วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 23:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:



ด.ช.14 เป็นศพคาถนน! บิดสุดมือ แซงขวาล้มไถล หัวฟาดพื้นกะโหลกแตก

รูปภาพ


ทีนี้จะพูดเรื่อง อัตตา ที่เราพูดกันบ่อยๆมากมาย อธิบายด้วยสองตัวอย่างนั่น

คิดว่า กูจะแว๊น (แล้วแว็น) กูจะบิด (แล้วบิด) กูจะทำอย่างนั้น (แล้วทำ) ไม่ทำอย่างนี้ (แล้วไม่ทำ) นั่นแหละความคิดที่เรียก "อัตตา" เพราะยึดถือ (อุปาทาน) ว่าชีวิตร่างกายจิตใจ (ทางธรรมเรียกขันธ์ ๕) นี้ เป็นเรา เป็นกู เป็นฉัน "อัตตา" จริงๆไม่มี มีแต่ภาพ อัตตา ที่ตัวเองสร้างขึ้นในใจ มีแต่ความคิด ฉัน เรา กู ข้า เขา มึง เอ็ง ฯลฯ

รถล้มโครม โอ๊ยกูเจ็บ เราเจ็บ ข้าปวด กลัวตาย กูจะตายไหมเนี่ย ใครก็ได้พาฉันส่งโรงหมอที ทีนี้มีคนพูดสมน้ำหน้าแล้ว ได้ยิน มีงว่ากู กูแค้น กูเจ็บ เดี๋ยวกูจะกลับมาเตะปากมึง :b32: นี่อัตตา

หรือคุณโรสจะเถียง

หรือจะมองในแง่ชีวิตเหมือนเรือดังกล่าวก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ขวาหนอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2019, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดเรื่องเห็นๆคุณโรสไปไม่เป็น ต้องเพ้อๆฝันๆหน่อย เช่น แสนโกฏิขณะๆๆๆยังงี้ละชอบนัก แสนโกฎิ :b13: ประโยชน์ที่พึงได้จากแสนโกฎิขณะนี่อยู่ตรงไหน ไหนบอกหน่อยสิ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2019, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากจะศึกษาพุทธธรรมแล้ว ควรมองให้ครบทุกแง่ทุกมุม ทั้งแง่สอนชาวบ้านทั่วๆไป เช่น สอน เรื่องอัตตา - ตน – อนัตตา จึงไม่สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง เหมือนคุณโรส

คำสอนที่เกี่ยวกับอัตต, อัตตา, ตัวตน ให้ดู

อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ คือ ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม และดำเนินแน่วในวิถีทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ดีงาม

อัตตวินิบาต การทำลายตนเอง, ฆ่าตัวเอง, บัดนี้เขียน อัตวินิบาต

อัตตสุทธิ การทำตนให้บริสุทธิ์จากบาป

อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน เช่น รู้ว่า เรามีความรู้ ความถนัด คุณธรรม ความสามารถ และฐานะเป็นต้น แค่ไหนเพียงไร แล้วประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลดี

อัตตัตถะ ประโยชน์ตน, สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิต ช่วยให้เป็นอยู่ด้วยดี สามารถพึงตน หรือเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ ไม่ว่าจะเป็นทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะ, ความมีชีวิตและสิ่งอันเกื้อหนุนให้ชีวิตเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติทั้งหลาย ทั้งทางกาย ทางสังคม ทางจิตใจ และทางปัญญา, ชีวิตที่มีคุณภาพ มีคุณค่า และมีความหมาย

อัตตัตถสมบัติ “ความถึงพร้อมด้วยประโยชน์ตน” เป็นพุทธคุณอย่างหนึ่ง คือ การที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีธรรมกำจัดอาสวกิเลสทั้งปวงและทำศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ

อัตตาธิปไตย ความถือตนเป็นใหญ่ จะทำอะไรก็นึกถึงตน คำนึงถึงฐานะเกียรติศักดิ์ศรี หรือผลประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ, พึงใช้แต่ในขอบเขตที่เป็นความดี คือ เว้นชั่วทำดีด้วยเคารพตน

อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน

อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนให้ลำบากเปล่า คือ ความพยายามเพื่อบรรลุผลที่หมายด้วยวิธีทรมานตนเอง เช่น การบำเพ็ญตบะต่างๆ

อัตตนิยะ สิ่งที่เนื่องด้วยตน, สิ่งที่เป็นของตน, ในภาษาไทย มักพูดให้สะดวกปากเป็นอัตตนิยา หรือ อัตตนียา, เป็นคำประกอบที่ใช้ในการอธิบายหรือถกเถียงเรื่องอัตตา-อนัตตา เช่นว่า เมื่อมีอัตตา ก็มีอัตตนิยา จะมีอัตตนิยา ก็ต้องมีอัตตา

อัตตภาพ ความเป็นตัวตน, ชีวิต, เบญจขันธ์, บัดนี้ เขียน อัตภาพ

อนัตตา ไม่ใช่อัตตา, ไม่ใช่ตัวใช่ตน

อนัตตลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนัตตา, ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน โดยอรรถต่างๆ เช่น

๑. เป็นของสูญ คือ ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ (ในแง่สังขตธรรม คือ สังขาร ก็เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลาย)

๒.เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง

๓. ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆ

๔. เป็นสภาวธรรมที่ดำรงอยู่หรือเป็นไปตามธรรมดาของมัน (ในแง่สังขตธรรม คือ สังขาร ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ)

๕.โดยสภาวะของมันเองก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา

อนัตตานุปัสสนา การพิจารณาเห็นในสภาพที่เป็นอนัตตา คือ หาตัวตนเป็นแก่นสารมิได้

อัตตวาทุปาทาน การถือมั่นวาทะว่าตน คือ ความยึดถือสำคัญมั่นหมายว่านั่น นี่ เป็นตัวตน เช่น มองเห็นเบญจขันธ์เป็นอัตตา, อย่างหยาบขึ้นมา เช่น ยึดถือมั่นหมายว่า นี่เรา นั่นของเรา จนเป็นเหตุแบ่งแยกเป็นพวกเรา พวกเขา และเกิดความถือพวก

อัตตา ตัวตน, อาตมัน, ปุถุชนย่อมยึดมั่นมองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดเป็นอัตตา หรือยึดถือว่ามีอัตตาเนื่องด้วยขันธ์ ๕ โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2019, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปอีกหน่อย



เมื่อมีใครตั้งคำถามว่า สิ่งทั้งหลาย มี หรือ ไม่มี

ถ้าตอบอย่างเคร่งครัด ทั้งคำว่า มี และไม่มี ถ้าใช้โดยไม่ระวัง ก็พลาดได้ เพราะอาจจะกลายเป็นการแสดงถึงสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ
ถ้าจะตอบก็ต้องแยกแยะให้ดี เช่น ไม่ตอบโผงผางเป็นคำเดียวเดี่ยวโดดเด็ดขาดว่า มี หรือ ไม่มี

แต่ทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า สิ่งทั้งหลายที่คนทั่วไปเข้าใจ และใช้พูดกัน ก็หมายถึงสิ่งที่เกิดมีตามเหตุปัจจัย ทางพระเรียกว่า สังขาร หรือ สังขตธรรม สิ่งทั้งหลายมีอยู่ชั่วคราว หรือ ชั่วขณะ เช่น รูปธรรมทั้งหลาย เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับหายไป เกิดดับๆ มีอยู่อย่างมีเงื่อนไข คือ อาศัยกันเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย (เป็นปฏิจจสมุปบันธรรม) ทำนองเป็นกระแส เป็นกระบวน

ดังนั้น แทนที่จะใช้คำตอบว่า มี หรือไม่มี ท่านจะพูดโยงไปหากระบวนธรรม หรือพูดถึงกระบวนธรรมแทน คือ ไม่พูดถึงสิ่งนั้นโดดเดี่ยว แต่พูดถึงกระบวนการที่สิ่งนั้นปรากฏขึ้น คำตอบเหล่านี้ มุ่งเพื่อปฏิเสธภาพของสิ่งทั้งหลายที่คนเรายึดถือเอาไว้ผิดๆ

แม้คำว่า อนัตตา ก็มุ่งเพื่อปฏิเสธภาพอัตตา ซึ่งตัณหา และทิฏฐิได้สร้างขึ้นมายึดถือไว้ผิดๆ

เมื่อถอนความยึดถือนั้นแล้ว ตัวอัตตา หรือ ภาพอัตตา ก็หมดไปเอง

แต่ถ้ามาเข้าใจ อนัตตา ว่า ไม่มีอัตตา ในความหมายอย่างที่ปุถุชนเข้าใจ ก็เป็นอันกระโดดไปเข้าเขตอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นความเห็นผิดไปอีก

ในสุตตนิบาต มีข้อความหลายแห่งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงภาวะของผู้หลุดพ้นแล้วว่า "ไม่มีทั้งอัตตัง ทั้งนิรัตตัง หรือไม่มีอัตตา ทั้งนิรัตตา" (ดู ขุ.สุ.25/410/488 ฯลฯ) แปลว่า ไม่มีทั้ง “อัตตา” ทั้ง “ไม่มีอัตตา” คือไม่มีภวตัณหา ที่จะแสวงหาอัตตา และไม่มีภวทิฏฐิ ที่จะยึดมั่นในเรื่องอัตตา ให้เกิดเป็นอัตตทิฏฐิ หรือ อุจเฉททิฏฐิขึ้น

อีกนัยหนึ่ง อธิบายว่า ไม่มีทั้ง “มีอัตตาอยู่” ทั้ง “หมดอัตตาไป” (เดิมเคยยึดว่ามีอัตตา ยึดว่านั่นนี่เป็นอัตตา แล้วมาเข้าใจใหม่ว่า อัตตาไม่มี เลยกลายเป็นอัตตาหมดไป หรืออัตตาหายไป)

พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักปฏิบัติ แม้จะตรัสแสดงสัจธรรม ก็ต้องเกี่ยวโยงถึงจริยธรรมเสมอ คือ มุ่งผลดีที่จะเกิดแก่ชีวิตของผู้ที่ทรงแนะนำสั่งสอน ทรงสั่งสอนให้เขานำไปใช้ประโยชน์ได้

การแสดงอนัตตา มีจุดหมายชัดเจนว่า เพื่อปลดเปลื้องผู้รับคำสอนให้พ้นจากความถือผิดเห็นผิดที่เป็นโทษแก่ชีวิตของเขา ให้เขาสามารถอยู่อย่างหลุดพ้น มีจิตใจเป็นอิสระ มีชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2019, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:



มรรค ในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกโก้ไว้

"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง น่ากลัวภัย แต่ฝั่งข้างโน้น ปลอดโปร่ง ไม่มีภัย ก็แล เรือ หรือสะพาน สำหรับข้ามไปฝั่งโน้น ก็ไม่มี บุรุษนั้นพึงดำริว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง ...ถ้ากระไร เราพึงเก็บรวมเอาหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามเอาด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี"

"คราวนั้น เขาจึง...ผูกแพ...ข้ามถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี ครั้น เขาได้ข้ามไป ขึ้นฝั่งข้างโน้นแล้ว ก็มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้ เราอาศัยแพนี้...ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นเทินบนหัว หรือแบกขึ้นบ่าไว้ ไปตามความปรารถนา"

"ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเห็นเป็นเช่นไร ? บุรุษนั้น ผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น หรือไม่?"

(ภิกษุทั้งหลาย ทูลตอบว่า ไม่ถูก จึงตรัสต่อไปว่า)

"บุรุษนั้นทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น ? ในเรื่องนี้ บุรุษนั้น เมื่อได้ข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้ว มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้... ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นไว้บนบก หรือผูกให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วจึงไปตามปรารถนา บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น นี้ฉันใด"

"ธรรม ก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า" (ม.มู.12/280/270)

"ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ (หลักการ ความเข้าใจธรรม) ที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ"(ม.มู.12/445/479)

(สมมติถึงฝั่งแล้ว สมมตินะ สมมติว่าเขารัก :b13: ว่าถึงฝั่งแล้ว ก็ไม่ต้องถึงกับเทินเรือ หรือแพไปไหนไปด้วยดอกหนักเปล่าๆ)


เอาอีกแล้ว ไม่ใช่ผั่งแบบคุณลุงคิดไป
เพราะลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก

เรยไม่รู้ว่า พระพุทธองค์ ไม่ได้ขึ้นฝั่งไปตรัสรู้ที่ไหน
ไม่ได้เหาะไปขึ้นฝั่งที่ไหน แต่นั่งอยู่โคนไม้
ต้นอัสสัตถะ และต้นนี้ เปลี่ยน กลายเป็นศรีมหาโพธิค่ะ




ธรรมก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น
เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า

ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ



เป็นข้อความอุปมาอุปไมยจ้ะ




อุปมา ... ฉันใด อุปไมย ... ฉันนั้น ตัวอย่าง

อุปมา ข้อความที่นำมาเปรียบเทียบ, การอ้างมาเปรียบเทียบ,ข้อเปรียบเทียบ

อุปไมย ข้อความที่ควรจะนำสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบ, สิ่งที่ควรจะหาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบ, สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ

อุปมา ๓ ข้อ ข้อเปรียบเทียบ ๓ ประการที่ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ เมื่อจะทรงบำเพ็ญเพียรที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม คือ

๑. ไม้สดชุ่มด้วยยาง ทั้งตั้งอยู่ในน้ำจะเอามาสีให้เกิดไฟ ก็มีแต่จะเหนื่อยเปล่า ฉันใด สมณพราหมณ์ ที่มีกายยังไม่หลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม่ได้ ถึงจะได้เสวยทุกขเวทนาที่เผ็ดร้อนแรงกล้า อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ไม่ได้เสวยก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะตรัสรู้ ฉันนั้น

๒.ไม้สดชุ่มด้วยยาง ตั้งอยู่บนบก ไกลจากน้ำ จะเอามาสีให้เกิดไฟ ก็มีแต่จะเหนื่อยเปล่า ฉันใด สมณพราหมณ์ ที่มีกายหลีกออกแล้วจากกาม แต่ยังมีความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม่ได้ ถึงจะได้เสวยทุกขเวทนาที่เผ็ดร้อนแรงกล้า อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ไม่ได้เสวยก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะตรัสรู้ ฉันนั้น

๓. ไม้แห้งเกราะ ตั้งอยู่บนบก ไกลจากน้ำ จะเอามาสีให้เกิดไฟ ย่อมทำให้ปรากฏได้ ฉันใด สมณพราหมณ์ ที่มีกายหลีกออกแล้วจากกาม ไม่มีความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละกามได้แล้ว ถึงจะได้เสวยทุกขเวทนาที่เผ็ดร้อนแรงกล้า อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ไม่ได้เสวยก็ตาม ก็ควรที่จะตรัสรู้ ฉันนั้น

เมื่อได้ทรงดำริดังนี้แล้ว พระโพธิสัตว์ จึงได้ทรงเริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา ดังเรื่องที่มาในพระสูตรเป็นอันมาก มีโพธิราชกุมารสูตร เป็นต้น แต่มักเข้าใจกันผิดไปว่า อุปมา ๓ ข้อนี้ ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์หลังจากทรงเลิกละการบำเพ็ญทุกรกิริยา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2019, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวทนา ความเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ความรู้สึกสุขทุกข์ มี ๓ อย่าง คือ

๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุขสบาย

๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่สบาย

๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ เรียกอีกอย่างหนึ่ง อุเบกขาเวทนา

อีกหมวดหนึ่งจัดเป็นเวทนา ๕ คือ

๑. สุข สบายกาย

๒. ทุกข์ ไม่สบายกาย

๓. โสมนัส สบายใจ

๔. โทมนัส ไม่สบายใจ

๕. อุเบกขา เฉยๆ ในภาษาไทย ใช้หมายความว่าเจ็บปวดบ้าง สงสารบ้าง ก็มี

เวทนาขันธ์ กองเวทนา (ขันธ์ แปลว่า กอง,หมวด ฯลฯ)

เวทนานุปัสสนา สติตามดูเวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์โดยรู้เท่าทัน ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (ข้อ ๒ ในสติปัฏฐาน ๔)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2019, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่ทำที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้ว แม้นานได้

สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้, มักมาคู่กับสติ

สติปัฏฐาน (สติ+ปัฏฐาน) ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ, ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง, การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2019, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


5 วันอันตราย อีกทั้งเมาอย่าขับ

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2019, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:



เจตนาอาศัยกลไกของจิตนิยามเป็นเครื่องมือในการทำงาน และเมื่อเจตนาทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแล้ว กระบวนการก่อผลก็ต้องอาศัยจิตนิยามนั่นแหละดำเนินไป

รูปภาพ

เปรียบได้กับคนขับเรือยนต์ คนขับเหมือนเจตนาที่อยู่ฝ่ายกรรมนิยาม เครื่องเรือทั้งหมดเหมือนกลไก และองค์ประกอบต่างๆ ของจิตที่อยู่ฝ่ายจิตนิยาม

คนขับเรือต้องอาศัยเครื่องเรือ แต่เครื่องเรือจะพาเรือ คือ ชีวิต ที่พร้อมด้วยร่างกายไปสู่ที่ไหนอย่างไร คนขับเรือเป็นอิสระที่จะทำ และเป็นผู้รับผิดชอบทำให้เป็นไป

คนขับทั้งอาศัย และทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากเรือ แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของเรือที่พร้อมทั้งเครื่องเรือ และตัวเรือด้วย เหมือนกรรมนิยาม ทั้งอาศัยและทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากจิตนิยาม แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของชีวิตที่พร้อมทั้งจิต และกายด้วย



ประเดิม สงกรานต์ วันแรกดับ 46 ศพ สาเหตุเดิมๆเมาแล้วขับ

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2019, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกลุงกัชกาย ไปก่อนหน้านี้แล้ว

ต้องอาศัย สารถีผู้ล้ำเลิศ กะต้นหนผู้ชี้ทางอันเลิศล้ำ

จึงพาพ้นภัยในสังสาร

cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2019, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:



เจตนาอาศัยกลไกของจิตนิยามเป็นเครื่องมือในการทำงาน และเมื่อเจตนาทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแล้ว กระบวนการก่อผลก็ต้องอาศัยจิตนิยามนั่นแหละดำเนินไป

รูปภาพ

เปรียบได้กับคนขับเรือยนต์ คนขับเหมือนเจตนาที่อยู่ฝ่ายกรรมนิยาม เครื่องเรือทั้งหมดเหมือนกลไก และองค์ประกอบต่างๆ ของจิตที่อยู่ฝ่ายจิตนิยาม

คนขับเรือต้องอาศัยเครื่องเรือ แต่เครื่องเรือจะพาเรือ คือ ชีวิต ที่พร้อมด้วยร่างกายไปสู่ที่ไหนอย่างไร คนขับเรือเป็นอิสระที่จะทำ และเป็นผู้รับผิดชอบทำให้เป็นไป

คนขับทั้งอาศัย และทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากเรือ แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของเรือที่พร้อมทั้งเครื่องเรือ และตัวเรือด้วย เหมือนกรรมนิยาม ทั้งอาศัยและทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากจิตนิยาม แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของชีวิตที่พร้อมทั้งจิต และกายด้วย



ประเดิม สงกรานต์ วันแรกดับ 46 ศพ สาเหตุเดิมๆเมาแล้วขับ

https://www.khaosod.co.th/wp-content/up ... 96x392.jpg

ศปถ.สรุป 2 วันสงกรานต์ตายพุ่ง 105 ศพ เจ็บ1,001คน
ศปถ.เผย 2 วันแรกของช่วง 7 วันอันตราย สงกรานต์ 2562 ยอดผู้เสียชีวิต 105 ราย บาดเจ็บ 1,001 ราย สาเหตุหลักเมาแล้วขับ

รูปภาพ

3 วัน สงกรานต์ ตายพุ่ง 174 เจ็บ 1,728-เหตุเมาขับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:



เจตนาอาศัยกลไกของจิตนิยามเป็นเครื่องมือในการทำงาน และเมื่อเจตนาทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแล้ว กระบวนการก่อผลก็ต้องอาศัยจิตนิยามนั่นแหละดำเนินไป

รูปภาพ

เปรียบได้กับคนขับเรือยนต์ คนขับเหมือนเจตนาที่อยู่ฝ่ายกรรมนิยาม เครื่องเรือทั้งหมดเหมือนกลไก และองค์ประกอบต่างๆ ของจิตที่อยู่ฝ่ายจิตนิยาม

คนขับเรือต้องอาศัยเครื่องเรือ แต่เครื่องเรือจะพาเรือ คือ ชีวิต ที่พร้อมด้วยร่างกายไปสู่ที่ไหนอย่างไร คนขับเรือเป็นอิสระที่จะทำ และเป็นผู้รับผิดชอบทำให้เป็นไป

คนขับทั้งอาศัย และทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากเรือ แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของเรือที่พร้อมทั้งเครื่องเรือ และตัวเรือด้วย เหมือนกรรมนิยาม ทั้งอาศัยและทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากจิตนิยาม แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของชีวิตที่พร้อมทั้งจิต และกายด้วย



ประเดิม สงกรานต์ วันแรกดับ 46 ศพ สาเหตุเดิมๆเมาแล้วขับ

https://www.khaosod.co.th/wp-content/up ... 96x392.jpg

ศปถ.สรุป 2 วันสงกรานต์ตายพุ่ง 105 ศพ เจ็บ1,001คน
ศปถ.เผย 2 วันแรกของช่วง 7 วันอันตราย สงกรานต์ 2562 ยอดผู้เสียชีวิต 105 ราย บาดเจ็บ 1,001 ราย สาเหตุหลักเมาแล้วขับ

https://www.innnews.co.th/wp-content/up ... /1-128.jpg

3 วัน สงกรานต์ ตายพุ่ง 174 เจ็บ 1,728-เหตุเมาขับ


สรุป 4 วันสงกรานต์ตาย 237 เจ็บ 2,322 เหตุเมาขับ

ศปภ. สรุป 4 วันสงกรานต์ตายพุง 237 บาดเจ็บ 2,322 คน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เจตนา อาศัยกลไกของจิตนิยามเป็นเครื่องมือในการทำงาน และเมื่อเจตนาทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแล้ว กระบวนการก่อผลก็ต้องอาศัยจิตนิยามนั่นแหละดำเนินไป

รูปภาพ

เปรียบได้กับคนขับเรือยนต์ คนขับเหมือนเจตนาที่อยู่ฝ่ายกรรมนิยาม เครื่องเรือทั้งหมดเหมือนกลไก และองค์ประกอบต่างๆ ของจิตที่อยู่ฝ่ายจิตนิยาม

คนขับเรือต้องอาศัยเครื่องเรือ แต่เครื่องเรือจะพาเรือ คือ ชีวิต ที่พร้อมด้วยร่างกายไปสู่ที่ไหนอย่างไร คนขับเรือเป็นอิสระที่จะทำ และเป็นผู้รับผิดชอบทำให้เป็นไป

คนขับทั้งอาศัย และทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากเรือ แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของเรือที่พร้อมทั้งเครื่องเรือ และตัวเรือด้วย เหมือนกรรมนิยาม ทั้งอาศัยและทั้งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากจิตนิยาม แล้วรับผิดชอบต่อความเป็นไปของชีวิตที่พร้อมทั้งจิต และกายด้วย





เจตนา ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตจำนง, ความจำนง, ความจงใจ, เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัวการในการทำกรรม หรือกล่าวว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสี่ยเบนซ์ เมาขับ ชน รองผกก.-เมีย ดับสลด ลูกสาววัย 12 ปี เจ็บสาหัส วอนสังคมให้อภัย เผยเป็นบทเรียนสาหัสที่สุดในชีวิต ขอเลิกเหล้าตลอดชีวิต เตรียมเจอหน้าครอบครัวผู้ตาย

https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2419206


สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร