วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 09:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ


อย่างนี้ วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช้การเพ่งอารมณ์ ก็ไม่ถือเป็นกรรมฐานสิครับ
นึกคิดเอางเอง แล้วนั้งยิ้มนอนยิ้มว่าเป็นธรรมะ อาการมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ

ท่านว่าให้เลือกเอาอย่างเดียว อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปหยิบจับของใครมานึกคิดเอาว่าเป็น
ธรรมะหรือเปล่าครับ



แน่ะๆ มีย้อน มีเถียง คิกๆๆ :b32:

พูดยังงั้น ยิ่งทำให้เห็นชัดเข้าอีกว่า เลิฟ เจ. ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมจริงๆ เป็นนักธรรมข้างธรรมมาสจริงๆ ดังว่า ฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดหน่อยแล้วตนเองก็นำมาปะติดปะต่อกัน แล้วก็ยิ้มแก้มปริ :b12: ธรรมะๆๆๆ

เขียนอย่างบาลี “กัมมัฏฐาน” เขียนอย่างสันสกฤต “กรรมฐาน”

รูปแบบบาลีเห็นไม่บ่อย ส่วนมากจะเห็นจะเขียนรูปสันสกฤตกัน (แต่ “กรรม “ ในที่นี้ ก็แปลว่า การงาน กรรมฐาน = ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต เหมือนกัน)

“กัมม” แปลว่า การงาน (งาน ในที่นี้ หมายถึง งานทางด้านจิตใจ) "ฐาน" แปลว่า ที่ตั้ง รวมกัน เป็น “กัมมัฏฐาน” แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต

ถ้าเราเข้าใจถูกตามหลักของเขาอย่างนี้แล้ว จะเห็นมุมกว้างในขณะทำการทำงานทุกอย่าง ซักผ้า รีดผ้า อาบน้ำ แปรงฟัน เดิน วิ่งออกกำลังกาย ฯลฯ ถ้าควบคุมจิตใจให้อยู่กับสิ่งนั้นๆขณะนั้นๆ สิ่งนั้น เรียกว่า กัมมัฏฐาน ได้หมด

เมื่อมองให้แคบเข้ามา ขณะกำหนดลมหายใจเข้า ว่า พุท ว่าโธ ลมหายใจออก (ว่าในใจ) ลมเข้าที ลมออกที ลมเข้า-ลมออก ก็เป็น กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ท้องพอง ว่า พองหนอ ท้องยุบ ว่า ยุบหนอ คิด ว่าคิดหนอ รู้สึกปวดว่าปวดหนอ ฟุ้งซ่าน ว่า ฟุ้งซ่านหนอ ฯลฯ สิ่งนั้นๆ แต่ละขณะๆ ก็เรียกว่า กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ได้หมดขอรับ ถ้าเข้าใจ :b8:


ไม่ได้เถียงครับ แค่ถาม
:b8:


แล้วเครียร์ยัง ถามต่ออีกได้นะ ถ้ายังไม่ชัดพอ :b1:


ตอบปัญหาโดยแยบคายตามที่รู้ที่เข้าใจ อย่างนี้ผมก็อยากถาม
หัวเราะคิก ๆ จิกกัด เหน็บแนมผู้ถาม อย่างนี้ผมก็ไม่อยากถามครับ



คิกๆๆๆ :b32: ถามเถอะคลายเครียด

คุณเลิฟ เจ. เพียงคุณพูด...ว่า ทำอนุสสติทั้ง ๑๐ อย่างเนี่ยนะ กรัชกายก็รู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับความจริง คงอาย อย่าอายขอรับ ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น จะอยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร


ทีแรกผมยังจำไม่ได้ว่าอนุสติ ๑๐ อย่างมีอะไรบ้างเปิดกูเกิลดูจึงรู้ว่ามีอะไรบ้าง ก็ดูแต่ละอย่าง ๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำสม่ำเสมอ จึงตอบไปอย่างนั้น ที่ทำก็ไม่ได้อยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร ทำเพราะชอบ ทำเหมือนงานอดิเรก

เรื่องความโง่ ความหลง ความเห็นผิด ความมีปัญญาน้อย ผมไม่เคยอาย เพราะผมไม่ได้ศึกษาปฏิบัติแข่งกับใคร ใครฉลาด ปัญญามากก็อนุโมทนา สาธุ ด้วย

ทำบาปอย่างนี้ค่อยน่าอาย สูญเสียความภูมิใจในตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
สามเณรท่านเห็นชาวนากำลังทำทางดินผันน้ำเข้านา (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ท่านก็สังเกตุเห็นว่าน้ำไม่มีชีวิต ชาวนายังบังคับให้ไหลตามทางที่ต้องการได้ ท่านก็น้อมเข้ามาพิจารณาตนเองว่าเรามีชีวิตแท้ ๆ ทำไมจะอบรมข่มจิตให้ตั้งมั่นควรแก่การงาน ตามต้องการไม่ได้ จึงเกิดกำลังใจในการเจริญ สมถะ วิปัสสนา บรรลุอรหันต์ในที่สุด ประมาณนี้ครับ


สาธุท่านเจ ดีแล้วครับ สาธุ

เหลือท่านกรัซกายยังตอบผมไม่ได้เลย :b32: :b32: :b32: มีแต่หันเหบ่ายเบี่ยงแล้วบอกให้ลองไปทำดูสิ ไม่รู้กลัวอะไร


ผลสุดท้ายก็ทำสมาธิ เจริญปัญญา คิกๆๆๆ นั่นตัวหนังสือ สมาธิ ปัญญา ท่านยังไม่ได้ทำเบย เพียงแต่อ่านหนังสือแล้วก็มโนไปเท่านั้นเอง บอกไม่เชื่อ


:b32: :b32: :b32: ถามความคิดเห็น นี่ครับ ว่า สถานการณ์นั้นท่านคิดเห็นยังไงจึงรีบไปเข้ากรรมฐาน ท่านกรัซกายนี่อ่านอะไรเข้าใจยากจังครับ ลองย้อนไปอ่านครับ นี่ทำให้เห็นว่าท่านกรัซกายรู้นะ ปต่ขาดการทำความรู้ความเข้าใจจริง ดังนั้นก็ไม่ต่างกัยมโนไปเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ท่านบ้าธรรมเกินไปอะไรก็จะลงธรรมหมดไหนท่านเคยบอกตำหนิผมว่าบ้าธรรม แต่ผมว่าท่านบ้ากว่าผมนะนี่

ค่อยๆแยกแยะเป็นเรื่องๆไปครับท่าน อย่าเอาทุกเรื่องมารวมกัน

:b12:
กำลังทำอะไรกันอยู่ก็ให้รู้สึกตัวตรงปัจจุบัน
แล้วปัจจุบันมีตัวจริงธัมมะดับถึงแสนโกฏิขณะ
มีครบทั้ง6ทางมีแล้วมันตั้งมั่นตรงทางคือขณิกสมาธิ
มีแล้วทุกขณะจิตคือสมาธิเจตสิกมันเกิดได้กับทุกคนที่ทำบุญหรือบาป
ไม่เว้นโจรทำทุกอย่างตามปกติตั้งใจขโมยไม่ว่าใครจะไปทำสิ่งใด
ล้วนทำจากเห็นผิดบรรพชิตทำทุกอย่างที่อยากทำรับเงินและทอง
อาบัติคือผิดวินัย/ขโมยของผิดกฏหมาย/มันไม่ต่างกันเลยคือทุศีล
ฟังต้องฟังตรงปัจจุบันเข้าใจไหมคะกิเลสมีแล้วทุกเวลาที่เห็นเนี่ยแหละ
ดับแล้วนับไม่ถ้วนซึ่งตถาคตนับจำนวนเพื่อให้รู้สึกตัวว่าเดี๋ยวนี้ดับถึงแสนโกฏิดวงจิต
ถามว่าแสนล้านดวงที่ดับเนี่ยมันตั้งมั่นตรงทางตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครปรุงแต่งเพราะเกิดแล้วโดยอนัตตา
ทีนี้คิดสิในเมื่อเดี๋ยวนี้จะทำอะไรที่ไหนอย่างไรกับใครมันผิดปกติของคนไหมแล้วคิดไหมว่าไม่ได้รู้อะไรเลย
:b32: :b32: :b32:

จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระพุทธพจน์
ที่พึ่งอื่นไม่มีนอกจากพึ่งตาดูและหูฟังความจริงตามคำสอน
เพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตได้ถูกตรงตามคำสอนจริงๆ
ตอนที่กำลังฟังเข้าใจเท่านั้นแหละที่คิดถูกตามได้แล้ว
พอหยุดฟังกิเลสนับแสนโกฏิขณะก็ไหลไปตามกิเลส
ใครจะทำอะไรก็เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นคือ
เป็นไปตามความรู้สึกนึกคิดลืมคำสอนเสมอ
เพราะกำลังขาดการอบรมจิตจากการฟัง
จึงไม่สามารถคิดถูกตรงตามคำสอนได้
https://youtu.be/GBG91b0xHF8
:b12:
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 17:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ส่วนเรื่องการปฏิบัติ ผมทำแล้วครับ

- เริ่มจากท่านพิจารณาอย่างไรนะถึงเห็นธรรมได้ ไปถามท่านเอากับสมาธิดีกว่า
- นึกถึงท่านสามเณร แล้วเข้าธาตุกรรมฐาน
- อธิษฐานนิมิต(ทำไว้ในใจถึงกายธาตุ หากสมาธิมั่นคงมีกำลังได้ที่มันพรึบขึ้นให้เห็นทันที(นับแต่อุปจาระฌาณขึ้นไป)) (แบบโลกียะ)
- เจริญจตุธาตุววัตถาน(เอาแค่รู้เข้าใจ) (แบบโลกียะ)
- นั่งดู พิจารณา (แบบโลกียะ)
- เห็นอนัตตาในกายธาตุ (แบบโลกียะ)
- หน่าย คลายกำหนัด (แบบโลกียะ)
- เสื่อม (แบบโลกียะ เพราะจิตยังไม่เดิน)

:b32: :b32: :b32:


เอาไงก็เอาเถอะขอรับ :b1:



อย่าคิดมากท่าน เราเฮฮากันไม่ซีเรียสนะครับ ผมยังจำคำที่ท่านสอนผมนะครับว่า อย่าบ้าธรรม ท่านสอนผมนี่อย่าบ้าธรรมมาก ผมก็พิจารณาได้ว่าเพราะรู้จริงจึงไม่ยึด ยึดเพราะไม่รู้แต่เพราะหลงต่างหาก ถูกมั้ยครับ ดังนั้นคุยให้ได้เหมือนคนปรกติจะดีกว่ามากใช่ปะครับ :b1: :b1: :b1:


คิกๆๆๆ ปล่อยให้ทำตามสบายก็ไม่เอาอีก

ถ้างั้นก็เอางี้ เขาเป็นอะไร แล้วจะไปต่อยังไง

นั่งสมาธิแล้วร้องไห้ ร้องจนตัวสั่น

นั่งสมาธิที่ปฏิบัติจริงๆครั้งนี้คือครั้งที่ 2 ที่เข้าถึง นั่งได้เกือบชั่วโมง ครั้งแรกรู้สึกลอยอยู่บนเมฆ รู้สึกดีมาก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้ลึกกว่ามากนานกว่ามากด้วยเป็นชั่วโมง ครั้งนี้นั่งระลึกจิต หรือเขาเรียกอะไรไม่รู้ ใจคิดถึงแม่คิดถึงพ่อมาก เหมือนจิตอยู่ในอดีต คิดถึงเขาเหมือนจากมานานมาก คิดถึงจับจิต คิดถึงน้ำตาไหลร้องไห้มือสั่นตัวสั่นตัวชา
ถามตัวเองว่าร้องทำไม ร้องไห้ไม่หยุด ตอนร้องรู้สึกตัว ถามตัวเองว่าร้องทำไม ตอบตัวเองไม่ได้ รู้แต่ว่าคิดถึงเขาที่จากมาไกล ไม่ได้คิดไปเองนะ ไม่ได้บ้าด้วย มีคนเป็นเหมือนเรา ใจนิ่งจิตนิ่ง แต่ทำไมใจกับจิตต้องคิดถึงเขาขนาดนั้น เราอยู่กันคนละโลกแล้ว ถึงจิตจะคิดถึงแค่ไหนก็ต้องละต้องวาง ใจคิดจะนั่งสมาธิแค่ให้มีสมาธิอ่านหนังสือ ทำไปทำมายาวเลย



555 ท่านก็มาแนวนี้อีกแระ :b12: :b12: :b12:

เอางี้นะทุกๆสิ่งที่ท่านเอามาโพสท์ ผมคิดว่าผมตอบประโยคเดียวก็น่าจะจบทุกกระทู้นะครับว่า


มันเป็นแค่อาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ ปรุงแต่งกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยตามปรกติของจิต ไม่มีอะไรเกินนั้น
.. ต่อให้ไปแยกว่านี่จิตปรุง จิตคิด ใจรู้ มันเกิดเพราะรู้นั่น เห็นนี่ โยกเยก เบา ขยาย นิ่ง แช่ ปรุงแต่ง ว่าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวงมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ คนที่เอฟเฟคเยอะก็เอาใจเข้ายึดครองอุปาทานเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิตให้วิตกบ้าง กังวลบ้าง ยึกหลงแบบไร้สาระบ้าง


- ทางแก้ของคนที่เอฟเฟคเยอะนะครับ

- รู้ (รู้แค่ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น)
- ปรกติ (รู้ว่ามันเป็นแค่ปรกติอาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ)
- วาง (ไม่ยึดเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิต ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาให้กำหนดรู้เท่านั้น แล้วก็ปล่อย ละ วาง)

:b1: :b1: :b1:


.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ


อย่างนี้ วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช้การเพ่งอารมณ์ ก็ไม่ถือเป็นกรรมฐานสิครับ
นึกคิดเอางเอง แล้วนั้งยิ้มนอนยิ้มว่าเป็นธรรมะ อาการมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ

ท่านว่าให้เลือกเอาอย่างเดียว อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปหยิบจับของใครมานึกคิดเอาว่าเป็น
ธรรมะหรือเปล่าครับ



แน่ะๆ มีย้อน มีเถียง คิกๆๆ :b32:

พูดยังงั้น ยิ่งทำให้เห็นชัดเข้าอีกว่า เลิฟ เจ. ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมจริงๆ เป็นนักธรรมข้างธรรมมาสจริงๆ ดังว่า ฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดหน่อยแล้วตนเองก็นำมาปะติดปะต่อกัน แล้วก็ยิ้มแก้มปริ :b12: ธรรมะๆๆๆ

เขียนอย่างบาลี “กัมมัฏฐาน” เขียนอย่างสันสกฤต “กรรมฐาน”

รูปแบบบาลีเห็นไม่บ่อย ส่วนมากจะเห็นจะเขียนรูปสันสกฤตกัน (แต่ “กรรม “ ในที่นี้ ก็แปลว่า การงาน กรรมฐาน = ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต เหมือนกัน)

“กัมม” แปลว่า การงาน (งาน ในที่นี้ หมายถึง งานทางด้านจิตใจ) "ฐาน" แปลว่า ที่ตั้ง รวมกัน เป็น “กัมมัฏฐาน” แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต

ถ้าเราเข้าใจถูกตามหลักของเขาอย่างนี้แล้ว จะเห็นมุมกว้างในขณะทำการทำงานทุกอย่าง ซักผ้า รีดผ้า อาบน้ำ แปรงฟัน เดิน วิ่งออกกำลังกาย ฯลฯ ถ้าควบคุมจิตใจให้อยู่กับสิ่งนั้นๆขณะนั้นๆ สิ่งนั้น เรียกว่า กัมมัฏฐาน ได้หมด

เมื่อมองให้แคบเข้ามา ขณะกำหนดลมหายใจเข้า ว่า พุท ว่าโธ ลมหายใจออก (ว่าในใจ) ลมเข้าที ลมออกที ลมเข้า-ลมออก ก็เป็น กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ท้องพอง ว่า พองหนอ ท้องยุบ ว่า ยุบหนอ คิด ว่าคิดหนอ รู้สึกปวดว่าปวดหนอ ฟุ้งซ่าน ว่า ฟุ้งซ่านหนอ ฯลฯ สิ่งนั้นๆ แต่ละขณะๆ ก็เรียกว่า กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ได้หมดขอรับ ถ้าเข้าใจ :b8:


ไม่ได้เถียงครับ แค่ถาม
:b8:


แล้วเครียร์ยัง ถามต่ออีกได้นะ ถ้ายังไม่ชัดพอ :b1:


ตอบปัญหาโดยแยบคายตามที่รู้ที่เข้าใจ อย่างนี้ผมก็อยากถาม
หัวเราะคิก ๆ จิกกัด เหน็บแนมผู้ถาม อย่างนี้ผมก็ไม่อยากถามครับ



คิกๆๆๆ :b32: ถามเถอะคลายเครียด

คุณเลิฟ เจ. เพียงคุณพูด...ว่า ทำอนุสสติทั้ง ๑๐ อย่างเนี่ยนะ กรัชกายก็รู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับความจริง คงอาย อย่าอายขอรับ ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น จะอยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร


ทีแรกผมยังจำไม่ได้ว่าอนุสติ ๑๐ อย่างมีอะไรบ้างเปิดกูเกิลดูจึงรู้ว่ามีอะไรบ้าง ก็ดูแต่ละอย่าง ๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำสม่ำเสมอ จึงตอบไปอย่างนั้น ที่ทำก็ไม่ได้อยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร ทำเพราะชอบ ทำเหมือนงานอดิเรก

เรื่องความโง่ ความหลง ความเห็นผิด ความมีปัญญาน้อย ผมไม่เคยอาย เพราะผมไม่ได้ศึกษาปฏิบัติแข่งกับใคร ใครฉลาด ปัญญามากก็อนุโมทนา สาธุ ด้วย

ทำบาปอย่างนี้ค่อยน่าอาย สูญเสียความภูมิใจในตนเอง


แถ :b32: ไปเรื่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ส่วนเรื่องการปฏิบัติ ผมทำแล้วครับ

- เริ่มจากท่านพิจารณาอย่างไรนะถึงเห็นธรรมได้ ไปถามท่านเอากับสมาธิดีกว่า
- นึกถึงท่านสามเณร แล้วเข้าธาตุกรรมฐาน
- อธิษฐานนิมิต(ทำไว้ในใจถึงกายธาตุ หากสมาธิมั่นคงมีกำลังได้ที่มันพรึบขึ้นให้เห็นทันที(นับแต่อุปจาระฌาณขึ้นไป)) (แบบโลกียะ)
- เจริญจตุธาตุววัตถาน(เอาแค่รู้เข้าใจ) (แบบโลกียะ)
- นั่งดู พิจารณา (แบบโลกียะ)
- เห็นอนัตตาในกายธาตุ (แบบโลกียะ)
- หน่าย คลายกำหนัด (แบบโลกียะ)
- เสื่อม (แบบโลกียะ เพราะจิตยังไม่เดิน)

:b32: :b32: :b32:


เอาไงก็เอาเถอะขอรับ :b1:



อย่าคิดมากท่าน เราเฮฮากันไม่ซีเรียสนะครับ ผมยังจำคำที่ท่านสอนผมนะครับว่า อย่าบ้าธรรม ท่านสอนผมนี่อย่าบ้าธรรมมาก ผมก็พิจารณาได้ว่าเพราะรู้จริงจึงไม่ยึด ยึดเพราะไม่รู้แต่เพราะหลงต่างหาก ถูกมั้ยครับ ดังนั้นคุยให้ได้เหมือนคนปรกติจะดีกว่ามากใช่ปะครับ :b1: :b1: :b1:


คิกๆๆๆ ปล่อยให้ทำตามสบายก็ไม่เอาอีก

ถ้างั้นก็เอางี้ เขาเป็นอะไร แล้วจะไปต่อยังไง

นั่งสมาธิแล้วร้องไห้ ร้องจนตัวสั่น

นั่งสมาธิที่ปฏิบัติจริงๆครั้งนี้คือครั้งที่ 2 ที่เข้าถึง นั่งได้เกือบชั่วโมง ครั้งแรกรู้สึกลอยอยู่บนเมฆ รู้สึกดีมาก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้ลึกกว่ามากนานกว่ามากด้วยเป็นชั่วโมง ครั้งนี้นั่งระลึกจิต หรือเขาเรียกอะไรไม่รู้ ใจคิดถึงแม่คิดถึงพ่อมาก เหมือนจิตอยู่ในอดีต คิดถึงเขาเหมือนจากมานานมาก คิดถึงจับจิต คิดถึงน้ำตาไหลร้องไห้มือสั่นตัวสั่นตัวชา
ถามตัวเองว่าร้องทำไม ร้องไห้ไม่หยุด ตอนร้องรู้สึกตัว ถามตัวเองว่าร้องทำไม ตอบตัวเองไม่ได้ รู้แต่ว่าคิดถึงเขาที่จากมาไกล ไม่ได้คิดไปเองนะ ไม่ได้บ้าด้วย มีคนเป็นเหมือนเรา ใจนิ่งจิตนิ่ง แต่ทำไมใจกับจิตต้องคิดถึงเขาขนาดนั้น เราอยู่กันคนละโลกแล้ว ถึงจิตจะคิดถึงแค่ไหนก็ต้องละต้องวาง ใจคิดจะนั่งสมาธิแค่ให้มีสมาธิอ่านหนังสือ ทำไปทำมายาวเลย



555 ท่านก็มาแนวนี้อีกแระ :b12: :b12: :b12:

เอางี้นะทุกๆสิ่งที่ท่านเอามาโพสท์ ผมคิดว่าผมตอบประโยคเดียวก็น่าจะจบทุกกระทู้นะครับว่า


มันเป็นแค่อาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ ปรุงแต่งกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยตามปรกติของจิต ไม่มีอะไรเกินนั้น
.. ต่อให้ไปแยกว่านี่จิตปรุง จิตคิด ใจรู้ มันเกิดเพราะรู้นั่น เห็นนี่ โยกเยก เบา ขยาย นิ่ง แช่ ปรุงแต่ง ว่าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวงมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ คนที่เอฟเฟคเยอะก็เอาใจเข้ายึดครองอุปาทานเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิตให้วิตกบ้าง กังวลบ้าง ยึกหลงแบบไร้สาระบ้าง


- ทางแก้ของคนที่เอฟเฟคเยอะนะครับ

- รู้ (รู้แค่ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น)
- ปรกติ (รู้ว่ามันเป็นแค่ปรกติอาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ)
- วาง (ไม่ยึดเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิต ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาให้กำหนดรู้เท่านั้น แล้วก็ปล่อย ละ วาง)

:b1: :b1: :b1:



ตามอัธยาศัยขอรับ เอามาถามดูเฉยๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 20:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ


อย่างนี้ วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช้การเพ่งอารมณ์ ก็ไม่ถือเป็นกรรมฐานสิครับ
นึกคิดเอางเอง แล้วนั้งยิ้มนอนยิ้มว่าเป็นธรรมะ อาการมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ

ท่านว่าให้เลือกเอาอย่างเดียว อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปหยิบจับของใครมานึกคิดเอาว่าเป็น
ธรรมะหรือเปล่าครับ



แน่ะๆ มีย้อน มีเถียง คิกๆๆ :b32:

พูดยังงั้น ยิ่งทำให้เห็นชัดเข้าอีกว่า เลิฟ เจ. ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมจริงๆ เป็นนักธรรมข้างธรรมมาสจริงๆ ดังว่า ฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดหน่อยแล้วตนเองก็นำมาปะติดปะต่อกัน แล้วก็ยิ้มแก้มปริ :b12: ธรรมะๆๆๆ

เขียนอย่างบาลี “กัมมัฏฐาน” เขียนอย่างสันสกฤต “กรรมฐาน”

รูปแบบบาลีเห็นไม่บ่อย ส่วนมากจะเห็นจะเขียนรูปสันสกฤตกัน (แต่ “กรรม “ ในที่นี้ ก็แปลว่า การงาน กรรมฐาน = ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต เหมือนกัน)

“กัมม” แปลว่า การงาน (งาน ในที่นี้ หมายถึง งานทางด้านจิตใจ) "ฐาน" แปลว่า ที่ตั้ง รวมกัน เป็น “กัมมัฏฐาน” แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต

ถ้าเราเข้าใจถูกตามหลักของเขาอย่างนี้แล้ว จะเห็นมุมกว้างในขณะทำการทำงานทุกอย่าง ซักผ้า รีดผ้า อาบน้ำ แปรงฟัน เดิน วิ่งออกกำลังกาย ฯลฯ ถ้าควบคุมจิตใจให้อยู่กับสิ่งนั้นๆขณะนั้นๆ สิ่งนั้น เรียกว่า กัมมัฏฐาน ได้หมด

เมื่อมองให้แคบเข้ามา ขณะกำหนดลมหายใจเข้า ว่า พุท ว่าโธ ลมหายใจออก (ว่าในใจ) ลมเข้าที ลมออกที ลมเข้า-ลมออก ก็เป็น กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ท้องพอง ว่า พองหนอ ท้องยุบ ว่า ยุบหนอ คิด ว่าคิดหนอ รู้สึกปวดว่าปวดหนอ ฟุ้งซ่าน ว่า ฟุ้งซ่านหนอ ฯลฯ สิ่งนั้นๆ แต่ละขณะๆ ก็เรียกว่า กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิตได้

ได้หมดขอรับ ถ้าเข้าใจ :b8:


ไม่ได้เถียงครับ แค่ถาม
:b8:


แล้วเครียร์ยัง ถามต่ออีกได้นะ ถ้ายังไม่ชัดพอ :b1:


ตอบปัญหาโดยแยบคายตามที่รู้ที่เข้าใจ อย่างนี้ผมก็อยากถาม
หัวเราะคิก ๆ จิกกัด เหน็บแนมผู้ถาม อย่างนี้ผมก็ไม่อยากถามครับ



คิกๆๆๆ :b32: ถามเถอะคลายเครียด

คุณเลิฟ เจ. เพียงคุณพูด...ว่า ทำอนุสสติทั้ง ๑๐ อย่างเนี่ยนะ กรัชกายก็รู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับความจริง คงอาย อย่าอายขอรับ ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น จะอยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร


ทีแรกผมยังจำไม่ได้ว่าอนุสติ ๑๐ อย่างมีอะไรบ้างเปิดกูเกิลดูจึงรู้ว่ามีอะไรบ้าง ก็ดูแต่ละอย่าง ๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำสม่ำเสมอ จึงตอบไปอย่างนั้น ที่ทำก็ไม่ได้อยากมีอยากเป็นเอาไปทำอะไร ทำเพราะชอบ ทำเหมือนงานอดิเรก

เรื่องความโง่ ความหลง ความเห็นผิด ความมีปัญญาน้อย ผมไม่เคยอาย เพราะผมไม่ได้ศึกษาปฏิบัติแข่งกับใคร ใครฉลาด ปัญญามากก็อนุโมทนา สาธุ ด้วย

ทำบาปอย่างนี้ค่อยน่าอาย สูญเสียความภูมิใจในตนเอง


แถ :b32: ไปเรื่อย


ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2019, 22:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


คุณกรัชกายจะว่าผมแถ ก็ตามแต่คุณกรัชกายจะว่า แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นพูดตามความเป็นจริง ผมเป็นอย่างไรก็พูดไปตามนั้น ทั้งสิ่งที่ผมเป็นนั้นก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกดู ถูกฝึก ถูกอบรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2019, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


คุณกรัชกายจะว่าผมแถ ก็ตามแต่คุณกรัชกายจะว่า แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นพูดตามความเป็นจริง ผมเป็นอย่างไรก็พูดไปตามนั้น ทั้งสิ่งที่ผมเป็นนั้นก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกดู ถูกฝึก ถูกอบรม


อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง ไม่ยึดมั่นถือมั่น อืมม :b1: ไม่อุปาทาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2019, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


คุณกรัชกายจะว่าผมแถ ก็ตามแต่คุณกรัชกายจะว่า แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นพูดตามความเป็นจริง ผมเป็นอย่างไรก็พูดไปตามนั้น ทั้งสิ่งที่ผมเป็นนั้นก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกดู ถูกฝึก ถูกอบรม


อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง ไม่ยึดมั่นถือมั่น อืมม :b1: ไม่อุปาทาน
s

ผมเคยเห็นว่าไม่มีที่เกิดใดจะตั้งมั่นเที่ยงแท้ให้อาศัพพักพิงหลบลอดปลอดภัยได้ แล้วก็เห็นความดับ
ผมเคยเห็นทุกข์ที่ใจเป็นของปรุงแต่ง อุปาทานไปเองควรละแล้วก็เห็นความดับ จากนั้นมาผมรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา เพราะเห็นอย่างนั้นผมจึงบอกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น

แต่จะบอกว่าผมไม่มีอุปาทาน ผมปฏิเสธเพราะผมยังทุกข์อยู่แสดงว่าผมต้องยังมีอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ตัวตนผมนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้ารู้ เฝ้าดู เฝ้าฝึกอบรม เพื่อถอดถอนออุปาทาน เพื่อความดับทุกข์ นั่นคงเป็นเหตุให้ผมมีความชอบ ความสนใจ ในการเจริญอนุสติ ๑๐


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2019, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


คุณกรัชกายจะว่าผมแถ ก็ตามแต่คุณกรัชกายจะว่า แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นพูดตามความเป็นจริง ผมเป็นอย่างไรก็พูดไปตามนั้น ทั้งสิ่งที่ผมเป็นนั้นก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกดู ถูกฝึก ถูกอบรม


อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง ไม่ยึดมั่นถือมั่น อืมม :b1: ไม่อุปาทาน
s

ผมเคยเห็นว่าไม่มีที่เกิดใดจะตั้งมั่นเที่ยงแท้ให้อาศัพพักพิงหลบลอดปลอดภัยได้ แล้วก็เห็นความดับ
ผมเคยเห็นทุกข์ที่ใจเป็นของปรุงแต่ง อุปาทานไปเองควรละแล้วก็เห็นความดับ จากนั้นมาผมรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา เพราะเห็นอย่างนั้นผมจึงบอกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น

แต่จะบอกว่าผมไม่มีอุปาทาน ผมปฏิเสธเพราะผมยังทุกข์อยู่แสดงว่าผมต้องยังมีอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ตัวตนผมนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้ารู้ เฝ้าดู เฝ้าฝึกอบรม เพื่อถอดถอนออุปาทาน เพื่อความดับทุกข์ นั่นคงเป็นเหตุให้ผมมีความชอบ ความสนใจ ในการเจริญอนุสติ ๑๐



คริคริ

เจอพระอรหันต์ ซะแล้ว


ความไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างลอยๆ ไม่มีสภาวะใดรองรับ
ไม่ตรงคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ

จึงไม่รู้ว่า ที่ถุกต้องตามพระธรรม

ความไม่ยึดมั่นถือมั่น หมายถึง อาการที่เป็นกลาง ของ ตัตตรมัชฌัตตาเจตสิก
ในมหากริยาจิต ของพระอรหันต์
เนาะค๊ะ


smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2019, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ส่วนเรื่องการปฏิบัติ ผมทำแล้วครับ

- เริ่มจากท่านพิจารณาอย่างไรนะถึงเห็นธรรมได้ ไปถามท่านเอากับสมาธิดีกว่า
- นึกถึงท่านสามเณร แล้วเข้าธาตุกรรมฐาน
- อธิษฐานนิมิต(ทำไว้ในใจถึงกายธาตุ หากสมาธิมั่นคงมีกำลังได้ที่มันพรึบขึ้นให้เห็นทันที(นับแต่อุปจาระฌาณขึ้นไป)) (แบบโลกียะ)
- เจริญจตุธาตุววัตถาน(เอาแค่รู้เข้าใจ) (แบบโลกียะ)
- นั่งดู พิจารณา (แบบโลกียะ)
- เห็นอนัตตาในกายธาตุ (แบบโลกียะ)
- หน่าย คลายกำหนัด (แบบโลกียะ)
- เสื่อม (แบบโลกียะ เพราะจิตยังไม่เดิน)

:b32: :b32: :b32:


เอาไงก็เอาเถอะขอรับ :b1:



อย่าคิดมากท่าน เราเฮฮากันไม่ซีเรียสนะครับ ผมยังจำคำที่ท่านสอนผมนะครับว่า อย่าบ้าธรรม ท่านสอนผมนี่อย่าบ้าธรรมมาก ผมก็พิจารณาได้ว่าเพราะรู้จริงจึงไม่ยึด ยึดเพราะไม่รู้แต่เพราะหลงต่างหาก ถูกมั้ยครับ ดังนั้นคุยให้ได้เหมือนคนปรกติจะดีกว่ามากใช่ปะครับ :b1: :b1: :b1:


คิกๆๆๆ ปล่อยให้ทำตามสบายก็ไม่เอาอีก

ถ้างั้นก็เอางี้ เขาเป็นอะไร แล้วจะไปต่อยังไง

นั่งสมาธิแล้วร้องไห้ ร้องจนตัวสั่น

นั่งสมาธิที่ปฏิบัติจริงๆครั้งนี้คือครั้งที่ 2 ที่เข้าถึง นั่งได้เกือบชั่วโมง ครั้งแรกรู้สึกลอยอยู่บนเมฆ รู้สึกดีมาก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้ลึกกว่ามากนานกว่ามากด้วยเป็นชั่วโมง ครั้งนี้นั่งระลึกจิต หรือเขาเรียกอะไรไม่รู้ ใจคิดถึงแม่คิดถึงพ่อมาก เหมือนจิตอยู่ในอดีต คิดถึงเขาเหมือนจากมานานมาก คิดถึงจับจิต คิดถึงน้ำตาไหลร้องไห้มือสั่นตัวสั่นตัวชา
ถามตัวเองว่าร้องทำไม ร้องไห้ไม่หยุด ตอนร้องรู้สึกตัว ถามตัวเองว่าร้องทำไม ตอบตัวเองไม่ได้ รู้แต่ว่าคิดถึงเขาที่จากมาไกล ไม่ได้คิดไปเองนะ ไม่ได้บ้าด้วย มีคนเป็นเหมือนเรา ใจนิ่งจิตนิ่ง แต่ทำไมใจกับจิตต้องคิดถึงเขาขนาดนั้น เราอยู่กันคนละโลกแล้ว ถึงจิตจะคิดถึงแค่ไหนก็ต้องละต้องวาง ใจคิดจะนั่งสมาธิแค่ให้มีสมาธิอ่านหนังสือ ทำไปทำมายาวเลย



555 ท่านก็มาแนวนี้อีกแระ :b12: :b12: :b12:

เอางี้นะทุกๆสิ่งที่ท่านเอามาโพสท์ ผมคิดว่าผมตอบประโยคเดียวก็น่าจะจบทุกกระทู้นะครับว่า


มันเป็นแค่อาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ ปรุงแต่งกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยตามปรกติของจิต ไม่มีอะไรเกินนั้น
.. ต่อให้ไปแยกว่านี่จิตปรุง จิตคิด ใจรู้ มันเกิดเพราะรู้นั่น เห็นนี่ โยกเยก เบา ขยาย นิ่ง แช่ ปรุงแต่ง ว่าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวงมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ คนที่เอฟเฟคเยอะก็เอาใจเข้ายึดครองอุปาทานเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิตให้วิตกบ้าง กังวลบ้าง ยึกหลงแบบไร้สาระบ้าง


- ทางแก้ของคนที่เอฟเฟคเยอะนะครับ

- รู้ (รู้แค่ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น)
- ปรกติ (รู้ว่ามันเป็นแค่ปรกติอาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบ)
- วาง (ไม่ยึดเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิต ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาให้กำหนดรู้เท่านั้น แล้วก็ปล่อย ละ วาง)

:b1: :b1: :b1:



คริคริ

มีคนสอนดูจิต แต่ตัวเองดัน ไปดูเอาแต่ เข็มทิศสาวไต้
บอกว่า ดูจิต แต่ ไปมองแต่ เจตสิก
บอกว่ารู้ แต่ ไม่รู้มากไปกว่าวิญญาน
บอกว่าปกติ ก็ปกติคืออวิชชา
บอกว่าวาง ก็เรยวาง
ปริยัติ เพราะพระไตรปิฎก พระอภิธรรม จารึกไว้ ไม่ตรงกะสำนักตน
รู้แต่ว่า ปริยัติ ทำพวกตนเจ็บแสบ เหมือนสัตว์เดียรัจฉานที่รุมจิกกัดทิ่มแทงแผลเน่า พวกตน


กั๊กๆๆ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2019, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
แถ :b32: ไปเรื่อย


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


พ่ะน่ะ หมดอุปาทานอีก เอาเข้าไปเอา :b32:

ผึ้งบินหาเกษรมาทำน้ำหวาน


ถามเนื้อความให้ดีก่อนอย่าพึ่งสรุป ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น


อธิบายหน่อยสิ มันยังไง


อ้างคำพูด:
Love J.
ก็ตามแตจะว่า
พูดตามความเป็นจริง ยังไงก็ยังงั้น แค่ไหนก็แค่นั้น ทั้งความจริงนั้น ผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น


คุณกรัชกายจะว่าผมแถ ก็ตามแต่คุณกรัชกายจะว่า แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นพูดตามความเป็นจริง ผมเป็นอย่างไรก็พูดไปตามนั้น ทั้งสิ่งที่ผมเป็นนั้นก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งถูกรู้ ถูกดู ถูกฝึก ถูกอบรม


อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง ไม่ยึดมั่นถือมั่น อืมม :b1: ไม่อุปาทาน
s

ผมเคยเห็นว่าไม่มีที่เกิดใดจะตั้งมั่นเที่ยงแท้ให้อาศัพพักพิงหลบลอดปลอดภัยได้ แล้วก็เห็นความดับ
ผมเคยเห็นทุกข์ที่ใจเป็นของปรุงแต่ง อุปาทานไปเองควรละแล้วก็เห็นความดับ จากนั้นมาผมรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา เพราะเห็นอย่างนั้นผมจึงบอกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น

แต่จะบอกว่าผมไม่มีอุปาทาน ผมปฏิเสธเพราะผมยังทุกข์อยู่แสดงว่าผมต้องยังมีอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ตัวตนผมนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้ารู้ เฝ้าดู เฝ้าฝึกอบรม เพื่อถอดถอนออุปาทาน เพื่อความดับทุกข์ นั่นคงเป็นเหตุให้ผมมีความชอบ ความสนใจ ในการเจริญอนุสติ ๑๐



คริคริ

เจอพระอรหันต์ ซะแล้ว


ความไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างลอยๆ ไม่มีสภาวะใดรองรับ
ไม่ตรงคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ

จึงไม่รู้ว่า ที่ถุกต้องตามพระธรรม

ความไม่ยึดมั่นถือมั่น หมายถึง อาการที่เป็นกลาง ของ ตัตตรมัชฌัตตาเจตสิก
ในมหากริยาจิต ของพระอรหันต์
เนาะค๊ะ


smiley


โสดาบัน สกิทาคามี อาจใช่ พระอรหันต์คงไม่ใช่เพราะยังทุกข์อยู่
ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่นี้ ผมหมายถึง ไม่เห็นว่านี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา
พระอภิธรรม ว่าอย่างไรก็ตามนั้น ความดับนั้นผมไม่ได้ทำข้อสอบ
ตอบถูกแล้วจึงเห็น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร