วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2008, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

บุพกรรมของคน ๓ คน
: พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับต่อไปนี้อาตมภาพจะได้นำพระสูตรเนื่องด้วยกฎของกรรมมาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีบรรดาประชาชนทั้งหลายสงสัยกฎของกรรมเป็นอันมาก มักจะมีบุคคลทั้งหลายมาถามว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไร ทำแต่ความดีทุกอย่าง บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง

หมายถึง บุญกุศลก็ทำ พระธรรมเทศนาก็ฟัง และการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำ เมื่อทำแล้วทุกอย่างในด้านของความดีที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงสรรเสริญ แต่ก็กลับถูกกรรมชั่วสนองให้เกิดทุกข์อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยว่าการทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่มีผล

เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน จึงได้ขอนำพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้มาให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้สดับ สำหรับตอนนี้ขอนำเรื่องของคน ๓ คน ที่มีกรรมตามสนองเป็นกรรมจากชาติก่อน มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภคน ๓ คน จึงได้แสดงพระธรรมเทศนานี้ความว่า น อนฺตลิกฺเข สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น ความมีอยู่ว่า

กรรมของกา

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยับยั้งสำราญอิริยาบทอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันมาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาตอันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง เมื่อชาวบ้านรับบาตรของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน คือเขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร เมื่อถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว สำหรับยาคูท่านแปลว่าข้าวต้ม ของเคี้ยวก็คงเป็นกับข้าวเป็นต้น เมื่อถวายของท่านแล้วก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จเพื่อจะฟังธรรม

ในขณะนั้นเองปรากฏว่าเปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง สำหรับหญิงคนนั้นเป็นผู้หุงข้าวและปรุงกับข้าว ท่านบอกว่า สูปะและพยัญชนะ (แกงและกับ) อยู่ที่เตาไฟ ไฟนั้นได้ลุกขึ้นติดชายคา เสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น สำหรับเสวียนเขาทำกลมๆ ทำด้วยหญ้า สำหรับรองหม้อข้าว ถูกลมเปลวไฟ ลมพัดมาเสวียนหญ้าอันนั้นก็ปลิวขึ้นไปในอากาศ

ในขณะนั้นเองปรากฏว่ามีกาตัวหนึ่งบินมาในอากาศ เสวียนหญ้าอันนั้นก็สอดเข้าไปในคอกาพอดี หมายความว่าเวลาที่กาบินมาเสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป กาตัวนั้นก็บินมาเอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้านั้นพอดี เป็นอันว่าเสวียนหญ้านั้นก็ติดคอกา เกิดไฟไหม้ขน ไฟไหม้ตัว กาตัวนั้นก็ทนความร้อนไม่ไหวก็ตกลงกลางบ้านบินต่อไปไม่ได้ ก็เป็นอันว่าต้องตายกัน กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ ไฟลุกติดขึ้นจากชายคา เสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ลมพัดลอยขึ้นไป กาบินมาเอาคอสวมเข้าไปพอดี ไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย

บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเห็นเหตุนั้น จึงได้คิดว่า เออ.....นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน กรรมหนักแท้ๆ ท่านผู้มีอายุท่านคุยกันว่า ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นแก่กา ตามธรรมดากาบินมาในอากาศเฉยๆ เสวียนหญ้าถูกไฟลุกลอยขึ้นไปบนอากาศ เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ ความเร็วของกาเอาคอคล้องเสวียนหญ้าเข้าให้ แล้วก็ตกลงมาตาย

เหตุนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เราไม่สามารถพยากรณ์กันได้ เว้นแต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็คงไม่มีใครสามารถจะรู้กฎของกรรมนี้ได้ จึงได้ปรึกษาหารือกันต่อไปว่า เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะต้องทูลถามเรื่องนี้ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ โมทนาแก่ชาวบ้านแล้วก็พากันลาชาวบ้านไป

กรรมของภรรยานายเรือ

มาอีกตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่งโดยสารเรือไปเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ในขณะนั้นเรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางมหาสมุทร ขณะที่เรือวิ่งๆ ไปแล้วมันก็หยุด ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องดูว่าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเหตุใด แต่ว่าสมัยนั้นเป็นสมัยเรือใบ ลมก็มีใบก็กาง แต่ว่าเรือหยุด

บรรดามนุษย์ทั้งหลายคือชาวเรือจึงพากันคิดกันว่า คนกาลกิณีจะพึงมีในเรือนี้ในสมัยนั้นเขาคิดกันแบบนี้ ถ้าอะไรมันไม่ดีเกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย แสดงว่ามีคนกาลกิณีเกิดขึ้น ต่างคนต่างทำสลากแจกกันให้คนทุกคนจับสลาก สลากนั้นเป็นสลากเสี่ยงทาย เมื่อทุกคนจับกันแล้ว ภรรยาของนายเรือตั้งอยู่ในปฐมวัย

แสดงว่าเป็นหญิงสาว นายเรือมีภรรยาสาว กำลังน่ารักเห็นจะเป็นเด็กสาวรุ่นๆ เมื่อสลากถึงแก่นาง หมายความว่านางได้จับฉลากแล้ว พวกมนุษย์ก็พากันว่า จงแจกสลากอีก หมายความว่าเอาสลากมาแจกกันอีก แล้วจึงแจกกันถึง ๓ ครั้ง สลากก็ถึงแก่นางนั้นคนเดียวถึง ๓ ครั้ง

เป็นอันว่าเขาคงจะเสี่ยงทายเขียนไว้ในสลากว่า คนไหนเป็นกาลกิณีขอสลากนี้จงถึงแก่บุคคลนั้น แล้วก็เขียนไว้แล้วก็ม้วนถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณีนั้นก็ชื่อว่าเหตุร้ายนี้เกิดจากคนนั้น เป็นคำอธิษฐานของบุคคลทั้งหลาย

แต่ทว่าภรรยาของท่านนายเรือเป็นหญิงน่ารัก เป็นหญิงวัยรุ่น จับสลากทั้ง ๓ วาระก็ถูกสลากใบนั้นทุกครั้ง บรรดาพวกที่ไปในเรือมองดูหน้านายเรือเพื่อจะปรารภว่า นายนี่จะว่าอย่างไรกันภรรยาของท่านเห็นจะเป็นกาลกิณีแน่ ท่านนายเรือจึงกล่าว ข้าพเจ้าไม่อาจให้มหาชนฉิบหายได้ ทั้งนี้ก็หมายความว่า เมื่อเขาหารือว่าภรรยาของท่านเป็นคนกาลกิณีแน่

เพราะการจับสลากก็ไม่มีอคติ การจับก็ไม่ได้บอกให้จับที่หลัง ตามธรรมดานายเรือกับภรรยาของนายเรือจับก่อน แต่ทว่าเจ้าหล่อนก็จับถูกสลากใบที่เป็นกาลกิณีทุกที บรรดาลูกเรือทั้งหลายจึงปรึกษานายว่า ทำอย่างไรกันแน่นาย จะกล่าวโทษก็เกรงว่าเจ้านายจะโกรธ ถ้าจะไม่พูดอะไรเลย ก็เกรงว่าอันตรายจะพึงมี จึงหันเข้าไปปรึกษานายว่าจะทำอย่างไร

สำหรับนายท่านก็ดีท่านรักชีวิตคนมากยิ่งกว่ารักภรรยาของท่าน ท่านจึงกล่าวว่าเราไม่ต้องการให้คนทั้งหลายเหล่านี้ต้องย่อยยับไปด้วย ฉะนั้นเพื่อประโยชน์แก่นางนี้ พวกท่านจงทิ้งเขาในน้ำเถิด หมายความว่า ถ้าเขาจะรักเมียเพื่อประโยชน์กับนางก็ปล่อยให้คนอื่นตาย แต่ถ้ารักคนมากกว่าก็ปล่อยให้เมียตาย

เขาจึงบอกว่า เราจะยอมให้คนอื่นฉิบหายไม่ได้เพื่อประโยชน์แก่นางคนเดียว จึงได้บอกให้คนทั้งหลายเหล่านั้นจับโยนลงไปในน้ำ นางนั้นเมื่อมนุษย์จะจับโยนทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัยก็ร้องขอความช่วยเหลือ ร้องขอความเมตตา นายเรือได้ยินสียงร้องจึงกล่าวว่า น้องรักประโยชน์อะไรด้วยอาภรณ์ของนางนั้น ถ้าหากว่าเราพอใจในเธอความฉิบหายก็จะเกิดกับบุคคลทั้งหลายเปล่าๆ ซึ่งคนทั้งหลายมีชีวิตยิ่งกว่าเธอ ชีวิตมากกว่าเธอ เธอคนเดียวจงสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่

เป็นอันว่านายเรือนี้มีน้ำใจเด็ดเดียว ไม่เห็นกับความสาว ไม่เห็นกับความสวยของภรรยาที่น่ารัก ฉะนั้นจึงกล่าวว่าพวกท่านจงเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับของนางให้หมด ให้นางนุ้งผ้าเก่าผืนหนึ่ง แล้วจงทิ้งไปในน้ำนั้น เป็นอันว่าเขาจะทิ้งน้ำ เขาก็บอกให้บรรดาคนทั้งหลายเปลื้องเครื่องประดับของนางที่แต่งมาสวยสดงดงาม

เป็นธรรมดาภรรยาของนายเรือก็ต้องแต่งตัวสวยมาก เพราะมีทุนมาก เขาบอกต่อไปว่า ข้าพเจ้าจะไม่มองดูนาง เป็นอันว่านายเรือเองก็ใจอ่อนเหมือนกัน ถ้าขืนมองดูเธอก็อาจจะใจอ่อน อาจจะยับยั้งไม่ให้จับเธอโยนทิ้งน้ำ แต่ความจริงคนเรามาด้วยกันดีๆ จู่ๆ ก็จับโยนทิ้งน้ำให้ถึงแก่ความตาย ก็ต้องคิด

แต่ว่าเขาก็มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว เห็นประโยชน์ส่วนมากมากกว่าประโยชน์ส่วนน้อย ที่จะพึงรักษาภรรยาไว้แต่ผู้เดียว แต่คนอื่นจะต้องตายเขาไม่ทำ น้ำใจแบบนี้น่าจะหาเอามาเป็นผู้นำประเทศชาติ ผู้นำจังหวัด ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำตำบล ถ้าพวกเราได้คนแบบนี้ประเทศชาติจะมีความสุข เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ดูนางนั้นผู้ลอยอยู่เหนือกระแสน้ำได้

เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออม หมายความว่าที่ใส่น้ำ เอาทรายใส่ให้เต็มผูกไว้ที่คอ โยนนางลงไปเสียในมหาสมุทร ทั้งนี้ก็เพราะว่าข้าพเจ้าจะได้ไม่เห็นเขาเมื่อคราวที่เขาลอยน้ำขอความช่วยเหลือ เพราะเกรงว่าใจจะอ่อน บรรดามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้กระทำตามนั้นแล้ว เวลานั้นปรากฏว่าปลาและเต่าก็รุมกินนางนั้นที่ตกไปในน้ำ เวลานี้คงเป็นเหยื่อของฉลาม เป็นต้น

ในเมื่อภิกษุทั้งหลายได้ฟังเรื่องเหล่านั้นแล้วก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ คนละพวกกับพวกก่อน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ความจริงภรรยาของนายเรือก็อยู่ดีๆ ไม่ได้ทำความผิด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกอย่างตามหน้าที่ของแม่บ้าน แต่ทว่าจู่ๆ เขาก็หาว่าเธอเป็นกาลกิณี เจ้ามือมันก็แปลกมันก็ดันไปหยิบเอาสลากขึ้นมาได้ สลากนั้นเขามีความหมายว่าคนที่ไม่ดีเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ถือสลากนี้

แต่บังเอิญยอดนารีเธอก็จับได้ถึง ๓ ครั้ง ถ้าคิดว่าคนอื่นใจร้ายมันก็ไม่ถูก ถ้าคิดว่าคนอื่นใจดีพิจารณาถูกตามควร ก็บังเอิญเป็นเคราะห์กรรมไปจับถูกสลากนั้นเข้ามันก็ไม่ควรเหมือนกันเป็นอันว่าการกระทำของบุคคลทั้งหลาย (ชาวเรือนั้น) จะผิดหรือจะถูก นางจะเป็นคนกาลกิณีจริงหรือไม่จริง บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นพากันคิดว่าเรารู้ไม่ได้ นอกจากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครรู้

ฉะนั้นเมื่อพวกเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจะทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันว่ารายที่ ๒ ตายแล้วหาความผิดมิได้

กรรมของภิกษุ ๗ รูป

ที่นี้มาอีกตอนหนึ่งในพระสูตรเดียวกัน ท่านกล่าวว่า ภิกษุ ๗ รูปอีกพวกหนึ่ง พวกที่แล้วๆ มาสองพวกไม่บอกจำนวนพระ ท่านบอกภิกษุอีกพวกหนึ่งมีจำนวน ๗ รูป ไปจากปัจจันตชนบทเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า ปัจจันตชนบท หมายถึง ประเทศชายแดน อยู่ในป่าไกลความเจริญ ในเวลาเย็นท่านเข้าไปในวัดแห่งหนึ่งเพื่อจะขออาศัยที่พัก

จึงถามว่าที่พักมีไหมขอรับ ปรากฎว่าที่วัดแห่งนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งมีเตียงอยู่ ๗ เตียงพอดี พระท่านก็มา ๗ องค์ คล้ายๆ กับคนเขาตั้งท่าคอยเข้าไว้ เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแลเห็นถ้ำนั้นแล้ว และก็เข้าไปนั่งนอนบนเตียงนั้น ในตอนกลางคืนแผ่นหินเรือนยอด เรือนยอดคือเรือนยอดแหลมเรือนใหญ่ๆ ได้กลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำไว้

บรรดาภิกษุทั้งหลายเจ้าของถิ่นจึงกล่าวว่า พวกเราให้ถ้ำแก่ภิกษุอาคันตุกะ หมายความว่า เราให้พระที่เดินทางมานอนในถ้ำนี้ แต่ทว่าก้อนหินก้อนใหญ่นี้มันมาปิดประตูเสียแล้ว พวกเราจะนำแผ่นหินนี้ออก จึงได้พากันประชุมพวกชาวบ้านบ้างพระบ้าง ภิกษุสามเณรทั้งหลายบ้าง จากบ้านรวมทั้งหมดด้วยกัน ๗ ตำบล เพราะก้อนหินใหญ่มาก ใช้ความพยายามอยู่เพื่อจะให้หินนั้นออก หินมันก็ไม่ออก เพราะหินก้อนมันใหญ่ จะทำอย่างไรๆ มันก็ไม่ขยับเขยื้อนออกไป ใช้คนถึง ๗ ตำบล

แม้บรรดาพวกภิกษุที่เข้าไปอยู่ภายใน บรรดาภิกษุที่อาคันตุกะทั้งหลายที่อยู่ข้างในก็พยายามเหมือนกัน พยายามเพื่อจะผลักหินให้พ้นออกไป แต่ก็ไม่อาจที่จะให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนออกไปได้ตลอดเวลา ๗ วัน ชาวบ้าน ๗ ตำบล พระด้วยเณรด้วยและพระที่อยู่ภายในอีก ๗ องค์ ดันกันไปดันกันมาเพื่อที่จะให้หินก้อนนั้นออก มันก็ไม่ยอมออก เป็นอันว่าพระทั้งหมดข้างในอดข้าว ๗ วัน

พระข้างนอกกับชาวบ้านก็ทำงานครบ ๗ วัน บรรดาพระอาคันตุกะทั้งหลายที่อยู่ในนั้นก็เกิดความหิวแผดเผาด้วย ๗ วัน การไม่ได้บริโภคอาหาร ๗ วันก็ต้องคิดได้เสวยทุกขเวทนาอย่างหนัก เป็นอันว่าในวันที่ ๗ หินก็กลิ้งออกไปเองอย่างแปลกประหลาด ไม่มีใครเขาดัน เวลาดันหินไม่ไป แต่เวลาครบ ๗ วัน ไม่มีใครเขาผลักเขาดันหินไปเอง บรรดาภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นออกมาแล้ว ต่างคนต่างคิดว่านี้เป็นบาปของพวกเรา บาปประเภทนี้มันปรากฏขึ้นได้อย่างไรในชาตินี้ กรรมใหญ่เราก็ไม่ได้ทำอะไร เมื่ออยู่กับพ่อกับแม่อยู่กับบิดามารดาก็มีความรักเคารพบิดามารดาทุกอย่าง จะมีการดื้อการด้านบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ พอสมควร แต่ทำไมเราจึงต้องมารับบาปกรรมขนาดอดข้าวอยู่ถึง ๗ วัน

อดเฉยๆ ก็ไม่เป็นไรต้องออกแรงดันหินด้วย หินมันก็ไม่ไป แต่ว่าเมื่อครบ ๗ วันแล้ว ไม่มีใครทำอะไรกับหิน พระข้างนอกคนข้างนอกก็คิดว่าพระ ๗ องค์นั้นตายแน่ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะทำอะไร เขาก็ไม่ทำกัน พระในถ้ำ ๗ องค์นั้นก็หมดแรงที่จะดันหิน หินนั้นก็เปิดไปกลิ้งไปเอง ท่านคิดว่าพวกเราบาปหนัก แต่กรรมประเภทนี้นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครสามารถรู้ได้หากว่าเราจะได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรจะต้องทูลถามเรื่องนี้พระศาสดาทรงพยากรณ์


บรรดาพวกพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง หมายความว่าก่อนจะถึงเดินมารวมกันได้เองอย่างไมมีการนัดหมาย ก็เลยร่วมกันเป็นคณะเดียวกันเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกระทำพุทธปฏิสันถารทักทายปราศรัยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ทูลถามเหตุที่ตนเห็นมา และที่ตนได้เสวยมาแล้วตามลำดับ หมายความว่าพระสองพวกแรกถามเหตุของกา เหตุของภรรยานายเรือ บรรดาพระพวกหลังก็ถามเหตุที่ตนต้องอดข้าวถึง ๗ วัน เพราะอาศัยหินเจ้ากรรมมันทำเหตุ

ลำดับนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ทรงพยากรณ์กับบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กานั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั้นแหละโดยแท้ หมายความว่า การที่กาบินมาในอากาศที่ต้องตายเพราะเอาคอสวมเสวียนหญ้าที่มีไฟลุกโชนแล้วก็ถูกไฟไหม้ เพราะอาศัยกรรมที่ตนทำไว้แล้วในชาติก่อน หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

กรรมเก่าของกา

ในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสีเขาพยายามฝึกโคคือวัวของเขาสำหรับไถนา สำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก มันเป็นวัวดื้อวัวด้าน ไม่สามารถจะฝึกได้ เพราะว่าวัวของเขาตัวนี้เดินไปได้หน่อยหนึ่งก็นอนเสีย ให้มันทำงาน ใช้ไถนา ใช้ลากเกวียน ใช้ลากล้อ มันไปได้หน่อยหนึ่งมันก็นอน เจ้าของเขาก็ทุบตี ไล่ให้มันลุกเดินมันก็เดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วมันก็นอนเหมือนเดิม ชาวนานั้นโกรธ

พยายามฝึกแล้วฝึกเล่ามันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงได้บอกกับวัวว่า ดีละเจ้าวัวดื้อ บัดนี้เจ้านอนที่ตรงนี้แล้วจงนอนสบายต่อไป คือไม่ต้องลุกจากที่นี้แล้ว ฉะนั้นเขาจึงได้นำท่อนฟืนบ้าง ฟางบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาฟางมาทำเสวียนพันคอโคนั้นก่อนที่จะจุดไฟ เขาเอาฟืนท่อนเล็กๆ ทับลงไปที่ตัวโคก่อน แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอโค แล้วก็ทับไปที่คอโค แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้นคลอกโคตัวนั้นถึงแก่ความตาย

บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ทราบกรรมที่กาตัวนั้นพึงต้องถูกกระทำ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลายกรรมอันเป็นบาปนั้น อันกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้นได้เกิดขึ้นแล้วในกำเนิดแห่งกา ๗ ครั้ง หมายความว่าเผาโคครั้งเดียวแต่เขาต้องเกิดเป็นกา ๗ ครั้ง แล้วก็ถูกเผาแบบนี้โดยไมมีเจตนาขงใครถึง ๗ ครั้งด้วยกัน และก็ตายในอากาศแบบนี้เหมือนกัน ด้วยผลของกรรมที่ปรากฏในกาลก่อน

เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์เรื่องของกาที่ถูกเสวียนไฟคล้องคอตายแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นที่พบภรรยาของนายเรือที่ถูกจับถ่วงน้ำ จึงได้กราบทูลผลของกรรมแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หญิงภรรยานายเรือนั้นเพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าข้า จึงได้กลายเป็นคนกาลกิณี

เรือวิ่งมาเฉยๆ แล้วก็หยุด ไม่สามารถจะทำอะไรให้เรือเคลื่อนไปได้ทั้งๆ ที่ใบก็กางอยู่และลมก็มี เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความสงสัยว่าจะมีคนกาลกิณีเกิดขึ้นในเรือ แล้วจึงได้จับสลากกัน สลากสำหรับคนกาลกิณีมีใบเดียว เขาทำครบทุกคน เม่อจับแล้วเธอก็ถูกสลากนั้นถึง ๓ วาระ ในที่สุดก็จำจะต้องถูกจับถ่วงน้ำถึงแก่ความตาย

เมื่อบรรดาภิกษุทั้งหลาย กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงนำมาซึ่งอดีตกรรมความมีอยู่ว่า

กรรมเก่าภรรยานายเรือ

ในอดีตกาลนานมาแล้ว หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของคหบดีคนหนึ่งในกรุงพารารสี ได้ทำกิจทุกอย่าง มีการตักน้ำซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น ด้วยมือของตนเอง หมายความว่าเป็นคนขยัน นางเองมีสุนัขตัวหนึ่ง สุนัขของนางตัวนั้นมีความจงรักภักดีต่อนางมาก นั่งแลดูนางนั้นทำกิจทุกอย่างในเรือน หมายความว่าไม่ว่านางจะทำอะไรสุนัขตัวนั้นก็มองอยู่ตลอดเวลา มันมีความจงรักภักดี

เมื่อนางนำเอาข้าวปลาอาหารไปนาก็ดี นำไปส่งสามีเวลาทำนา เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ไปด้วย เวลานางจะไปป่าต้องการจะหาวัตถุต่างๆ มีฟืนและผักเป็นต้น เจ้าสุนัขตัวนั้นก็จะไปกับเธอเสมอๆ เป็นอันว่าสุนัขมีความจงรักภักดีในเธอ ถือว่าเปนนายที่น่ารัก เป็นนายที่มีเมตตาของมัน บรรดาหนุ่มทั้งหลายเห็นว่าเวลานางไปไหนก็มีสุนัขตามไปด้วย ก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พวกเราเว้ยมาดูพรานสุนัขผู้หญิง นางพรานสุนัขมาแล้วจะไปทางไหนก็ตามย่อมนำสุนัขไปเสมอๆ วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ

คำว่าพรานสุนัขหมายความว่า พรานเขามีสุนัขเป็นเครื่องมือเวลาจะไปไล่เนื้อ ก็ให้สุนัขไล่กัด ไล่เนื้อเข้ามา เมื่อสุนัขต้อนเนื้อเข้ามาทางพรานก็ยิง หรือว่าเนื้อไปทางสุนัข สุนัขก็กัด แกก็ล้อเลียนว่าวันนี้จะกินข้าวกับเนื้อ เพราะว่านางพรานสุนัขจะนำเนื้อมาขาย หรือนำเนื้อมาแจกกับพวกเรา จะไปทางไหนก็ตามเจ้าหนุ่มๆ ทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ล้อมันก็เลียน นางก็เกิดความขวยเขินละอายต่อคำพูดของบรรดาพวกชนทั้งหลายเหล่านั้น

ตอนนี้มาถึงกรรม ด้วยความอาย ลืมนึกไปว่าสุนัขตัวนั้นเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์ เราจะตี เราจะด่า เราจะลงโทษมันประการใดก็ดี สำหรับสุนัขประเดี๋ยวมันก็เดินเข้ามาประจบ ประแจง ในภาษิตบางส่วนหรือคนบางท่านกล่าวว่า ขึ้นชื่อความกตัญญูรู้คุณ บางทีสุนัขจะดีกว่าคนหลายคน เพราะคนหลายคนที่เราบำรุงบำเรอด้วยดีเขาก็มีความรัก ถ้าผิดใจนิดเดียวเขาอาจฆ่าเราได้

นางอายแก่ใจแบบนั้นแล้วแทนที่จะคิดเป็นอย่างอื่นว่า สุนัขตัวนี้มีความจงรักภักดีแก่ตน กลับประหารสุนัขตัวนั้นเสีย คำว่าประหารหมายความว่า ขว้างบ้าง ตีบ้าง ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง ตีด้วยท่อนไม้บ้าง เป็นต้น ให้สุนัขนั้นหลีกไป สุนัขไปแล้วมันก็ไม่รู้ว่านายของมันไล่ทุบไล่ตีมันด้วยความผิดอะไร

ต่อมาท่านบอกว่า ได้ยินว่าสุนัขตัวนั้นเคยเป็นสามีของนางในชาติก่อน ที่สุนัขนี้ติดตามมีความจงรักภักดีก็ต้องคิดเหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระภัควันต์กล่าวว่า สุนัขตัวนั้นได้เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนๆ มาถึง ๓ ชาติด้วยกัน เพราะฉะนั้นมันจึงไม่อาจที่จะตัดความรักในนางได้ เมื่อนางจะขว้าง นางจะตี นางจะไล่ ประการใดก็ตามที เมื่อนางหยุดนางไปไหนมันก็ตามไปด้วยความจงรักภักดี

ต่อไปตามพระบาลีท่านกล่าวว่า จริงอยู่ใครๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นเมียหรือเป็นผัวกัน ศัพท์ภาษาเพราะหน่อยเขาเรียกเป็นสามีภรรยา แต่ว่าบาลีท่านบอกชัดว่าไม่เคยเป็นผัวเป็นเมียกัน ไม่มี หมายความว่าในอัตตภาพต่างๆ ที่เราเกิดมานี้มันใช้เวลานานมาก ใช้เวลานับเป็นแสนๆ กัป แต่ละกัปๆ บางที่เราอาจจะเกิดตั้ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง วนกันไปวนกันมา

ท่านจึงกล่าวว่า ผู้หญิงหรือผู้ชายที่เกิดมาในชาตินี้ทั้งหมด ที่ไม่เคยเป็นสามีไม่เคยเป็นภรรยากันนั้นไม่มี อาจจะเคยสัมผัสผ่านกันมาในบางวาระครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง หมายความว่าในชาติหนึ่งหรือสองชาติสามชาติก็ได้ เพราะการเกิดของเราเป็นล้านๆ ครั้งไม่ใช่เป็นแสนๆ ครั้ง นับเป็นร้อยๆ ล้านครั้งก็ได้ เพราะการเกิดนับไม่ถ้วน เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดา เป็นพรหมบ้าง เป็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง โดยเฉพาะที่มาเกิดเป็นคนก็นับไม่ถ้วน

ท่านกล่าวว่าถึงกระนั้นความรักมีประมาณยิ่ง หมายความว่าความรักที่มีความชิดเชื้อมาในกาลก่อน เคยเป็นสามีภรรยากันในกาลก่อน มันมีประมาณมากอย่างยิ่ง ท่านกล่าวต่อไปว่า ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันในอัตภาพที่ไม่ไกล หมายความว่าบางคนในชาตินี้เกิดต่างพวกต่างพ้อง ต่างพี่ต่างน้อง ต่างบิดามารดา แต่ว่าในกาลก่อนเคยเป็นญาติกันมา ก็เกิดความรักกันได้ พอได้ยินชื่อก็นึกรักคนนั้นขึ้นมาทันที่ เหมือนกับว่าเป็นพี่เป็นน้อง อย่างนี้เป็นต้น

เรื่องนี้ก็ปรากฏแก่บุคคลหลายคน เพราะว่าบางที่เราไม่เคยเห็นหน้าเขา แต่ว่าเคยได้ยินชื่อว่าคนนั้นคนนี้เราก็เกิดความพอใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เพราะเหตุนั้น สุนัขตัวนั้นจึงไม่อาจที่จะละนางได้ ถึงนางจะทุบจะตีเป็นประการใดก็ตาม เขาก็ไม่โกรธนาง แสดงความจงรักภักดีตลอด

ปัจจัยอันนี้เองบรรดาท่านทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เป็นเหตุให้นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อสามีทีนาแล้ว นางจึงเอาเชือกใส่ไว้ในชายพกแล้ว จึงเดินทางไป สุนัขนั้นเห็นนายที่เป็นที่รักของมัน คือภรรยาในอัตภาพชาติก่อนๆ ไปแล้ว มันก็ไปกับนางเหมือนกัน ตามนางไป ไปไหนมันก็ตามไปด้วย

นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว ถือเอากระออมเปล่า วันนี้วางแผนฆ่าสุนัข เวลาที่จะเอาข้าวไปให้สามีก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อเอาข้าวไปให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่าไปสู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงแม่น้ำแล้ว นางก็ตักทรายใส่กระออมจนเต็ม จะได้มีน้ำหนักมากๆ แล้วจึงได้ให้สัญญาณเรียกสุนัขตัวซื่อสัตย์เข้ามา คืดสามีเก่าของนางให้มายืนอยู่ในที่ใกล้ๆ เจ้าสุนัขก็ดีใจว่าวันนี้เจ้านายใจดี อุตสาห์เรียกเข้ามา มันจึงข้ามาหาเพราะความดีใจ

แล้วนางจึงได้กล่าวว่า นี่เธอ มันนานแล้สนะที่เร่ได้รับการเยาะเย้ยจากพวกชาวบ้านต่างๆ ก็เพราะตัวเจ้าเป็นสำคัญ ในวันนี้เจ้ากับเราเห็นจะต้องจากกันเสียแล้ว ความจริงนางพูดเจ้าสุนัขมันไม่รู้ มันดีใจที่นายพูดกับมัน แต่มันไม่รู้ว่าพูดว่าอย่างไร สุนัขมันเข้าใจเพียงสัญญาณเรียกมันมา จะให้มันกินมันก็กิน มันจำสัญญาณบางอย่างเท่านั้น

เจ้าสุนัขกระดิกหาง ดีใจหูรี หมอบอยู่ข้างๆ นาง นางจึงได้จับเจ้าสุนัขตัวนั้น จับก็ไม่ต้องจับแรง ท่านบอกใช้มือจับอย่างมั่นที่คอแล้ว หมายถึงลูบๆ คลำๆ จับมัน มันก็ยอมให้จับแต่โดยดี จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมที่ใส่ทรายจนเต็ม แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข เมื่อทำเสร็จจะทำอย่างไรเจ้าสุนัขมันก็ยอม เพราะมันมีความรักจึงได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ กระออมมันหนัก เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ตามกระออมลงน้ำไปด้วย เพราะเชือกผูกคอมันอยู่ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ถึงกาละคือตายในที่นั้นเอง

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า เพราะอาศัยกรรมเพียงเท่านี้ นางนั้นต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรมฆ่าสัตว์ และเพราะอาศัยผลของกรรมนั้น คำว่าวิบากแปลว่าผลด้วยผลของกรรมที่เหลือ คือเศษกรรมที่เหลืออันนั้นที่นางต้องตายเพราะเหตุที่เขาถ่วงน้ำแบบนี้สิ้นมาแล้ว ๑๐๐ ครั้ง คือร้อยอัตภาพ

นี่เป็นกฎของกรรมที่เรามองไม่เห็น บรรดาพุทธบริษัทฉะนั้นเกิดมาในชาตินี้ ถ้าบังเอิญจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นปัจจัยให้เรามีทุกข์ ทั้งๆ ที่เราพิจารณาแล้วว่า กรรมความชั่วประเภทนี้ไม่มีสำหรับเรา ถ้าเรามีความสงสัยอย่างนั้น จงคิดถึงเรื่องกากับเรื่องหญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือนี้ก็แล้วกัน

ว่ากรรมเก่าที่เราทำมาแล้วเรามองไม่เห็น ชาตินี้ถึงแม้เราจะทำความดีเพียงใดก็ตาม ก็เป็นเรื่องยากที่เหล่าเราทั้งหลายจะทราบว่ากรรมทั้งหลายเหล่านั้นมันมาเพราะอะไร ทั้งนี้ต้องอาศัยท่านผู้ได้ฌานสมาบัติต้องเป็นโลกุตตรฌาน จึงจะสามารถทราบเหตุการณ์นี้ได้โดยแท้ ถ้าเป็นฌานโลกีย์ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะอุปทานมันกิน

เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์กฏของกรรมแก่บรรดาภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ๗ รูปจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า

ที่พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องติดอยู่ในถ้ำถึง ๗ วันเพราะอาศัยหินใหญ่นั้น ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น กลิ้งทับอยู่หน้าถ้ำ คน ๗ ตำบลก็มีอยู่ไม่น้อย ก็ไม่สามารถจะทำให้หินให้เคลื่อนไปได้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ช่วยกันดัน หินก็ไม่เขยื้อน ต้องอดอาหารทรมานร่างกายอยู่ถึง ๗ วันแล้วหินนั้นก็เคลื่อนไปเฉยๆ เป็นเรื่องอัศจรรย์ ขอองค์สมเด็จพระพิชิตมารพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดมีพระมหากรุณาธิคุณสงเคราะห์บอกกรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระพุทธเจ้าข้า

กรรมเก่าของภิกษุ ๗ รูป

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้นมีอยู่ เราจะกล่าวให้ฟัง ในอดีตกาลมีเด็กเลี้ยงโค ๗ คน เป็นชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ ๗ วันในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง หมายความว่าไปเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ บ้านไม่ไกลมากนัก ไปครั้งละ ๗ วันก็กลับ

วันหนึ่งไปเลี้ยงโคแล้ว เวลากลับมาจากเลี้ยงโคมาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง เจอะเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งจึงได้พากันไล่ตาม เหี้ยหนีเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง เหี้ยมันกลัวตาย และจอมปลวกแห่งนั้นก็มีช่องอยู่ ๗ ช่อง เหี้ยตัวนั้นเขาไปในช่องใดช่องหนึ่งแล้ว ก็อาจจะออกช่องใดช่องหนึ่งก็ได้ เพราะจอมปลวกมี ๗ ช่อง ศูนย์กลางข้างในเป็นโพรง หมายถึงเป็นทางออกได้เป็นทางเข้าได้

บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นปรึกษาหารือกันว่า บัดนี้พวกเราไม่สามารถจะจับเหี้ยตัวนี้ได้เสียแล้ว มันเข้าไปอยู่ในช่องจอมปลวกใหญ่ วันพรุ่งนี้เราจึงมาจับมัน ปรึกษากันอย่างนี้แล้ว ต่างคนต่างถือเอากิ่งไม้หักๆ เอามาคนละกำสองกำ รวมด้วยกันทั้ง ๗ คน ก็พากันอุดช่องโพรงของจอมปลวกนั้น ๗ ช่อง อุดเสียให้แน่นให้เหี้ยออกมาไม่ได้ พออุดแล้วก็กลับไป

ในวันรุ่งขึ้นเด็กทั้งหลายเหล่านั้นลืม ไม่ได้นึกถึงเหี้ยนั้นเลย เพราะว่าเวลามาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเลี้ยงคราวละ ๗ วันคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมา เธอก็ลืมไปและต้อนโคไปกินที่อื่น เธอก็ไม่ได้นึกถึงเหี้ย ครั้นครบวันที่ ๗ พาโคกลับมาบ้าน เมื่อพบจอมปลวกอันนั้นกลับคิดขึ้นมาได้ว่าได้อุดเหี้ยไว้ในโพรงจอมปลวกอันนี้ เจ้าเหี้ยตัวนั้นมันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้ตั้ง ๗ วันแล้ว จึงได้พากันไปเปิดช่องที่ตนอุดไว้แล้ว ๗ ช่องด้วยกัน คนละช่องๆ

สำหรับเหี้ยที่อยู่ในโพรงนั้นมันอดอาหารตั้ง ๗ วัน ก็หมดอาลัยในชีวิตเหลือแต่กระดูกและหนัง คลานสั่นออกมา หมายความว่ามันหมดเรี่ยวหมดแรง ตัวก็ผอมลงไป เพราะการอดข้าวอดน้ำอาหารก็ไม่มี น้ำก็ไม่มีจะกิน มันก็หมดอาลัยในชีวิต คิดว่าคราวนี้ตายแน่ หมดอาลัย เวลาที่เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเปิดช่อง เห็นช่องโผล่มีช่องพอจะออกได้ ก็เดินออกมาด้วยความหมดเรี่ยวหมดแรง

เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้วจึงได้ทำความเอ็นดูพูดกันว่า ทีแรกเจ้าเหี้ยตัวนี้มันอ้วน พวกเราจะฆ่ามันกินเนื้อ แต่เวลานี้เจ้าเหี้ยตัวนี้มันมีแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันอดเหยื่อของมันถึง ๗ วัน จึงได้แสดงความรักในเหี้ยนั้น เกิดความสงสารจึงได้ลูบหลังเหี้ยตัวนั้น แล้วก็ปล่อยไป เวลาเขาจะปล่อยไปเขาก็บอกกับเหี้ยว่า จงไปตามสบายของเจ้าเถิด

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสไปว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กทั้งหลายเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อนเพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย หมายความว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้นที่ทรมานเหี้ยนั้นไม่ต้องลงนรก ไม่เหมือนกับกา ไม่เหมือนกับภรรยาของนายเรือ ท่านบอกว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้นไม่ต้องไหม้อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ยนั้น

แต่ชนทั้ง ๗ นั้นคือบรรดาเด็กทั้ง ๗ นั้นได้เป็นผู้ต้องอดข้าวอดน้ำตลอด ๗ วัน มาถึง ๑๔ อัตภาพ หมายความว่าเกิดมาแล้ว ๑๔ ชาติหลังจากตายจากชาตินั้นก็มาเกิดเป็นคน แต่เกิดเป็นคนก็ต้องมาอดข้าวแบบนี้มาถึง ๑๔ ชาติแล้ว

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้นพวกเธอได้เป็นเด็กเลี้ยงโค หมายความว่าพระ ๗ องค์นั้นเป็นเด็กเลี้ยงโค ได้ทำกรรมนั้นแล้วในกาลนั้น แลอันว่าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ปัญหาอันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลถามแล้วด้วยประการดังนี้


นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมในชาติก่อนเราไม่สามารถจะเห็นได้ สำหรับเรื่องนี้ยังไม่จบ เหลืออีกนิดหนึ่ง ในครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปไว้แล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นอยู่ในมหาสมุทรก็ดี หรือหนีเข้าไปอยู่ในซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือประการใดพระพุทธเจ้าข้า

หมายความว่า ภิกษุรูปนี้สงสัยว่าคนที่สร้างกรรมชั่วแบบนี้ ถ้าเขาจะเหาะไปในอากาศ หรือนั่งเรือไปในทะเล หรือหนีเข้าไปอยู่ในซอกเขา เขาจะหนีได้ไหม พระพุทธเจ้าข้า พระรูปนี้ท่านก็ถามแปลก ท่านคิดว่ากรรมนั้นเป็นวัตถุ หรือกรรมเป็นคนไล่ติดตาม หรือกรรมเป็นผีติดตาม แต่ความจริงกรรมนั้นเป็นความชั่วที่ติดตามใจ ไม่ได้ติดตามกาย ถ้าใจของเราไปอยู่ที่ไหนมันก็ไปด้วย

ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ท่านตอบว่าอย่างไร

ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้มีพุทธฏีกาตรัสว่า อย่างนั้นแหละถิกษุทั้งหลาย หมายความว่า แม้คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะอยู่ในอากาศก็ดี หรือว่าจะไปในทะเลมหาสมุทรก็ดี จะอยู่ในซอกเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ดีกรรมทั้งหลายเหล่านั้นย่อมติดตามเขาไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พึงสามารถจะพ้นกรรมชั่วไปได้ เพื่อจะทรงสืบอนุสนธิพระธรรมเทศนา พรองค์จึงตรัสบาทพระคาถาว่า

คนที่ทำกรรมชั่ว จะหนีไปในอากาศก็ดี ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมแห่งความชั่วที่ตนทำแล้วได้ จะหนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมแห่งชั่วที่ตนได้ทำไว้แล้ว ทั้งนี้เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วนั้นได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้นหามีอยู่ไม่

เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาจบพระธรรมเทศนาบรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้บรรลุมรรคผล มีพระโสดาบัน เป็นต้น พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประโยชน์แม้แต่มหาชนผู้ประชุมกัน ทั้งนี้ก็หมายความว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ หรือเวลาที่พระทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มีแต่พระ มีบรรดาประชาชนทั้งหลาย ส่วนใหญ่เข้าไปนั่งรอฟังเทศน์อยู่

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูแสดงพระธรรมเทศนาแก้ปัญหากฎของกรรม ๓ ประการ คือ

กรรมของกา เอาคอเข้าไปคล้องเสวียนไฟ

กรรมของหญิงผู้เป็นภรรยาของนายเรือ ถูกถ่วงน้ำ

กรรมของบรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ถูกขัง ๗ วัน ต้องอดอาหารจนเกือบตาย


เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแก้ปัญหา ก็เกิดปิติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง ในที่สุดเขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งพระทั้งฆารวาส ก็พากันบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้น เป็นจำนวนมาก

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การนำเอากรรมทั้งหลายเหล่านี้มาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ ก็เพราะว่าเวลานี้คนส่วนใหญ่เคยมาปรารภให้ฟังว่า ชาตินี้ทำความดีทุกอย่าง แต่ทำไมจึงเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ คือมีทุกข์หลายประการเข้ามาเบียดเบียน หากว่าท่านได้สดับเรื่องนี้แล้ว ก็จงหวนนึกถึงตัวของท่านเองว่า ความสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น อาจจะเป็นผลของกรรมคล้ายๆ กับท่านทั้งสามที่กล่าวแล้วนี้ก็ได้

สำหรับตอนนี้ก็ต้องขอยุติเรื่องราวกฎของกรรมของคน ๓ คนไว้ ณ ที่นี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.


ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๔
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


= รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703

= ประวัติและปฏิปทาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508

= ประมวลภาพ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=22899


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 18:00
โพสต์: 64


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2009, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b8: :b8: :b8: :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2015, 09:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2017, 07:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2017, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 06:35 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร