วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสืบพันธุ์: ระบบธรรมชาติที่แทบเลือนหาย ภายใต้อารยธรรมแห่งกามคุณ


เรื่องทำนองนี้อีกสักเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะชัดยิ่งขึ้นไปอีก น่าจะได้แก่เรื่องการสืบพันธ์ุของมนุษย์ มองอย่างภาพพจน์เสมือนดังว่า ชีวิตที่ต้องการสืบพันธุ์ เป็นฝ่ายหนึ่ง คนที่เสพเวทนา เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ชีวิตต้องการผลคือพันธ์ุไว้สืบต่อตน แต่ชีวิตไม่สามารถทำกิจเพื่อให้เกิดผลนั้นเองได้ จำต้องอาศัยคนช่วยทำให้


เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างดี ชีวิตจึงล่อคนด้วยรางวัล คือ สุขเวทนา เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านกายสัมผัส เนื่องด้วยการทำกิจนั้นแก่คน จนทำให้การทำกิจนั้น มีความหมายแก่ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ สำหรับชีวิต กิจกรรมเพศสัมพันธ์ หมายถึง การได้พันธุ์ไว้สืบต่อตน
สำหรับคน กิจกรรมเพศสัมพันธ์ หมายถึงการได้เสพสุขเวทนา


เมื่อเรื่องเป็นไปถึงขั้นนี้แล้ว ชีวิตก็ไม่ต้องยากลำบาก เพียงแต่รอคอยอยู่เฉยๆ เมื่อคนกระทำตามความต้องการของเขา ชีวิตก็พลอยได้รับผลที่ตนต้องการไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ก็เหมือนกับในกรณีของการกินอาหาร กล่าวคือ ในเมื่อคนกระทำการ มิใช่เพื่อได้พันธ์ุซึ่งเป็นผลของการกระทำนั้นโดยตรง แต่กระทำเพราะมันเป็นเงื่อนไขให้เขาได้รับสุขเวทนา
การกระทำก็จึงไม่เป็นไปอย่างพอเหมาะพอดีเพียงเท่าที่จะให้เกิดผลของมัน คือ การได้พันธ์ุที่ชีวิตต้องการ

แต่ความอยากเสพสุขเวทนาในด้านนี้ ได้ทำให้คนกระทำการ ซึ่งถือกันว่าเกินพอดี และรุนแรงได้มากมาย จนเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บ และอาชญากรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งขนาดย่อย และขนาดใหญ่ เป็นผลร้ายทั้งแก่คนผู้นั้นเอง และแก่ผู้อื่นตลอดจนสังคมทั่วไปทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของการสืบพันธ์ุนี้ ยังมีความเป็นไปที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการกินอาหารอีก กล่าวคือ ความไม่สมดุล มิใช่มีเพียงแค่ความไม่พอเหมาะพอดี ระหว่างการกระทำ กับ ผลที่ต้องการเท่านั้น คนผู้ถูกล่อให้กระทำ ยังหันกลับมาย้อนหักหลังชีวิตผู้เป็นเจ้าของความมุ่งหมายในการกระทำอีกด้วย คือ มีบ่อยครั้งที่คนต้องการเสพแต่สุขเวทนาอย่างเดียว ไม่ต้องการให้ชีวิตได้ผลคือพันธ์ุที่มันต้องการ คนจึงกระทำการที่เป็นเงื่อนไขให้เขาได้เสพเวทนาอันอร่อยสนองความต้องการของเขาฝ่ายเดียว พร้อมกับใช้วิธีต่างๆ ขัดขวางกีดกันไม่ให้ชีวิตพลอยได้รับผลที่มันต้องการแต่อย่างใดทั้งสิ้น


เพียงเท่านั้น ก็ยังพอทำเนา เมื่อคนเจริญด้วยตัณหามากขึ้น เขายิ่งทำสกปรกเอากับชีวิต หรือเอาเปรียบชีวิตมากขึ้นไปอีก จะว่าเขาซ้อนกลชีวิตเข้าบ้างก็ได้
คราวนี้ เขาพุ่งความสนใจมายังสุขเวทนาที่ชีวิตใช้เป็นรางวัลล่อเขา แล้วก็ครุ่นคิดหาทางที่จะทำให้สุขเวทนานั้นเข้มข้นแหลมคมหนักหน่วงท่วมท้นยิ่งขึ้น
เขาคิดค้นอุปกรณ์ และวิธีการต่างๆ ขึ้นมายั่วยุเร่งเร้าโหมกระพือไฟแห่งตัณหา ให้มีความรนร่านที่จะเสพเวทนาอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้น และจัดสรรปรุงแต่งวัสดุอุปกรณ์พร้อมทั้งวิธีการสำหรับเสพเสวย ให้วิจิตรผลาดแผลงพิสดารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังที่เกิดมีสถานอบายมุข และแหล่งบำเรอต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการนี้ เขามิได้แยแส หรือให้โอกาสแก่ความต้องการของชีวิตอย่างใดเลย และเขายังได้นำเอาวิธีการอย่างนี้ไปใช้ปฏิบัติ กับ กิจกรรมในการกินอีกด้วย จึงปรากฏเป็นการเสพติดในแบบต่างๆ แพร่หลายทั่วไป *


มนุษย์ที่ว่าเจริญมีอารยธรรม ควรจัดการสรรวิธีปฏิบัติ ที่จะให้เรื่องการสืบพันธ์ุนี้ เกิดมีผลดีแก่ชีวิตและสังคม โดยพัฒนาจิตใจของคนให้มีความซื่อตรงจริงใจ และความปรารถนาดีอย่างแท้จริงต่อชีวิต และต่อสังคมนั้น และให้คนรู้จักมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ที่มองเห็นตระหนัก และรู้เท่าทันความมุ่งหมายแท้จริงของความต้องการในระบบของธรรมชาติ เพื่อให้ปฏิบัติแต่พอดี ไม่ปล่อยให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาจนเกินไป ให้ระบบกิจกรรมสนองความต้องการด้านนี้ ทั้งความต้องการแท้ของธรรมชาติ และความต้องการเทียมของคน พอสมดุลกัน เป็นไปด้วยความรู้จักประมาณ
มิฉะนั้น อารยธรรมที่เรียกๆกันนี้ ก็จะเป็นไปได้แค่อารยธรรมจอมปลอม และน่าจะต้องล่มสลายเพราะกัดกินตัวมันเอง ที่จะไปถึงสันติสุขนั้น เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * คคห.บน

* แง่ที่การสืบพันธุ์เทียบกับการกิน ยุติเพียงแค่ในด้านตัณหาเท่านี้

ส่วนในด้านฉันทะ ไม่มีแง่ที่จะเทียบได้ เพราะการสืบพันธุ์ไม่มีเหตุผลเกี่ยวกับการให้ชีวิตเข้าถึงภาวะที่ดีงามใดๆ มีแต่อำนาจของภวตัณหาที่จะรักษาความมั่นคงถาวรของอัตตาอย่างเดียว

พูดอีกนัยหนึ่ง ว่า การปฏิบัติธรรมต้องอาศัยการกิน แต่ไม่ต้องอาศัยการสืบพันธุ์ หรือว่า การกินจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม แต่การสืบพันธุ์ไม่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม หรือว่า ชีวิตที่มีอยู่แล้วนี้ จะเป็นอยู่ได้ต้องอาศัยการกิน แต่ไม่ต้องอาศัยการสืบพันธ์ุ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลสำหรับให้ฉันทะเกิดขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอนนี้

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทความนี้ ท่านเขียนด้วยภาษาที่ไฮโซจนลูกทุ่งอย่างเราเข้าใจยากสักหน่อย

กรัชกาย เขียน:
เรื่องของการสืบพันธ์ุนี้ ยังมีความเป็นไปที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการกินอาหารอีก กล่าวคือ ความไม่สมดุล มิใช่มีเพียงแค่ความไม่พอเหมาะพอดี ระหว่างการกระทำ กับ ผลที่ต้องการเท่านั้น คนผู้ถูกล่อให้กระทำ ยังหันกลับมาย้อนหักหลังชีวิตผู้เป็นเจ้าของความมุ่งหมายในการกระทำอีกด้วย คือ
มีบ่อยครั้ง ที่คนต้องการเสพแต่สุขเวทนาอย่างเดียว ไม่ต้องการให้ชีวิตได้ผลคือพันธ์ุที่มันต้องการ คนจึงกระทำการที่เป็นเงื่อนไข ให้เขาได้เสพเวทนาอันอร่อยสนองความต้องการของเขาฝ่ายเดียว พร้อมกับใช้วิธีต่างๆ ขัดขวางกีดกันไม่ให้ชีวิตพลอยได้รับผลที่มันต้องการแต่อย่างใดทั้งสิ้น


เพียงเท่านั้น ก็ยังพอทำเนา เมื่อคนเจริญด้วยตัณหามากขึ้น เขายิ่งทำสกปรกเอากับชีวิต หรือเอาเปรียบชีวิตมากขึ้นไปอีก จะว่าเขาซ้อนกลชีวิตเข้าบ้างก็ได้
คราวนี้ เขาพุ่งความสนใจมายังสุขเวทนาที่ชีวิตใช้เป็นรางวัลล่อเขา แล้วก็ครุ่นคิดหาทางที่จะทำให้สุขเวทนานั้นเข้มข้นแหลมคมหนักหน่วงท่วมท้นยิ่งขึ้น
เขาคิดค้นอุปกรณ์ และวิธีการต่างๆ ขึ้นมายั่วยุเร่งเร้าโหมกระพือไฟแห่งตัณหา ให้มีความรนร่านที่จะเสพเวทนาอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้น และจัดสรรปรุงแต่งวัสดุอุปกรณ์พร้อมทั้งวิธีการสำหรับเสพเสวย ให้วิจิตรผลาดแผลงพิสดารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


พอดีเห็นตัวอย่างเทียบซึ่งเข้าใจข้อความข้างบนง่ายขึ้น :b32: ตัดมาสั้นๆ ดังนี้

อ้างคำพูด:
กรมศุลฯ จับยาปลุกเซ็กส์

หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษกรมศุลกากร ร่วมกันแถลงข่าว จับกุมสินค้าต้องกำกับประเภทยาไวอากร้า
ก่อนจะเข้าตรวจสอบพบของกลางเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ คามากร้า และ อปาเซีย ทั้งชนิดเม็ดซอง และเจล จำนวนกว่า 2 ล้านชิ้น รวมมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กินด้วยปัญญา พาให้กินพอดี

หันกลับมาพูดเรื่องการกินต่อไปอีก เท่าที่กล่าวมา ได้พูดถึงแรงเร้าที่กำหนดพฤติกรรมในการกินแล้ว ๒ อย่าง คือ ความหิว และตัณหา
แต่ความจริง ยังมีแรงเร้าอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถเข้ามาร่วมกำหนดพฤติกรรมนี้ด้วย แรงเร้านั้น คือ ฉันทะ ความใฝ่ธรรม หรือความใฝ่ดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกรณีของความหิวนั้น ฉันทะ หมายถึงความต้องการภาวะดีงาม ที่มีคุณค่าเป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริง กล่าวคือ ความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิต หรือความเป็นอยู่อย่างดีงามของชีวิต หรือภาวะดีงามที่ชีวิตควรจะเป็น คือเมื่อชีวิตจะเป็นอยู่ ก็พึงเป็นอยู่ด้วยดี อย่างเกื้อกูล อย่างมีคุณประโยชน์ ได้แก่ สุขภาพ ความอยู่สบาย ความไม่มีโรค ความไม่มีปัญหา ความไม่เป็นภาระ (เกินกว่าที่ควรจะเป็น) ความคล่องแคล่วเกื้อกูลแก่การทำกิจ เฉพาะอย่างยิ่งความเกื้อกูลหนุนต่อการพัฒนาชีวิต

กระบวนธรรมที่ฉันทะจะเกิดขึ้น ไม่เหมือน กับ ตัณหา กระบวนธรรมของตัณหานั้น ก่อตัวขึ้นภายในความห่อหุ้มของอวิชชา พออร่อย พอถูกใจ ก็ชอบ
พอไม่อร่อย ไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบ
พอได้เวทนา ตัณหาก็เกิด ต่อเนื่องตามกันไปได้อย่างเป็นไปเอง ตามที่รู้สึก โดยไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้ความสำนึกหรือความเข้าใจใดๆ ทั้งนั้น *

(โยงไปปฏิจจสมุปบาทโน่นเลย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * คคห.บน

*ความคิดความเข้าใจที่ว่านี้ เป็นชนิดที่แทรกเข้ามาตัดหน้าตัณหา จึงไม่พึงสับสน กับ ความนึกคิดที่เกิดตามเพื่อรับใช้สนองตัณหา คือ คิดหาทางแสวงหามาปรนปรือมัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนกระบวนธรรมของฉันทะ เป็นกระบวนธรรมแบบดับอวิชชา หรือจะเรียกว่ากระบวนธรรมแห่งปัญญาก็ได้ คือ
ต้องใช้ความคิด ความเข้าใจ หรือ มีความสำนึกรู้ กล่าวคือ เมื่อจะกินอาหาร เกิดความสำนึกรู้ หรือ ความรู้คิดเข้ามาแทรก ไม่ปล่อยกระแสความรู้สึกไหลเรื่อยจากเวทนา สู่ ตัณหา เตลิดไป กระบวนธรรมฝ่ายอวิชชาตัณหาก็ดับ หรือ เงียบหาย กลายเป็นกระบวนธรรมดับอวิชชาขึ้นมาแทน

ตัวเริ่มที่เข้ามาดับอวิชชา และ ตัดหน้าตัณหา ก็คือโยนิโสมนสิการ * ซึ่งแปลกันมาว่า การพิจารณาโดยแยบคาย แปลง่ายๆว่า ความคิดแยบคาย คิดถูกทาง หรือ คิดเป็น คือ คิดตรงสภาวะ หรือ คิดตรงตามเหตุตามผล

ในกรณีนี้ โยนิโสมนสิการ คิดสอบถามสืบสาวว่า การกินเป็นการกระทำเพื่อผลอะไร อะไรเป็นผลของการกระทำ คือ การกิน หรือ
พูดง่ายๆว่า กินเพื่ออะไร และสำนึกรู้ว่า การกินเป็นการกระทำเพื่อผล คือ การที่ร่างกายได้อาหารไปซ่อมเสริมตัวมัน หรือ กินเพื่อสนองความต้องการของร่างกาย ให้ร่างกายมีสุขภาพ ไร้โรค อยู่สบาย แคล่วคล่อง เหมาะแก่การทำกิจ ซึ่งเป็นภาวะดีงามที่ควรจะมีจะเป็นสำหรับชีวิต เพื่อให้กายเป็นกายที่ดี เพื่อให้ชีวิตเป็นชีวิตที่ดี ตามสภาวะของมัน

ทั้งนี้ มิใช่กินเพื่อเอร็ดอร่อย เพื่อสนุกสนานมัวเมา เพื่อโก้เก๋หรูหรา เป็นต้น * จนกลายเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ บ้าง เป็นเหตุเบียดเบียนกัน บ้าง ก่อให้เกิดกิเลสอื่นๆ เพิ่มขึ้น บ้าง ไม่เป็นไปเพื่อผลที่พึงประสงค์ของการกินอาหาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * คคห.บนตามลำดับ

* พึงเทียบกระบวนธรรม "โยนิโสมนสิการ เป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ, สติสัมปชัญญะ เป็นอาหารของอินทรียสังวร...โยนิโสมนสิการบริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์, สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ย่อมทำให้อินทรียสังวรบริบูรณ์" (องฺ.ทสก.24/62/127)

*พึงระลึกถึงคำสอนให้พิจารณาในการบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ ที่ท่านใช้คำว่า "โยนิโส ปฏิสังขา" (ไวพจน์คำหนึ่งของโยนิโสมนสิการ บทพิจารณานี้ ในสมัยหลังเรียกกันเป็นแบบว่า ตังขณิกปัจจเวกขณ์ แต่เรียกกันอย่างชาวบ้านว่า ปฏิสังขา-โย) ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสบ่อยๆ เฉพาะการบริโภคอาหารโดยการพิจารณาอย่างนี้ ท่านจัดเป็นโภชเนมัตตัญญุตา เช่น ม.ม.13/29/27 ฯลฯ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้

รูปภาพ

:b32:
ไหนว่าจบ555
สิกขาน่ะตลอดชีวิต
ที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบ
มันจบกิจไม่ได้เพราะยังเกิดอยู่
ยังปรุงรสตามใจชอบยังพอใจไม่พอใจ
เกิดอีกแน่นอนชอบอันเก่าก็จำไว้ชิมอันใหม่
อร่อยไม่เท่าอันเก่าก็ไม่ชอบมีทั้งกลิ่นที่ชอบและไม่ชอบ
เห็นปุ๊บหล่อสวยเลยมันเลือกได้ไหมมันดับแล้วทั้งหมดเกิดใหม่ตลอดเวลา
รถขนขยะขับผ่านมาจะไม่ให้เกิดอกุศลก็อุดจมูกหลับตาจะได้ไม่เห็นอย่างงั้นเหรอคะ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้

รูปภาพ

:b32:
ไหนว่าจบ555
สิกขาน่ะตลอดชีวิต
ที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบ
มันจบกิจไม่ได้เพราะยังเกิดอยู่
ยังปรุงรสตามใจชอบยังพอใจไม่พอใจ
เกิดอีกแน่นอนชอบอันเก่าก็จำไว้ชิมอันใหม่
อร่อยไม่เท่าอันเก่าก็ไม่ชอบมีทั้งกลิ่นที่ชอบและไม่ชอบ
เห็นปุ๊บหล่อสวยเลยมันเลือกได้ไหมมันดับแล้วทั้งหมดเกิดใหม่ตลอดเวลา
รถขนขยะขับผ่านมาจะไม่ให้เกิดอกุศลก็อุดจมูกหลับตาจะได้ไม่เห็นอย่างงั้นเหรอคะ
:b12:
:b16: :b16:


คุยกับคุณโรสนี่เหมือนคุยกับคนตาข้างเดียว หัวใจสองห้อง ก็เขาว่าไว้ตอนๆ ก็ดูเป็นตอนๆไปดิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

การคิดตามเหตุผล ตรงตามสภาวะ คือ โยนิโสมนสิการนี้ ไม่ใช่แรงจูงใจ โดยตัวของมันเอง แต่มันเป็นปัจจัยให้เกิดแรงจูงใจฝ่ายกุศล ที่เรียกว่า ฉันทะ คือนำไปสู่ความพอใจ ความปรารถนา ความต้องการ ในภาวะดีงาม ภาวะอยู่ดี หรือ ภาวะที่ควรจะเป็นของชีวิต อันได้แก่ ความมีสุขภาพ ความคล่องสบายของกายนั้น

เมื่อฉันทะเกิดขึ้นแล้ว ก็เขามาร่วมกำหนดพฤติกรรมในการกิน เป็นแรงเร้าที่สาม เป็นตัวควบคุม กับ ความหิว และเป็นตัวคาน กับ ตัณหา โดยเกิดแทรกซ้อนสลับ กับ ตัณหา นั้น ถ้ามีกำลังมากพอ ก็จะตัดโอกาสของตัณหาไปเสียทีเดียว

ฉันทะ ที่เกิดขึ้นในกรณีของการกินนี้ ก็จะช่วยนำไปสู่คุณธรรมที่เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา แปลว่า ความรู้จักประมาณ หรือ รู้จักพอดี ในการกิน หรือ กินพอดี

เท่าที่กล่าวมาในเรื่องการเกินนี้ จะเห็นว่ามีแรงเร้า หรือ แรงจูงใจอยู่ ๓ ประเภท คือ ความหิว ซึ่งเป็นแรงจูงใจเฉพาะกิจ เป็นกลางๆ ในทางจริยธรรม คือ ไม่ดี ไม่ชั่ว โดยตัวของมันเอง และมีตัณหา กับ ฉันทะ ซึ่งเป็นแรงจูงใจทั่วไปที่เข้ามาประกอบร่วม โดยเป็นภาวะตรงข้ามของกัน และกัน ตัณหา เป็นฝ่ายเสีย หรืออกุศล

ฉันทะเป็นกุศล หรือ ฝ่ายดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron