วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำที่สาม คือ "ความสุข" ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ความสุข คือ อะไร

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต ฯ หน้า ๘๑๒ ความสุขหมายถึง "น.ความสบาย, ความสำราญ,ความปราศจากโรค" (ป.ส.)

สุข ความสบาย, ความสำราญ, ความฉ่ำชื่นรื่นกายรื่นใจ มี ๒ คือ ๑. กายิกสุข สุขทางกาย ๒.เจตสิกสุข สุขทางใจ ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่จะพูดถึงความสุข เราควรศึกษาเรื่องของสิ่งตรงกันข้ามเสียก่อน คือ "ความทุกข์" เมื่อเราเข้าใจเรื่องของทุกข์ดีแล้ว ก็จะเป็นการง่ายขึ้นที่จะเข้าใจถึงเรื่องความสุขได้ดียิ่งขึ้น

กล่าวคือ รากฐานแห่งคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องของทุกข์นี้ ได้แก่ "อริยสัจ ๔" คือ

๑.ทุกข์
๒.เหตุแห่งความทุกข์
๓.ความพ้นทุกข์ และ
๔.ทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์


ท่านมุ่งสอนให้มนุษย์พ้นทุกข์ ให้เข้าใจในทุกข์ และให้พยายามปลดเปลื้องตนออกจากทุกข์

ท่านอธิบายว่า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเลยที่จะไม่มีความทุกข์ ทุกคนล้อมรอบไปด้วยเหตุแห่งทุกข์ และถูกรุมอยู่ตลอดเวลา เว้นแต่ว่า ส่วนมากหลงผิดไปและมัวเมาด้วยเครื่องพรางจนไม่รู้หรือไม่อาจสังเกตได้ว่า ภาวะนั้นๆเป็นทุกข์

มนุษย์เรานี้ยังไม่ทันจะเกิดเลยก็มีทุกข์เสียแล้ว ซึ่งผู้เขียนจะได้อธิบายในตอนต่อไป ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทุกข์ของมนุษย์นี้พร้อมที่จะเกิดได้ทุกขณะจิต
มนุษย์จะแวดล้อมไปด้วยทุกข์นานาชนิดทั้งสิ้นไม่ว่ามนุษย์นั้นจะยากดีมีจนอย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ ขอให้ท่านลองมาพิจารณาเรื่องทุกข์ในแง่วิทยาศาสตร์ (สรีรวิทยา) ดูบ้าง พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้แล้วว่า "การเกิดเป็นทุกข์" คำว่า "เกิด" ในที่นี้ อาจจะหมายความถึง "การเข้าสู่ภพ" หรือ "การคลอด" ก็ได้
เมื่อหมายถึงการเข้าสู่ภพก็ต้องเห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นการเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งทุกข์ต่างๆ และตรงกันข้ามกับ "การไม่เกิด" หรือ "นิพพาน" ซึ่งเป็นทางหมดทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. บนผู้เขียนให้ความหมาย "ทุกข์" ในแง่มุมหนึ่ง พึงดูอีกหลายๆมุม เช่น

ทุกข์ 1. สภาพที่ทนได้ยาก, สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง (ทุกข์ในไตรลักษณ์) 2. อาการแห่งทุกข์ที่ปรากฏขึ้นหรืออาจปรากฏขึ้นได้แก่ คน (ได้ในคำว่า ทุกขสัจจะ หรือทุกขอริสัจจ์ ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔) 3. สภาพที่ทนได้ยาก, ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

จะขอกล่าวถึงการเกิดหรือการเข้าสู่ภพ ซึ่งหมายถึงการคลอดก็ไม่มีปัญหาเลยว่า ทำไมถึงเป็นทุกข์ เพราะในระหว่างที่เด็กเจริญอยู่ในครรภ์มารดานั้น เด็กก็มีความสบายพอสมควร เช่น ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องกินอาหาร และไม่ต้องถ่ายอุจจาระ เพราะได้แก๊สออกซิเจน และอาหารที่ย่อยสำเร็จแล้วผ่านเข้าไปทางรก และขับเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และสิ่งปฏิกูลบางอย่างกลับออกไปทางนั้น
ตัวเด็กก็ลอยอยู่อย่างสงบในถุงน้ำคร่ำ ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ


ครั้นถึงวาระที่จะคลอด (ยังไม่ทันจะเกิดหรือคลอดเลย) ก็เริ่มมีความเดือดร้อนต่างๆ อันเป็นทุกข์ทั้งสิ้น เช่น มีการเอาหัวลง และเลื่อนเข้าสู่อุ้งเชิงกราน เป็นการเตรียมพร้อม เมื่อมารดาเริ่มเจ็บท้อง


มดลูกก็เริ่มหดบีบรัดลงบนตัวของเด็กโดยรอบ และดันให้หัวเข้าไปสู่คอมดลูก ซึ่งตามปกติมีช่องแคบกว่าหัวเด็กหลายเท่า
แต่ในขณะคลอดมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทำให้เนื้อของส่วนนี้ยืดออกได้มากมาย พร้อมกับเยื่อพังผืดที่ยึดโครงของกระดูกเชิงกรานก็หย่อนยานได้เกินกว่าธรรมดา

การหดตัวอย่างแรงของผนังมดลูก ทั้งดัน และคลึงให้หัวของเด็ก ซึ่งกระดูกยังติดกันไม่สนิท เล็กลง โดยยืดยาวออกไปจนกระทั่งลอดผ่านมดลูกออกไปได้
แต่แล้วก็ต้องเถลือกไถลผ่านช่องคลอดต่อไปอีก โดยช่องคลอดจะต้องถูกดันให้ขยายตัวออกไปไม่น้อยกว่าสามสี่เท่า
การดันและบีบเค้นที่เด็กได้รับก่อนที่จะเคลื่อนลงมาถึงปากทางช่องคลอด อาจกินเวลาหลายชั่วโมง หรือเป็นวันๆ

เด็กบางคนตายเสียแต่ในระยะนี้เอง เพราะสมองถูกกด หรือเพราะอุบัติเหตุอื่นๆ เมื่อหัวลงมาจนสุดช่องคลอดแล้ว ก็ยังต้องผ่านประตูสุดท้าย คือ ปากช่องคลอด ซึ่งจะต้องถูกดันให้ขยายออกไปจนกว้างพอที่หัวจะผ่านออกไป

เมื่อคลอดพ้นครรภ์ออกมาแล้วก็เริ่มมีทุกข์อื่นต่อไป คือ ทุกข์ของการหิว การกระหาย ความร้อน ความหนาว และการขับถ่าย เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บรรยายมานี้ เป็นการคลอดโดยปกติ ในรายที่ไม่ปกติ ย่อมมีทั้งทุกข์ และภัยมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก
เด็กบางคนต้องตายเสียก่อนได้ลืมตาดูโลก เพราะอุบัติเหตุในระหว่างคลอด
บางคนต้องถูกฆ่าให้ตายเสียด้วยการเจาะสมอง หรือแม้ตัดคอ ตัดแขน เพื่อรักษาชีวิตของแม่ไว้ ดังนั้น ”การเกิดเป็นทุกข์” นี้ จึงเป็นความทุกข์จริงแท้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากนั้น มนุษย์ที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ ก็ต้องรับทุกข์ต่างๆตามลำดับไป อาทิเช่น ทุกข์จากการปวดอุจจาระปัสสาวะ ความหนาว ความร้อน ความอับชื้น
ต่อไปก็ต้องเผชิญภัยกับทุกข์ของความเจ็บปวด ความยากจน ความผิดหวังดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ทุกข์มากหรือทุกข์น้อยนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้นั้นว่า จะหาทางแก้ปัญหาให้กับตัวเองได้ดีเพียงใด

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีทุกข์อีกชนิดหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นเลย นั่นคือ “ทุกข์แห่งความชรา”

ในปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถชี้ชัดว่า อะไรเป็นเหตุของความชรา รู้แต่ว่าเซลล์มีการเสื่อมเกิดขึ้นและการเสื่อมของเซลล์ต่างนำมาซึ่งลักษณะของความแก่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้ นายแซนฟอร์ดเบนไนต์ ได้ค้นคว้าและได้เขียนไว้ในรายงานว่า“ความชราเกิดจากธาตุหินปูนชนิดหนึ่งที่มีค้างอยู่ในเส้นโลหิต ทำให้ขัดขวางการไหลเวียนของโลหิต เนื้อหนังของมนุษย์ผู้นั้นจะอ่อนปวกเปียก

ฉะนั้น การป้องกันที่สำคัญยิ่งคือ การบริหารร่างกายให้โลหิตไหลเวียนได้ดี กล้ามเนื้อมีการใช้งานกระตุ้นให้แข็งแรงและอ่อนสลับกันไป การตึงเต่งของกล้ามเนื้อทุกส่วน ย่อมคงทนไม่หย่อนยาน ทำให้เป็นหนุ่มสาวได้ยาวนานกว่าปกติ"

มนุษย์นั้น เมื่อแก่มาก ทุกข์ก็ยิ่งมากขึ้น เว้นเสียแต่จะรู้ทันและปลงตกว่า ทุกข์เหล่านั้น เป็นไปตามเหตุและปัจจัยอันเป็นธรรมชาติ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อรู้ว่ามนุษย์ที่มีสุขภาพดี ก็เพราะการออกกำลังกาย การระมัดระวังรักษาตัวและการพักสมอง และประสาทด้วยการทำสมาธิ

ผู้ใดปฏิบัติได้ตามนี้เป็นประจำก็เท่ากับเป็นการชะลอความชราและสามารถทำตนให้ห่างพ้นจากทุกข์ได้เป็นอย่างดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อนุโมทนา สาธุ กับคุณ พี่ แจ่มๆ (กรัชชกาย)

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์สุดท้าย คือ "ทุกข์แห่งความตาย" ความตายเกิดขึ้นได้อย่างไร มนุษย์จะตายนั้น ร่างกายจะมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง

ทางด้านวิทยาศาสตร์ถือเอาอาการที่เลือดหยุดเดินหรือหยุดไหลเป็นสำคัญ นั่นคือหัวใจจะหยุดเต้น หยุดฉีดเลือดให้เกิดหรือให้ไหล เมื่อเลือดหยุดไหล อวัยวะต่างๆ ก็ทำงานไม่ได้ และนี่เองคือ ถึงวาระแห่ง "ความตาย"

การเตรียมตัวก่อนตายนี้ พระคุณเจ้าพระเทพสิทธิมุนี แห่งวัดมหาธาตุ ฯ ท่านได้บรรยายไว้ดังนี้

เตรียม สร้างทางชอบไว้ หวังกุศล
ตัว สุขส่งเสริมผล เพิ่มให้
ก่อน แต่มฤตยูดล เผด็จชีพเทียวนา
ตาย พรากจากโลกได้ สถิตด้าว แดนเกษมฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลเราทุกคนจะเดินทางไปใกล้หรือไกล ก็ต้องเตรียมตัวด้วยกันทุกคน แม้จะเอยู่กับบ้านไม่ได้เดินทางไปไหนก็ต้องเตรียมตัวด้วยกันทั้งนั้น เช่น เตรียมอาหารประจำวัน เตรียมเสื้อผ้า เงินทอง หยูกยา เป็นต้น

ฉะนั้น ก่อนที่เราจะตายจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้านั้น เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมตัวให้มากที่สุดและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเวลาจะตายเราไม่มีโอกาสจะขอผ่อนผันกับพระยามัจจุราชได้เลย
เราจะขอให้คอยสัก ๒-๓ นาที เพื่อลาพ่อแม่ลูกเมียลาสามี หรือเพื่อเตรียมตัว เขาก็ไม่ให้โอกาสแก่เราเป็นแน่ ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมตัวก่อนตายได้พร้อมเสมอ มาเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น และก็ไปอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปแล้ว คือ เราต้องไม่ประมาทแม้กระทั่งความตาย คือ ต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนล้อมรอบไปด้วยทุกข์ นับตั้งแต่เกิดก็มีทุกข์ไปตามลำดับ

ฉะนั้น จะต้องรู้จักดับทุกข์ และจะต้องไม่ประมาทแม้กระทั่งความตาย จำต้องมั่นใจเสมอว่า เราทุกคนต้องตาย มีเกิดแล้วย่อมมีดับ เกิดมามิได้เอาอะไรติดตัวมา เวลาดับก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เช่นกัน ยุติธรรมไหม? ค่อยยังชั่วหน่อยที่เขาแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่เหมือนตอนเกิดเท่านั้นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้คิดว่า ความตายเป็นของธรรมดา เหมือนการย้ายบ้านย้ายที่อยู่ หรือย้ายสำมะโนครัวจากโลกหนึ่งไปอีกโลกหนึ่ง
ถ้าเราคิดนึกอยู่เสมอแล้ว เราจะไม่กลัวความตาย และจะละความชั่วร้าย ความโลก ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยาลงไปได้อย่างแปลกประหลาด กลับมีแต่ความเมตตาสงสาร เห็นใจ ไม่ถือโกรธ และมีจิตใจพร้อมที่จะให้อภัย
เมื่อกิเลสต่างๆ มันลดถอยลงไป ทำให้ระบบจิตประสาทและฮอร์โมนในร่างกายสงบปกติ กิริยาอาการและอารมณ์ต่างๆ อาทิ หน้าเขียว บูดเบี้ยว หน้างอหรือหัวเต้นเร็วแรง ก็จะไม่เกิดขึ้น สติสัมปชัญญะจะดีมาก ระบบการไหลเวียนเลือดก็ดี จิตประสาท สงบดี ร่างกายอยู่ในภาวะปกติเป็นประจำอย่างนี้แล้ว อายุจะไม่ยืน หรือจะไม่มีความสุขอีกหรือ ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2019, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของ "ความทุกข์" นี้ นับว่าเป็นสิ่งบั่นทอนสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของมนุษย์ ยิ่งเสียกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ความทุกข์มากหรือน้อยนี้ขึ้นอยู่กับมนุษย์แต่ละคน ว่าสามารถจะทำความเข้าใจในเรื่องของความทุกข์ได้อย่างไร

เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า มนุษย์ทุกคนแวดล้อมไปด้วยความทุกข์นับตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งตาย
ถ้ามนุษย์ผู้ใดรู้ทัน ปฏิบัติตัวได้ทัน ก็นับว่าโชคดีที่สามารถจะจัดการกับทุกข์ของตนได้ โดยไม่รับเอามาเป็นอารมณ์ของตน เพราะสามารถตัดได้
แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่เช่นนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักวิธี ไม่สนใจจะปฏิบัติ ก็นับว่าโชคร้าย มนุษย์พวกนี้ จะรับเอาทุกข์มาสุมอกสุมใจตน เผาผลาญกาย และจิตตนเองให้ร้อนรุ่มวุ่นวายตลอดชีวิตของตนอย่างน่าสงสารยิ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร