วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Love J.

ที่ผมบอกว่าหาที่เกิดที่เที่ยงแท้ให้อาศัยหลบรอดปลอดภัยจากความดับไม่มี ไม่ใช่หลบนอนแต่ ดูความคันจะมันเห้นเป็นนิมิต พอเกิดทีแสงสีเขียว ๆ ดวงกลม ๆ ก็ติดที แล้วก็ดับเคลื่อนไปเกิดที่ไหม่ แล้วก็ดับ จนเริ่มตื่นตระหนก เกิดแล้วก็ดับ ดับอีกแล้ว ๆ มีแต่ดับ ๆ ๆ ๆ ไม่มีที่จะเคลื่อนไปเกิดแล้วจะไม่ดับ

โอ้ เห็นเยอะแยะเบย ดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิกๆๆๆ


คุณเลิฟ เจ. เอายังงี้ไหม เพื่อยุติปัญหา คือ คุณอยากมีอยากเป็นอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย ดีไหม :b16:


ก็คุณกรัชกายว่าผมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ คิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมอย่างนั้น อย่างนี้ผมก็อธิบายให้ฟังอันไหนใช่ก็ยอมรับว่าใช่ อันไหนไม่ใช่ก็ปฏิเสธ

ไม่ต้องฟังที่ผมพูดแล้วคิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมหรอก อยากรู้อะไรถามผม ๆ ก็ตอบตามจริง

เอาอย่างงี้ไหม อยากรู้ว่าผมเป็นอะไรยังไงก็ถามผมตามอัธยาศัย ผมจะตอบอย่างไม่บิดพริ้ว จะได้ไม่ต้องว่าผมเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นศิษท์สำนักนั้น สำนักนี้ ครูอาจารย์ พูดถึงครูอาจารย์ผมฟังไม่ได้เลือกใครสอนมรรค สอนผล ผมก็ฟังทั้งนั้น


ก็คุณเล่าเอาพูดเอา ไม่ได้ทำไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ คิกๆๆ


ที่ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ นั่นก็คิดเอาเดาเอา


แน่ะๆ มีเถียงๆ คิกๆ คุณจะโกหกเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมานะ


ประสบการณ์อย่างนี้ ผมจะเล่าวันนี้ก็เล่าไม่หมด มันไม่ใช่สาระมันไม่น่าเอามาเป็นปัญหา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Love J.

ที่ผมบอกว่าหาที่เกิดที่เที่ยงแท้ให้อาศัยหลบรอดปลอดภัยจากความดับไม่มี ไม่ใช่หลบนอนแต่ ดูความคันจะมันเห้นเป็นนิมิต พอเกิดทีแสงสีเขียว ๆ ดวงกลม ๆ ก็ติดที แล้วก็ดับเคลื่อนไปเกิดที่ไหม่ แล้วก็ดับ จนเริ่มตื่นตระหนก เกิดแล้วก็ดับ ดับอีกแล้ว ๆ มีแต่ดับ ๆ ๆ ๆ ไม่มีที่จะเคลื่อนไปเกิดแล้วจะไม่ดับ

โอ้ เห็นเยอะแยะเบย ดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิกๆๆๆ


คุณเลิฟ เจ. เอายังงี้ไหม เพื่อยุติปัญหา คือ คุณอยากมีอยากเป็นอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย ดีไหม :b16:


ก็คุณกรัชกายว่าผมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ คิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมอย่างนั้น อย่างนี้ผมก็อธิบายให้ฟังอันไหนใช่ก็ยอมรับว่าใช่ อันไหนไม่ใช่ก็ปฏิเสธ

ไม่ต้องฟังที่ผมพูดแล้วคิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมหรอก อยากรู้อะไรถามผม ๆ ก็ตอบตามจริง

เอาอย่างงี้ไหม อยากรู้ว่าผมเป็นอะไรยังไงก็ถามผมตามอัธยาศัย ผมจะตอบอย่างไม่บิดพริ้ว จะได้ไม่ต้องว่าผมเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นศิษท์สำนักนั้น สำนักนี้ ครูอาจารย์ พูดถึงครูอาจารย์ผมฟังไม่ได้เลือกใครสอนมรรค สอนผล ผมก็ฟังทั้งนั้น


ก็คุณเล่าเอาพูดเอา ไม่ได้ทำไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ คิกๆๆ


ที่ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ นั่นก็คิดเอาเดาเอา


แน่ะๆ มีเถียงๆ คิกๆ คุณจะโกหกเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมานะ


ประสบการณ์อย่างนี้ ผมจะเล่าวันนี้ก็เล่าไม่หมด มันไม่ใช่สาระมันไม่น่าเอามาเป็นปัญหา


พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว เท่าที่เล่ามาก็รู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว ว่าเล่า มโน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Love J.

ที่ผมบอกว่าหาที่เกิดที่เที่ยงแท้ให้อาศัยหลบรอดปลอดภัยจากความดับไม่มี ไม่ใช่หลบนอนแต่ ดูความคันจะมันเห้นเป็นนิมิต พอเกิดทีแสงสีเขียว ๆ ดวงกลม ๆ ก็ติดที แล้วก็ดับเคลื่อนไปเกิดที่ไหม่ แล้วก็ดับ จนเริ่มตื่นตระหนก เกิดแล้วก็ดับ ดับอีกแล้ว ๆ มีแต่ดับ ๆ ๆ ๆ ไม่มีที่จะเคลื่อนไปเกิดแล้วจะไม่ดับ

โอ้ เห็นเยอะแยะเบย ดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิกๆๆๆ


คุณเลิฟ เจ. เอายังงี้ไหม เพื่อยุติปัญหา คือ คุณอยากมีอยากเป็นอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย ดีไหม :b16:


ก็คุณกรัชกายว่าผมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ คิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมอย่างนั้น อย่างนี้ผมก็อธิบายให้ฟังอันไหนใช่ก็ยอมรับว่าใช่ อันไหนไม่ใช่ก็ปฏิเสธ

ไม่ต้องฟังที่ผมพูดแล้วคิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมหรอก อยากรู้อะไรถามผม ๆ ก็ตอบตามจริง

เอาอย่างงี้ไหม อยากรู้ว่าผมเป็นอะไรยังไงก็ถามผมตามอัธยาศัย ผมจะตอบอย่างไม่บิดพริ้ว จะได้ไม่ต้องว่าผมเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นศิษท์สำนักนั้น สำนักนี้ ครูอาจารย์ พูดถึงครูอาจารย์ผมฟังไม่ได้เลือกใครสอนมรรค สอนผล ผมก็ฟังทั้งนั้น


ก็คุณเล่าเอาพูดเอา ไม่ได้ทำไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ คิกๆๆ


ที่ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ นั่นก็คิดเอาเดาเอา


แน่ะๆ มีเถียงๆ คิกๆ คุณจะโกหกเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมานะ


ประสบการณ์อย่างนี้ ผมจะเล่าวันนี้ก็เล่าไม่หมด มันไม่ใช่สาระมันไม่น่าเอามาเป็นปัญหา



มันเป็นสาระเบื้องต้นของการปฏิบัติทางจิต แต่ต้องไปอีก ไม่ใช่แค่นี้ แต่มิใช่ไม่มีสาระอย่างที่คุณเข้าใจ :b32:

อ้างคำพูด:
ปฏิบัติแล้วมีเสียงผุดขึ้น

ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ... 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด
ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด แต่ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายในลานธรรมช่วยชี้แนะด้วยค่ะ



ไม่ยังงั้น เขาจะสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติกันยังไงได้
เลิฟ เจ. โกหก คิกๆๆ แต่ไม่รู้นะว่าโกหกเพื่ออะไร แต่รู้ว่าโกหก :b32: แหมๆนั่นๆนี่ๆเกิด-ดับ ทุกอย่างเกิดแล้วต้องดับ ว่า :b32: ข้อนี้ไม่มีใครเถียง แต่ต้องเห็นมันตามนั้น มิใช่อ่านหนังสือแล้วมามโน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Love J.

ที่ผมบอกว่าหาที่เกิดที่เที่ยงแท้ให้อาศัยหลบรอดปลอดภัยจากความดับไม่มี ไม่ใช่หลบนอนแต่ ดูความคันจะมันเห้นเป็นนิมิต พอเกิดทีแสงสีเขียว ๆ ดวงกลม ๆ ก็ติดที แล้วก็ดับเคลื่อนไปเกิดที่ไหม่ แล้วก็ดับ จนเริ่มตื่นตระหนก เกิดแล้วก็ดับ ดับอีกแล้ว ๆ มีแต่ดับ ๆ ๆ ๆ ไม่มีที่จะเคลื่อนไปเกิดแล้วจะไม่ดับ

โอ้ เห็นเยอะแยะเบย ดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิกๆๆๆ


คุณเลิฟ เจ. เอายังงี้ไหม เพื่อยุติปัญหา คือ คุณอยากมีอยากเป็นอะไรก็เชิญตามอัธยาศัย ดีไหม :b16:


ก็คุณกรัชกายว่าผมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ คิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมอย่างนั้น อย่างนี้ผมก็อธิบายให้ฟังอันไหนใช่ก็ยอมรับว่าใช่ อันไหนไม่ใช่ก็ปฏิเสธ

ไม่ต้องฟังที่ผมพูดแล้วคิดเอาว่ารู้ไส้รู้พุงผมหรอก อยากรู้อะไรถามผม ๆ ก็ตอบตามจริง

เอาอย่างงี้ไหม อยากรู้ว่าผมเป็นอะไรยังไงก็ถามผมตามอัธยาศัย ผมจะตอบอย่างไม่บิดพริ้ว จะได้ไม่ต้องว่าผมเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นศิษท์สำนักนั้น สำนักนี้ ครูอาจารย์ พูดถึงครูอาจารย์ผมฟังไม่ได้เลือกใครสอนมรรค สอนผล ผมก็ฟังทั้งนั้น


ก็คุณเล่าเอาพูดเอา ไม่ได้ทำไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ คิกๆๆ


ที่ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ นั่นก็คิดเอาเดาเอา


แน่ะๆ มีเถียงๆ คิกๆ คุณจะโกหกเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมานะ


ประสบการณ์อย่างนี้ ผมจะเล่าวันนี้ก็เล่าไม่หมด มันไม่ใช่สาระมันไม่น่าเอามาเป็นปัญหา



มันเป็นสาระเบื้องต้นของการปฏิบัติทางจิต แต่ต้องไปอีก ไม่ใช่แค่นี้ แต่มิใช่ไม่มีสาระอย่างที่คุณเข้าใจ :b32:

อ้างคำพูด:
ปฏิบัติแล้วมีเสียงผุดขึ้น

ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ... 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด
ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด แต่ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายในลานธรรมช่วยชี้แนะด้วยค่ะ



ไม่ยังงั้น เขาจะสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติกันยังไงได้
เลิฟ เจ. โกหก คิกๆๆ แต่ไม่รู้นะว่าโกหกเพื่ออะไร แต่รู้ว่าโกหก :b32: แหมๆนั่นๆนี่ๆเกิด-ดับ ทุกอย่างเกิดแล้วต้องดับ ว่า :b32: ข้อนี้ไม่มีใครเถียง แต่ต้องเห็นมันตามนั้น มิใช่อ่านหนังสือแล้วมามโน


ถ้าเป็นผมหากเจออาการเหล่านี้ไม่สนใจให้ค่าให้ราคาอะไรเลย นี่มานั่งใคร่ครวญครวนว่าเป็นสัญญาณเป็นนิมิตจากอดีตชาติ เป็นนั่นเป็นนี่ พลุงพลังวุ่นวาย

มีสติ หายใจเข้า หายใจออก อยู่อย่างนี้เผลอไปก็กลับมาที่ลมหายใจเอาให้มันเหลือแต่ลมหายใจแค่รู้อย่างเดียวไม่ต้องไปทำอะไร มันก็ค่อย ๆ เห็นทำไมจึงหายใจ ทำไมจึงหายใจหยาบ ทำไมจึงหายใจละเอียด เห็นการปรุงแต่งกายยังไง ปิติเป็นอย่างนี้ สุขเป็นอย่างนี้

กำหนดอาการ 32 ผมก็รู้สึกที่ผม ขนก็รู้สึกที่ขน พังผืดอยู่ตรงไหน ปอด ม้าม ตับ ไต หัวใจ อยู่ตรงไหนดูว่ามันทำงานอย่างไร พิจารณาว่ามันเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง พิจารณาความไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวใ่ชตน ดำริมันก็ไม่พล่านไปนอกกายนอกใจนี้ กายก็ค่อยสงบ จิตก็ค่อยสงบ กายเริ่มเบา จิตเริ่มเบา คล่องแคล่ว ว่องไว อย่างนี้มันค่อยได้สมาธิ ได้ปัญญา

ไม่ต้องมานั่นหัวเหวี่ยงมั่ง ท้องจะแตกมั่ง ดั้งแน่นมั่ง เก็บเอาเสียงแว่วบ้าง ภาพมาใส่ใจใคร่ควรญพัวพันวุ่นวาย ถ้ามั่นแว่วมากก็สวดอิติปิโสแข่งมันซะเลยพร้อมคำแปลด้วยอยู่กับพระพุทธเจ้านึกถึงความเสียสละของพระพุทธเจ้า ความเมตตากรุณา ให้ใจมันปลื้มปิติไม่ดีกว่าเหรอ ทิ้งไปหูแว่วนั่งใคร่ครวญให้ได้อะไรขึ้นมา ยังกล้าเอามาถามอีกนะ ถ้าไปถามครูบาอาจารย์ไม่อายท่านเหรอ อย่างนี้เรียกว่าสอบอารมณ์เหรอ ???


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 10:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้

อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้

อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


เรื่องเล่าทั้งนั้น คิกๆๆ

ที่ว่ามโน มโนว่าดับ เพราะเรื่องเกิด-ดับๆๆ นี้ ตนเองเคยได้ยินได้ฟังได้อ่านมา ก็มามโน นี่ความหมายมโนตามภาษาวัยรุ่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เลิฟ เจ. อ่านคนทำจริงๆเล่า :b1: (ตอบคำถาม)

(คคห.11 http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html
)

1. ที่คุณบอกว่า ฝึกสมาธินั้น คุณฝึกอย่างไร ฝึกด้วยวิธีไหน อาจารย์สอนคุณอย่างไร แล้วคุณทำไปอย่างไร ครับ

ฝึกแบบอานาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด
แล้วหยุดจับที่ปลายจมูก เหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้า และออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ
แต่พอเจออะไรมากกว่านี้ เลยไปไม่เป็น ....ขอไม่บอกชื่อผู้สอนค่ะ

2. เล่าอาการที่คุณพบ ให้ละเอียดขึ้นหน่อย

ประมาณวันที่สี่ เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมา เหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว
เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป
มีเห็นแสงสี ต่อมา เริ่มหูแว่ว เหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้
กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับ บอกว่า ต่อไปเราจะไปสร้างวัดตรงนี้

3. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือเปล่า

ไม่เคย

4. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีความทุกข์ใจมาก กลัดกลุ้มมากๆ จนอยากหาทางออก มีปัญหาในชีวิตมากๆ อะไรอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ถึงได้หาหนทางออกด้วยการมาฝึกสมาธิเพื่อให้พ้นจากความกลัดกลุ้มมากๆเหล่า นั้น

มีใครบ้างไม่เคยมีปัญหาชีวิต จำได้ว่า กลุ้มมากสุดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หายแล้ว อภัยไปหมดแล้ว
ดิฉันไม่ได้หาทางออกให้ชีวิตโดยการไปนั่งสมาธิ แต่ชอบตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง ที่มหาลัย
เคยบวชธรรมทายาทที่วัดธรรมกาย ตอนเป็นนักศึกษา แต่เดินออกมาเพราะไม่เชื่อคำสอนหลายอย่าง
แต่ก็ชอบนั่งสมาธิ แต่งานยุ่งก็ไม่ได้นั่งอีก จนมาเริ่มอีกทีไม่นานนัก ตอนไปคราวนั้น เป็นครั้งที่สาม
ไม่ได้กลุ้มอะไรแล้วไป แค่เคยชอบ อยากทำอีก เพราะมันสงบ เย็น เบาสบาย

5. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยไปเข้าตามสำนักทรงเจ้าเข้าทรง อะไรพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า

ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย จริงๆค่ะ

6. ใครแนะนำคุณไปฝึกสมาธิตามที่บอกข้างต้น เขาเป็นใคร มีพื้นเพ ความเชื่ออย่างไรครับ

ไปเอง เพราะศรัทธา ดิฉันเชื่อยาก แต่พร้อมที่จะทดสอบจนเห็นเอง

ดิฉันไม่ได้ขาดสติ และรู้ตัวเกือบตลอดเวลา (แต่มีบางครั้งที่ทำอะไรไม่รู้ตัวเลยแค่ช่วงเสี้ยวนาที)
เพียงแต่สิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ทำให้ดิฉันเชื่อว่าจริง เพราะไม่เคยรู้ ว่า อาการหลงจากสมาธิทำให้เกิดได้

(อย่างนี้ คุณเรียกว่าขาดสติไหม ดิฉันคิดว่ามันเป็นการขาดความรู้มากกว่า แบบนี้ เขาเรียกอวิชชาทำให้บ้าได้ใช่ไหม)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้

อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ทั้งดุ้น คิกๆๆ พอๆไม่ต้องเล่าแล้ว :b32: เห็นไส้ติ่งด้วยนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2019, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คริคริ

เมเคยเจอแระหล่ะลุง

ทดสอบภาคปฎิบัติวิหารจิต กะบางคนง่ายๆ ไม่ต้องไปยกพระธรรมอะไรหรอกค่ะ ลุง

ยกเข็มทิศ ให้มอง ก็พอ

แค่นี้ก็ใจหวิวว ยิ้มไม่ออก

กั๊กๆๆ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2019, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เลิฟ เจ. หายไปไหน หรือว่า :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 04:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 04:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


กบก็เข้าใจผิด

กรัชกายไม่ใช่ชอบ ไม่ชอบอย่างนั้น คิกๆๆ แต่สภาวะเขาเป็นอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติก็ต้องรู้ความเป็นอย่างนั้นของมัน

สังเกตดูนะพวกเราที่เรียกตนเองว่านักธรรมะเนี่ย จะเอาแต่ดีๆ ไม่ยอมรับธรรมชาติที่ไม่ดี พอไปพบสิ่งที่ไม่ชอบใจตัวเองเข้า ร้องเป็นผีเข้า
ไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ได้ จะดี ไม่ดี ชอบใจ ไม่ชอบใจ ต้องรับรู้สู้หน้ามันทั้งนั้น เข้าใจไหม หือกบ :b32: คนรักษาศีลหาเมีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 02 เม.ย. 2019, 05:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 05:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


เลิฟ ไม่ได้ทำ ไม่ได้ภาวนา มโนเอา คิดเอาตามที่ตนฟังแนวทางมา แล้วก็มาพูดวาดภาพไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร