วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เห็นกบนอกกะลาในลานนี้ ตามไปลานโน้น :b13:

เห็นตั้งกระทู้คุยกันกระหนุ๋งกระหนิง เรื่องกินข้าวกินปลากันน่าอร่อย :b16:

"ใครบอกเรา..ว่า..ต้องกินข้าว 3 มื้อ?"

http://larndham.org/index.php?/topic/44 ... ntry827925

นึกถึงคำถามตอนเป็นเด็ก...คำถามเล่น ๆ แต่ไม่ได้เล่น

ปฐมเหตุที่ทำให้นึกถึงคำถามนี้..เพราะเพื่อนคุณแม่มาเยี่ยมแม่..และพักที่บ้านอยู่หลายคืน...

แล้วคุณน้าก็ล้อเล่น..ว่า.."ไม่ต้องเชื่อแม่ทุกอย่างก็ได้"...(คือแม่ไม่ทานเย็น..คุณน้าคงขาดความสนุกนิดหน่อย...ที่ไม่ได้ปารตี้ตอนเย็น.. )

ผมบอกไปว่า.."เปล่า..ผมทำเอง...ผมไม่กินข้าวเย็นก่อนคุณแม่..ซะอีก"

คุณน้า..แก..งง...

ผมเลยบอกว่า..ตอนเด็กๆ...ผมสงสัย...ทำไมเราไม่กินทีเดียวให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเลย...ใยต้องกินถึง 3 ครั้ง

..พระเจ้านี้..ไม่เก่งเลย...ไม่น่านับถือซักนิด


วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


#4

อ้างคำพูด:
ความหิว....

ความหิว...นี้..เพื่อนๆคิดว่า..มันเกี่ยวกับ...ร่างกายขาดพลังงาน..มั้ยครับ?

้ถ้า..ความหิว...เกี่ยวข้องเพราะร่างกายขาดพลังงาน

สมมุติ...วันหนึ่งๆ..ร่างกายต้องการปริมาณพลังงานเท่ากับข้าว 3 จาน..สมมุติ..นะ

้ถ้าเราทานข้าวเช้าทั้ง 3 จานในมื้อเดี่ยว...เลยนี้...มื้อที่เหลือ...ก็ไม่ควรจะหิว...จริงมั้ย?

ความจริง...ต่อให้เราทานข้าวให้พลังงานทั้งวัน..ในมื้อเช้ามื้อเดียว..พอถึงตอนเที่ยง...ก็ยังหิวอยู่ดี..ตอนเย็น..ไม่ต้องพูดถึงเลย...

นี้..แสดงว่า...ความหิว...ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง...ไม่ใช่อาการแสดงว่า..ร่างกายขาดพลังงาน

เพื่อนๆ...เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้..ของผม..มั้ยครับ?



คำถามของกบสุดท้าย ซึ่งยังไม่มีใครตอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มให้เห็นที่มาหน่อยก่อน แล้วจะตัดเข้าเรื่องการกินอาหาร

ปัญหาเกี่ยวกับแรงจูงใจ


มีคำถามและคำกล่าวเชิงค่อนว่าพระพุทธศาสนา ที่ได้พบบ่อยครั้งซึ่งน่าสนใจ เห็นควรนำมาพิจารณาในที่นี้ คือ คำพูดทำนองว่า


@ พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา ไม่ให้มีความอยาก เมื่อคนไม่อยากได้ ไม่อยากร่ำรวย จะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร ? คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดขวางต่อการพัฒนา


@ นิพพานเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมก็เพื่อบรรลุนิพพาน แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะอยากในนิพพานไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ ก็กลายเป็นตัณหา กลายเป็นปฏิบัติผิด เมื่อไม่อยากได้แล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งกันเอง และเป็นการให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามและคำค่อนว่า ๒ ข้อนี้ ฟังดูเหมือนว่าจะกระทบหลักการของพระพุทธศาสนาตลอดสาย ตั้งแต่การดำเนินชีวิตประจำวันของชาวบ้าน จนถึงการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือตั้งแต่ระดับโลกีย์ จนถึงโลกุตระ

แต่ที่จริง ความสงสัยหรือการค่อนว่านั้น มิได้กระทบอะไรต่อพระพุทธศาสนา แต่กลับสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ที่สงสัยหรือค่อนว่าก็ตาม ไม่เข้าใจทั้งธรรมชาติของมนุษย์ และมองพระพุทธศาสนาไม่ออก


ความเข้าใจพร่ามัวสับสนที่เป็นเหตุให้เกิดคำถามและคำค่อนว่าเช่นนี้ มีอยู่มาก แม้แต่ในหมู่ชาวพุทธเอง และเป็นปัญหาเกี่ยวกับถ้อยคำ หรือเป็นเรื่องของทางภาษาด้วย


จุดสำคัญ คือ คนทั่วไปได้ยินว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา และตัณหานั้น แปลว่า ความอยาก และจะด้วยเหตุใดก็ตาม
ต่อมาคนทั่วๆไปนั้น ก็ไม่รู้จักแยกแยะ รู้เข้าใจเพียงแค่ว่า ตัณหาคือความอยาก และความอยากก็คือตัณหา ไปๆมาๆ เลยเข้าใจว่าคำว่า ความอยาก เป็นตัณหาทั้งหมด และ
เข้าใจต่อไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ละความอยาก หรือสอนไม่ให้มีความอยากใดๆเลย


นอกจากนั้น บางทีรู้จักข้อความอื่นที่มีความหมายทำนองเดียวกันนี้ แต่รังเกียจที่จะแปลว่า ความอยาก จึงเลี่ยงแปลเป็นอื่นไปเสีย เมื่อถึงคราวจะพูดเรื่องเกี่ยวกับความอยาก จึงลืมนึกถึงคำนั้น


ถ้าจะศึกษาธรรม ถ้าจะเข้าใจพระพุทธศาสนา จะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ เบื้องแรก พูดไว้สั้นๆก่อนว่า ตัณหาเป็นความอยาก (ชนิดหนึ่ง) แต่ความอยากไม่ใช่คือตัณหา ความอยากเป็นตัณหา ก็มี ไม่เป็นตัณหา ก็มี
ความอยากที่ดี ซึ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม และต้องใช้ในการพัฒนามนุษย์ ก็มี

ความอยากนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องเข้าใจกันให้ชัดเต็มที่ ถ้ามิฉะนั้น จะไม่มีทางเข้าถึงพระพุทธศานา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

อาหารปัจจัยของปัญญาคือการฟังพระพุทธพจน์
https://youtu.be/z5SuIX2B1Ag


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 03:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กิเลสหมดเพราะมีปัญญา
ไม่ได้หมดเพราะอดอาหาร
หิวแล้วไม่มีอะไรหม่ำคือโทสะ
ไม่ว่าจะนั่งนานจนปวดเมื่อยหรือหิวคือขุ่นใจ
อัตกิลมัตถานุโยโค...ทรมาณกายให้เดือดร้อน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

อาหารปัจจัยของปัญญาคือการฟังพระพุทธพจน์
https://youtu.be/z5SuIX2B1Ag

หิวอาหารปัจจัยทางปัญญาบ้างหรือยัง
ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังเห็นดับ
ระหว่างที่กำลังฟังพระพุทธพจน์อยู่
หยุดฟังปุ๊บกิเลสในจิตไหลไปเลย
เหมือนขอนไม้ลอยตามน้ำไงคะ
กระแทกฝั่งซ้ายทีขวาทีเจ็บไหมคะ
รู้สึกตัวกันหรือยังว่าลืมพึ่งพระรัตนตรัย
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
กิเลสหมดเพราะมีปัญญา
ไม่ได้หมดเพราะอดอาหาร
หิวแล้วไม่มีอะไรหม่ำคือโทสะ
ไม่ว่าจะนั่งนานจนปวดเมื่อยหรือหิวคือขุ่นใจ
อัตกิลมัตถานุโยโค...ทรมาณกายให้เดือดร้อน
:b32: :b32:

:b8:

ครับหิวแล้วก็ต้องกินต้องทานเพราะ
ร่างกายต้องการ กิเลสหมด เพราะมีปัญญา
แต่การหัวเราะคนอื่นหรือหัวเราะบ่อยๆนี้ก็จัด
เป็นกิเลส และอกุศลเช่นกัน หากสติปัญญา
ของคุณ โรส มากลองเอาการหัวเราะออกหรือ
ไม่หัวเราะดูจะทำได้ไหมลองดู?
หากปัญญามีมากพอผมว่าต้องทำได้แน่นอน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนา ยอมรับ และยืนยันความจำเป็นทางวัตถุ โดยเฉพาะปัจจัย ๔ ดังเช่น พุทธพจน์ที่ตรัสบ่อยว่า
สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา” สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร (ที.ปา.11/226/226; 375/289 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

อาหารปัจจัยของปัญญาคือการฟังพระพุทธพจน์
https://youtu.be/z5SuIX2B1Ag

:b8:

ขอเพิ่มให้ครับ คือการอ่านพระไตรปิฏก อรรถกถา
..... และการลงมือปฏิบัติตาม

จะมีใครเล่าเทียบเท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นเป็น
หนึ่ง เป็นสุดยอด

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 12:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นกบนอกกะลาในลานนี้ ตามไปลานโน้น :b13:

เห็นตั้งกระทู้คุยกันกระหนุ๋งกระหนิง เรื่องกินข้าวกินปลากันน่าอร่อย :b16:

"ใครบอกเรา..ว่า..ต้องกินข้าว 3 มื้อ?"

http://larndham.org/index.php?/topic/44 ... ntry827925

นึกถึงคำถามตอนเป็นเด็ก...คำถามเล่น ๆ แต่ไม่ได้เล่น

ปฐมเหตุที่ทำให้นึกถึงคำถามนี้..เพราะเพื่อนคุณแม่มาเยี่ยมแม่..และพักที่บ้านอยู่หลายคืน...

แล้วคุณน้าก็ล้อเล่น..ว่า.."ไม่ต้องเชื่อแม่ทุกอย่างก็ได้"...(คือแม่ไม่ทานเย็น..คุณน้าคงขาดความสนุกนิดหน่อย...ที่ไม่ได้ปารตี้ตอนเย็น.. )

ผมบอกไปว่า.."เปล่า..ผมทำเอง...ผมไม่กินข้าวเย็นก่อนคุณแม่..ซะอีก"

คุณน้า..แก..งง...

ผมเลยบอกว่า..ตอนเด็กๆ...ผมสงสัย...ทำไมเราไม่กินทีเดียวให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเลย...ใยต้องกินถึง 3 ครั้ง

..พระเจ้านี้..ไม่เก่งเลย...ไม่น่านับถือซักนิด


วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

อาหารปัจจัยของปัญญาคือการฟังพระพุทธพจน์
https://youtu.be/z5SuIX2B1Ag

:b8:

ขอเพิ่มให้ครับ คือการอ่านพระไตรปิฏก อรรถกถา
..... และการลงมือปฏิบัติตาม

จะมีใครเล่าเทียบเท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นเป็น
หนึ่ง เป็นสุดยอด

:b8:


เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระไตรปิฎกยังไม่เกิด หมายความว่า พระไตรปิฎกเกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้สามเดือน พระมหากัสสปะจึงดำริรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงที่นี่ที่นั่นกับบุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นหมวดเป็นหมู่ขึ้น

เบื้องแรกเป็นการท่องจำปากเปล่าสืบต่อกันมา ต่อมาอีกนานโข (ตรงนี้จำตัวเลขปีไม่ได้) จึงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลาไม่กินข้าวมื้อเย็น

อ้างคำพูด:
วันนี้เลยนึกสนุก....เอามาตั้งเป็นคำถาม...เพื่อนๆ..พอจะรู้มั้ย...ว่า..ทำไมเราถึงกินตั้ง 3 มื้อ...?


ตอบ: น่าจะเกิดจากตอนป่วยไม่สบาย แล้วไปหาหมอหมอตรวจแล้วก็จ่ายยา บอกว่า ให้กินยานี้หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น (โรคบางอย่างสั่งให้กินก่อนนอนอีกนะ) :b1: ตั้งแต่โน้นมาไม่รู้ใครเป็นคนแรก มนุษย์เราเลยกินข้าวกัน 3 มื้อมาจนถึงบัดนี้

อาหารปัจจัยของปัญญาคือการฟังพระพุทธพจน์
https://youtu.be/z5SuIX2B1Ag

:b8:

ขอเพิ่มให้ครับ คือการอ่านพระไตรปิฏก อรรถกถา
..... และการลงมือปฏิบัติตาม

จะมีใครเล่าเทียบเท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นเป็น
หนึ่ง เป็นสุดยอด

:b8:


เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระไตรปิฎกยังไม่เกิด หมายความว่า พระไตรปิฎกเกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้สามเดือน พระมหากัสสปะจึงดำริรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงที่นี่ที่นั่นกับบุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นหมวดเป็นหมู่ขึ้น

เบื้องแรกเป็นการท่องจำปากเปล่าสืบต่อกันมา ต่อมาอีกนานโข (ตรงนี้จำตัวเลขปีไม่ได้) จึงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น

:b8:

การกินแต่น้อยคือน้อยมื้อ กินแต่พอประมาณทำ
ให้เราสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นได้ง่ายขึ้น ตัวเบา
กว่าเดิมคนที่อ้วนมากๆ เห็นแล้วน่าสงสารครับ เดินก็
หนักตัว หากน้ำหนักมากๆ ก็ทำให้ปวดข้อ เจ็บแถวๆ
เอว เพราะน้ำหนักของพุ่งดึงกระดูกไปข้างหน้ามาก
และอื่นๆ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาพการกิน ภายใต้ครอบงำของระบบเงื่อนไข


เมื่อร่างกายขาดอาหาร ย่อมต้องการอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ต่อไป ความต้องการอาหารนี้ แสดงออกเป็นอาการอย่างหนึ่ง เรียกว่า ความหิว คือ ต้องการกิน
เมื่อกระบวนธรรมดำเนินมาถึงตอนนี้ ถือว่า ตัดตอนออกไปได้เป็นช่วงที่หนึ่งของพฤติกรรมในการกิน


ช่วงนี้ ทางธรรมถือว่า เป็นกระบวนการทำงานของร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนวิบาก เป็นกลางในทางจริยธรรม คือ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่เป็นกุศลไม่เป็นอกุศล แม้แต่พระอรหันต์ก็มีความหิว


ความหิวเป็นแรงเร้า ทำให้เกิดการกระทำ คือ การกิน และเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมในการกิน เช่น หิวมากทำให้กินมาก หิวน้อยทำให้กินน้อย


แต่ความหิวไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดหรือบ่งชี้พฤติกรรมในการกิน พูดอีกนัยหนึ่งว่า ความหิวอย่างเดียวไม่อาจอธิบายพฤติกรรมทั้งหมดของการกิน หรือว่า คนไม่ใช่กินเพราะหิวอย่างเดียว ดังนั้น จึงได้กล่าวว่า เมื่อความหิวเกิดขึ้นแล้ว หรือเมื่อความต้องการกินเกิดขึ้นแล้ว ถือเป็นจบช่วงที่หนึ่งของพฤติกรรมในการกิน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร