วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2019, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2019, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:


คริคริ

ป้าวัลลัยพร เธอโพสต์มาเป็นพันๆๆ กระทู้ และหลายๆเวปมาแล้วค่ะ
รวมทั้งบล๊อกเธอด้วย
ไม่ใช่มีแค่หัวข้อกระทู้นี้ ข้อเดียว
เรยไม่จำเป็น
ไม่ต้องออกเรียกแขก แบบเร่เข้ามาๆ สองมือล้วงกาเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา ...
เหมือนที่คุณอากาศ คิด

เม บอกแล้ว คิดไปนั่นมันทางสายคุณเองน่ะคุณอากาศ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 03:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ในมหายาน

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงพระวิญญานบริสุทธ์ สี่สัจธรรม

สี่ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์นั่นคือความจริงสี่ประการ

นี่คือพื้นฐานทางทฤษฎีและจุดเริ่มต้นพื้นฐานของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
พื้นฐานทางทฤษฎีของศาสนาพุทธคือความจริงอันสูงส่งทั้งสี่

และการดูหมิ่นครั้งแรกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสี่นั้นเป็นเรื่องที่ขมขื่น

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาทั่วพุทธศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของการตัดสินขั้นพื้นฐานของชีวิตที่ขมขื่น

ศาสนาพุทธแบ่งความทุกข์ทรมานของชีวิตเป็นแปดชนิด
ได้แก่ ชีวิต, เก่า, ป่วย, ตาย, ไม่พอใจ, ความรัก, การแยกและการปฏิเสธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้าไงคะ



viewtopic.php?f=1&t=57336

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้าไงคะ



viewtopic.php?f=1&t=57336


คุณป้า ถามที่ยายโรสกล่าวน่ะหรอค๊ะ
หมายถึง คุณยายโรส ยังไม่รู้ว่าโลกียจิต 81 เจตสิก 51 อินทรยภัททรูป
อันชื่อว่าทุกข์
และ เจตสิกองค์มรรค 8 ที่ประกอบกับ มรรคจิต 20 เจตสิก 36
อันชื่อว่า ทางดำเนินไป เพื่อให้ถึงความดับทุกข์ เป็นเช่นไร ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
walaiporn เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้าไงคะ



viewtopic.php?f=1&t=57336


คุณป้า ถามที่ยายโรสกล่าวน่ะหรอค๊ะ
หมายถึง คุณยายโรส ยังไม่รู้ว่าโลกียจิต 81 เจตสิก 51 อินทรยภัททรูป
อันชื่อว่าทุกข์
และ เจตสิกองค์มรรค 8 ที่ประกอบกับ มรรคจิต 20 เจตสิก 36
อันชื่อว่า ทางดำเนินไป เพื่อให้ถึงความดับทุกข์ เป็นเช่นไร ค่ะ





รอคำตอบจากคุณอากาศก่อนค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โสดาบัน สกิทาคา อนาคามี อรหันต์

สีลสูตร


[๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ

การได้เห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี การได้ฟังภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นก็ดี การเข้าไป นั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การระลึกถึงภิกษุเหล่านั้นก็ดี การบวชตามภิกษุเหล่านั้นก็ดี แต่ละอย่างๆ
เรากล่าวว่ามีอุปการะมาก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 11:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้า


viewtopic.php?f=1&t=57336


ดับมโนวิญญาณไปทางนึง ทวารอื่นก็แยกกัน ไม่มีการเห็นเป็น คน สัตว์ วัตถุ ไม่มีการจำได้หมายรู้ ไม่มี
การเจริญสติพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ... เสร็จแล้วเข้าใจว่าฟังคำจริงตรงสัจจะ ดับไปแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย

มโนวิญญาณทำกิจ อุปาทานขันธ์ ๕ สักกายะทิฏฐิอยู่ครบ กิเลสสักตัวก็ไม่สะเทือน

ผมคาดคะเนเอาจาก วาทะและทิฏฐิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 12:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โลกสวย เขียน:
walaiporn เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้าไงคะ



viewtopic.php?f=1&t=57336


คุณป้า ถามที่ยายโรสกล่าวน่ะหรอค๊ะ
หมายถึง คุณยายโรส ยังไม่รู้ว่าโลกียจิต 81 เจตสิก 51 อินทรยภัททรูป
อันชื่อว่าทุกข์
และ เจตสิกองค์มรรค 8 ที่ประกอบกับ มรรคจิต 20 เจตสิก 36
อันชื่อว่า ทางดำเนินไป เพื่อให้ถึงความดับทุกข์ เป็นเช่นไร ค่ะ





รอคำตอบจากคุณอากาศก่อนค่ะ



เย้ยเกี่ยวไรอะนี่ หลังสงกรานต์เจอคำถามแระ ผมแค่คนไม่รู้จะเอาสิา่งไหนไปตอบได้หนอนี่ แต่น้องเมที่รักผมตอบให้แระ แต่ว่าแต่ว่าป้าถามอะไรผมหราครับ :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
walaiporn เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ผมชอบที่ท่านโพสท์หลายๆกระทู้นะ มีประโยชน์หลายอย่างมีแนวทางที่ผมเห็นแล้ว รู้แล้ว ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แยบคายพอเมื่อเห็นในพระสูตรก็ทำให้เข้าใจในทันที :b8: :b8: :b8:

แต่ในหลายๆอย่างแบ่งไปตามพระอริยะภูมิธรรมที่เข้าถึงก็ดี แบ่งไปตามความแยบคายขอแต่ละฐานะก็ดี มันทำให้ปุถุชนที่ยังไม่เคยรับรู้สัมผัสแม้ในโลกียะจะมองถึงความยากเกินไปให้เข้าถึง ดังนั้นลองเปลี่ยนเป็น ใช้คำว่า

1. เบื้องต้นพึงพิจารณาเห็น ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

2. ท่ามกลางพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

3. เบื้องสุดพึงพิจารณาเห็นสืบต่อ ทุกข์อย่างนี้ๆ..ฯลฯ..จนแยบคาย เพื่อให้ใจน้อมไปในความหน่ายสิ่งนี้ๆ..เมื่อเห็นแล้วดังนี้ จะยังความแจ้งชัดให้ใจ อันถึงผลอย่างนี้ๆ..ฯลฯ..ได้

ซึ่งคนที่ถึงธรรมต่างๆได้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่อย่างนั้นบางคนรับรู้ได้นิดหน่อยก็จะหลงตามไปได้ว่า ตนบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งแล้วด้วยปรัะการที่อ้างกล่าวดังนี้ที่ท่านกกล่าวไว้

ทำให้ธรรมที่ท่านเข้าถึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่มีหลักในการเจริญ ผลปฏิบัติที่สามารถสัมผัสที่เข้าถึงได้ตามจริง ความรักษา ความคงไว้ไม่ให้เสื่อม หากถึงผลนี้ๆไม่ได้ให้เพียรสะสมอย่างไร โดยไม่หลง อยู่ด้วยสติ สัมปะชัญญะอย่างไร รู้ประมาณแบบไหน คลาย อัตตา มานะทิฏฐิอย่างไรให้ดำรงในทางสายกลาง ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มากๆ :b8: :b8: :b8: :b1: :b1: :b1:

(ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ดูคล้ายน้องเมที่รักผมนะ :b17: :b17: :b17: )


คริคริ



คุณป้าวัลลัยพร เธอโพสต์ไว้ดีแล้ว เม ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่ได้แวะมาคุยกะป้านานแล้วเรยแวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ


มั่วตามเคยแหละเธอช่างอากาศ ซ่อมแอร ซ่อมพัดลมไปตามเรื่องเธอเหอะ

ที่แนะนำไปนั่นมันทางสายเธอ


คุณอากาศ เธอไม่รู้ว่า
ในอริยะทุกระดับ และในมหาสติปัฎฐาน ต้องมีอริยสัจ ทุกระดับ อ่ะจ๊ะ


อ่อ คุณอากาศ หนุพีเอมไป ไปรับด้วย

smiley


ที่พี่คุยกับป้าเขานี้ พี่หมายเอาการแสดงธรรมเพื่อเผยแพร่น่ะน้องเมที่รัก จะคนละเรื่องกับการเข้าถึงธรรม

การเชื้อเชิญให้ผู้ที่ยังไม่สัทธาให้สัทธา มันมีหลายแนวทาง แม้พระสารีบุตรเถระ พระนาคเสนเถระ ตลอดจนถึงพระบรมศาสดา ก็ได้ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หรือในอีกนัยยะหนึ่งคือ จำแนกสอนตามสติปัญญาของสัตว์ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อจะตรัสสอนธรรมใดล้วนเป็นความสืบเนื่องด้วยเหตุและผล บุคคลผู้ยังไม่มีสันดารอริยะสถิตย์ก็ทรงแสดงธรรมที่ให้เห็นไม่เป็นเรื่องยาก แต่อาศัยความเพียรประครองใจด้วยสติ เป็นต้น ทำไว้ในใจโดยแยบคายเข้าไปรู้เห็นตามจริง ซึ่งความเพียรประครองใจด้วยสตินี้เข้าไปถึงโพชฌงค์ได้เลย ธรรมหนึ่งข้อของพระศาสดาจึงสามารถเข้าถึงได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

การประกาศพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่แจ้งชัดแทงตลอดในธรรมนั้นแล้ว เพราะท่านจะสามารถทำให้มันง่ายแล้วสืบต่อตามลำดับได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงใจคน เมื่อคนที่ยังจิตไม่น้อมมา คือ ยังโอปะนะยิโกไม่ได้ เราจึงควรจำแนกธรรมอันสมควรตามที่พระศาสดาตรัสสอนว่า เธอจงมาดูเถิด :b1: :b1: :b1:

รักเมนะจุ๊บๆ :b15: :b15: :b15:






ก่อนอื่น ความรู้จริงเกี่ยวกับวลัยพร คือ

1. ไม่ได้เรียนอภิธรรม

2. ไม่ได้เรียนปริยัติ

3. ตั้งแต่สมองได้กระทบกระเทือน ทำให้สัญญาเสื่อม
ทำให้รู้สภาวะที่ซ่อนอยู่ในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

4. อดีตนานมาแล้ว เล่น 3 เวป ปัจจุบันเล่นที่เวปนี้เดียว

5. เรื่องบล็อก ที่มีเขียนมาตลอดแต่โพสในบล็อก(เวิดเพรส) เริ่มปีพศ.2547 เหมือนไดอารี่
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตและที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน


ต่อไป ขอถามทั้งสองคน ว่า คำเหล่านี้ ในอภิธรรม หมายถึงสภาวะใด
และในพระธรรม หมายถึงสภาวะใด



Rosarin เขียน:
แรงผลักดันให้เกิดความประพฤติเป็นไปต่างๆตามกรรมคือมีจิตครองกาย
แต่สัจจะธัมมะที่กำลังเกิดดับทำงานภายในจิตตั้งมั่นตรงจริงแต่ละทาง
ไม่มีใครทำเหตุปัจจัยได้เพราะจิตเกิดแล้วดับทันทีจึงมีทุกอย่างแล้ว
จิตเกิดดับได้ทีละ1ขณะและสืบต่อไม่ขาดสายจนปรากฏภพชาติ
ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี+เป็นไปตามอำนาจของจิต
ไม่ได้เป็นไปตามใจใครเลือกได้ว่าให้เกิดนะอย่าดับต้องอยู่
555ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ดับนับแสนโกฏิขณะไม่เคยขาดจิต
ที่ทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะมีตัวตนคิดพูดทำจริงไหม
มีแล้วกิเลสนอนมาในจิตตัวเองไม่รู้ก็คือไม่รู้มีแล้ว
จะรู้และคิดตามตรงคำสอนได้เมื่อเริ่มต้นฟัง
จะไปไหนจะทำอะไรก็ทำไปตามนิมิตภพภูมิ
แต่สัจจะเกิดดับสืบต่อตามเหตุปัจจัย
มีแล้วและไม่มีใครทำไม่มีเจ้าของ
เพราะเกิดแล้วดับทันทีจาก
ไม่มีจึงเกิดมีแล้วดับไป
กลายเป็นไม่มีคือว่าง
เกิดแล้วดับทันที
จึงว่างเปล่า
แปลว่า
ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีบ้าน/รถ/ที่ดิน/เงินทองคืออัตตานุทิฏฐิ
หลงในรูปกายตัวเองความคิดตัวเองคือสักกายะทิฏฐิ
ยึดถือร่างกายตนเองว่าเป็นตัวคนคือมีอุปาทานขันธ์มีครบหมดแล้วค่ะ
ขาดอย่างเดียวคือไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะทำตามๆกันโดยไม่พึ่งการฟังคำของพระพุทธเจ้า


viewtopic.php?f=1&t=57336


ดับมโนวิญญาณไปทางนึง ทวารอื่นก็แยกกัน ไม่มีการเห็นเป็น คน สัตว์ วัตถุ ไม่มีการจำได้หมายรู้ ไม่มี
การเจริญสติพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ... เสร็จแล้วเข้าใจว่าฟังคำจริงตรงสัจจะ ดับไปแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย

มโนวิญญาณทำกิจ อุปาทานขันธ์ ๕ สักกายะทิฏฐิอยู่ครบ กิเลสสักตัวก็ไม่สะเทือน

ผมคาดคะเนเอาจาก วาทะและทิฏฐิ



สาธุครับท่านเจ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร ในปฏิจจะสมุปบาท
- เราจะเรียกว่ากรรมสังขารก็ดี
- เจตนาก็ดี
- มโนสัญเจตนาก็ดี
- วจีสัญญเจตนาก็ดี
- กายสัญญเจตนาก็ดี
:b1: :b1: :b1:

ส่วนหากกล่าวถึงนัยยะของนิทานะ(เพิ่มเติม) หากจะกล่าวถึงจิตเดิมแท้(จะเรียกมนะก็ดี มโนก็ดี วิญญาณธาตุก็ดี) ก็กล่าวเป็นที่รู้ทั่วได้ตามกันว่า..
- จิตเดิมเรานี้จรไปตามบุญและบาป(ตัวนี้เป็นแรงผลัก)ที่ได้ทำไว้ บุญและบาปนั้นเป็นกรรม ผลคงมันคือสิ่งสืบต่อให้เราเป็นทายาทกรรม เข้ายึดครองรูป เป็นกายที่มีใจครอง

กำลังมองว่าคนเข้าถึงง่ายก็พูดให้ง่าย คนเข้าถึงยาก หรือยังไม่สัมผัสตามจริงก็พูดให้ยาก

เหมือนพระโสดาปัตติผล สมัยเป็นฆราวาส ก็คิดว่าทุกอย่างมันยากเย็นเพราะลูบคลำได้ยาก ต่อมาเมื่อบรรลุธรรมท่านเปลี่ยนความเห็นใหม่ มันแค่นี้เองหรือนี่ เพราะถึงแล้วรู้จุดแล้ว มันแค่นี้เอง :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 16 เม.ย. 2019, 20:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 18:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสืบต่อ

- นามรูป

- สัญญา สังขาร (วิญญาณ)


:b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 19:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โสดาบัน สกิทาคา อนาคามี อรหันต์

สีลสูตร


[๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ

การได้เห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี การได้ฟังภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นก็ดี การเข้าไป นั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การระลึกถึงภิกษุเหล่านั้นก็ดี การบวชตามภิกษุเหล่านั้นก็ดี แต่ละอย่างๆ
เรากล่าวว่ามีอุปการะมาก



:b8: :b8: :b8: คำตถาคตทรงตรัสไว้ดีแล้ว

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 20:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
สังขาร ในปฏิจจะสมุปบาท
- เราจะเรียกว่ากรรมสังขารก็ดี
- เจตนาก็ดี
- มโนสัญเจตนาก็ดี
- วจีสัญญเจตนาก็ดี
- กายสัญญเจตนาก็ดี
:b1: :b1: :b1:

ส่วนหากกล่าวถึงนัยยะของนิทานะ(เพิ่มเติม) หากจะกล่าวถึงจิตเดิมแท้(จะเรียกมนะก็ดี มโนก็ดี วิญญาณธาตุก็ดี) ก็กล่าวเป็นที่รู้ทั่วได้ตามกันว่า..
- จิตเดิมเรานี้จรไปตามบุญและบาป(ตัวนี้เป็นแรงผลัก)ที่ได้ทำไว้ บุญและบาปนั้นเป็นกรรม ผลคงมันคือสิ่งสืบต่อให้เราเป็นทายาทกรรม เข้ายึดครองรูป เป็นกายที่มีใจครอง

กำลังมองว่าคนเข้าถึงง่ายก็พูดให้ง่าย คนเข้าถึงยาก หรือยังไม่สัมผัสตามจริงก็พูดให้ยาก

เหมือนพระโสดาปัตติผล สมัยเป็นฆราวาส ก็คิดว่าทุกอย่างมันยากเย็นเพราะลูบคลำได้ยาก ต่อมาเมื่อบรรลุธรรมท่านเปลี่ยนความเห็นใหม่ มันแค่นี้เองหรือนี่ เพราะถึงแล้วรู้จึดแล้ว มันแค่นี้เอง :b32: :b32:


พูดถึง บุญ บาป วิบาก ความผ่องใส เศร้าหมอง สุข ทุกข์ ผมเคยพิจารณาจนประจักษณ์ใจหนหนึ่ง ลองอ่านเล่นกันครับ

ตอนนั้นผมเริ่มศึกษาพระธรรมคำสอนไหม่ ๆ พิจารณาตามเกิดความเห็นว่า ไม่มีทางเลยที่สิ่งใดสักสิ่งหนึ่งในโลกนี้จะเที่ยงแท้ไม่แปรผัน พอเห็นอย่างนี้แล้วก็เกิดความวางเฉยต่อเรื่องทางโลก มีความรู้สึกอิ่มเอิบ เป็นสุข จิตตั้งมั่นไม่แส่ส่ายอยู่ได้เองโดยไม่ได้บังคับ สติชัดเจน

แล้วผมดันไปเตะหมา คือ หมามันกระโจนเข้ากัดกัน ผมเจตนายกขาเข้าขวางดันถูกเข้าที่ท้องตัวหนึ่งเต็มแข้ง มันนิ่งบ่งบอกถึงความจุก มีเลือดหยดบนพื้นเท่านั้นแหละความอิ่มเอิบ ความสุข ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าหมอง ทุกข์ใจอย่างมากถึงขนาดเดินเข้าบ้านต้องหยุดเดินจับหน้าอกแล้วพูดในใจ ทุกข์จริงหนอ

แล้วผมก็มานั่งหน้าคอมจะเปิดอ่านธรรมะต่อแต่ความเศร้าหมอง ความทุกข์ มันกลุ้มรุมอยู่ที่ใจไม่เป็นอันอ่าน
จนผมทนไม่ไหวพูดในใจว่าไหนดูซิทุกข์นี้มันคืออะไรตั้งสติพิจารณา อริยสัจ ๔ ที่เคยผ่านหูตั้งแต่ประถม มี ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ ทางดับทุกข์ รู้แค่นั้น ก็ผลุดขึ้นมาเป็นหลักในการพิจารณาทุกข์นั้น

ผมก็กำหนดความเศร้าหมองความทุกข์ที่ใจโดยความเป็นทุกข์ ไหนอะไรเป็นเหตุ ความคิดแวบแรกผลุดขึ้นมาว่าเตะหมาเป็นเหตุ แล้วใจก็อุทานว่าไม่ใช่แล้วเห็นภาพเหตุการณ์ที่เราเตะหมามะกี้ เห็นเป็นภาพเลยนะครับ หมุนปรุงแต่งกลายเป็นทุกข์ที่เรากำหนดไว้ เห็นเป็นนิมิตเหมือนก้อนควันก้อนนึง ขยุมนึง

ใจก็สรุปเลยครับว่า ทุกข์เป็นของปรุงแต่งอุปาทานไปเองควรละ แล้วจิตก็ทำกิจตามที่ใจสรุป เอาจริง ๆ นะครับ พอกลับสูโลกผมคุยกับตัวเองว่าเรื่องอย่างนี้ใครจะรู้ได้ ผมนึกถึงหลวงตามหาบัวขออนุญาตเอ่ยชื่อ เปิดรูปท่านนั่งมองแล้วร้องให้สะอึกสะอื้น ในรูปมีคำสอนท่านแปะไว้ว่า " สังขารเป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัยและฝ่ายมรรค " เห็นแล้วยิ่งร้องให้หนักมาก เป็นคืนที่อัศจรรย์มาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2019, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ :b8: :b8: :b8:

ว่าแต่ว่าท่านอ๊บกับท่านเอกอนหายไปไหนนะ หรือไปแอบอยู่ที่ไหนกันนี่

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร