วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 09:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2019, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ถ้าโลกนี้ เต็มไปด้วยการขอโทษ
และการให้อภัยโทษแล้ว
จะไม่มีวิกฤตการณ์เลวร้ายใดๆ
เกิดขึ้นมาได้เลย

เป็นการสร้างสันติภาพ
ให้แก่โลกทั้งโลก
ด้วยการยึดถือหลักที่ว่า
ขอโทษ และ อดโทษ

ฉะนั้น ขอจงประพฤติปฏิบัติ
จนเป็นนิสัย และอบรมลูกเล็กเด็กแดง
ให้รู้จักขอโทษ และอดโทษ แก่กันและกัน
จนเป็นนิสัย"

ท่านพุทธทาสภิกขุ






เมื่อเทวดามาบอกคำถวายทาน

...”ตอนไปอยู่บ้านเม่า (อุ่มเหม้า) ปกติตอนเช้ามันเคยตื่นตั้งแต่ตี3 ทีนี้ก็เลยมานั่งภาวนาไป พอนั่งไปได้ประมาณชั่วโมง เห็นโยมผู้ชายเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้า คิดว่าเป็นเทวดา ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าไม่รู้เข้ามาได้ยังไง ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการเปิดปิดอะไร ก็เข้ามานั่งใกล้ๆ เลยถามไปว่า “มาทำอะไร”
เขาก็บอกว่า “ให้จำไว้เด้อ เวลาทำบุญให้ว่าอย่างนี้ แล้วก็บอกคำถวายทานให้ เวลาทำบุญอุทิศจึงจะได้อานิสงส์สูง อานิสงส์ใหญ่ มันจึงจะอุทิศถึงกัน”
ก็คุยกันไปเกือบชั่วโมงก็ใกล้จะสว่างพอดี เขาก็ว่า “เอาล่ะ ขอตัวลา” พอว่าจบก็หายวับไปเลย
ก็แปลกใจ เอ! หายไปยังไงเมื่อสักครู่ยังเห็นนั่งอยู่ที่นี่อยู่เลย พอสว่างแล้วก็เลยลุกเดินไปดูประตูหน้าต่างก็เหมือนเดิม นี่ก็ยังอัศจรรย์ใจถึงทุกวันนี้นะ”

พระอภัสสโร ถอดเทปจากภาษาไทยถิ่นอีสาน
หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
วัดภูเขาดิน อ.เชียงคาน จ.เลย
(อัดเทปไว้ราวๆ ปี ๒๕๖๑)
คำถวายทาน
แบบที่๑ ปัจจัยไทยทานของข้าพเจ้านี้ ไม่ได้เจาะจงเป็นของผู้ใด ขอเทวดาทั้งหลายและแม่ธรณี จงเป็นสักขีพยาน ถ้าปัจจัยไทยทานมีอานิสงส์ ขอความสุขความเจริญ ความมั่งมีศรีสุข จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติเทอญ และขออุทิศส่วนบุญนี้ แก่บิดามารดา ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จงอนุโมทนา สาธุการ เหมือนตนได้ทำเองเถิด
สาธุ อนุโมทามิ ฯ
แบบที่๒
ปัจจัยไทยทานของข้าพเจ้านี้ ไม่ได้เจาะจงเป็นของผู้ใด ขอเทวดาทั้งหลายและแม่ธรณี จงเป็นสักขีพยาน ถ้าปัจจัยไทยทาน มีอานิสงส์ ขอความสุขความเจริญ ความมั่งมีศรีสุข จงมีแก่ข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติเทอญ และขออุทิศส่วนบุญนี้ แก่บิดามารดา ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย เปรตทั้งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ละโลกนี้ไปแล้วไปสู่โลกหน้า จงมารับส่วนบุญ ส่วนกุศลผลทานทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยเมตตาจิตอุทิศไปให้แล้วนี้ ขอจงมาอนุโมทนา สาธุการ เหมือนตนได้ทำเอาเองเถิด
สาธุ อนุโมทามิ ฯ







"ทีนี้เราเคยปฏิบัติให้ได้อย่างนั้นแล้วนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่ จิตของเราได้อย่างฝันเรามีความสุขอยู่อย่างนั้น เวลาเราออกจากสมาธิมา เราต้องสำรวมสติของเราอยู่ตลอดเวลา คอยดูจิตของตัวเอง คอยระวัง ตอนที่เราไม่ได้นั่งสมาธิเราเดินไปเดินมา ทำงานอยู่กับพรรคพวก กับเพื่อนฝูงในบริษัทบ้าง ในโรงงานบ้าง ในที่ราชการบ้าง ที่เราอยู่อยู่กับใครล่ะ อยู่กับชาวโลกเค๊าน่ะเพียบพร้อมไปด้วยกิเลส….กายวาจาใจไม่เป็นศีลเป็นธรรม แสดงออกทางกิริยา มารยาทไม่เรียบร้อย เสียงก็ไม่เพราะ พูดก็ไม่เพราะ ชอบพูดแต่คำหยาบๆ เสียดสี สงเสริมกิเลสตัณหา ทีนี้เราผู้ปฏิบัติธรรมน่ะ ได้ยินอย่างนั้น คอยดูกระแสจิตของตัวเอง กระแสจิตของตัวเองมันหล่นตามอารมณ์เค๊าหรือเปล่า มีความยินดีตามอารมณ์เค้าหรือเปล่า ตามกระแสอารมณ์ที่เราได้ยินมา มันแว็บเข้าไปหรือเปล่า มีความยินดีหรือเปล่า ยินดีขึ้นเราจะหลงหรือไม่หลงก็เอามาพิจารณา ถ้ายังมีความยินดีเราพยายามหาโทษใส่สิ่งที่เรายินดีนั้นมันมั่นคงแล้วเหรอ ทุกข์ไม่แฝงเหรอ มีแต่สุขล้วนๆเหรอ ถ้าเรานึกๆอย่างนั้นนะ เรารู้แล้วจิตมันก็ถอนกลับมันไม่ยินดี นี้คอยระวังจิตตรงนี้นะ อย่าคิดว่าตัวเองภาวนาเก่งแล้ว ต้องดูกระแสจิตของตัวเอง เวลาได้ยินเสียงกระทบเข้ามาทางวจีนี้มันจะมาทางใหน เรื่องความโกรธความหลงอะไร มันมีกระแสอยู่ในดวงจิตของเราหรือเปล่า เราต้องดูตรงนี้ให้มันละเอียด อย่าให้กิเลสมันเกิดขึ้น สังเกตุดูกิเลสให้รู้ทันกิเลสถ้าเราตามมันส่งเสริมมัน มันเคยสงบแต่พอมันพุ่งออกมา เรารักษาไม่ได้ จะนั่งสมาธิให้จิตสงบเหมือนเดิมมันจะไม่เป็น พอไปเจอทุกข์แล้วมันถูกทำลายหมดแล้ว แล้วจะมาร้องไห้อยากให้มันเป็นเหมือนเดิมมันยากนะ มันยาก ร้อยคนมันทนจากมาได้คนเดียวมันยาก อย่าประมาท ถ้าประมาทคือความตาย เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปลุ่มหลงในกิเลสทั้งหลาย มันแสดงกระแสออกมาถ้าเราไปหลงเมื่อไหร่คนนั้นน่ะเจอทุกข์ แน่นอน..."

(ธรรมเทศนา พระอาจารย์ไม อินทสิริ)






ทำอย่างไรจึงจะรู้กรรมเก่าในอดีตของเราว่ามีอะไรบ้างเพื่อที่เราจะได้แก้กรรมนั้นให้หายไป

ไม่ต้องมารับกรรมนั้นๆอีกจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่กรรมดีในชาตินี้ต่อไป โดยไม่ต้องพะวงกับกรรมเก่าในอดีตชาติ?

การที่จะรู้กรรมเก่าในอดีตไม่เป็นปัญหาสำคัญในเมื่อรู้แล้วมันไม่มีประโยชน์ กรรมที่เราทำลงไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะแก้ได้ มีทางเดียวคือว่าเราเชื่อกรรมและเชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ส่วนกรรมชั่วในชาติอดีตนั้น เราอาจจะมี แต่ในชาตินี้เรามีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีแล้ว และเชื่อกฎของกรรมแล้ว ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็พยายามละเว้นจากความชั่ว ทำแต่ดีเรื่อยไป ในเมื่อทำแต่ดีๆเรื่อยไป หากเรามีการทำสมาธิภาวนา เราสามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ส่วนผลกรรมเก่า แม้ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ก็ยังต้องได้รับอยู่ เช่น พระโมคคัลลาน์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่เราจะต้องไปแก้กรรมเก่า ทำแต่ความดีใหม่ในปัจจุบันนี้ให้มากๆขึ้น ถ้าหากว่ากรรมเก่าในอดีต ซึ่งมันอาจมีเพียงเล็กน้อย เมื่อเราทำดีในปัจจุบันให้มากขึ้นๆ กรรมใหม่นี่ ในเมื่อสะสมไว้มากๆเข้า
มันก็มีพลังพอจะหนุนจิตให้วิ่งเร็วขึ้น ในเมื่อผลกรรมใหม่บันดาลจิตของเราให้วิ่งเร็วขึ้น กรรมเก่าที่วิ่งตามมามันก็ช้าลง ทำให้ห่างจากของเก่าเรื่อยไป ถ้าหากเราได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ถึงแม้ว่ากรรมเก่ามันจะตามมาทันให้ผลในอัตภาพนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะประทุษร้ายจิตใจของเราให้เป็นอย่างอื่นได้.

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อ.เมือง
จ.นครราชสีมา




" .. เรา ก็คือ "ก้อนอัตตา" ตัวตน เมื่อมีก้อนอัตตาเมื่อใดแล้ว สุขก็ถูกเราทุกข์ก็ถูกเรา อะไรถูกเราหมด
ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงว่า ให้ทำลายก้อนอัตตา "เมื่อทำลายก้อนอัตตา คือ สักกายทิฐิ" นี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว "อนัตตา" ก็ไม่ต้องเรียก มันเป็นของมันเอง เมื่อหมดอัตตา อนัตตาก็เกิดขึ้นมาเอง .. "
หลวงพ่อชา สุภัทโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร