และพยายามเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆครับ

สิ่งไม่ดี กำจัด ลด ละเลิก ป้องกันมิให้เกิด

สิ่งดีป้องก้นบำรุงแก้ไขพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป สร้างเสริมให้มีขึ้นมา

รวมลงที่ที่ กาย วาจา ใจ หรือที่ใจดวงเดียวแล้วค่อยแผ่ออกไปสู่วาจา
และกาย

หลักการง่ายๆแค่นี้ครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำความดีอย่าได้กลัว ขอให้ตัวของเราให้ดีก็พอ

ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอกุศล ผลที่ได้รับคือจิตที่สงบ

เมื่อจิตสงบมากเท่าไหร่ ปัญญาก็ยิ่งแจ่มแจ้งขึ้นเท่านั้น

ความจริงย่อมปรากฏ หากความอดทนไม่หมดเสียก่อน

สู้ๆอย่าท้อ เหล็กที่คดง้อแล้วเค้ายังทำให้ตรงใหม่ได้

ผิดพลั้งพลาดไปอย่าไปอาลัยจนยึดมั่นถือมั่น
ความผิดคือบทเรียนเพียรจดจำไว้เพื่อเป็นครูเตือนใจเราต่อไป


เพิ่งจะแต่งใหม่ๆอาจไม่ดี ติได้นะครับเพื่อการปรับปรุงแก้ไขต่อไปให้ดียิ่งๆขึ้นไป

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 20:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย

คำจริงที่ชี้ให้เห็นให้เข้าใจตรงสัจจะคือคำวาจาสัจจะตามคำตถาคต
ตถาคตให้ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจความจริงที่ตัวเองกำลังมีกิเลสให้เข้าใจ
ไม่ได้ให้เอาคำของพระองค์ไปกล่าวโดยไม่บอกเหตุผลถูกผิดดีชั่วตรงที่กำลังมี
คำว่าตรงที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ไม่ดีที่ไม่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นอยู่ไม่รู้หรือคะ
:b12:
:b16: :b16:


ไปเถียงกับคนอื่นเถอะครับ ผมมาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งห้ามยิ่งยุ หยุดที่เราครับ

อันนี้เขียนไว้แต่ตอนเช้า ว่าจะส่งแต่เน็ทหมดผมเลยรอถึงตอนนี้
เลยเติมและนำมาลงครับ

อุปมาเหมือน ครูสอนว่ายน้ำ ให้นักเรียนคนนึ่งที่ว่ายน้ำ
ไม่เป็นเลย บอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ เมื่อนักเรียน
เข้าใจแล้ว นักเรียนว่ายน้ำคนนั้นจะสามารถว่ายน้ำได้ขณะ
นั้นเลยไหม เพราะเหตุไร? ไม่ได้แน่เพราะยังไม่มีการฝึกฝน

ต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกระยะเวลาหนึ่งถึงจะว่ายได้ว่ายเป็น แต่
นี้เรื่องธรรมะยิ่งยากกว่านั้นมากเลย การที่มานั่งอ่านทำความ
เข้าใจท่องบ่นจนคล่องปากขึ้นใจก็หาปฏิบัติและปล่อยวางได้
ดั่งที่พูดไม่ยกเว้นบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมามากแล้ว แม้กระนั้น
ท่านเหล่านั้นก็ยังมีการปฏิบัติเป็นประจำอยู่อีกเช่นกัน

เรียนรู้เพื่อนำมาปฏิบัติ วัตจิตวัตใจละอกุศล สั่งสมกุศลให้เจริญ
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมคือบารมีเต็มแล้วย่อมจะเข้าถึงการปล่อยวางนั้น
ได้ครับ ส่วนตัวผมเองก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่พอมีความสุขตามสมควร
แก่ธรรมที่ผมปฏิบัติได้ในปัจจุบัน ลองดูได้ครับ วันหนึ่งๆหรือ ๒ วัน
ไม่ไปไหน ไม่คุยกับใคร ไม่อ่านหนังสือ ไม่ฟังอะไรไม่ดูทีวีมือถืออยู่
ในห้องทั้งวันดู หากปล่อยวางได้จริงแล้วจะอยู่ได้ หากกิเลสยังมีมาก
ตัวกิเลสก็จะดิ้นรนอยากไปสาระพัดมีข้ออ้างนานับประการ การกินดื่ม
เป็นปกติ แค่การไม่พูดคุยกับใครวันหนึ่งก็ยากแล้ว

มีพี่คนหนึ่งท่านบอกว่าตา เห็นรูปหยุดตรงนั้นก็จบ แต่ความจริงแล้วท่าน
ทำไม่ได้เพราะยังปรุงแต่ง และไหลไปตามกิเลสอยู่ท่านเองก็ยอมรับว่าจริง
เพราะอะไรถึงทำไม่ได้ เพราะกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ....ยังอ่อนยังมี
น้อยครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
ทำความดีอย่าได้กลัว ขอให้ตัวของเราให้ดีก็พอ

ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอกุศล ผลที่ได้รับคือจิตที่สงบ

เมื่อจิตสงบมากเท่าไหร่ ปัญญาก็ยิ่งแจ่มแจ้งขึ้นเท่านั้น

ความจริงย่อมปรากฏ หากความอดทนไม่หมดเสียก่อน

สู้ๆอย่าท้อ เหล็กที่คดง้อแล้วเค้ายังทำให้ตรงใหม่ได้

ผิดพลั้งพลาดไปอย่าไปอาลัยจนยึดมั่นถือมั่น
ความผิดคือบทเรียนเพียรจดจำไว้เพื่อเป็นครูเตือนใจเราต่อไป


เพิ่งจะแต่งใหม่ๆอาจไม่ดี ติได้นะครับเพื่อการปรับปรุงแก้ไขต่อไปให้ดียิ่งๆขึ้นไป


การแต่ง คำคม บทกลอน สอนใจตน อย่างนี้ถือเป็นกุศลวิตกได้มั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย

คำจริงที่ชี้ให้เห็นให้เข้าใจตรงสัจจะคือคำวาจาสัจจะตามคำตถาคต
ตถาคตให้ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจความจริงที่ตัวเองกำลังมีกิเลสให้เข้าใจ
ไม่ได้ให้เอาคำของพระองค์ไปกล่าวโดยไม่บอกเหตุผลถูกผิดดีชั่วตรงที่กำลังมี
คำว่าตรงที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ไม่ดีที่ไม่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นอยู่ไม่รู้หรือคะ
:b12:
:b16: :b16:


ไปเถียงกับคนอื่นเถอะครับ ผมมาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม

ไม่มีใครเถียงกับคุณ
มีแต่คุณเถียงกับคำจริง
วาทะที่คุณยกมาเขียนแล้ว
วิจารณ์ด้วยความไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
มีแต่จิตเจตสิกรูปหรือนิพพานที่กำลังมีจริงๆไม่มีตัวคุณ
ตถาคตบอกว่าจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนคร่ามันดับไปแล้วสะสมกิเลสที่จิตของคุณไปแล้วไม่พึ่งคิดตามคำสอนอยู่
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2019, 22:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย

คำจริงที่ชี้ให้เห็นให้เข้าใจตรงสัจจะคือคำวาจาสัจจะตามคำตถาคต
ตถาคตให้ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจความจริงที่ตัวเองกำลังมีกิเลสให้เข้าใจ
ไม่ได้ให้เอาคำของพระองค์ไปกล่าวโดยไม่บอกเหตุผลถูกผิดดีชั่วตรงที่กำลังมี
คำว่าตรงที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ไม่ดีที่ไม่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นอยู่ไม่รู้หรือคะ
:b12:
:b16: :b16:


ไปเถียงกับคนอื่นเถอะครับ ผมมาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม

ไม่มีใครเถียงกับคุณ
มีแต่คุณเถียงกับคำจริง
วาทะที่คุณยกมาเขียนแล้ว
วิจารณ์ด้วยความไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
มีแต่จิตเจตสิกรูปหรือนิพพานที่กำลังมีจริงๆไม่มีตัวคุณ
ตถาคตบอกว่าจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนคร่ามันดับไปแล้วสะสมกิเลสที่จิตของคุณไปแล้วไม่พึ่งคิดตามคำสอนอยู่
:b12:
:b16: :b16:

Love J. เขียน:
คุณรสครับคุณเถียงกับคนอื่นเรื่องธรรมะมาหลายปีแล้วรู้ตัวมั้ยครับ ด้วยความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่คุณเห็น ซึ่งพูดไปแล้วมันขัดกันกับโลก มันถกเถียงกันได้ไม่สิ้น ไม่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย

มันกลายเป็นว่าพูดอะไรก็ได้เพื่อกดข่มเอาชนะวาทะคนอื่นที่เห็นต่างกับคุณ แสดงกริยาอาการยังไงก็ได้ให้เค้าเกิดอารมณ์แย่ ๆ ไม่ว่าเค้าจะกล่าวธรรมที่เป็นธรรมเป็นคำสอนหรือไม่ก็ตาม

ทีนี้นานไป ๆ ศักศรีมันก็มากเพราะกดข่มผู้อื่นไว้มาก อัตตามันก็ยิ่งเหนียวแน่นมากใครจะกดข่มเราด้วยวาทะ
ไม่มีทางยอม ย่อมพูดเท็จก็ได้ พูดส่อเสียดก็ได้ พูดหยาบคายก็ได้ พูดเพ้อเจ้อก็ได้


Love J. เขียน:
ลองเปิดอ่านกระทู้ความเห็นตนเองย้อนหลังดูก็ได้ว่าเป็นอย่างที่ผมพูดมั้ย ทบทวนวาทะทิฏฐิตนเองบ่อย ๆ ถูกแล้วดีแล้วผู้รู้ไม่ติเตียนก็รักษาไว้ ผิดก็ยอมรับปรับแก้อันนี้เราเห็นผิด พูดผิด รู้แล้วก็ละ

ทบทวนศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องฟังคำจริงตรงจริงตรงสัจจะหรอกทีละ 1 อะไรหรอก เอาธรรมดา ๆ พอ ว่าปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อความหลุดพ้นเป็นอย่างไร สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ ยินดีในศีล สมาธิ ปัญญา มีความสุขในธรรม มันมีความสุขกว่าการเถียงธรรมะเอาชนะคนอื่นเยอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2019, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
ข้อที่ผมสังเกตุเห็นจากวาทะเหล่านี้

ผู้กล่าวมีความเห็นว่า โลก สัตว์ บุคคล วัตถุ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้เป็นของปลอม เป็นโลกความฝัน
จินตนาการ เป็นเหมือนหนังนละคร เป็นโลกแฟนตาซีไปเลย ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง
มีอยู่จริงอย่างอื่นปลอม

ผู้กล่าวเข้าไปในส่วนสุดข้าง อัตตาไม่มี ซึ่งเป็นที่ตั้งรองรับกันได้เป็นอย่างดีกับความเห็นผิดหลาย
ประการเช่นโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ
ชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก

ผู้กล่าวมองว่าปรมัตถ์ ๔ อย่างนั้นคือความจริงอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ศึกษา
เป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น มักวางเฉยต่อความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะอัตตาไม่มี จะวางเฉยต่อ
กิเลส เพราะมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย เราผู้ปัฏิบัติไม่มี

ซึ่งที่จริงแล้ว ความจริงอันประเสริฐที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ ๔ อริยมรรค ๘
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ศึกษาเพื่อละกิลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

คิดเอาเองเดาส่งเดชแถมยืมคำตถาคตมาอ้างเพื่อให้ดูเหมือนมีปัญญา
:b12:
มองดูตัวเองเห็นที่อยู่ตรงหน้าดูสิจำมันทุกอย่างแล้วจำผิดด้วย
ตถาคตบอกว่าไม่มีตัวตนหรือคนหรือสัตว์หรือสิ่งของ
มีแต่อุปาทานในขันธ์ทั้ง5ว่ามีตัวตนเป็นตัวตนเรา
ตรงไหมก็ตัวเองกำลังคิดพูดทำเองไม่พึ่งคำ
ที่เป็น1คำวาจาสัจจะของตถาคตตรงๆ
ตรงที่กายใจตัวเองกำลังมีตรง1ทาง
ไม่เห็นหรือคะมันดับถึงแสนโกฏิขณะ
สลับกันทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะ
ดับแล้วถึง1ล้านขณะแสนครั้งเดี๋ยวนี้555มันนับไม่ถ้วนไปแล้วคร่า
คุณรู้สึกตัวตรงจุดไหนที่กายคุณมีอยู่ตรงกับ1คำไหนของตถาคตอยู่ตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือคะ...มีแต่อวิชชาเกิด
:b12:
:b20: :b20:


ประโยชน์อะไรจะได้รับ กับการมาเพ่งโทษติเตียนผม
สิ่งที่ผมบอกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง สอดคล้องหรือขัดแย้งตามคำสอน เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
พิจารณาแล้วสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ต่อคุณ ต่อผม ต่อผู้อื่น มากกว่ามั้ย

คำจริงที่ชี้ให้เห็นให้เข้าใจตรงสัจจะคือคำวาจาสัจจะตามคำตถาคต
ตถาคตให้ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจความจริงที่ตัวเองกำลังมีกิเลสให้เข้าใจ
ไม่ได้ให้เอาคำของพระองค์ไปกล่าวโดยไม่บอกเหตุผลถูกผิดดีชั่วตรงที่กำลังมี
คำว่าตรงที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ไม่ดีที่ไม่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นอยู่ไม่รู้หรือคะ
:b12:
:b16: :b16:


ไปเถียงกับคนอื่นเถอะครับ ผมมาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม

ไม่มีใครเถียงกับคุณ
มีแต่คุณเถียงกับคำจริง
วาทะที่คุณยกมาเขียนแล้ว
วิจารณ์ด้วยความไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
มีแต่จิตเจตสิกรูปหรือนิพพานที่กำลังมีจริงๆไม่มีตัวคุณ
ตถาคตบอกว่าจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนคร่ามันดับไปแล้วสะสมกิเลสที่จิตของคุณไปแล้วไม่พึ่งคิดตามคำสอนอยู่
:b12:
:b16: :b16:

Love J. เขียน:
คุณรสครับคุณเถียงกับคนอื่นเรื่องธรรมะมาหลายปีแล้วรู้ตัวมั้ยครับ ด้วยความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่คุณเห็น ซึ่งพูดไปแล้วมันขัดกันกับโลก มันถกเถียงกันได้ไม่สิ้น ไม่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย

มันกลายเป็นว่าพูดอะไรก็ได้เพื่อกดข่มเอาชนะวาทะคนอื่นที่เห็นต่างกับคุณ แสดงกริยาอาการยังไงก็ได้ให้เค้าเกิดอารมณ์แย่ ๆ ไม่ว่าเค้าจะกล่าวธรรมที่เป็นธรรมเป็นคำสอนหรือไม่ก็ตาม

ทีนี้นานไป ๆ ศักศรีมันก็มากเพราะกดข่มผู้อื่นไว้มาก อัตตามันก็ยิ่งเหนียวแน่นมากใครจะกดข่มเราด้วยวาทะ
ไม่มีทางยอม ย่อมพูดเท็จก็ได้ พูดส่อเสียดก็ได้ พูดหยาบคายก็ได้ พูดเพ้อเจ้อก็ได้


Love J. เขียน:
ลองเปิดอ่านกระทู้ความเห็นตนเองย้อนหลังดูก็ได้ว่าเป็นอย่างที่ผมพูดมั้ย ทบทวนวาทะทิฏฐิตนเองบ่อย ๆ ถูกแล้วดีแล้วผู้รู้ไม่ติเตียนก็รักษาไว้ ผิดก็ยอมรับปรับแก้อันนี้เราเห็นผิด พูดผิด รู้แล้วก็ละ

ทบทวนศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องฟังคำจริงตรงจริงตรงสัจจะหรอกทีละ 1 อะไรหรอก เอาธรรมดา ๆ พอ ว่าปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อความหลุดพ้นเป็นอย่างไร สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ ยินดีในศีล สมาธิ ปัญญา มีความสุขในธรรม มันมีความสุขกว่าการเถียงธรรมะเอาชนะคนอื่นเยอะ

:b1:
พระพุทธเจ้าสอนตรงจริง
มาบอกความจริงว่าเห็นผิด
ใครจะเอาชนะความไม่รู้ได้คะ
ถ้าคุณไม่พึ่งการคิดตามคำสอน
ตามปกติตามเป็นจริงคุณอ่านตาม
ที่คุณมองเห็นใช้เห็นที่ดูเป็นประธาน
ก็บอกแล้วว่ากำลังเห็นผิดเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ
จะเห็นถูกตามได้ตอนกำลังฟังเออแล้วฟังอยู่หรือดู
มองตัวเองให้ตรงตามคำสอนใช้ดูนำทางคือมิจฉามรรคไง
ก็แค่มาบอกตามคำจริงของตถาคตว่าคุณขาดการฟังนั่นน่ะขาดปัญญาเลยนะ
:b12:
คิด ตาม ให้ ตรง เห็น ที่ ดู ให้ รู้ ถูก ตัว ตน
ไม่ คิด นอก คำ ที่ อ่าน คือ ไม่ แต่ง ต่อ เติม
ทบ ทวน ไตร่ ตรอง ตาม ตรง คำ เข้าใจตาม
ทีละคำเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีก่อนไม่มีจิต
:b11:
จิตคิดนึก จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรับกระทบสัมผัสที่กายมี5ทางนี้เกิดในความมืด
และทุกขณะจิตไม่เกิดพร้อมกันไม่มั่วทางปนกันจิตเกิดดับสลับกันทีละ1แต่ละ1ไม่ซ้ำขณะค่ะ
จิตเห็นเท่านั้นที่มีแสงสว่างและไม่มีใครเห็นอย่างเดียวเห็นสว่างสลับคิดในมืดดูไม่ชัดรึตาก็ไม่บอด
คุณกำลังคิดพร้อมเห็นทบทวนตัวเองสิ เห็นสว่าง คิดมืด คิดกับเห็นเป็นคนละขณะจิตค่ะ กำลังเห็นผิดอยู่
:b16:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร