วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 20:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน

ผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงนิพพาน ที่ประสบผลสำเร็จ บรรลุจุดหมายแล้วก็ดี
ผู้ที่ดำเนินก้าวหน้ามาในทางที่ถูก จนถึงขั้นที่มองเห็นจุดหมายอยู่เบื้องหน้าแล้ว และจะต้องบรรลุถึงจุดหมายนั้นอย่างแน่นอน ก็ดี
ท่านจัดเข้าสังกัดในกลุ่มชนผู้เป็นสาวกที่แท้ของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า สาวกสงฆ์
ดังข้อความในบทสวดสังฆคุณว่า "สุปฏิปนฺโน ภวคโต สาวกสงฺโฆ" ดังนี้ เป็นต้น

มีคำเฉพาะสำหรับเรียก เพื่อแสดงคุณสมบัติพิเศษของท่านผู้เป็นสาวกที่แท้เหล่านี้ อีกหลายคำ คำที่ใช้กันทั่วไปและรู้จักกันมากที่สุด คงจะได้แก่คำว่า "อริยบุคคล" หรือ "พระอริยะ" ซึ่งแปลว่า ผู้เจริญ บ้าง ท่านผู้ประเสริฐ บ้าง ท่านผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส บ้าง ฯลฯ

ความจริง คำว่า อริยบุคคล เป็นคำที่นิยมใช้สำหรับพูดถึงอย่างกว้างๆ หรือคลุมๆ ไป ไม่ระบุตัว หาใช่เป็นคำเฉพาะมาแต่เดิมไม่ คำเดิมที่ท่านใช้เป็นศัพท์เฉพาะ สำหรับแยกประเภท หรือ แสดงระดับขั้นในบาลี ได้แก่ คำว่า "ทักขิไณย" หรือ ทักขิไณยบุคคล

อย่างไรก็ตาม คำว่า ทักขิไณยบุคคล ก็ดี อริยบุคคล ก็ดี ล้วนเป็นคำเลียนศัพท์ในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนแปร หรือ ปฏิวัติความหมายเสียใหม่ เช่นเดียวกับศัพท์อื่นๆ อีกเป็นอันมาก เช่น พรหม พราหมณ์ นหาตกะ เวทคู เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า "อริยะ" ตรงกับสันสกฤต ว่า "อารยะ" เป็นชื่อเรียกเผ่าชนที่อพยพเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีป คือ ประเทศอินเดีย เมื่อหลายพันปีมาแล้ว และรุกไล่ชนเจ้าถิ่นเติมให้ถอยร่นลงไปทางใต้และป่าเขา

พวกอริยะ หรืออารยะนี้ (เวลาเรียกเป็นเผ่าชน นิยมใช้ว่า พวกอริยกะ หรืออารยัน) ถือตัวว่าเป็นพวกเจริญ และเหยียดชนเจ้าถิ่นเดิมลง ว่า เป็นพวกมิลักขะ หรือ มเลจฉะ คือ พวกคนเถื่อน คนดง คนดอย เป็นพวกทาส หรือ ทัสยุ

ต่อมา เมื่อพวกอริยะเข้าครอบครองถิ่นฐานมั่นคง และจัดหมู่ชนเข้าในระบบวรรณะลงตัว

โดยให้พวกเจ้าถิ่นเดิม หรือ พวกทาสเป็นวรรณะศูทรแล้ว

คำว่า อริยะ หรืออารยะ หรืออารยัน ก็หมายถึงชน ๓ วรรณะต้น คือ กษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์

ส่วนพวกศูทร และคนทั้งหลายอื่น เป็นอนารยะทั้งหมด

การถืออย่างนี้ เป็นเรื่องของชนชาติ เป็นไปตามกำเนิด จะเลือกหรือแก้ไขไม่ได้

(การแยกชนชั้นวรรณะครั้งอดีต ถ้าเทียบกับเมืองไทยตอนนี้ก็เรียก "ระดับล่าง" คือว่า คนกลุ่มหนึ่ง เรียกคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า คนระดับล่าง โดยวัดจากเงินในกระเป่า คือ วัดจากฐานะทางการเงิน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระพุทธเจ้าออกประกาศพระศาสนา พระองค์ได้ทรงสอนใหม่ ว่า ความเป็นอริยะ หรืออารยะ ไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่ธรรม ซึ่งประพฤติปฏิบัติ และฝึกฝนอบรมให้มีขึ้นในจิตใจของบุคคล ใครจะเกิดมาเป็นชนชาติใด วรรณะไหนไม่สำคัญ

ถ้าประพฤติอริยธรรม หรือ อารยธรรม ก็เป็นอริยะ คือ อารยชนทั้งนั้น ใครไม่ประพฤติ ก็เป็นอนริยะ หรือ อนารยชนทั้งสิ้น


สัจธรรมก็ไม่ต้องเป็นของที่พวกพราหมณ์ผูกขาดโดยจำกัดตามคำสอนในคัมภีร์พระเวท
แต่เป็นความจริงที่เป็นกลาง มีอยู่โดยธรรมดาแห่งธรรมชาติ
ผู้ใด รู้แจ้ง เข้าใจสัจธรรมที่มีอยู่โดยธรรมดานี้ ผู้นั้น ก็เป็นอริยะ หรือ อารยะ โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาพระเวทของพราหมณ์แต่ประการใด และเพราะการรู้สัจธรรมนี้ ทำให้คนเป็นอริยะ สัจธรรมนั้นจึงเรียกว่า "อริยสัจ" * (สํ.ม.19/1703/543)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อว่าตามหลัก บุคคลที่จะเข้าใจอริยสัจ ก็คือท่านที่เป็นโสดาบันขึ้นไป ดังนั้น คำว่า "อริยะ" ที่ใช้ในคัมภีร์โดยทั่วไป จึงมีความหมายเท่ากับทักขิไณยบุคคล ที่จะกล่าวต่อไป และ
อริยสัจ ๔ บางคราวท่านก็เรียกว่า อริยธรรม หรือ อารยธรรม * (ขุ.สุ.25/330/393 ฯลฯ)

อย่างไรก็ตาม คำว่า อริยธรรม หรือ อารยธรรมนี้ ท่านไม่ได้จำกัดความหมายตายตัว แต่ยักเยื้องใช้ได้กับธรรมหลายหมวด
บางทีผ่อนลงหมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ บ้าง ศีล ๕ บ้าง ก็มี ซึ่งโดยหลักการก็ไม่ขัดกันแต่ประการใด เพราะผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ได้ถูกต้อง ตามความหมายอย่างแท้จริง (ไม่กลายเป็นลีลัพพตปรามาสไป) และมั่นคงยั่งยืน ไม่ด่างพร้อยตลอดชีวิต ก็คือคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป

ในอรรถกถาทั้งหลาย เมื่ออธิบายคำว่า อริยะ ที่ใช้กับบุคคล มักอธิบายลงเป็นอย่างเดียวกันหมดว่า หมายถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้า แต่บางแห่งก็สงวนสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างเดียว

ส่วนคำว่า “อริยะ” ที่ใช้เป็นคุณนามของข้อธรรมหรือการปฏิบัติ มักมีความหมายเท่ากับคำว่าโลกุตระ แต่ไม่ถึงกับแน่นอนตายตัวทีเดียว

เท่าที่กล่าวมาเกี่ยวกับคำว่า อริยะ พอสรุปได้ว่า "อริยะ" นี้จะมีความหมายกว้างสักหน่อย

แต่ในกรณีที่ใช้เรียกบุคคลแล้ว จะหมายถึงกลุ่มชนเดี่ยวกับทักขิไณยบุคคลเป็นพื้น คือ หมายถึงท่านผู้พ้นจากภาวะปุถุชน และจัดเข้าในกลุ่มสาวกสงฆ์ (ที่ปัจจุบันนิยมเรียกว่าอริยสงฆ์) ยิ่งในคัมภีร์รุ่นอรรถกถาลงมาด้วยแล้ว ใช้อริยะกันในความหมายนี้แทบจะตายตัวทีเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างหนึ่ง คำว่า “อริยะ” นิยมใช้ในกรณีที่พูดถึงอย่างกว้างๆ คลุมๆ โดยไม่ระบุ ไม่แจกแจงระดับขั้น
ส่วน ”ทักขิไณย” มักใช้ในกรณีระบุแบบเป็นศัพท์เฉพาะในทางวิชาการ ดังนั้น ในที่ทั่วไปจึงพบคำว่า อริยะ ใช้ดาษไปมากกว่าคำว่าทักขิไณย

ในที่สุด ข้อที่ไม่ควรลืม ก็คือพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งให้มองอริยะ หรือ อารยชนในความหมายใหม่ ซึ่งต่างจากพวกพราหมณ์บัญญัติไว้
เมื่อจับความหมายในแง่นี้ ก็ลงข้อสรุปได้อีกท่อนหนึ่ง ซึ่งเน้นความหมายในแง่สังคมว่า อริยะ หรืออารยชนที่เป็นสมาชิกในสังคมใหม่ คือ ชุมชนชาวพุทธนั้น เป็นอารยชนโดยอารยธรรม คือด้วยการดำเนินชีวิตตามมรรคา ที่เรียก ว่า มัชฌิมาปฏิปทา เป็นผู้มีศีลธรรมที่เป็นไปตามเหตุผลบริสุทธิ์ เพื่อไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้มีชีวิตร่วมกันที่สงบสุข เอื้อแก่ความเจริญงอกงามแห่งประโยชน์ที่พึงได้พึงถึงตามลำดับ ทั้งแก่ตนและผู้อื่น

ทั้งนี้ ไม่ใช่ศีลธรรมที่ประพฤติตามคำบงการของเจ้าหน้าที่ผู้ผูกขาดศาสนา ผู้ล่อและขู่ด้วยผลตอบแทน แก่ผู้หวังประโยชน์ส่วนตัวในรูปต่างๆ ซึ่งศีลธรรมจะบิดเบือนแปรรูปไปได้ต่างๆ ตามความพอใจของเจ้าหน้าที่ผูกขาดศาสนานั้นๆ ดังเช่นศีลธรรมแบบพิธีบูชายัญของพวกพราหมณ์เป็นตัวอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักขิไณย แปลว่า ผู้ควรแก่ทักขิณา มาจากคำว่า ทักขิณา ซึ่งตรงกับสันสกฤตว่า "ทักษิณา" ตามความหมายเดิมในศาสนาพราหมณ์ หมายถึง ค่าตอบแทนการประกอบพิธี เฉพาะอย่างยิ่งพิธีบูชายัญ มีกำหนดไว้ในพระเวท ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง ของใช้ เตียงตั่งเครื่องนั่งนอน ยวดยาน ธัญญาหาร สัตว์เลี้ยงทั้งหลาย เหล่าสาวสวยยุวนารี ตลอดจนที่ดิน หรือ ดินแดนบางส่วนในราชอาณาจักร

ยิ่งเป็นยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ทักษิณาก็มีมูลค่ามากมายมหาศาลขึ้นเพียงนั้น เช่น ในพิธีอัศวเมธพระราชาจะจัดสรรพระราชทานทรัพย์สมบัติที่กวาดเก็บจากดินแดนที่ปราบลงได้ ตลอดจนนางสนมกำนัลในเป็นทักษิณาให้แก่ผู้ประกอบพิธี

"ทักขิไณย" หรือผู้ควรแก่ทักษิณา ในที่นี้ ก็คือ พวกพราหมณ์ทั้งหลาย เพราะเป็นชนพวกเดียวที่ประกอบยัญพิธีได้


เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ได้ทรงสอนให้ล้มเลิกพิธีบูชายัญ ทรงนำคำว่า "ยัญ" และ "ทักษิณา" มาใช้ในความหมายใหม่

ยัญ กลายเป็นวิธีบำเพ็ญทานโดยไม่มีการเบียดเบียนตนและสัตว์

ส่วน ทักขิณา หมายถึงสิ่งของที่ควรให้ หรือ ของที่ควรสละเป็นทาน หรือ สิ่งที่บริจาคให้ด้วยศรัทธา* ไม่ใช่เป็นค่าตอบแทนหรือของตอบแทน
หากจะเรียกว่าเป็นการตอบแทน ก็ต้องหมายถึงตอบแทนคุณความดี แต่ควรจะกล่าวว่า ของบูชาคุณความดีมากกว่า และทักขิณาในกรณีนี้ ก็มิใช่ของเพริศพริ้งโอฬารเลยขอบเขต เป็นเพียงปัจจัย ๔ อย่างเรียบๆ ง่ายๆ พอเป็นเครื่องอาศัยที่จำเป็นของชีวิตเท่านั้น


ที่อ้างอิง *

* อรรถกถาว่า ของที่เขาให้โดยเชื่อกรรมและวิบากแห่งกรรม มิได้คำนึงว่า ท่านผู้นี้จะได้ช่วยรักษาโรคให้แก่เรา หรือจะได้ช่วยรับใช้เดินเรื่องให้เรา เป็นต้น (ขุทฺทก.อ.200) บางแห่งว่า ของที่เขาเชื่อปรโลกแล้วพึงให้ (วิสุทฺธิ.1/283ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักขิไณย หรือผู้ควรแก่ทักขิณาในกรณีนี้ ก็คือ บุคคลที่ได้ฝึกอบรมตนในทางความประพฤติและคุณธรรมต่างๆ อย่างเพียบพร้อม กลายเป็นตัวอย่างแห่งชีวิตที่ดีงาม และมีความสุข จนกระทั่งว่า แม้เพียงการมีบุคคลเช่นนี้อยู่ในโลก ก็เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์คุ้มค่าอยู่แล้ว

ยิ่งบุคคลเช่นนี้ จาริกเผยแผ่ธรรม ด้วยการไปปรากฏตัวแสดงชีวิตแบบอย่างเช่นนั้นให้เห็นกว้างขวางออกไป หรือแสดงคำสอนแนะนำผู้อื่นเพื่อเข้าถึงชีวิตเช่นนั้นด้วยตนเองบ้าง ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ล้ำค่า เกินกว่าราคาของสิ่งตอนแทนใดๆ และบุคคลเช่นนี้ ย่อมไม่เรียกร้อง หรือ หวังผลตอบแทนใดๆ ด้วย อาศัยปัจจัยสี่แต่พอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

ของที่ให้เพื่อความดำรงอยู่ของบุคคลเช่นนี้แหละ คือ ทักขิณา และบุคคลเช่นนี้ ย่อมทำให้ทักขิณานั้นมีผลมาก เพราะเป็นทักขิณาที่ช่วยให้คุณธรรมความดีงาม และตัวอย่างที่เป็นอยู่มีอยู่จริงแห่งชีวิตที่มีความสุข ยังปรากฏอยู่ในโลกได้ และเป็นประโยชน์กว้างขวางออกไป
บุคคลเช่นนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เพราะทำให้ทักษิณามีผลมาก และได้ชื่อต่อไปว่าเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก (อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส) เพราะเป็นที่งอกงามขึ้น และขจรขจายออกไปแห่งความดีงามต่างๆ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์สุขนานัปการแก่ชาวโลกทั้งปวง (ที.อ.3242 ฯลฯ)

แม้แต่ครูอาจารย์ ผู้สอนความรู้สามัญส่วนบุคคล ชาวโลกยังมองค่าตอบแทนอย่างคุ้มควร แล้วไฉนจะมอบเครื่องอาศัยดำรงชีวิตเพียงเล็กน้อยให้แก่ผู้สอนความดีงาม หรือ ธรรมแก่โลกไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง ลักษณะการให้ทักขิณา ก็ต่างจากการให้สิ่งตอบแทน หรือการให้ด้วยเสน่หากันของชาวโลก กล่าวคือ ไม่ได้ให้ด้วยความรู้สึกผูกพัน หรือ เกี่ยวข้องส่วนตัว ว่า ท่านผู้นี้ได้ช่วยเหลือ หรือ ได้ทำการนี้ให้แก่เรา หรือว่า เราให้แล้ว ท่านผู้นี้จะได้ทำสิ่งนี้ๆ ให้แก่เรา
แต่ให้ด้วยศรัทธาในหลัก หรือ พลังแห่งความดีงาม ตั้งจิตสำนึกว่า เราให้แก่ท่านนี้ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในหมู่สงฆ์ หรือเราให้แก่ท่านผู้ธำรงความดีงามของโลกไว้

อย่างไรก็ดี ทักขิไณยบุคคลนั้น จะต้องเป็นทักขิไณยที่แท้ คือ ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมความดีงามที่ทำให้เป็นทักขิไณยบุคคลจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถามหน่อยสิที่พากันไปนั่งหลับตาไม่รู้จักดูโลกแล้วฟังคำสอนตามปกตินั่นน่ะทำอะไร
ทำความรู้สึกตัวคิดนึกไปมั่วๆเผื่อปัญญาจะเกิดเองได้ไม่ฟังไม่คิดตามคำสอนจะรู้ได้ยังไง
การจะรู้ความจริงตามคำสอนเกิดจากฟังคำอธิบายรายละเอียดของตัวจริงธัมมะทีละ1
เพราะตามปกติสภาพธรรมเกิดดับได้ทีละ1แต่ละ1และเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้นด้วย
เนื่องด้วยการเกิดดับมันเร็วจนนับไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ากำลังดับนับแสนโกฏิขณะ
นับดูสิทันทางไหนบ้างทางเดียวนะถ้าไม่ทันเพราะมันนับไม่ได้แปลว่ามีกิเลสอวิชชามาก


โลกภายนอกกว้างไกลใครๆรู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอกมองออกไป
จะมองโลกภายในให้มองตน.
:b1:


1ขณะของเห็นตรงจริงมีแค่สีล้วน1สีค่ะ
เดี๋ยวนี้ดับครบ6ทางสลับกันทีละ1ขณะ
ไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเก่าแค่จิตเห็นดับไป
เพียง3ขณะกิเลสไหลครบ6ทางไปแล้ว
และเดี๋ยวนี้มันดับนับไม่ถ้วนนับแสนโกฏิขณะ
ถามว่าใครบ้างไม่มีกิเลสคิดสิเดี๋ยวนี้ดับแล้ว555
https://youtu.be/NanjadfQk-o


ว่าจนจบแล้ว คุณโรสยังไม่เข้าใจ :b10: ยังมาถามอีกว่า "ใครบ้าง ไม่มีกิเลส" ก็พระอริยบุคคลนั่นไง ไม่มีกิเลส พระอรหันต์นั่นไง ปราศจากกิเลสแล้ว

:b32:
ถามให้รู้จักคิดว่าตัวเองน่ะมีปัญญารู้จักกิเลสไหม
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำว่า
มีอริยบุคคลระดับไหนบ้างแต่เป็นความจริง
ของความรู้ชัดของผู้ที่รู้ตรงตามเป็นจริง
ตามปกติและเป็นปกติว่าตัวเองมีกิเลส
จนกว่าถึงความดับกิเลสได้ตามลำดับ
ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลสแปลว่า
ไม่รู้เลยว่าอะไรคือปัญญารู้ตามได้
มีแต่อ่านท่องจำมโนไปตามที่ท่อง
แล้วก็จำแต่ชื่อแต่เรื่องราวต่างๆ
โดยไม่รู้สัจจะที่ตัวเองกำลังมี
แปลว่าไม่รู้เลยว่าตัวเอง
มีความไม่รู้ทั้งหมด
จะให้ว่าไงล่ะคะ
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถามหน่อยสิที่พากันไปนั่งหลับตาไม่รู้จักดูโลกแล้วฟังคำสอนตามปกตินั่นน่ะทำอะไร
ทำความรู้สึกตัวคิดนึกไปมั่วๆเผื่อปัญญาจะเกิดเองได้ไม่ฟังไม่คิดตามคำสอนจะรู้ได้ยังไง
การจะรู้ความจริงตามคำสอนเกิดจากฟังคำอธิบายรายละเอียดของตัวจริงธัมมะทีละ1
เพราะตามปกติสภาพธรรมเกิดดับได้ทีละ1แต่ละ1และเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้นด้วย
เนื่องด้วยการเกิดดับมันเร็วจนนับไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ากำลังดับนับแสนโกฏิขณะ
นับดูสิทันทางไหนบ้างทางเดียวนะถ้าไม่ทันเพราะมันนับไม่ได้แปลว่ามีกิเลสอวิชชามาก


โลกภายนอกกว้างไกลใครๆรู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอกมองออกไป
จะมองโลกภายในให้มองตน.
:b1:


1ขณะของเห็นตรงจริงมีแค่สีล้วน1สีค่ะ
เดี๋ยวนี้ดับครบ6ทางสลับกันทีละ1ขณะ
ไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเก่าแค่จิตเห็นดับไป
เพียง3ขณะกิเลสไหลครบ6ทางไปแล้ว
และเดี๋ยวนี้มันดับนับไม่ถ้วนนับแสนโกฏิขณะ
ถามว่าใครบ้างไม่มีกิเลสคิดสิเดี๋ยวนี้ดับแล้ว555
https://youtu.be/NanjadfQk-o


ว่าจนจบแล้ว คุณโรสยังไม่เข้าใจ :b10: ยังมาถามอีกว่า "ใครบ้าง ไม่มีกิเลส" ก็พระอริยบุคคลนั่นไง ไม่มีกิเลส พระอรหันต์นั่นไง ปราศจากกิเลสแล้ว

:b32:
ถามให้รู้จักคิดว่าตัวเองน่ะมีปัญญารู้จักกิเลสไหม

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำว่า
มีอริยบุคคลระดับไหนบ้างแต่เป็นความจริง
ของความรู้ชัดของผู้ที่รู้ตรงตามเป็นจริง
ตามปกติและเป็นปกติว่าตัวเองมีกิเลส
จนกว่าถึงความดับกิเลสได้ตามลำดับ
ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลสแปลว่า
ไม่รู้เลยว่าอะไรคือปัญญารู้ตามได้
มีแต่อ่านท่องจำมโนไปตามที่ท่อง
แล้วก็จำแต่ชื่อแต่เรื่องราวต่างๆ
โดยไม่รู้สัจจะที่ตัวเองกำลังมี
แปลว่าไม่รู้เลยว่าตัวเอง
มีความไม่รู้ทั้งหมด
จะให้ว่าไงล่ะคะ


พ่ะน่ะ คุณโรสไม่รู้จักมองเปรียบเทียบ ก็ในเมื่อพระอริยบุคคลละกิเลสได้เป็นขั้นๆแล้ว พระอรหันต์เท่านั้นที่หมดกิเลส ส่วนคนที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็มียังมีกิเลสด้วยกันทุกคนนั่นแหละไม่มียกเว้น ถามได้เออ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุถุชน คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส, คนที่ยังมีกิเลสมาก หมายถึงคนธรรมดาทั่วๆไป ซึ่งยังไม่เป็นอริยบุคคลหรือพระอริยะ บุถุชน ก็เขียน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเข้าถึงนิโรธหรือนิพพานของพระอริยบุคคล คือ คือความดำรงอยู่ของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งอยู่ในวัดหรือในโบสถ์ แต่ตั้งอยู่ในใจของพระอริยบุคคลทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถามหน่อยสิที่พากันไปนั่งหลับตาไม่รู้จักดูโลกแล้วฟังคำสอนตามปกตินั่นน่ะทำอะไร
ทำความรู้สึกตัวคิดนึกไปมั่วๆเผื่อปัญญาจะเกิดเองได้ไม่ฟังไม่คิดตามคำสอนจะรู้ได้ยังไง
การจะรู้ความจริงตามคำสอนเกิดจากฟังคำอธิบายรายละเอียดของตัวจริงธัมมะทีละ1
เพราะตามปกติสภาพธรรมเกิดดับได้ทีละ1แต่ละ1และเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้นด้วย
เนื่องด้วยการเกิดดับมันเร็วจนนับไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ากำลังดับนับแสนโกฏิขณะ
นับดูสิทันทางไหนบ้างทางเดียวนะถ้าไม่ทันเพราะมันนับไม่ได้แปลว่ามีกิเลสอวิชชามาก


โลกภายนอกกว้างไกลใครๆรู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอกมองออกไป
จะมองโลกภายในให้มองตน.
:b1:


1ขณะของเห็นตรงจริงมีแค่สีล้วน1สีค่ะ
เดี๋ยวนี้ดับครบ6ทางสลับกันทีละ1ขณะ
ไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเก่าแค่จิตเห็นดับไป
เพียง3ขณะกิเลสไหลครบ6ทางไปแล้ว
และเดี๋ยวนี้มันดับนับไม่ถ้วนนับแสนโกฏิขณะ
ถามว่าใครบ้างไม่มีกิเลสคิดสิเดี๋ยวนี้ดับแล้ว555
https://youtu.be/NanjadfQk-o


ว่าจนจบแล้ว คุณโรสยังไม่เข้าใจ :b10: ยังมาถามอีกว่า "ใครบ้าง ไม่มีกิเลส" ก็พระอริยบุคคลนั่นไง ไม่มีกิเลส พระอรหันต์นั่นไง ปราศจากกิเลสแล้ว

:b32:
ถามให้รู้จักคิดว่าตัวเองน่ะมีปัญญารู้จักกิเลสไหม

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำว่า
มีอริยบุคคลระดับไหนบ้างแต่เป็นความจริง
ของความรู้ชัดของผู้ที่รู้ตรงตามเป็นจริง
ตามปกติและเป็นปกติว่าตัวเองมีกิเลส
จนกว่าถึงความดับกิเลสได้ตามลำดับ
ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลสแปลว่า
ไม่รู้เลยว่าอะไรคือปัญญารู้ตามได้
มีแต่อ่านท่องจำมโนไปตามที่ท่อง
แล้วก็จำแต่ชื่อแต่เรื่องราวต่างๆ
โดยไม่รู้สัจจะที่ตัวเองกำลังมี
แปลว่าไม่รู้เลยว่าตัวเอง
มีความไม่รู้ทั้งหมด
จะให้ว่าไงล่ะคะ


พ่ะน่ะ คุณโรสไม่รู้จักมองเปรียบเทียบ ก็ในเมื่อพระอริยบุคคลละกิเลสได้เป็นขั้นๆแล้ว พระอรหันต์เท่านั้นที่หมดกิเลส ส่วนคนที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็มียังมีกิเลสด้วยกันทุกคนนั่นแหละไม่มียกเว้น ถามได้เออ :b1:

พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีกิเลสเหลือเลยคือนิโรธ1เดียว
ส่วนอริยบุคคลดับกิเลสได้บ้างตามปัญญาที่เข้าถึงระดับนั้น
ส่วนกิเลสที่ยังดับไม่ได้เหลืออีกมหาศาลจะประมาทคำสอนไปถึงไหน
บอกแล้วบอกอีกว่าปัญญาเพิ่มต้องเริ่มที่ฟังคำวาจาสัจจะเพื่อจำถูกตรงตามได้
ไม่ใช่การนั่งนิ่งใบ้สงบไม่รู้จักฟังให้มันรู้จักคิดถูกตามให้ตรงทางครบทั้ง6ทางตามปกติเป็นปกติ
กิเลสอยู่ที่จิตตัวเองตราบใดที่ยังไม่รู้จักกิเลสตัวเองตราบนั้นก็คือยังไม่เกิดปัญญาเลยแม้แต่น้อยเพราะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ดับนับแสนโกฏิขณะแม้พระอัครสาวกซ้ายขวาก็ไม่มีใครเห็นสี
https://youtu.be/yVNi-rlvKPQ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถามหน่อยสิที่พากันไปนั่งหลับตาไม่รู้จักดูโลกแล้วฟังคำสอนตามปกตินั่นน่ะทำอะไร
ทำความรู้สึกตัวคิดนึกไปมั่วๆเผื่อปัญญาจะเกิดเองได้ไม่ฟังไม่คิดตามคำสอนจะรู้ได้ยังไง
การจะรู้ความจริงตามคำสอนเกิดจากฟังคำอธิบายรายละเอียดของตัวจริงธัมมะทีละ1
เพราะตามปกติสภาพธรรมเกิดดับได้ทีละ1แต่ละ1และเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้นด้วย
เนื่องด้วยการเกิดดับมันเร็วจนนับไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ากำลังดับนับแสนโกฏิขณะ
นับดูสิทันทางไหนบ้างทางเดียวนะถ้าไม่ทันเพราะมันนับไม่ได้แปลว่ามีกิเลสอวิชชามาก


โลกภายนอกกว้างไกลใครๆรู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอกมองออกไป
จะมองโลกภายในให้มองตน.
:b1:


1ขณะของเห็นตรงจริงมีแค่สีล้วน1สีค่ะ
เดี๋ยวนี้ดับครบ6ทางสลับกันทีละ1ขณะ
ไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเก่าแค่จิตเห็นดับไป
เพียง3ขณะกิเลสไหลครบ6ทางไปแล้ว
และเดี๋ยวนี้มันดับนับไม่ถ้วนนับแสนโกฏิขณะ
ถามว่าใครบ้างไม่มีกิเลสคิดสิเดี๋ยวนี้ดับแล้ว555
https://youtu.be/NanjadfQk-o


ว่าจนจบแล้ว คุณโรสยังไม่เข้าใจ :b10: ยังมาถามอีกว่า "ใครบ้าง ไม่มีกิเลส" ก็พระอริยบุคคลนั่นไง ไม่มีกิเลส พระอรหันต์นั่นไง ปราศจากกิเลสแล้ว

:b32:
ถามให้รู้จักคิดว่าตัวเองน่ะมีปัญญารู้จักกิเลสไหม

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำว่า
มีอริยบุคคลระดับไหนบ้างแต่เป็นความจริง
ของความรู้ชัดของผู้ที่รู้ตรงตามเป็นจริง
ตามปกติและเป็นปกติว่าตัวเองมีกิเลส
จนกว่าถึงความดับกิเลสได้ตามลำดับ
ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลสแปลว่า
ไม่รู้เลยว่าอะไรคือปัญญารู้ตามได้
มีแต่อ่านท่องจำมโนไปตามที่ท่อง
แล้วก็จำแต่ชื่อแต่เรื่องราวต่างๆ
โดยไม่รู้สัจจะที่ตัวเองกำลังมี
แปลว่าไม่รู้เลยว่าตัวเอง
มีความไม่รู้ทั้งหมด
จะให้ว่าไงล่ะคะ


พ่ะน่ะ คุณโรสไม่รู้จักมองเปรียบเทียบ ก็ในเมื่อพระอริยบุคคลละกิเลสได้เป็นขั้นๆแล้ว พระอรหันต์เท่านั้นที่หมดกิเลส ส่วนคนที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็มียังมีกิเลสด้วยกันทุกคนนั่นแหละไม่มียกเว้น ถามได้เออ :b1:

พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีกิเลสเหลือเลยคือนิโรธ1เดียว
ส่วนอริยบุคคลดับกิเลสได้บ้างตามปัญญาที่เข้าถึงระดับนั้น
ส่วนกิเลสที่ยังดับไม่ได้เหลืออีกมหาศาลจะประมาทคำสอนไปถึงไหน
บอกแล้วบอกอีกว่าปัญญาเพิ่มต้องเริ่มที่ฟังคำวาจาสัจจะเพื่อจำถูกตรงตามได้
ไม่ใช่การนั่งนิ่งใบ้สงบไม่รู้จักฟังให้มันรู้จักคิดถูกตามให้ตรงทางครบทั้ง6ทางตามปกติเป็นปกติ
กิเลสอยู่ที่จิตตัวเองตราบใดที่ยังไม่รู้จักกิเลสตัวเองตราบนั้นก็คือยังไม่เกิดปัญญาเลยแม้แต่น้อยเพราะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ดับนับแสนโกฏิขณะแม้พระอัครสาวกซ้ายขวาก็ไม่มีใครเห็นสี
https://youtu.be/yVNi-rlvKPQ


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ดับนับแสนโกฏิขณะ แม้พระอัครสาวกซ้ายขวาก็ไม่มีใครเห็นสี



อ่ะน่ะ แม้อัคสาวกซ้ายขวาก็ไม่มีใครเห็นสี นอกจากพระพุทธเจ้า ว่า

ปฤษฎี ว่าไง ศิษย์สำนักเดียวกันนี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin

คำสอนสำหรับเข้าใจถูกตามตรงสัจจะที่กายใจตัวเองกำลังมี

ไม่ใช่การท่องจำบัญญัติคำที่ไม่ตรงขณะที่กายใจตัวเองกำลังมี

เพราะที่มีแล้ว และไม่ต้องทำ คือ มีกิเลสอาสาวะนอนในจิตรอไหลออก

ที่ต้องทำคือฟังคำของตถาคตให้เข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้เท่านั้น
แล้วสังขารขันธ์จะปรุงแต่งจิตถูกตามคำสอนและจำถูกเข้าใจถูกทีละนิดเพิ่มปัญญาทีละน้อย

viewtopic.php?f=1&t=57219&p=441614#p441614

ที่มีแล้ว และไม่ต้องทำ คือ มีกิเลสอาสาวะนอนในจิตรอไหลออก

นำ คคห.คุณโรสแนวๆ กิเลสมีแล้ว ไม่ต้องทำอะไร เพราะมันมีแล้วว่างั้นเถอะ เพียงรอให้มันไหลออก (ออกไปไหนไม่รู้ เขาไม่ได้บอก) ดังนั้น จึงเป็นอันปฏิเสธข้อปฏิบัติคือไตรสิกขาที่ว่าปฏิบัติถูกทางแล้วจะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นได้ เป็นอันปฏิเสธอริยบุคคล :b13:

จบข่าว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร