วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

จากบทความ
อ้างคำพูด:
๒. การฟัง

ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา
ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก
พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา

ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ
ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้

จริงแค่ไหน และเมื่อก่อนผมก็ได้รับความรู้เช่นนี้มา
เหมือนกัน ตอนสมัยเรียน แต่หลังจากบวชปฏิบัติและสึก
ออกมาศึกษาเพิ่มเรื่องศาสนาแล้ว จึงได้รู้ว่าจริงว่า สมองนั้น
มีไว้คิด ส่วนการบันทึกข้อมูลต่างๆนั้น เป็นหน้าที่ของจิตเป็น
ตัวเก็บบันทึกครับ

เพราะเป็นเช่นนี้ผมจึงได้แรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือพระ
ไตรปิฏกนั้นเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

จากบทความ
อ้างคำพูด:
๒. การฟัง

ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา
ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก
พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา

ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ
ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้

จริงแค่ไหน และเมื่อก่อนผมก็ได้รับความรู้เช่นนี้มา
เหมือนกัน ตอนสมัยเรียน แต่หลังจากบวชปฏิบัติและสึก
ออกมาศึกษาเพิ่มเรื่องศาสนาแล้ว จึงได้รู้ว่าจริงว่า สมองนั้น
มีไว้คิด ส่วนการบันทึกข้อมูลต่างๆนั้น เป็นหน้าที่ของจิตเป็น
ตัวเก็บบันทึกครับ

เพราะเป็นเช่นนี้ผมจึงได้แรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือพระ
ไตรปิฏกนั้นเอง

:b8:


สมองในคำสอนของพระอภิธรรม จัดเป็นกายปสาท การที่ได้รับข้อมูลเยอะๆนัันช่วยในการจดจำสิ่งทั้งหลาย ได้แก่ สัญญาเจตสิก บันทึกจดจำไว้ในภวังคจิต มาแล้วจนนับภพนับชาติไม่ถ้วนและก็จะไม่หายไปไหน จนกว่าจะปรินิพพาน เพราะเป็นความวิจิตรพิศดารของจิต ที่คนอย่างเราๆจะสามารถเข้าไปรู้ได้ มันเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

จากบทความ
อ้างคำพูด:
๒. การฟัง

ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา
ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก
พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา

ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ
ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้

จริงแค่ไหน และเมื่อก่อนผมก็ได้รับความรู้เช่นนี้มา
เหมือนกัน ตอนสมัยเรียน แต่หลังจากบวชปฏิบัติและสึก
ออกมาศึกษาเพิ่มเรื่องศาสนาแล้ว จึงได้รู้ว่าจริงว่า สมองนั้น
มีไว้คิด ส่วนการบันทึกข้อมูลต่างๆนั้น เป็นหน้าที่ของจิตเป็น
ตัวเก็บบันทึกครับ

เพราะเป็นเช่นนี้ผมจึงได้แรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือพระ
ไตรปิฏกนั้นเอง

:b8:


สมองในคำสอนของพระอภิธรรม จัดเป็นกายปสาท การที่ได้รับข้อมูลเยอะๆนัันช่วยในการจดจำสิ่งทั้งหลาย ได้แก่ สัญญาเจตสิก บันทึกจดจำไว้ในภวังคจิต มาแล้วจนนับภพนับชาติไม่ถ้วนและก็จะไม่หายไปไหน จนกว่าจะปรินิพพาน เพราะเป็นความวิจิตรพิศดารของจิต ที่คนอย่างเราๆจะสามารถเข้าไปรู้ได้ มันเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องมิลินทปัญหาเจอ ท่านบอกว่า สมอง
มีไว้คิด จิตมีไว้บันทึก ผมก็เชื่อ ประมาณร้อยละ ๙๐ จากนั้น
ผมก็คิดค้นหาเหตุ และคิดไปเจอเรื่องราวของเด็กหรือบุคคล
ผู้เกิดใหม่แล้วระลึกชาติได้ จดจำหลายสิ่งหลายอย่างทั้งตัวบุค
คลทั้งที่อยู่ การเกิดใหม่นั้นหมายถึงการได้ร่างกายใหม่และสมอง
ใหม่แต่ความจำเรื่องราวเก่าๆยังมีอยู่นั้นก็แสดงว่าสมองมิได้บันทึก
จริงดั่งเรื่องนี้

อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
ปาฐกถาในวันนั้น เล่าถึงเรื่องเด็กระลึกชาติได้ในประเทศศรีลังกา (ระหว่างที่เขาบวชพระอยู่ที่นั่น) เด็กคนนี้พออายุได้ประมาณ ๙ ขวบ ก็บอกกับพ่อแม่ของเขาว่าเขามิใช่ลูกของพ่อ เขาเป็นน้องของพ่อซึ่งถูกลงโทษแขวนคอด้วยข้อหาใช้มีดฆ่าสาวคู่รัก ซึ่งไม่ยอมแต่งงานด้วย ระหว่างที่เขากำลังถูกแขวนคอเขาก็คลุ้มคลั่งตะโกนลั่นๆว่า เขาจะกลับมาเกิดอีกเพื่อแก้แค้นคู่รักที่ไม่ยอมแต่งงานด้วย

ในที่สุด ๑๐ ปี ต่อมาเขาก็มาเกิดในครรภ์ของพี่สะใภ้ดังกล่าว เขาสามารถชี้ที่ทางที่เขาเคยอยู่ ชี้ญาติพี่น้องในชาติก่อนของเขาได้ถูกต้องทุกอย่าง

แต่เขาเกิดมาพิการ คือ มือขวา (ที่เคยจับมีดจ้วงแทงคนรักของเขา) นิ้วติดกันทั้ง ๕ นิ้ว อยู่ในท่ากำมือ เหยียดไม่ออก คอของเขามีรอยแผลเป็นแต่กำเนิดเป็นรอยขวั้นรอบๆ คอ (ถูกแขวนคอ) หน้าอกเบื้องซ้ายมีรอยแผลเป็นแต่กำเนิด เป็นรูบุ๋ม (เขาแทงคู่รักด้วยมีดตรงหน้าอกเบื้องซ้าย)

เด็กคนนี้เล่าอย่างถูกต้องว่า ชาติก่อนเขาถูกแขวนคอ เขาดิ้นเขาร้องอย่างไร ในที่สุดรู้สึกวูบตกลงไปในท่ามกลางไฟที่ลุกโพลงและรู้สึกรุ่มร้อนทุรนทุรายแล้วก็ดับไป มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อตอนกลับมาเกิดใหม่

Professor ท่านนี้ได้ศึกษาเรื่องคล้ายคลึงอย่างหลายแห่งในโลกนี้ ศึกษาถึงอดีตชาติและพยายามจะศึกษาย้อนหลังด้วยการสะกดจิตมนุษย์ให้ถอยหลังอายุลงไปจนถึงชาติปางก่อน ว่าได้ทำกรรมอะไรมาเมื่อชาติก่อน พยายามหาคำอธิบายว่า ทำไมมนุษย์เราจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน ก็แล้วบางคนเกิดมาก็พิการแต่กำเนิด เรื่องมันเป็นมาอย่างไร พยายามหาหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์อธิบาย สัพพัญญูรู้แจ้งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ให้ถ่องแท้ได้ แต่มันมีปรากฏการณ์ให้เห็นกันอยู่ชัดๆ อย่างนี้แหละ


อ้างอิง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=434440#p434440
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 19:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระไตรปิฎกไม่มีหรอกเรื่องสมอง มีแต่รู้ 6
รู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าวิญญาณ 6
สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าประสาท 6
รู้สึกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า เวทนา 6
รู้ที่ตาก็ดับที่ตา รู้ที่ใจก็ดับที่ใจ คิดที่ตาก็ดับที่ตา คิดที่ใจก็ดับที่ใจ
เรื่องรู้ทางสมองไม่มีเลย เพราะสมองก็รู้แค่ทางกายเท่านั้น

รู้ทันจะคิดดับๆ ก็รู้ทันปัจจุบันตามความเป็นจริง
จะฉลาดได้ทุกเรื่อง

ถ้าใช้สมองคิด ก็ใช้นิ้วคิดได้เช่นกัน เพราะสมองเป็นกายวิญญาณ นิ้วก็เป็นกายวิญญาณ

จากสายสืบนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
ในพระไตรปิฎกไม่มีหรอกเรื่องสมอง มีแต่รู้ 6
รู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าวิญญาณ 6
สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าประสาท 6
รู้สึกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า เวทนา 6
รู้ที่ตาก็ดับที่ตา รู้ที่ใจก็ดับที่ใจ คิดที่ตาก็ดับที่ตา คิดที่ใจก็ดับที่ใจ
เรื่องรู้ทางสมองไม่มีเลย เพราะสมองก็รู้แค่ทางกายเท่านั้น

รู้ทันจะคิดดับๆ ก็รู้ทันปัจจุบันตามความเป็นจริง
จะฉลาดได้ทุกเรื่อง

ถ้าใช้สมองคิด ก็ใช้นิ้วคิดได้เช่นกัน เพราะสมองเป็นกายวิญญาณ นิ้วก็เป็นกายวิญญาณ

จากสายสืบนิสัยศาสตร์

:b8:

Quote Tipitaka:
เหล่าชนผู้ชื่อว่า เป็นผู้สลัดทิ้ง เพราะเห็นเหตุที่ถูกต้องแล้ว ก็
สลัด (ลัทธิเก่า) ทิ้ง. แต่เหล่าชนผู้ชื่อว่า ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี เพราะ
(สลัดได้) โดยยาก คือโดยลำบาก ได้แก่ฝืด อธิบายว่า เห็นเหตุตั้ง
มากมาย ก็ไม่อาจสละได้. คำว่า ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี นี้เป็นชื่อของเหล่าชน
ผู้ยึดมั่นทิฏฐิที่เกิดขึ้นแก่ตนว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง ถึงแม้พระพุทธเจ้าเป็นต้น
จะทรงชี้แจงแสดงเหตุให้ฟังก็ไม่สลัดทิ้ง. อธิบายว่า บุคคลประเภทนั้น
ฟังเรื่องใด ๆ มาจะเป็นเรื่องธรรมะหรือไม่ใช่ธรรมะก็ตาม ประมวลเรื่อง
ทั้งหมดนั้นไว้ภายใน (สมอง) นั้นเอง ว่าอาจารย์ของเราทั้งหลายกล่าว
ไว้อย่างนี้ เราทั้งหลายได้สดับมาอย่างนี้. เหมือนเต่าเก็บอวัยวะทั้งหลาย
ไว้ภายในกระดองของตน คือยึด (ทิฏฐินั้นไว้) ไม่ปล่อย เหมือน
การฮุบไว้ของจระเข้. ส่วนธรรมฝ่ายขาว พึงทราบโดยบรรยายตรงกันข้าม
กับที่กล่าวมาแล้ว.

จากอรรถกถาเล่ม ๑๗ หน้า ๕๐๘

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2019, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า
สมองคืออายตนะใจ เป็นอายตนะภายใน
ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นอายตนะภายนอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2019, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า
สมองคืออายตนะใจ เป็นอายตนะภายใน
ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นอายตนะภายนอก

:b8:

คงเป็นเช่นนั้นครับ เพราะหากจะตอบไปว่าสมองไม่
มีเลย พวกวิทยาศาทเค้าจะเชื่อหรือ แม้ตัวผมเองก็ยังไม่
เชื่อ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 02:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เราเรียกกันว่าสมองนั้นคือใจ
ส่วนที่เราเรียกว่าใจนั้นคืออวิชชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ที่เราเรียกกันว่าสมองนั้นคือใจ
ส่วนที่เราเรียกว่าใจนั้นคืออวิชชา

:b8:

แต่ผมคิดว่า สมองรับข้อมูลมาแล้วส่งต่อให้ใจบัณทึก
ไว้นะครับ มีหน้าที่รับข้อมูลมาจากใจ(จิต)ด้วยแล้วสั่งงาน
ไปยังอวัยวะต่างๆอีกต่อหนึ่ง อย่างรวดเร็ว

ดั่งคำว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว คำว่ากายคือรวมทั้งสมอง
ด้วย แต่สมองนั้นก็จะเป็นรองจากจิต เพราะเมื่อสมองโดนทำลาย
จนเสียหาย ร่างกายก็อาจขยับมิได้ หรืออาจเสียชีวิตได้เลย

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร