วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หุงข้าว ใส่ข้าวสารลงในหม้อข้าวแล้ววางไว้ข้างบนแผ่นหินเหล่านั้น แผ่นหิน
ก็จะลุกเป็นไฟขึ้นทันที เมื่อข้าวสุกก็ดับ ด้วยสัญญาณนั้น ชนทั้งหลายก็รู้ว่า
ข้าวสุกแล้ว. แม้ในเวลาแกงเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อาหารของชน
เหล่านั้นย่อมหุงต้มด้วยหินให้เกิดไฟอย่างนี้ ชนทั้งหลายย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่ง
แก้วมณี ย่อมไม่รู้จักแสงสว่างของไฟหรือของประทีป. โชติกเศรษฐีได้ปรากฏ

ไปทั่วชมพูทวีปว่า มีสมบัติถึงปานนี้ มหาชนขึ้นยานเป็นต้น มาเพื่อจะเห็น.
โชติกเศรษฐีให้ภัตตาหารแห่งข้าวสารจากอุตตกุรุทวีปแก่คนที่มาแล้ว ๆ สั่งว่า
ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้าและอาภรณ์จากต้นกัลปพฤกษ์เถิด สั่งว่า ชนทั้งหลาย
จงเปิดปากหม้อขุมทรัพย์ คาวุตหนึ่งแล้วถือเอาให้เพียงพอ. เมื่อชาวชมพูทวีป
ทั้งสิ้นถือเอาทรัพย์ไป หม้อขุมทรัพย์ก็มิได้พร่องแม้เพียงองคุลี นี้เป็นฤทธิ์
ของท่านผู้มีบุญนั้น.

บทว่า ชฏิลสส คหปติสส ปุญญวโต อิทธิ ฤทธิ์ของชฎิล-
คหบดีผู้มีบุญ คือ เศรษฐีในเมืองตักกศิลาสะสมบุญ สร้างธาตุเจดีย์ของผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ชื่อชฎิล. นัยว่ามารดาของชฎิลนั้นเป็นธิดาของ
เศรษฐี ในกรุงพาราญสีมีรูปสวยยิ่งนัก. เมื่อธิดามีอายุได้ ๑๕–๑๖ ปี มารดา

บิดาให้นางอยู่บนพื้นบนของปราสาท ๗ ชั้นเพื่อดูแล. วันหนึ่งวิชาธรเหาะไป
ทางอากาศเห็นนางเปิดหน้าต่างมองดูภายนอกเกิดสิเนหา จึงเข้าไปทางหน้าต่าง
ทำสันถวะกับนาง. นางจึงตั้งครรภ์ด้วยเหตุนั้น.

ลำดับนั้น ทาสีเห็นนางจึงถามว่า นี่อะไรกันแม่. นางกล่าวว่า อย่า
เอ็ดไป เจ้าอย่าบอกใคร ๆ เป็นอันขาด. ทาสีก็นิ่งเพราะความกลัว. ครบ
๑๐ เดือน นางก็คลอดบุตร ให้ทาสีนำภาชนะใหม่มาให้ทารกนอนบนภาชนะนั้น
แล้วปิดภาชนะนั้นเสีย วางพวงดอกไม้ไว้ข้างบนสั่งทาสีว่า เจ้าจงยกภาชนะนี้
เทินศรีษะไปทิ้งที่แม่น้ำคงคา เมื่อผู้คนถามว่า นี้อะไร เจ้าพึงบอกว่าเป็น
พลีกรรมของแม่เจ้าของฉัน. ทาสีได้ทำตามนั้น. ที่แม่น้ำคงคาทางใต้น้ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หญิงสองคนอาบน้ำเห็นภาชนะนั้น ลอยน้ำมา คนหนึ่งพูดว่า นั่นภาชนะ
ของฉัน คนหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่อยู่ภายในภาชนะนั้นเป็นของฉัน เมื่อภาชนะ
ลอยมาถึง หญิงคนหนึ่งแบกภาชนะนั้นมาวางไว้บนบก ครั้นเปิดออกเห็นทารก
จึงกล่าวว่า ทารกต้องเป็นของฉัน เพราะเธอพูดว่า ภาชนะเป็นของฉัน.
หญิงคนหนึ่งพูดว่า ทารกเป็นของฉันเพราะเธอพูดว่า สิ่งที่อยู่ภายใน
ภาชนะนั้นเป็นของฉัน. หญิงทั้งสองนั้นเถียงกัน พากันไปศาลเมื่อผู้พิพากษา
ไม่อาจตัดสินได้ ได้พากันไปเฝ้าพระราชา.

พระราชาทรงสดับคำของหญิงทั้งสองนั้นแล้วตรัสสั่งว่า เจ้าจงรับทารก
ไป เจ้าจงรับภาชนะไป หญิงที่ได้ทารกไปเป็นอุปัฏฐากของพระมหากัจจายน-
เถระ. นางเลี้ยงดูทารกนั้นด้วยหวังว่าจะให้บวชในสำนักของพระเถระ. ในวัน
ที่ทารกนั้นคลอด เพราะไม่ล้างทินของครรภ์แล้วนำออกไป ผมจึงยุ่ง

ด้วยเหตุนั้น จึงชื่อว่า ชฎิล. เมื่อทารกนั้นเดินได้ พระเถระเข้าไปบิณฑบาต
ยังเรือนนั้น. อุบาสิกานิมนต์พระเถระให้นั่งแล้วถวายอาหาร. พระเถระเห็น
ทารก จึงถามว่า อุบาสิกา ท่านได้ทารกมาหรือ. นางตอบว่า เจ้าค่ะ ดิฉัน
เลี้ยงดูมาด้วยหวังว่าจะให้บวชในสำนักของพระคุณท่านเจ้าค่ะ.

พระเถระรับว่าดีละ แล้พาทารกนั้นไปตรวจดูว่าทารกนี้จะมีบุญกรรม
เพื่อเสวยสมบัติของคฤหัสถ์ไหมหนอ คิดว่า สัตว์ผู้มีบุญจักได้เสวยมหาสมบัติ
ตอนเป็นหนุ่มก่อน แม้ญาณของเขาก็ยังไม่แก่กล้าพอ จึงพาทารกนั้นไปเรือน
ของอุปัฏฐาก คนหนึ่งในเมืองตักกศิลา.

อุปัฏฐากนั้นยืนไหว้พระเถระเห็นทารกจึงถามว่าได้ทารกมาหรือ พระ-
เถระตอบว่า ถูกแล้วอุบาสก ทารกนี้จักบวช แต่ยังหนุ่มนักขอให้อยู่กับท่านไป
ก่อน อุบาสกรับว่าดีแล้วพระคุณท่าน จึงตั้งทารกนั้นไว้ในฐานะบุตรประดับ
ประคองอย่างดี อนึ่ง ในเรือนของอุปัฏฐากนั้น มีสินค้าสะสมมาตลอด ๑๒ ปี
อุปัฏฐากนั้นไปในระหว่างบ้านนำสินค้านั้นทั้งหมดไปตลาดบอกราคาของสินค้า
นั้นแก่ชฎิลกุมารแล้วกล่าวว่า เจ้าพึงรับทรัพย์เท่านี้ ๆ แล้วให้ไปในวันนั้น

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เทวดาผู้รักษานครบันดาลให้ผู้มีความต้องการโดยที่สุด แม้ยี่เหร่าและพริกให้
มุ่งหน้าไปตลาดของชฎิลกุมารนั้น ชฎิลกุมารนั้นขายสินค้าที่สะสมมาตลอด
๑๒ ปี หมดในวันเดียวเท่านั้น กุฎุมพีมาไม่เห็นอะไร ๆ ในตลาด จึงพูดว่า พ่อ
คุณ เจ้าทำสินค้าหายไปหมดแล้วหรือ ชฎิลกุมารบอกไม่หายดอกพ่อ ฉันขาย

หมดตามที่พ่อสั่งไว้ว่าของอย่างโน้นราคาเท่านี้ ของอย่างนี้ราคาเท่านั้น เพราะ
เหตุนั้น สินค้าทั้งหมดจึงได้ตามราคา กุฎุมพีเลื่อมใสคิดว่าชายที่หาค่ามิได้
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่ว่าในกาลไหน ๆ จึงยกลูกสาวของตนซึ่งเจริญวัยแล้ว
ให้แก่เขาแล้ว สั่งคนงานว่าจงสร้างเรือนให้ชฎิลกุมาร เมื่อสร้างเรือนเสร็จจึง

กล่าวว่า เจ้าทั้งสองจงไปอยู่ที่เรือนของตนเถิด ในขณะที่เขาเข้าเรือนพอเท้า
ข้างหนึ่งเหยียบธรณีประตู สุวรรณบรรพตประมาณ ๘๐ ศอก ผุดขึ้นในพื้น
ที่ส่วนหลังสุดของเรือน นัยว่าพระราชาทรงสดับว่า สุวรรณบรรพตผุดขึ้น
ทำลายพื้นที่ในเรือนของชฎิล จึงทรงส่งเศวตฉัตรไปให้ชฎิลนั้น ชฎิลนั้นจึงได้
ชื่อว่าชฎิลเศรษฐี นี่เป็นฤทธิ์ของผู้มีบุญนั้น.

บทว่า เมณฑกสส คหปติสส ปุญญวโต อิทธิ ฤทธิ์ของ
เมณฑกคหบดีผู้มีบุญ คือ เครษฐีในภัททิยนครแคว้นมคธได้สะสมบุญญาธิการ
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ชื่อเมณฑกะ ได้ยินว่าที่หลัง
เรือนของเศรษฐีนั้นมีแกะทองคำประมาณเท่าช้าง ม้าและโคอุสภะในที่ประมาณ
๘ กรีส ทำลายแผ่นดินผุดขึ้นหลังกับหลังชนกันลูกคลีหนังของด้าย ๕ สี ใส่

ไว้ในปากของแกะทองคำเหล่านั้น ชนทั้งหลายเมื่อมีความต้องการด้วยเนยใส
น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้นก็ดี ด้วยเครื่องปกปิดเงินและทองเป็นต้นก็ดี
ดึงลูกคสีหนังออกจากปากของแกะทองคำเหล่านั้น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง เครื่อง
นุ่งห่มเงินและทองเพียงพอแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ออกจากปากของแกะแม้ตัว
หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐีนั้นก็ปรากฏชื่อว่า เมณะกเศรษฐี นี้เป็นฤทธิ์ของผู้มี
บุญนั้น.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า โฆสิตสส คหปติสส ปญญวโต อิทธิ ฤทธิ์ของโฆสิต
คหบดีผู้มีบุญคือเศรษฐีในกรุงโกสัมพีแคว้นสักกะ สะสมบุญญาธิการในพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าโฆสิต นัยว่าเศรษฐีนั้นจุติจากเทวโลกบังเกิดในท้องของ
หญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี ในวันคลอด หญิงงามเมืองนั้นให้ทารกนอนบน
กระด้งแล้วให้เอาไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ กาและสุนัขทั้งหลายนั่งห้อมล้อมทารกนั้น

ชายคนหนึ่งเห็นดังนั้น จึงได้ความสำคัญว่าเป็นบุตรคิดว่า เราได้บุตรแล้วจึงนำ
ไปเรือน ในกาลนั้นโกสัมพิกเศรษฐีเห็นปุโรหิตจึงถามว่า ท่านอาจารย์วันนี้ท่าน
ตรวจดูฤกษ์ดิถีแล้วหรือ เมื่อปุโรหิตตอบว่า ดูแล้วท่านมหาเศรษฐี จึงถามว่า
จักมีอะไรแก่ชนบท ปุโรหิตตอบว่า ในนครนี้เด็กเกิดวันนี้จักเป็นเศรษฐีผู้ใหญ่
ในกาลนั้น ภริยาของเศรษฐีมีครรภ์แก่ เพราะฉะนั้น เศรษฐีนั้นจึงรีบสั่งคนไป
เรือนสั่งว่า เจ้าจงไป จงรู้ว่าภริยาของเราคลอดทารกหรือยังไม่คลอด ครั้นสดับ

ว่ายังไม่คลอด จึงไปเรือนเรียกนางกาฬีทาสีมาให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ สั่งว่า เจ้าจงไป
จงสืบดูในนครนี้แล้วนำทารกที่เกิดในวันนี้มา ทาสีไปเที่ยวสืบดูก็ไปถึงเรือนนั้น
เห็นทารกรู้ว่าเกิดในวันนั้นจึงให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ นำทารกมาให้แก่เศรษฐี เศรษฐี
คิดว่าถ้าลูกสาวของเราจักเกิด เราจะแต่งงานทารกนั้นให้กับลูกสาวแล้วให้ดำรง
ตำแหน่งเศรษฐี ถ้าเป็นบุตรชายเกิด เราจักฆ่าทารกนั้นเสีย แล้วเลี้ยงดูทารก
นั้นให้เติบโตในเรือน.

ลำดับนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ภริยาของเศรษฐีคลอดบุตรชาย เศรษฐี
คิดว่าเมื่อไม่มีทารกนี้บุตรของเราก็จักได้ตำแหน่งเศรษฐี บัดนี้ เราควรจะฆ่า
ทารกนั้นเสียแล้วเรียกนางกาฬีสีมาสั่งว่า นี่แน่แม่สาวใช้ ในเวลาโคออกจาก
คอก เจ้าจงให้ทารกนี้นอนขวางในท่ามกลางประตูคอก แม่โคทั้งหลายจักเหยียบ

ทารกนั้นให้ตาย เจ้ารู้ว่าทารกนั้นถูกแม่โคเหยียบหรือไม่เหยียบแล้วจงกลับมา
นางกาฬีสีไป พอคนเลี้ยงโคปิดประตูคอกก็ให้ทารกนั้นนอนเหมือนอย่างนั้น
โคอุสภะหัวหน้าฝูงโคครั้งก่อน ๆ ออกภายหลังโคทั้งหมด แต่วันนั้นออกก่อนโค
ทั้งหมด ยืนคล่อมทารกไว้ในระหว่างเท้าทั้ง ๔ แม่โคหลายร้อยตัวออกเสียดสีข้าง
ทั้งสองของโคอุสภะ แม้คนเลี้ยงโคก็คิดว่าโคอุสะภนี้เมื่อก่อนออกภายหลังโค

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทั้งหมด แต่วันนี้ออกก่อนยืนนิ่งที่กลางประตู นี่มันอะไรกันหนอ จึงเดินไปเห็น
ทารกนอนอยู่ภายใต้โคอุสภะนั้น จึงได้ความสิเนหาในบุตรคิดว่า เราได้บุตรแล้ว
จึงนำไปเรือน นางกาฬีทาสีกลับไปเศรษฐีถามจึงบอกความทั้งหมด เศรษฐีบอก
ว่าเจ้าจงไปให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ นี้ แก่คนเลี้ยงโค แล้นำทารกนั้นมาอีก.

ครั้นนั้นเศรษฐีจึงบอกนางกาฬีทาสีว่า แม่ทาสีในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐
เล่ม ออกในย่ำรุ่งไปทำการค้าขาย เจ้าจงนำทารกนี้ให้นอนที่ทางล้อหรือโค
ทั้งหลายจักเหยียบทารกนั้น หรือล้อจักขยี้เสีย เจ้ารู้ความเป็นไปแล้วกลับมา
นางทาสีไปให้ทารกนอนที่ทางล้อ หัวหน้าคนขับเกวียนได้ออกไปข้างหน้า.

ลำดับนั้น โคของหัวหน้าคนขับเกวียนถึงที่นั้นแล้วจึงสลัดแอก แม้คน
ขับเกวียนยกขึ้นบ่อย ๆ แล้วขับไปก็ไม่ยอมไปข้างหน้า เมื่อคนขับเกวียนนั้น
พยายามอยู่กับโคเหล่านั้นอย่างนี้ อรุณขึ้นแล้ว คนขับเกวียนคิดว่าโคทำอะไร
ครั้นเห็นทารกจึงคิดว่า กรรมหนักหนอ ดีในว่าเราได้บุตร จึงนำทารกนั้นไป
เรือน แม้นางกาฬีก็กลับ ถูกเศรษฐีถามเล่าเรื่องให้ฟัง เศรษฐีกล่าวว่าเจ้าจงไป
ให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้วนำทารกนั้นมา นางกาฬีก็ได้ทำตามนั้น.

ลำดับนั้น เศรษฐีกล่าวกะนางกาฬีนั้นว่า บัดนี้เจ้าจงนำทารกนั้นไปป่าช้า
ผีดิบแล้วให้นอนระหว่างกอไม้ สุนัขเป็นต้น ณ ที่นั้น จักเคี้ยวกินเสีย หรือ
อมนุษย์จักประหารเสีย เจ้าพึงรู้ว่าทารกนั้นตายหรือไม่ตาย นางกาฬีนั้นนำ
ทารกนั้นไปให้นอน ณ ที่นั้นแล้วยืนในข้างหนึ่ง สุนัขเป็นต้นหรือมนุษย์ไม่
สามารถจะเข้าใกล้ได้ ลำดับนั้น คนเลี้ยงแพะคนหนึ่ง นำแพะไปหาอาหาร
ข้างป่าช้า.

แพะตัวหนึ่งเคี้ยวกินใบไม้อยู่เข้าไประหว่งกอไม้เห็นทารกแล้วยืนคุก-
เข่าให้นมทารก เมื่อคนเลี้ยงแพะให้เสียงว่า เฮ้ เฮ้ ก็ไม่ออกไป คนเลี้ยงแพะ
คิดว่าเราจะต้องตีแพะนั้นนำออกไป จึงเข้าไปในระหว่างกอไผ่เห็นแพะยืนคุกเข่า
ให้ทารกดื่มนมได้ความสิเนหาในทารกว่าเป็นบุตร คิดว่า เราได้บุตรแล้ว จึงพา
กลับไป นางกาฬีกลับไปถูกเศรษฐีถามจึงเล่าเรืองให้ฟัง เศรษฐีกล่าวว่าเจ้าจง
ไปจงให้ทรัพย์คนเลี้ยงแพะ ๑,๐๐๐ แล้วนำทารกมาอีก นางกาฬีได้ทำตามนั้น.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น เศรษฐีจึงพูดกะนางกาฬีว่า เจ้าจงพาทารกนี้ไปขึ้นภูเขา
เหวโจร แล้วโยนลงในเหว ทารกก็จะถูกกระแทรกที่หลืบเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
จักตกลงบนพื้น เจ้าพึงรู้ว่าทารกนั้นตายหรือไม่ตายแล้วกลับมา นางกาฬีนำ
ทารกนั้นไปตามนั้นยืนอยู่บนยอดเขาแล้วโยนทารกลงไป พุ่มไผ่ใหญ่อาศัยหลืบ
ภูเขานั้นงอกงามไปตามภูเขาพุ่มชะเอมหนาทึบคลุมยอดพุ่มไผ่นั้น ทารกเมื่อ
ตกลงไป ก็ได้ตกลงบนพุ่มชะเอมนั้นดุจตกในเปลฉะนั้น ในวันนั้นหัวหน้า

ช่างจักสานถึงเวลาจะตัดไม้ไผ่จึงไปกับบุตรเริ่มจะตัดพุ่มไม้ไผ่นั้น เมื่อพุ่มไม้
ไผ่ไหว ทารกได้ร้อง เขาได้ยินเหมือนเสียงทารกจึงขึ้นอีกข้างหนึ่งเห็นทารกนั้น
ดีใจว่าเราได้บุตรแล้ว จึงพาทารกลับ นางกาฬีกลับไปถูกเศรษฐีถามจึงเล่าเรื่อง
ให้ฟัง เศรษฐีบอกว่าเจ้าจงไปให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้ว จงนำทารกนั้นมา นาง
กาฬีได้ทำตามนั้น.

เมื่อเศรษฐีทำแล้ว ๆ อยู่อย่างนี้ ทารกก็เติบโตขึ้น เพราะทารก
นั้นส่งเสียงร้องมากจึงมีชื่อว่า โฆสิตะ โฆสิตะนั้นปรากฏแก่เศรษฐีดุจหนาม
ที่ลูกตา ไม่อาจดูตรง ๆ ได้ เศรษฐีจึงคิดหาอุบายเพื่อจะฆ่าโฆสิตะนั้น จึงไปหา
ช่างหม้อของตนถามว่า เมื่อไรท่านจักเผาหลุม เมื่อช่างหม้อบอกพรุ่งนี้ เศรษฐี

จึงพูดว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ นี้ไว้ แล้วทำธุระอย่างหนึ่งแก่
เรา ช่างหม้อถามว่า ทำอะไรเล่านาย เศรษฐีบอกว่าเรามีบุตรเป็นอวชาตบุตร
อยู่คนหนึ่ง เราจะส่งมาหาท่าน ทีนั้นท่านพึงให้บุตรนั้นเข้าไปยังห้อง เอามีดที่
คมตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ลงในตุ่มแล้วฝังในหลุม นี้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ ของ
ท่านเป็นการรับคำ อนึ่ง ที่ยิ่งไปกว่านั้นเราจักสมนาคุณท่านในภายหลังช่าง
หม้อรับคำ.

รุ่งขึ้นเศรษฐีเรียกโฆสิตะมาสั่งว่า เมื่อวานพ่อได้สั่งช่างหม้อให้ทำธุระ
อย่างหนึ่ง มาเถิดลูกไปหาช่างหม้อนั้นแล้วบอกว่า เมื่อวานนี้พ่อสั่งให้ท่านทำ
ธุระอย่างหนึ่งให้เสร็จดังนี้แล้วส่งไป โฆสิตะรับคำแล้วก็ไป บุตรคนหนึ่งของ
เศรษฐีกำลังเล่นลูกข่างอยู่กับพวก ทารกเห็นโฆสิตะกำลังเดินมาถึงที่นั่นจึงร้อง

เรียกถามว่าจะไปไหน เมื่อโฆสิตะบอกว่าพ่อสั่งให้ไปหาช่างหม้อ บุตรเศรษฐี
บอกว่าฉันไปที่นั้นเอง. ทารกเหล่านี้ชนะเราไปหลายคะแนนแล้ว ท่านชนะ
คะแนนนั้นแล้วจงให้แก่เรา. โฆสิตะบอกว่า ฉันกลัวพ่อ ลูกเศรษฐีบอกว่า
อย่ากลัวเลยพี่ ฉันจะนำข่าวนั้นไปเอง แล้วบอกต่อไปว่า พวกทารกเป็นอัน

มากชนะไปแล้ว ท่านจงชนะคืนคะแนนให้ฉันจนกว่าฉันจะกลับมา. นัยว่า
โฆสิตะฉลาดในการเล่นลูกข่าง. ด้วยเหตุนั้นบุตรเศรษฐีจึงแค่นได้เขาอย่างนั้น.
โฆสิตะบอกว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปบอกกะช่างหม้อว่า เมื่อวานนี้ พ่อฉันสั่ง
ให้ท่านทำธุระอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านทำธุระนั้นให้เสร็จเถิด แล้วส่งบุตรเศรษฐี
ไป. บุตรเศรษฐีนั้นไปหาช่างหม้อแล้วได้บอกตามนั้น.

ครั้งนั้น ช่างหม้อจึงจับบุตรเศรษฐีนั้นตามที่เศรษฐีสั่ง แล้วโยนลงไป
ในหลุม. โฆสิตะเล่นอยู่ตลอดวัน ตอนเย็นจึงกลับเรือน เมื่อเศรษฐีถามว่า
ไม่ได้ไปหรือลูก เขาจึงบอกเหตุที่ตนไม่ไปและเหตุที่น้องไป. เศรษฐีร้อง
เสียงดังลั่นว่า ตายแล้ว ตายแล้ว ! เป็นเหมือนโลหิตร้อนผ่าวไปทั่วตัว
ประคองแขนคร่ำครวญว่า พ่อช่างหม้อจ๋า อย่าฆ่าลูกฉัน ๆ ได้ไปหาช่างหม้อ
ช่างหม้อเห็นเศรษฐีมาอย่างนั้นจึงกล่าวว่า อย่าเอะอะไปเลยนาย ธุรกิจสำเร็จ
แล้ว. เศรษฐีถูกความโศกใหญ่หลวง ดุจภูเขาท่วมทับ เสวยโทมนัสไม่น้อย.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ เศรษฐีก็ไม่อาจมองดูโฆสิตะตรง ๆ ได้ คิดอยู่ว่า
เราจะฆ่าโฆสิตะนั้นได้อย่างไร เห็นอุบายว่า เราจักส่งไปหาผู้จัดการทรัพย์สิน
ใน ๑๐๐ หมู่บ้านของเราแล้วให้ฆ่าเสีย จึงเขียนหนังสือส่งให้ผู้จัดการทรัพย์
มีความว่า บุตรคนนี้เป็นอวชาตบุตรของเรา ขอให้ฆ่าเสียผลักลงใน

หลุมคูถ ก็เมื่อทำอย่างนี้แล้ว เราจักสมนาคุณแก่ลุง แล้วกล่าวกะโฆสิตะว่า
พ่อโฆสิตะ พ่อมีผู้จัดการทรัพย์ใน ๑๐๐ หมู่บ้าน เจ้าจงนำหนังสือนี้ไปให้เขา
แล้วผูกหนังสือที่ชายผ้าของโฆสิตะ โฆสิตะไม่รู้อักขรสมัย เพราะตั้งแต่เป็นเด็ก

เศรษฐีจะฆ่าเขาท่าเดียวก็ไม่อาจฆ่าได้ จักให้เรียนอักขรสมัยได้อย่างไร โฆสิตะ
จึงผูกใบมรณะของตนไว้ที่ชายผ้า เมื่อจะออกไปกล่าวว่า พ่อ ฉันไม่มีเสบียง
เลย เศรษฐีกล่าวว่าไม่ต้องเสบียงดอกลูก เศรษฐีสหายของพ่อมีอยู่ที่บ้านโน้น
ในระหว่างทาง เจ้าจงกินอาหารเช้าที่เรือนของเพื่อนนั้นแล้วเดินต่อไป.

โฆสิตะรับคำแล้วไหว้บิดา ออกไปถึงบ้านนั้น ถามหาเรือนเศรษฐี
ไปเห็นภรรยาของเศรษฐี. เมื่อภรรยาเศรษฐีถามว่า พ่อมาจากไหน เขาบอกว่า
มาจากภายในเมือง ภรรยาเศรษฐีถามว่า พ่อเป็นบุตรใคร ตอบว่า เป็นบุตร
เศรษฐี ผู้เป็นสหายของท่านจ้ะแม่. ถามว่า พ่อชื่อโฆสิตะใช่ไหม ตอบว่า

ใช่จ้ะแม่. พอเห็นเท่านั้นภรรยาเศรษฐีก็เกิดความสิเนหาในโฆสิตะว่าเป็นบุตร
เศรษฐีมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง อายุ ๑๕–๑๖ รูปร่างสวย น่าชม. มารดาบิดาให้
ทาสีรับใช้คนหนึ่ง เพื่อดูแล นางให้นอนในห้องสิริชั้นบนของปราสาท ๗ ชั้น.
ในขณะนั้น ลูกสาวเศรษฐีส่งทาสีนั้นไปตลาด.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ภรรยาเศรษฐีเห็นทาสีนั้น ถามว่า เจ้าจะไปไหน เมื่อทาสี
ตอบว่า ธิดาของแม่เจ้าให้ไปตลาดจ้ะ จึงกล่าวว่า จงมานี่ก่อน งดไปตลาด
ไว้ก่อน เจ้าจงปูตั่งให้บุตรของเรา หาน้ำมาล้างเท้า ทาน้ำมัน ปูที่นอนให้
ภายหลังจึงไปตลาด ทาสีได้ทำตามนั้น ลูกสาวเศรษฐีทาสีมาช้า ทาสีจึงบอก
กะธิดาว่า อย่าโกรธฉันเลย โฆสิตะบุตรเศรษฐีมา ฉันทำโน่นบ้าง นี่บ้าง

ให้แก่โฆสิตะนั้นแล้วก็ไปตลาด เสร็จแล้วจึงกลับมานี่แหละจ้ะ. ลูกสาวเศรษฐี
ครั้นได้ฟังชื่อว่าโฆสิตะบุตรเศรษฐีเท่านั้น ความรักด้วยอำนาจบุพเพสันนิวาส
ตัดผิวหนังเป็นต้นจดเยื่อกระดูกตั้งอยู่. นางจึงถามทาสีนั้นว่า เขานอนที่ไหนเล่า
ตอบว่า นอนหลับบนที่นอนจ้ะ. ถามว่า มีอะไรที่มือของเขาบ้าง. ตอบว่า

มีหนังสือที่ชายผ้าจ้ะ นางคิดว่า นั่นหนังสืออะไรหนอ เมื่อโฆสิตะกำลังหลับ
เมื่อมารดาบิดาไม่เห็นเพราะส่งใจไปอื่น จึงไปหาโฆสิตะนั้นแก้หนังสือออก
ถือเข้าไปห้องของตนเปิดประตู เปิดหน้าต่าง เพราะนางฉลาดในอักขรสมัย
จึงอ่านหนังสือนั้น คิดว่า โอช่างโง่เสียจริง ผูกใบมรณะของตนไว้ที่ชายผ้า

เที่ยวไป หากเราไม่เห็น เขาก็จะไม่มีชีวิต จึงฉีกหนังสือนั้นเสียแล้ว เขียน
หนังสืออื่นแทนด้วยคำของเศรษฐีว่า บุตรของเราชื่อโฆสิตะให้นำบรรณาการ
จาก ๑๐๐ หมู่บ้านมาทำการมงคลสมรสกับธิดาของเศรษฐีชนบทนี้ ให้ปลูกเรือน
๒ ชั้น ท่ามกลางบ้านเป็นที่อยู่ของตนแล้วจัดการอารักขาให้ดี ด้วยการล้อม
กำแพงและตั้งยามคุ้มกัน เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จงส่งข่าวให้เราทราบ
ด้วย เมื่อทำอย่างนี้เสร็จแล้ว เราจะสมนาคุณแก่ลุง ครั้นเขียนเสร็จจึงม้วน
หนังสือ ผูกไว้ที่ชายผ้าของเขา.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โฆสิตะนอนหลับตลอดวัน ลุกขึ้นบริโภคอาหารแล้วก็กลับไป รุ่งขึ้น
ไปบ้านนั้นแต่เช้าตรู่ เห็นผู้จัดการทรัพย์สินกำลังทำการงานในบ้าน. ผู้จัดการ
ทรัพย์สินเห็นโฆสิตะจึงถามว่า อะไรพ่อคุณ โฆสิตะบอกว่า พ่อของฉันส่ง
หนังสือมาให้ท่าน เขารับหนังสือไปอ่านดีใจ สั่งช่างทำเรือนว่า ดูเถิด นาย
ของเราเขารักเรา ส่งบุตรมาหาเรา ขอให้ทำพิธีมลคลสมรสแก่บุตรคนโตของเขา

กับลูกสาวของเรา พวกท่านรีบไปหาไม้เป็นต้นมาเถิด แล้วให้ปลูกเรือนตาม
ที่กล่าวแล้ว ในท่ามกลางบ้านให้นำเครื่องบรรณาการมาจาก ๑๐๐ หมู่บ้าน
แล้วนำธิดาเศรษฐีชนบทมาทำพิธีมงคลสมรส เสร็จแล้วส่งข่าวไปให้เศรษฐี
ทราบว่า ได้ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว.

เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็เกิดเสียใจใหญ่หลวงว่า ธุระที่เราให้ทำไม่สำเร็จ
ธุระที่เราไม่ให้ทำสำเร็จ พร้อมกับความโศกถึงบุตร ความโศกนั้นประดัง
เข้ามาอีก จึงเกิดร้อนท้องถึงกับท้องร่วง แม้ลูกเศรษฐีก็สั่งว่า หากมีใคร
มาจากสำนักของเศรษฐี จงบอกเรา อย่าบอกแก่บุตรของเศรษฐีก่อน. แม้เศรษฐี
ก็คิดว่า บัดนี้เราจะไม่ให้บุตรชั่วเป็นเจ้าของสมบัติของเรา จึงกล่าวกะผู้จัดการ

ทรัพย์อีกคนหนึ่งว่า ลุง ฉันอยากเห็นบุตรของฉัน ลุงส่งคนใกล้ชิดคนหนึ่ง
แล้วเขียนหนังสือฉบับหนึ่งส่งไป เรียกบุตรของเรามา.

ผู้จัดการทรัพย์สินรับคำ แล้วให้หนังสือส่งบุรุษคนหนึ่งไป ลูกสาว
เศรษฐีได้พาโฆสิตกุมารไปในเวลาที่เศรษฐีเจ็บหนัก เศรษฐีไดถึงแก่กรรมเสีย
แล้ว เมื่อบิดาถึงแก่กรรม พระราชาทรงประทานสมบัติที่บิดาใช้สอย ทรงมอบ
ตำแหน่งเศรษฐีพร้อมด้วยฉัตรให้. โฆสิตะเศรษฐีดำรงอยู่ในมหาสมบัติ รู้ว่า
ตนพ้นจากความตายในฐาน ๗ ครั้งตั้งแต่ตามคำของลูกเศรษฐีและ

นางกาฬี จึงสละทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ บริจาคทาน. ความที่โฆสิตะเศรษฐีไม่มีโรค
ในฐานะ ๗ ครั้งอย่างนี้เป็นฤทธิ์ของผู้มีบุญ.

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบทเหล่านั้น บทว่า คห คือเรือน ผู้เป็นใหญ๋ในเรือนคือคหบดี
บทนี้เป็นชื่อของผู้เป็นใหญ่ในตระกูลมหาศาล ในบางคัมภีร์เขียนเมณฑกเศรษฐี
ไว้ในลำดับของโฆสิตเศรษฐี. ในบทว่า ปญจนน มหาปญญาน ปุญญวโต
อิทธิ ฤทธิ์ของท่านผู้มีบุญ ๕ คน เป็นฤทธิ์ของท่านผู้มีบุญนี้ มีความว่า
พึงเห็นบุญฤทธิ์ของผู้มีบุญมาก ๕ คน ชน ๕ คนเหล่านี้ ชื่อว่า ผู้มีบุญมาก

๕ คือ เมณฑกเศรษฐี ๑ นางจันทปทุมา ภริยาเมณฑกเศรษฐี ๑ ธนัญชัย
เศรษฐีบุตร ๑ นางสุมนาเทวีสะใภ้ ๑ นายปุณณทาส ๑ ได้สะสมบุญญาธิการ
ในพระปัจเจกพุทธเจ้า. ในชนเหล่านั้นเมณฑกเศรษฐี สร้างฉางไว้ ๑,๒๕๐
ฉาง ลูกศรีษะแล้วนั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบน สายข้าวสาลีแดง หล่นจาก
อากาศเต็มฉางทั้งหมด. ภริยาของเมณฑกเศรษฐีนั้น เอาข้าวสารประมาณ

ทะนานหนึ่งหุงข้าว แล้วทำแกงในสูปะและพยัญชนะอย่างหนึ่ง ประดับด้วย
เครื่องประดับทุกชนิด นั่งเหนืออาสนะที่ปูไว้ที่ซุ้มประตู ประกาศเรียกว่า ผู้มี
ความต้องการภัตตาหารทั้งปวงจงมาเถิด ถือทัพพีทองคำตักใส่ภาชนะที่คนมา
แล้ว ๆ นำเข้าไปแล้วให้ แม้เมื่อนางให้อยู่ตลอดวันก็ปรากฎเพียงถือเอาด้วย
ทัพพีคราวเดียวเท่านั้น.

บุตรของมณฑกเศรษฐี ลูบศรีษะแล้วถือเอาถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ถุง
ประกาศว่า ผู้มีความต้องการกหาปณะจงมาเถิด แล้วใส่ภาชนะที่คนมาแล้ว ๆ
ให้ไป กหาปณะ ๑,๐๐๐ ถุงก็ยังอยู่

สะใภ้ของเศรษฐีประดับด้วยเครื่องประดับทุกชนิด ถือเอาตะกร้าข้าว-
เปลือก ๔ ทะนาน นั่งบนที่นั่งประกาศว่า ผู้มีความต้องการพืชข้าวจงมาเถิด
แล้วตักใส่ภาชนะที่คนถือมาแล้ว ๆ ให้ ตะกร้าก็ยังเต็มอย่างเดิม.

ทาสของเศรษฐีประดับด้วยเครื่องประดับทุกชนิด เชือกทองคำเทียมโค
ที่แอกทองคำ ถือด้ามปฎักทองคำ ให้นิ้วทั้ง ๕ ของโคมีกลิ่นหอม สวมปลอกกก
ทองคำที่เขาทั้งสองข้างขับไปนา ไถรอยไถไว้ ๗ แห่ง คือ ข้างนี้ ๓ ข้างนี้ ๓
ท่ามกลาง ๑ แล้วไป. ชาวชมพูทวีปถือเอาภัตร พืช เงินและทองเป็นต้น

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

Quote Tipitaka:
ดึงลูกคสีหนังออกจากปากของแกะทองคำเหล่านั้น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง เครื่อง
นุ่งห่มเงินและทองเพียงพอแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ออกจากปากของแกะแม้ตัว
หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐีนั้นก็ปรากฏชื่อว่า เมณะกเศรษฐี นี้เป็นฤทธิ์ของผู้มี
บุญนั้น.

บทว่า โฆสิตสส คหปติสส ปญญวโต อิทธิ ฤทธิ์ของโฆสิต
คหบดีผู้มีบุญคือเศรษฐีในกรุงโกสัมพีแคว้นสักกะ สะสมบุญญาธิการในพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าโฆสิต นัยว่าเศรษฐีนั้นจุติจากเทวโลกบังเกิดในท้องของ
หญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี ในวันคลอด หญิงงามเมืองนั้นให้ทารกนอนบน
กระด้งแล้วให้เอาไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ กาและสุนัขทั้งหลายนั่งห้อมล้อมทารกนั้น

ชายคนหนึ่งเห็นดังนั้น จึงได้ความสำคัญว่าเป็นบุตรคิดว่า เราได้บุตรแล้วจึงนำ
ไปเรือน ในกาลนั้นโกสัมพิกเศรษฐีเห็นปุโรหิตจึงถามว่า ท่านอาจารย์วันนี้ท่าน
ตรวจดูฤกษ์ดิถีแล้วหรือ เมื่อปุโรหิตตอบว่า ดูแล้วท่านมหาเศรษฐี จึงถามว่า
จักมีอะไรแก่ชนบท ปุโรหิตตอบว่า ในนครนี้เด็กเกิดวันนี้จักเป็นเศรษฐีผู้ใหญ่
ในกาลนั้น ภริยาของเศรษฐีมีครรภ์แก่ เพราะฉะนั้น เศรษฐีนั้นจึงรีบสั่งคนไป

เรือนสั่งว่า เจ้าจงไป จงรู้ว่าภริยาของเราคลอดทารกหรือยังไม่คลอด ครั้นสดับ
ว่ายังไม่คลอด จึงไปเรือนเรียกนางกาฬีทาสีมาให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ สั่งว่า เจ้าจงไป
จงสืบดูในนครนี้แล้วนำทารกที่เกิดในวันนี้มา ทาสีไปเที่ยวสืบดูก็ไปถึงเรือนนั้น
เห็นทารกรู้ว่าเกิดในวันนั้นจึงให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ นำทารกมาให้แก่เศรษฐี เศรษฐี

คิดว่าถ้าลูกสาวของเราจักเกิด เราจะแต่งงานทารกนั้นให้กับลูกสาวแล้วให้ดำรง
ตำแหน่งเศรษฐี ถ้าเป็นบุตรชายเกิด เราจักฆ่าทารกนั้นเสีย แล้วเลี้ยงดูทารก
นั้นให้เติบโตในเรือน.


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

Quote Tipitaka:
ลำดับนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ภริยาของเศรษฐีคลอดบุตรชาย เศรษฐี
คิดว่าเมื่อไม่มีทารกนี้บุตรของเราก็จักได้ตำแหน่งเศรษฐี บัดนี้ เราควรจะฆ่า
ทารกนั้นเสียแล้วเรียกนางกาฬีสีมาสั่งว่า นี่แน่แม่สาวใช้ ในเวลาโคออกจาก
คอก เจ้าจงให้ทารกนี้นอนขวางในท่ามกลางประตูคอก แม่โคทั้งหลายจักเหยียบ
ทารกนั้นให้ตาย เจ้ารู้ว่าทารกนั้นถูกแม่โคเหยียบหรือไม่เหยียบแล้วจงกลับมา

นางกาฬีสีไป พอคนเลี้ยงโคปิดประตูคอกก็ให้ทารกนั้นนอนเหมือนอย่างนั้น
โคอุสภะหัวหน้าฝูงโคครั้งก่อน ๆ ออกภายหลังโคทั้งหมด แต่วันนั้นออกก่อนโค
ทั้งหมด ยืนคล่อมทารกไว้ในระหว่างเท้าทั้ง ๔ แม่โคหลายร้อยตัวออกเสียดสีข้าง
ทั้งสองของโคอุสภะ แม้คนเลี้ยงโคก็คิดว่าโคอุสะภนี้เมื่อก่อนออกภายหลังโค

ทั้งหมด แต่วันนี้ออกก่อนยืนนิ่งที่กลางประตู นี่มันอะไรกันหนอ จึงเดินไปเห็น
ทารกนอนอยู่ภายใต้โคอุสภะนั้น จึงได้ความสิเนหาในบุตรคิดว่า เราได้บุตรแล้ว
จึงนำไปเรือน นางกาฬีทาสีกลับไปเศรษฐีถามจึงบอกความทั้งหมด เศรษฐีบอก
ว่าเจ้าจงไปให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ นี้ แก่คนเลี้ยงโค แล้นำทารกนั้นมาอีก.

ครั้นนั้นเศรษฐีจึงบอกนางกาฬีทาสีว่า แม่ทาสีในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐
เล่ม ออกในย่ำรุ่งไปทำการค้าขาย เจ้าจงนำทารกนี้ให้นอนที่ทางล้อหรือโค
ทั้งหลายจักเหยียบทารกนั้น หรือล้อจักขยี้เสีย เจ้ารู้ความเป็นไปแล้วกลับมา
นางทาสีไปให้ทารกนอนที่ทางล้อ หัวหน้าคนขับเกวียนได้ออกไปข้างหน้า.


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น โคของหัวหน้าคนขับเกวียนถึงที่นั้นแล้วจึงสลัดแอก แม้คน
ขับเกวียนยกขึ้นบ่อย ๆ แล้วขับไปก็ไม่ยอมไปข้างหน้า เมื่อคนขับเกวียนนั้น
พยายามอยู่กับโคเหล่านั้นอย่างนี้ อรุณขึ้นแล้ว คนขับเกวียนคิดว่าโคทำอะไร
ครั้นเห็นทารกจึงคิดว่า กรรมหนักหนอ ดีในว่าเราได้บุตร จึงนำทารกนั้นไป
เรือน แม้นางกาฬีก็กลับ ถูกเศรษฐีถามเล่าเรื่องให้ฟัง เศรษฐีกล่าวว่าเจ้าจงไป
ให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้วนำทารกนั้นมา นางกาฬีก็ได้ทำตามนั้น.

ลำดับนั้น เศรษฐีกล่าวกะนางกาฬีนั้นว่า บัดนี้เจ้าจงนำทารกนั้นไปป่าช้า
ผีดิบแล้วให้นอนระหว่างกอไม้ สุนัขเป็นต้น ณ ที่นั้น จักเคี้ยวกินเสีย หรือ
อมนุษย์จักประหารเสีย เจ้าพึงรู้ว่าทารกนั้นตายหรือไม่ตาย นางกาฬีนั้นนำ
ทารกนั้นไปให้นอน ณ ที่นั้นแล้วยืนในข้างหนึ่ง สุนัขเป็นต้นหรือมนุษย์ไม่
สามารถจะเข้าใกล้ได้ ลำดับนั้น คนเลี้ยงแพะคนหนึ่ง นำแพะไปหาอาหาร
ข้างป่าช้า.

แพะตัวหนึ่งเคี้ยวกินใบไม้อยู่เข้าไประหว่งกอไม้เห็นทารกแล้วยืนคุก-
เข่าให้นมทารก เมื่อคนเลี้ยงแพะให้เสียงว่า เฮ้ เฮ้ ก็ไม่ออกไป คนเลี้ยงแพะ
คิดว่าเราจะต้องตีแพะนั้นนำออกไป จึงเข้าไปในระหว่างกอไผ่เห็นแพะยืนคุกเข่า
ให้ทารกดื่มนมได้ความสิเนหาในทารกว่าเป็นบุตร คิดว่า เราได้บุตรแล้ว จึงพา

กลับไป นางกาฬีกลับไปถูกเศรษฐีถามจึงเล่าเรืองให้ฟัง เศรษฐีกล่าวว่าเจ้าจง
ไปจงให้ทรัพย์คนเลี้ยงแพะ ๑,๐๐๐ แล้วนำทารกมาอีก นางกาฬีได้ทำตามนั้น.

ลำดับนั้น เศรษฐีจึงพูดกะนางกาฬีว่า เจ้าจงพาทารกนี้ไปขึ้นภูเขา
เหวโจร แล้วโยนลงในเหว ทารกก็จะถูกกระแทรกที่หลืบเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
จักตกลงบนพื้น เจ้าพึงรู้ว่าทารกนั้นตายหรือไม่ตายแล้วกลับมา นางกาฬีนำ
ทารกนั้นไปตามนั้นยืนอยู่บนยอดเขาแล้วโยนทารกลงไป พุ่มไผ่ใหญ่อาศัยหลืบ

ภูเขานั้นงอกงามไปตามภูเขาพุ่มชะเอมหนาทึบคลุมยอดพุ่มไผ่นั้น ทารกเมื่อ
ตกลงไป ก็ได้ตกลงบนพุ่มชะเอมนั้นดุจตกในเปลฉะนั้น ในวันนั้นหัวหน้า
ช่างจักสานถึงเวลาจะตัดไม้ไผ่จึงไปกับบุตรเริ่มจะตัดพุ่มไม้ไผ่นั้น เมื่อพุ่มไม้
ไผ่ไหว ทารกได้ร้อง เขาได้ยินเหมือนเสียงทารกจึงขึ้นอีกข้างหนึ่งเห็นทารกนั้น

ดีใจว่าเราได้บุตรแล้ว จึงพาทารกลับ นางกาฬีกลับไปถูกเศรษฐีถามจึงเล่าเรื่อง
ให้ฟัง เศรษฐีบอกว่าเจ้าจงไปให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้ว จงนำทารกนั้นมา นาง
กาฬีได้ทำตามนั้น.


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

Quote Tipitaka:
เมื่อเศรษฐีทำแล้ว ๆ อยู่อย่างนี้ ทารกก็เติบโตขึ้น เพราะทารก
นั้นส่งเสียงร้องมากจึงมีชื่อว่า โฆสิตะ โฆสิตะนั้นปรากฏแก่เศรษฐีดุจหนาม
ที่ลูกตา ไม่อาจดูตรง ๆ ได้ เศรษฐีจึงคิดหาอุบายเพื่อจะฆ่าโฆสิตะนั้น จึงไปหา
ช่างหม้อของตนถามว่า เมื่อไรท่านจักเผาหลุม เมื่อช่างหม้อบอกพรุ่งนี้ เศรษฐี
จึงพูดว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ นี้ไว้ แล้วทำธุระอย่างหนึ่งแก่

เรา ช่างหม้อถามว่า ทำอะไรเล่านาย เศรษฐีบอกว่าเรามีบุตรเป็นอวชาตบุตร
อยู่คนหนึ่ง เราจะส่งมาหาท่าน ทีนั้นท่านพึงให้บุตรนั้นเข้าไปยังห้อง เอามีดที่
คมตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ลงในตุ่มแล้วฝังในหลุม นี้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ ของ
ท่านเป็นการรับคำ อนึ่ง ที่ยิ่งไปกว่านั้นเราจักสมนาคุณท่านในภายหลังช่าง
หม้อรับคำ.

รุ่งขึ้นเศรษฐีเรียกโฆสิตะมาสั่งว่า เมื่อวานพ่อได้สั่งช่างหม้อให้ทำธุระ
อย่างหนึ่ง มาเถิดลูกไปหาช่างหม้อนั้นแล้วบอกว่า เมื่อวานนี้พ่อสั่งให้ท่านทำ
ธุระอย่างหนึ่งให้เสร็จดังนี้แล้วส่งไป โฆสิตะรับคำแล้วก็ไป บุตรคนหนึ่งของ
เศรษฐีกำลังเล่นลูกข่างอยู่กับพวก ทารกเห็นโฆสิตะกำลังเดินมาถึงที่นั่นจึงร้อง

เรียกถามว่าจะไปไหน เมื่อโฆสิตะบอกว่าพ่อสั่งให้ไปหาช่างหม้อ บุตรเศรษฐี
บอกว่าฉันไปที่นั้นเอง. ทารกเหล่านี้ชนะเราไปหลายคะแนนแล้ว ท่านชนะ
คะแนนนั้นแล้วจงให้แก่เรา. โฆสิตะบอกว่า ฉันกลัวพ่อ ลูกเศรษฐีบอกว่า

อย่ากลัวเลยพี่ ฉันจะนำข่าวนั้นไปเอง แล้วบอกต่อไปว่า พวกทารกเป็นอัน
มากชนะไปแล้ว ท่านจงชนะคืนคะแนนให้ฉันจนกว่าฉันจะกลับมา. นัยว่า
โฆสิตะฉลาดในการเล่นลูกข่าง. ด้วยเหตุนั้นบุตรเศรษฐีจึงแค่นได้เขาอย่างนั้น.

โฆสิตะบอกว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปบอกกะช่างหม้อว่า เมื่อวานนี้ พ่อฉันสั่ง
ให้ท่านทำธุระอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านทำธุระนั้นให้เสร็จเถิด แล้วส่งบุตรเศรษฐี
ไป. บุตรเศรษฐีนั้นไปหาช่างหม้อแล้วได้บอกตามนั้น.


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2019, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

Quote Tipitaka:
ครั้งนั้น ช่างหม้อจึงจับบุตรเศรษฐีนั้นตามที่เศรษฐีสั่ง แล้วโยนลงไป
ในหลุม. โฆสิตะเล่นอยู่ตลอดวัน ตอนเย็นจึงกลับเรือน เมื่อเศรษฐีถามว่า
ไม่ได้ไปหรือลูก เขาจึงบอกเหตุที่ตนไม่ไปและเหตุที่น้องไป. เศรษฐีร้อง
เสียงดังลั่นว่า ตายแล้ว ตายแล้ว ! เป็นเหมือนโลหิตร้อนผ่าวไปทั่วตัว

ประคองแขนคร่ำครวญว่า พ่อช่างหม้อจ๋า อย่าฆ่าลูกฉัน ๆ ได้ไปหาช่างหม้อ
ช่างหม้อเห็นเศรษฐีมาอย่างนั้นจึงกล่าวว่า อย่าเอะอะไปเลยนาย ธุรกิจสำเร็จ
แล้ว. เศรษฐีถูกความโศกใหญ่หลวง ดุจภูเขาท่วมทับ เสวยโทมนัสไม่น้อย.

แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ เศรษฐีก็ไม่อาจมองดูโฆสิตะตรง ๆ ได้ คิดอยู่ว่า
เราจะฆ่าโฆสิตะนั้นได้อย่างไร เห็นอุบายว่า เราจักส่งไปหาผู้จัดการทรัพย์สิน
ใน ๑๐๐ หมู่บ้านของเราแล้วให้ฆ่าเสีย จึงเขียนหนังสือส่งให้ผู้จัดการทรัพย์
มีความว่า บุตรคนนี้เป็นอวชาตบุตรของเรา ขอให้ฆ่าเสียผลักลงใน
หลุมคูถ ก็เมื่อทำอย่างนี้แล้ว เราจักสมนาคุณแก่ลุง แล้วกล่าวกะโฆสิตะว่า

พ่อโฆสิตะ พ่อมีผู้จัดการทรัพย์ใน ๑๐๐ หมู่บ้าน เจ้าจงนำหนังสือนี้ไปให้เขา
แล้วผูกหนังสือที่ชายผ้าของโฆสิตะ โฆสิตะไม่รู้อักขรสมัย เพราะตั้งแต่เป็นเด็ก
เศรษฐีจะฆ่าเขาท่าเดียวก็ไม่อาจฆ่าได้ จักให้เรียนอักขรสมัยได้อย่างไร โฆสิตะ
จึงผูกใบมรณะของตนไว้ที่ชายผ้า เมื่อจะออกไปกล่าวว่า พ่อ ฉันไม่มีเสบียง

เลย เศรษฐีกล่าวว่าไม่ต้องเสบียงดอกลูก เศรษฐีสหายของพ่อมีอยู่ที่บ้านโน้น
ในระหว่างทาง เจ้าจงกินอาหารเช้าที่เรือนของเพื่อนนั้นแล้วเดินต่อไป.

โฆสิตะรับคำแล้วไหว้บิดา ออกไปถึงบ้านนั้น ถามหาเรือนเศรษฐี
ไปเห็นภรรยาของเศรษฐี. เมื่อภรรยาเศรษฐีถามว่า พ่อมาจากไหน เขาบอกว่า
มาจากภายในเมือง ภรรยาเศรษฐีถามว่า พ่อเป็นบุตรใคร ตอบว่า เป็นบุตร
เศรษฐี ผู้เป็นสหายของท่านจ้ะแม่. ถามว่า พ่อชื่อโฆสิตะใช่ไหม ตอบว่า

ใช่จ้ะแม่. พอเห็นเท่านั้นภรรยาเศรษฐีก็เกิดความสิเนหาในโฆสิตะว่าเป็นบุตร
เศรษฐีมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง อายุ ๑๕–๑๖ รูปร่างสวย น่าชม. มารดาบิดาให้
ทาสีรับใช้คนหนึ่ง เพื่อดูแล นางให้นอนในห้องสิริชั้นบนของปราสาท ๗ ชั้น.
ในขณะนั้น ลูกสาวเศรษฐีส่งทาสีนั้นไปตลาด.


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร