วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 08:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารที่ทำให้มนุษย์เจริญเติบโต แข็งแรงสมบูรณ์ในทัศนะของผู้เขียน เฉพาะที่เขียนเรื่องนี้ได้แก่อาหาร ๒ ประเภท คือ

๑.อาหารที่เข้าทางปาก อาหารประเภทนี้มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม นุ่มนวล กลมกล่อม มีสีสวยงามชวนชิม มนุษย์ปรุงแต่งได้ทั้งสิ้น อันเป็นเรื่องของ รูปธรรม


๒. อาหารที่เข้าทางจมูก อาหารประเภทนี้ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี คือ อากาศหรือออกซิเจนนั่นเอง มนุษย์ปรุงแต่งไม่ได้ หรือเรียกว่าเป็น นามธรรม

มนุษย์ทั่วไปจะสนใจแต่อาหารที่เข้าทางปากเป็นส่วนใหญ่

พูดอีกนัยหนึ่ง สนใจแต่ในวัตถุหรือในรูปธรรม มีกิเลสตัณหาในรสอาหารหรือวัตถุนั้น

มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องกินอาหารทางปาก ซึ่งมีทั้งโปรตีน จากเนื้อหรือจากถั่ว และอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวและน้ำตาล เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีอาหารประเภทไขมัน ไวตามิน และเกลือแร่ต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์ต้องกินอาหารทางปากเพื่อการอยู่รอด และเพื่อความเจริญเติบโตของร่างกาย อาหารที่เข้าทางปากนี้จะมีอวัยวะสัมผัสรสของอาหาร คือ ”ลิ้น” ทำให้มนุษย์รู้วิธีปรุงแต่งรสของอาหารได้ต่างๆนานา อร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับลิ้นเป็นเครื่องวัด
แต่อาหารนั้นจะมีคุณค่ามีประโยชน์ต่อร่างกายหรือให้โทษแก่ร่างกายอย่างไรนั้น ลิ้นไม่สามารถบอกได้ มันขึ้นอยู่กับความรู้จักพอดี
ฉะนั้น ถ้าจะให้ความมั่นใจแก่สุขภาพอนามัยของร่างกายก็ต้องรู้จักการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์แก่ส่วนต่างๆของร่างกาย และ
รู้จักละเว้นไม่กินอาหารที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ หรือให้โทษแก่ร่างกาย จึงจะทำให้มนุษย์นั้นมีสุขภาพอนามัยแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อันเป็นแนวทางแห่งความสุขยิ่งอย่างหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารอีกประเภทหนึ่ง คือ อาหารที่เข้าทางจมูก อาหาร นี้ คือ อากาศ นั่นเอง อาหารประเภทนี้ มนุษย์ยังให้ความสำคัญแก่มันน้อยมาก น้อยจริงๆ แต่มันมีความสำคัญต่อร่างกายและจิตใจไม่ยิ่งหย่อนกว่าอาหารที่เข้าทางปากด้วยซ้ำไป

อาหารอากาศธาตุนี้ มนุษย์จะต้องกินอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า จนกว่าชีวิตจะหาไม่ คือ นับตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดาเด็กก็จะร้องจ้า เพราะมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดไปกระตุ้นระบบหายใจ เด็กก็จะสูดอากาศเอาออกซิเจนเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ และ
นับตั้งแต่วินาทีนั้นเอง ก็จะหายใจเข้าเอาอาหาร คือ อากาศ ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ ออกซิเจน แล้วหายใจออก คือ ขับถ่ายเอาคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้งไป และก็หายใจเข้า และหายใจออกอยู่อย่างนี้ตลอดจนกว่าจะหยุดหายใจ คือ ตาย

อากาศที่บริสุทธิ์ จะไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี มองไม่เห็น

แต่ถ้าเป็นอากาศเสียหรืออากาศเป็นพิษแล้วละก็ จะมีทั้งกลิ่นและสี และมองเห็นได้ด้วยตา เช่น ควันดำจากรถยนต์ ควันหรือกลิ่นจากโรงงาน เป็นต้น

ฉะนั้น ถ้าจะมีชีวิตอย่างมีความสุข จึงจะต้องรู้จักกินอาหารทั้งรูปธรรม และนามธรรมของอากาศให้ถูกต้อง จึงจะบรรลุถึงความสุขนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของลมหายใจหรืออาหารที่เข้าทางจมูกนี้ นอกจากจะมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์อย่างชนิดที่หยุดไม่ได้โดยเด็ดขาด ถ้าหยุดแล้ว คือ ความตาย ลมหายใจนี้ยังมีความละเอียดแบ่งซอยออกเป็นรูปธรรมของลมหายใจและนามธรรมของลมหายใจอีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงรู้จักลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งภาษาพระเรียกอานาปานสติสักเล็กน้อย

คำว่า อานาปานสติ แยกความหมายเป็นสามคำ คือ คำว่า อานะ แปลว่า ลมหายใจเข้า (Breathing in) ตรงกับคำว่า อัสสาสะ คำว่า อาปานะ แปลว่า ลมหายใจออก (Breathing out) ตรงกับคำว่า ปัสสาสะ และคำว่า สติแปลว่า ความระลึกตาม ความกำหนดพิจารณา (Mindfulness) รวมสามคำเข้าด้วยกันเป็น อานาปานสติ แปลว่า ความกำหนดพิจารณาลมหายใจเข้า และลมหายใจออก (Mindfulness of Breathing in and out)

หมายถึงการใช้สติเป็นตัวกำหนดดูลมหายใจเข้า และลมหายใจออกของตนในปัจจุบันแต่ละขณะ เป็นหนึ่งในวิธีฝึกกัมมัฏฐาน ๔๐ วิธี โดยจัดอยู่ในข้อที่ ๙ แห่งกัมมัฏฐานประเภทที่ใช้สติเป็นตัวนำ ซึ่งเรียกว่า อนุสติ ๑๐

เพราะเป็นหนึ่งในวิธีการฝึกกัมมัฏฐาน จึงเรียกว่า อานาปานสติกัมมัฏฐาน ซึ่งหมายถึงกัมมัฏฐานที่ใช้สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หรือ เรียกว่า อานาปานสติสมาธิ หมายถึง วิธีการฝึกสมาธิโดยใช้สติเป็นเครื่องกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ทุกขณะ
นอกจากนี้ ยังเรียกรวมๆว่า อานาปานสติภาวนา หมายถึง การเจริญกัมมัฏฐานโดยวิธีอานาปานสติ หรือ การฝึกสมาธิเจริญปัญญาด้วยการใช้สติระลึกอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก และนิยมเรียกสั้นๆว่า อานาปานสติ หรือ อานาปานะ อานาปาน์

(คู่มือพุทธศาสนิกชน หน้า ๒๖๐)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปราาชญ์บางท่านชี้ให้สังเกตความแตกต่าง ระหว่างอานาปานสติ กับ วิธีฝึกหัดเกี่ยวกับลมหายใจของลัทธิอื่นๆ เช่น การบังคับควบคุมลมหายใจของโยคะ ที่เรียกว่า ปราณยาม เป็นต้น ว่าเป็นคนละเรื่องกันทีเดียว โดยเฉพาะ อานาปานสติ เป็นวิธีฝึกสติ ไม่ใช่ฝึกหายใจ คือ อาศัยลมหายใจ เป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับฝึกสติ
ส่วนการบังคับลมหายใจนั้น บางอย่างรวมอยู่ในวิธีบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบำเพ็ญ และละเลิกมาแล้ว

(พุทธธรรมหน้า ๘๑๖)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ความสำคัญของอาหารจากอากาศนี้ มีปรากฏตามตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการเลี้ยงไก่ประเภทเนื้อ เจ้าของเล้าเดียวกัน เล้าแรกอยู่ในบริเวณเขตเมืองชุมชนหนาแน่น การถ่ายเทอากาศไม่ดี

อีกเล้าหนึ่ง เจ้าของย้ายออกไปอยู่นอกเมืองอากาศดีมาก โล่งแจ้ง ไม่แออัด เจ้าของเล้านำลูกไก่เข้าเล้าๆละเท่าๆกันในวันเดียวกัน และให้อาหารเหมือนกันทั้งสองเล้า พอครบกำหนด ๒ เดือน ก็ขายไก่ ไก่ทุกตัวของเล้านอกเมืองมีน้ำหนักมากกว่าไก่ที่อยู่ในเล้าในเมืองอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้นอัตราการตายของไก่เล้านอกเมืองก็น้อยกว่าไก่เล้าในเมือง ทั้งนี้เพราะอากาศดีและบริสุทธิ์ จะช่วยการเจริญเติบโตของไก่นั่นเอง ท่านเห็นความสำคัญของอากาศหรือลมหายใจต่อชีวิตแล้วหรือยัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเคยชินของมนุษย์ต่ออากาศที่หายใจตามปกติ ก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าออกไปอย่างกว้างขวาง ได้มีการทดลองหลายอย่างหลายประการ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้ามนุษย์รู้จักกินอากาศดี อากาศบริสุทธิ์โดยวิธีกินคำโตๆ (คือการหายใจแรงและลึก) กินติดต่อกันไปอย่างน้อยครั้งละ ๒๐ นาที ถ้าถึงครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็ยิ่งดี สัปดาห์ละอย่างน้อย ๓ วัน

ถ้าจะให้ดีก็ทำทุกวัน ซึ่งหมายถึงการออกกำลังกายจนทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรงกว่าปกติอีกเกือบเท่าตัวหรืออีกเท่าตัวโดยกระทำติดต่อกันอย่างน้อย ๒๐ นาที

ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นกิจวัตร แน่นอนเหลือเกินว่าร่างกาย จะต้องแข็งแรงไม่เจ็บไข้ทำให้ชีวิตมีความสุขและอายุยืนยาว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เขียนขอเตือนว่าท่านจะทำได้ดังกล่าวนี้ ท่านจะต้องค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยๆ จนร่างกายอยู่ตัว ซึ่งจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จงอย่าหักโหมออกแรงเมื่อเริ่มต้นออกกำลังกายเป็นอันขาด จะเกิดอันตราย
เวลาที่เหมาะที่สุดที่จะกินอากาศนี้ คือ เวลาเช้า อากาศบริสุทธิ์กว่าเวลาอื่นๆ

การกินอากาศนี้ หมายถึง อากาศในที่โล่งแจ้ง อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งถือกันว่าอากาศยามเช้าเป็นดีที่สุด ทั้งนี้ เพราะในตอนเช้านั้นมีแสงแดดอ่อนๆด้วย


ท่านทั้งหลายคงทราบความสำคัญของดวงอาทิตย์ ผู้ให้กำเนิดแสงแดด และรังสีหลายชนิดแล้วว่า มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์และพืช อย่างไรบ้าง

เมื่อกล่าวถึงรังสีจากดวงอาทิตย์นี้ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการวิจัยอย่างกว้างขวางในการที่จะใช้รังสีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในด้านการแพทย์และด้านอื่น อาทิเช่น แสงแดดช่วยสังเคราะห์ไวตามินดี ให้แก่ร่างกาย ทำให้กระดูกแข็ง ไม่เป็นโรคกระดูกอ่อน หรือ

ทางด้านการถนอมอาหารด้วยการอาบรังสีแกมม่าให้แก่พืชหลายชนิด ทำให้มีสภาพคงเดิม และเก็บไว้ได้นานกว่าปกติ หรือ การใช้ รังสีอินฟราเรดรักษาข้ออักเสบ หรือ รังสีอุลตราไวโอเลตฆ่าเชื้อโรค ฯลฯ เป็นต้น รังสีเหล่านี้ ล้วนแต่อยู่ในแสงอาทิตย์ทั้งสิ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2019, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าแสงแดดอ่อนเวลาเช้า สาย และบ่าย เย็น นี้ จะมีรังสีดังกล่าวนั้นอย่างแน่นอน

ส่วนจะได้ประโยชน์ต่อการสร้างพลังแก่ร่างกายและจิตใจอย่างใด นอกเหนือจากที่ทางการแพทย์รู้แล้วนั้น ยังไม่มีผู้ใดค้นพบความเร้นลับเรื่องนี้

ฉะนั้น ท่านไม่ควรหนีแดด ท่านควรให้ผิวหนังได้รับแสงแดดให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แต่ผู้เขียนมิได้แนะนำให้ไปยืนถอดเสื้อตากแดดตอนตะวันตรงหัวก็หาไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2019, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การออกกำลังกายโดยทั่วไปนั้น จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ๕ ประการ คือ

๑.การไหลเวียนของโลหิต เส้นเลือดและหัวใจ

๒.กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อหัวใจ

๓.สมองและประสาท

๔.ข้อต่อต่างๆ

๕.การย่อยอาหารและการขับถ่าย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. การไหลเวียนของโลหิต เส้นเลือดและหัวใจ นี้ เกิดขึ้นจากการเต้นของหัวใจ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายปั้มน้ำ

การออกกำลังกายอย่างจริงจัง จะทำให้หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้นอีกอย่างน้อยเกือบเท่าตัวจนถึงเท่าตัวของการเต้นปกติ
การออกกำลังนี้ จะต้องกระทำติดต่อกันอย่างน้อย ๒๐ นาที จึงจะได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะขณะที่หัวใจเต้นเร็วและแรงนี้ จะเป็นกำลังดันให้เลือดเข้าสู่ปอดเพื่อการซักฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง

การไหลเวียนของเลือดในระยะที่ออกกำลังนี้เปรียบได้กับเครื่องปั้มน้ำที่มีกำลังสูง สามารถดันน้ำให้อาคารชั้นสูงๆได้ กล่าวคือ เลือดจะเข้าไปฟอกทำความสะอาดทุกซอกเล็กซอกน้อย เช่น เส้นโลหิตฝอยเล็กๆ ในสมองและหัวใจ เป็นต้น
เป็นการกระตุ้นผนังเส้นเลือดทุกขุมขน ทุกซอกมุมให้ตื่นตัวยืดหยุ่น เลือดแดงที่บริสุทธิ์สามารถผ่านไปเลี้ยงเนื้อ (ทิสชู) ทุกชนิดตามจุดต่างๆในร่างกาย ผนังเส้นเลือดจะยืดหยุ่นได้ดีกว่าปกติ โอกาสจะเป็นเส้นเลือดแข็งเปราะ หรือ เส้นเลือดในสมองหรือหัวใจตีบอุดตัน หรือแตกตลอดจนเส้นเลือดอักเสบ และความดันสูง จะไม่กล้ากล้ำกรายเข้ามาเลย


สมอง ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่สูงสุดของร่างกาย และละเอียดอ่อนที่สุด จะมีอาหารที่มีคุณค่า ซึ่งไปกับเลือดไปเลี้ยงอย่างทั่วถึงและได้รับการออกกำลังไปด้วยในตัวทุกจุดทุกซอกทุกมุม

การไหลเวียนของเลือดนี้เอง ก็จะผ่านเข้าในปอด ปอดจะทำหน้าที่ฟอกเลือดดำให้สะอาด และนำของเสียถ่ายเทออกทางไต เป็นปัสสาวะ ทางผิวหนังเป็นเหงื่อไคล และทางลำไส้ เป็นอุจจาระ

ส่วนเลือดแดงที่ฟอกสะอาดแล้วก็จะไหลเวียนเข้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ หมุนเวียนเรื่อยไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2019, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒.กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อหัวใจ ขณะที่หัวใจเต้นเร็วและแรง กล้ามเนื้อทุกส่วนจะได้รับการไหลเวียนของเลือด คือ อาหารจะเข้าไปเลี้ยงอย่างทั่วถึง กล้ามเนื้อจะมีอาการเคลื่อนไหว รวมทั้งกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งถือว่าสำคัญยิ่ง หยุดไม่ได้เลย จะได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้เกิดกำลัง และมีความยืดหยุ่น ซึ่งแน่นอนกล้ามเนื้อหัวใจ ย่อมแข็งแรงเป็นเป็นธรรมดา โอกาสจะเป็นโรคของกล้ามเนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจ จึงน้อยกว่ามนุษย์ที่ไม่มีการออกกำลังอย่างแน่นอน

หัวใจคนปกติเต้นประมาณ 80-90 ครั้ง ต่อ 1 นาที ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอนั้น หัวใจจะค่อยๆเต้นน้อยลง จนเหลือเพียง 60-65 ครั้ง ต่อนาที หรือ น้อยกว่านั้น นักกีฬาบางคน หัวใจจะเต้นเพียง 25-30 ครั้ง ต่อ 1 นาที เท่านั้น
ผู้อ่านลองคิดดู มนุษย์ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หัวใจเต้น 1 นาที่ เพียง 60 ครั้ง หนึ่งเดือน หนึ่งปี และยี่สิบปี จะเต้นกี่ครั้ง เปรียบเทียบกับอีกผู้หนึ่ง ที่ไม่ได้ออกกำลังเลย หัวใจเต้น 80 ครั้งต่อนาที ยี่สิบปี จะเต้นมากกว่าอีกผู้หนึ่งที่ออกกำลังเสมอถึง 2 ล้านกว่าครั้ง
ท่านคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ว่า ความสึกหรอของหัวใจมนุษย์ผู้นั้น จะมีมากกว่าอีกผู้หนึ่งปานใด

ฉะนั้น มนุษย์ปกติที่หัวใจเต้น 80 ครั้งต่อนาที พอค่อยๆออกกำลังอย่างสม่ำเสมอและค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้นทีละน้อยๆ ๓ เดือน หรือ ๔ เดือนผ่านไป ลองจับชีพจรตัวเองจะพบทันทีว่า อัตราการเต้นของหัวใจจะลดลงเห็นได้ชัดเจน จะเดิน จะวิ่ง จะขึ้นบันได ก็ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย หรือเวลาออกกำลังจนเหนื่อย เมื่อหยุดก็หายเหนื่อยได้ในเวลาอันรวดเร็ว นั่นแหละจึงจะเรียกว่าออกกำลังกายได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ผลต่อหัวใจ และหลอดเลือดอย่างเต็มที่
การออกกำลังกายเพื่อการนี้ ได้แก่ การวิ่งเหยาะๆ ติดต่อกันหรือการเดินเร็วๆ หรือ การว่ายน้ำกลับไปกลับมาติดต่อกันโดยไม่หยุด 20-30 นาที และต้องออกกำลังทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓-๔ วัน


แต่ถ้าวิ่งๆหรือว่ายๆแล้วหยุดๆ อย่างนี้ จะไม่ได้ผลแก่กล้ามเนื้อหัวใจเท่าที่ควร กล้ามเนื้อทุกส่วนที่ได้มีการออกกำลังก็จะโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับและจะอยู่ตัวในที่สุด

อย่าลืมว่า ต้องค่อยๆปฏิบัติจนอยู่ตัว อย่าใจร้อนเป็นอันขาด จะเกิดอันตราย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 11 ม.ค. 2019, 11:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2019, 07:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปราาชญ์บางท่านชี้ให้สังเกตความแตกต่าง ระหว่างอานาปานสติ กับ วิธีฝึกหัดเกี่ยวกับลมหายใจของลัทธิอื่นๆ เช่น การบังคับควบคุมลมหายใจของโยคะ ที่เรียกว่า ปราณยาม เป็นต้น ว่าเป็นคนละเรื่องกันทีเดียว โดยเฉพาะ อานาปานสติ เป็นวิธีฝึกสติ ไม่ใช่ฝึกหายใจ คือ อาศัยลมหายใจ เป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับฝึกสติ
ส่วนการบังคับลมหายใจนั้น บางอย่างรวมอยู่ในวิธีบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบำเพ็ญ และละเลิกมาแล้ว

(พุทธธรรมหน้า ๘๑๖)


ใช่ครับ ไม่ได้เพ่ง แต่ไม่ได้เผลอ แลดูอยู่เหมือนเราไม่แทรกแทรง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร