วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีผู้กล่าวกันว่า มนุษย์และสัตว์เกิดมาเพื่อผสมพันธุ์ จึงจะมีการสืบทอดเพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ไปจากโลก ฉะนั้น การผสมพันธุ์ หรือกามารมณ์ของมนุษย์และสัตว์ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกเหมือนกัน
แต่มนุษย์กับสัตว์นั้น จะมีข้อแตกต่างกันนั้น ก็คือ มนุษย์สามารถมีธรรมะ ส่วนสัตว์นั้นไม่มี หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวว่า ถ้ามนุษย์ผู้นั้นขาดธรรมะ มนุษย์ผู้นั้นก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากสัตว์

เป็นที่ทราบกันดีว่า มวลสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เมื่อมีคุณอนันต์ ก็ย่อมมีโทษมหันต์ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการประยุกต์สิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้ถูกต้องสมดุลและเหมาะสม ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีผู้กล่าวกันว่า มนุษย์และสัตว์เกิดมาเพื่อผสมพันธุ์ จึงจะมีการสืบทอดเพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ไปจากโลก ฉะนั้น การผสมพันธุ์ หรือกามารมณ์ของมนุษย์และสัตว์ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกเหมือนกัน
แต่มนุษย์กับสัตว์นั้น จะมีข้อแตกต่างกันนั้น ก็คือ มนุษย์สามารถมีธรรมะ ส่วนสัตว์นั้นไม่มี หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวว่า ถ้ามนุษย์ผู้นั้นขาดธรรมะ มนุษย์ผู้นั้นก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากสัตว์

เป็นที่ทราบกันดีว่า มวลสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เมื่อมีคุณอนันต์ ก็ย่อมมีโทษมหันต์ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการประยุกต์สิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้ถูกต้องสมดุลและเหมาะสม ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

:b8:

บุญบารมี มีแค่ไหนก็รู้ได้แค่นั้น คิดพูด ทำได้แค่นั้น
ส่วนพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสไว้ สัตว์เกิดขึ้น ๔ แบบ
ที่นักวิทยาศาสรู้เพียงแค่ ๒ อย่างต้นๆ ส่วนอีก ๒ มิได้รู้เลย
เลยเข้าใจและพูดไปเช่นนั้น

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความที่พูดถึงข้างต้นนี้มีคำ ๓ คือ พันธุ์ ผสมพันธุ์ และกรรมพันธุ์ ผู้เขียนใคร่ขอให้ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง และเห็นว่ามีความสำคัญต่อครอบครัว เผ่าพันธุ์ และประเทศชาติในที่สุด ดังต่อไปนี้ ท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ?

ผู้เขียนขอกล่าวถึงการผสมพันธุ์สัตว์ อาทิ พันธุ์ม้าแข่ง พันธุ์สุนัขชนิดต่างๆ ไก่พันธุ์ไข่ หรือ ไก่พันธุ์เนื้อ เขาจะดูประวัติของเทือกเถาเหล่ากอของพ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพ่อ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ลูกผสมที่มีคุณสมบัติดีพร้อม ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pedigree แต่ในเรื่องของมนุษย์เราตระหนักในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เพียงใด
ถ้าเห็นว่า มนุษย์ยิ่งเป็นทรัพยากรอันยิ่งใหญ่ และมหาศาลยิ่งกว่าสัตว์แล้วไซร้ เราควรจะคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้บ้างไหม ?


จริงอยู่การผสมพันธุ์สัตว์นั้น ใช้วิธี "คลุมถุงชน" ได้ แต่ผสมพันธุ์คนนั้น ปัจจุบันไม่นิยมทำกัน แต่เราควรจะแนะนำให้แนวทางความคิดแก่ลูกหลานของเราเพียงใด และแนวความคิดควรจะเป็นอย่างไร ?


เรื่องนี้ผู้เขียนใคร่ขอให้ผู้อ่านช่วยคิด ก็เพราะว่ามนุษย์เราจะมองจะคิดอะไรมักจะให้ความสำคัญที่รูป หรือกายมากกว่า จิต (ในที่นี้คือ สมอง และ สติ ปัญญา) ซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งบางทีเราเรียกว่า”กำพืด”


มนุษย์จะให้ความสำคัญในเรื่องรูปสวย และรวยทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ อันเป็นรูปธรรม แล้วก็อบรมสั่งสอนให้ลูกหลานมองแค่รูปธรรมเท่านั้น
สิ่งนี้แหละที่ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า เราควรอบรมสั่งสอนแนะนำหรือแนะแนวลูกหลานของเราไปในทิศทางไหน เพื่อให้เขาเลือกคู่ของเขาให้ดีพร้อมทั้งรูปธรรมและนามธรรมด้วย เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดีเฉลียวฉลาดขยันขันแข็งสืบต่อกันไป ประชาชาติไทยก็จะมีลูกหลานที่ดีพร้อมทั้งรูปธรรมและนามธรรม ดังเช่น นักผสมพันธุ์สัตว์ทั้งหลาย เขาทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
เรื่องอย่างนี้ในประเทศเยอรมันนีสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ทำกันเป็นโครงการของชาติในสมัยนั้น ที่เรียกว่า โครงการ Super Race

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ร่างกายหรือชีวิตมนุษย์นี้ประกอบด้วยของ ๒ ส่วน คือ

๑.กาย ที่เรียกว่า รูป ซึ่งจับต้องและมองเห็นได้

๒.ใจ หรือ จิต ที่เรียกว่า นาม ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น

สองส่วน คือ กาย และจิตนี้ แยกกันทำงาน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีการทำงานเป็นระบบ มิใช่ต่างฝ่ายต่างทำ จิตนั้น ควบคุมกาย จนกระทั่งมีผู้กล่าวว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในส่วนของชีวิตนั้น มีระบบเลือด ระบบประสาทเป็นขอบข่ายสายระโยงระยางในการจัดให้เซลล์ต่างๆในร่างกายทำหน้าที่แต่ละหน้าที่ของมัน

เซลล์แต่ละตัวจะมีการเวียนว่ายตายเกิดในตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา อายุของเซลล์แต่ละชนิดไม่เท่ากัน เซลล์ที่เกิดใหม่แต่ละชนิดจะมีการเปลี่ยนสภาพไปตามอายุขัยของเรือนร่าง หรือชีวิตนั้น
เซลล์บางชนิดของอวัยวะบางชนิด เช่น ฟันแท้ของมนุษย์ หรือผมเส้นสุดท้ายที่ขุมขนของคนศีรษะล้าน ที่หลุดพ้นจะนิพพานไปเลยไม่เกิดใหม่อีก ซึ่งแตกต่างกับเซลล์ของผิวหนังหรือเยื่อต่างๆ หรือเม็ดเลือด ซึ่งจะเกิดใหม่หมุนเวียนเรื่อยๆ ไปจนกว่าชีวิตมนุษย์นั้นจะหาไม่
อธิบายได้อย่างเดียวกับสิ่งที่เกิดกับมนุษย์ประเภทต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน คือที่นิพพานไม่กลับมาเกิดอีกหลุดพ้นไปเลยอย่างเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีแต่น้อยมาก ส่วนใหญ่ยังคงจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกลับมาอีกเช่นเดียวกันกับเซลล์ในร่างกายของมนุษย์ ดังได้อธิบายไว้นั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ว่าจิตคุมกายนั้นอย่างไร ? จิตของเรานี้ อยู่ตรงตำแหน่งของหัวใจส่วนลึกลงไป ท่านว่า ความรู้ดีรู้ชั่วจะออกจากใจนี้แล้วจึงจะสั่งการไปที่สมอง
สมองจึงจะสั่งกายให้ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอีกต่อหนึ่ง กล่าวคือ สมองเป็นเพียงอวัยวะที่ทำงานตามคำสั่งของจิต หรือวิญญาณนั่นเอง จิตที่ฝึกให้สงบเป็นประจำเป็นจิตที่มีพลัง ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองอ่านต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คลื่นแทรก


สภาพกายจิตสัมพันธ์นี้ อาจแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ ตามขั้นของพัฒนาการทางจิต

ขั้นต่ำสุด ทุกข์กาย ซ้ำทุกข์ใจคือผลต่อกาย กระทบจิตด้วย พอไม่สบายกาย ใจพลอยไม่สบายด้วย ซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้น

ขั้นกลาง ทุกข์กาย อยู่แค่กาย คือ จำกัดขอบเขตของผลกระทบได้ ความทุกข์ความไม่สบายมีอยู่แค่ไหน ก็รับรู้ตามที่เป็นแค่นั้น วางใจได้ ไม่ให้ทุกข์ทับถมลุกลาม

ขั้นสูง ใจสบาย ช่วยกายคลายทุกข์ คือ เมื่อร่างกายทุกข์ ไม่สบาย นอกจากไม่เก็บไปก่อทุกข์แก่ใจแล้ว ยังสามารถใช้สมรรถภาพที่เข้มแข็ง และคุณภาพที่งามของจิต ส่งผลตีกลับมาช่วยกายได้อีกด้วย


จิต, จิตต์ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ

เจตนา ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตจำนง, ความจำนง, ความจงใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ผู้เขียนขอเปรียบเทียบให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องนี้ยิ่งขึ้น กล่าวคือ จิตของมนุษย์ธรรมดาๆ นั้น ตามปกติจะไม่อยู่นิ่ง แต่จะแกว่งไกวกระโดดเคลื่อนไหวตลอดเวลา ท่านเปรียบเทียบว่าคล้ายลิง หรือเปรียบเหมือนน้ำที่ไม่ใส และยังกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
แต่ถ้าเราแกว่งสารส้ม และทำให้นิ่งเสีย
ท่านผู้อ่านลองคิดดู ถ้าน้ำใสและนิ่ง ท่านก็จะเห็นตะกอนหรือขี้ผง ซึ่งตกนอนก้นอยู่ ฉันใด
จิต หรือ วิญญาณ หรือ มโน ก็ฉันนั้น

ส่วนจะหยุดอยู่แค่นั้น หรือเราจะพยายามเพียรหยิบตะกอนหรือขี้ผงออกจากถ้วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะต้องปฏิบัติให้ลึกซึ่งต่อไป
จิตที่ฝึกให้สงบนิ่งเป็นประจำยิ่งจะเกิดธาตุรู้ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ว่าจะตัดสินใจไปทางใด จึงจะดีที่สุดหรือดีกว่า
ท่านผู้อ่านลองคิดดูก็แล้วกันว่า ในขณะที่ท่านโมโหโกรธหุนหันแล้วท่านตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้น กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ท่านต้องเสียใจในการกระทำนั้น
ถ้าท่านสงบจิตสงบใจเสียก่อนตัดสินใจ ท่านก็คงไม่ต้องกลับมาคิดเสียใจมิใช่หรือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านผู้อ่านที่สนใจในเรื่องของจิตนี้ ท่านทราบบ้างไหมว่า มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ทำลายจิตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ที่เรียกว่าทำลายจิตของตัวเองนั้น ก็คือ เขาปล่อยจิตของเขาให้ฟุ้งซ่านวุ่นวายโดยเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต
หอบเอาเข้าไปคิดไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น สร้างทุกข์ให้เกิดแก่ตนเองโดยไม่รู้ตัวอย่างน่าสมเพชเป็นที่สุด นับว่าเป็นมารผจญและเผาสติ ปัญญาของตนเองอย่างฉกรรจ์
หนทางแก้ไขมีอย่างเดียวเท่านั้น คือ ต้องจับจิตให้นิ่งเสียวันละอย่างน้อย ๓๐ นาที ที่เรียกว่า ปฏิบัติสมถะ หรือ สมาธินั่นเอง

สมเด็จพระญาณสังวร แห่งวัดบวชนิเวศน์เขียนไว้ในหนังสือแสงส่องใจ ดังนี้

“พฤติกรรมทั้งปวงนั้น ย่อมเนื่องมาจากจิตใจ ผู้ที่มีจิตใจได้รับการอบรมมาดี ย่อมจะแสดงออก ซึ่งพฤติกรรมทั้งปวงในทางดี ฉะนั้น การอบรมให้ถึงจิตใจ ถ้าจะกล่าวว่า เป็นการสร้างเสริมก็เป็นการสร้างเสริมถึงต้นเหตุ ถ้าจะกล่าวว่าเป็นการแก้ก็เป็นการแก้ถึงเหตุต้นตอทีเดียว


“จิตใจมีความสำคัญ เพราะเป็นมูลฐานแห่งความประพฤติในทุกทาง และความเจริญ ความเสื่อม ความสุข ความทุกข์ต่างๆ”

“จิตใจนี้จำต้องมีการดูแลรักษาแก้ไข”

“จิตเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นแก้วสารพัดนึก สารพัดรู้ ที่ทุกคนมีอยู่แล้ว หากแต่เจ้าของอาจยังไม่รู้จัก ยังมิได้เจียระไน”

“จิตที่บริหารฝึกดีแล้ว จะเป็นจิตที่มีสมรรถภาพสูงมีความสุขมาก และปล่อยวางได้ตามสบายจริง”

“การบริหารจิตใจให้มีสมาธิ ก็เพื่อให้จิตมีพลังหรือกำลังสามารถมีสติรอบคอบรักษาตนได้ดี”

“ผู้ที่สามารถปกครองจิตของตนได้เอง ย่อมมีความสามัคคี ปลอดภัยดีกว่าใครๆ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงวิจิตรวาทการ ผู้ประพันธ์หนังสือกำลังความคิด ได้ให้จำกัดความว่า สมาธิหมายถึง”จ่อจิต”ซึ่งรู้สึกว่าจะเข้าใจความหมายดีอยู่ในตัว และกล่าวไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้

“ดวงจิตที่มีสมาธิแน่วแน่ สามารถข่มดวงจิตของผู้อื่นหรือจูงใจผู้อื่นได้”

“ดวงจิตที่มีสมาธิ ช่วยความฉลาดให้ปรากฏสูงขึ้น”

“ดวงจิตที่มีสมาธิฝึกอยู่เสมอ ทำให้เหนื่อยน้อย”

“การทำจิตให้มีสมาธิ ทำให้กวาดล้างสิ่งเปรอะเปื้อนออกจากสมอง”

“ความแรงแห่งกระแสดวงจิต ต้องอาศัยสมาธิเป็นสำคัญ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านอธิบายทำนองอุปมาอุปมัยว่า ”ยูโดเป็นศิลปะแห่งการใช้กำลังน้อยมาก ไปทำลายสิ่งที่มีกำลังมากมหาศาลได้ แม้ผู้หญิงที่มีความสามารถในศิลปะอันนี้ อาจจะทุ่มผู้ชายร่างกายกำยำออกจากหน้าต่างได้”


ท่านพุทธทาสบรรยายในรูปอุปมาว่า "ยูโดทางวิญญาณ (Spiritual judo) นั้นหมายถึงการใช้สติปัญญาทางฝีไม้ลายมือพิเศษที่ดูเหมือนใช้ความเหน็ดเหนื่อยที่น้อย หรือการปฏิบัตที่ดูว่า น้อย ง่ายหรือแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อทำลายกิเลส ท่านเรียกว่า "อาวุธวิญญาณ"


ท่านพุทธทาสท่านกล่าวถึง Spiritual judo ไปในทาง "ฝึกจิตให้ว่าง (ว่างจากกิเลส) แล้วเคลื่อนไหวไปเหมือนเครื่องจักรของสติปัญญา ไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่ของความหวัง ไม่ใช่ของความยึดมั่น แล้วงานก็จะเป็นที่สนุก"


"พอจิตวุ่นการงานก็เป็นทุกข์ พอจิตว่างการงานก็สนุก"


ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านลองพิเคราะห์ดูให้ดี ตัวท่านเองสามารถจะนำความรู้อันลึกซึ้งของ "ยูโดทางวิญญาณ" นี้ไปประยุกต์ ใช้เสริมการทำงานของท่านแล้วจะเกิดผล ท่านพุทธทาสกล่าวว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่า "ตัวกูของกู" ไม่ว่าจะมีจะเป็นอะไร ก็ต้องไม่เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น แม้มีทุกข์ก็ดูความทุกข์ให้มันว่างไปเสีย


ท่านพุทธทาสอธิบายว่า เรื่องยูโดทางวิญญาณนี้ จะต้องฝึกฝนให้ชำนาญเช่นเดียวกับการฝึกยูโดทางกาย ยูโดทางวิญญาณนี้ ฝึกกับ ราคะ (โลภะ) โทสะ และโมหะ ให้รู้หยุดชะงัก พอให้สติมันมาเสียก่อน"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเห็นความสำคัญของจิตแล้วหรือยัง มนุษย์ปุถุชนทั่วไปยังให้ความสำคัญของจิตน้อยไป หรือไม่สนใจเอาเลยจริงๆ เพราะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

ถ้าจะให้ความสำคัญเพียงแต่ดูแลรักษา ก็จะให้ความสำคัญแต่กายเท่านั้น เพราะจับต้องและมองเห็นรูปร่างได้
พูดอีกนัยหนึ่ง มนุษย์ยังติดอยู่กับวัตถุมากกว่านั่นเอง

ผู้เขียนใคร่ขอเชิญชวนให้ท่านลองหันมาสนใจเรื่อง”จิต”ของท่านให้มากขึ้นและสม่ำเสมอแล้วท่านจะรู้เอง ไม่เชื่อก็ลองปฏิบัติดู

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เมื่อเกิดมาแล้วจะต้องเจริญเติบโตทั้งร่างกาย และจิตใจ การเจริญเติบโตทางร่างกายก็จะปรากฏให้เห็นได้จากโครงกระดูก กล้ามเนื้อ น้ำหนักตัว และความสูงของร่างกาย

ทางด้านจิตใจก็จะเจริญเติบโตในด้านความนึกคิด สติปัญญา ความสุขุมรอบคอบ และบุคลิกภาพ

มนุษย์จะเจริญเติบโตได้ก็ด้วยอาหาร อาหารนั้นก็มีทั้งคุณ และโทษ ถ้าไม่รู้จักกินอาหารที่ถูกต้อง เช่น มนุษย์ในชนบทที่ยากไร้ไม่มีอะไรจะกิน ก็จะเป็นโรคขาดอาหาร และอาจถึงแก่ความตาย เพราะความอดอยาก

ตรงกันข้ามกับมนุษย์ในถิ่นที่มีความเจริญสูง มีกินมีใช้ อย่างอย่างฟุ่มเฟือย จำนวนไม่น้อยที่ต้องตายในอายุขัยที่ไม่สมควร เพราะกินอาหารบางประเภทมากเกินไปจนเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย หรือไม่ได้กินแต่สูบหรือฉีดสิ่งเสพติดเข้าร่างกาย ก็ยิ่งซ้ำร้ายในเรื่องพิษภัยต่อร่างกาย และจิตใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2019, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารที่ทำให้มนุษย์เจริญเติบโต แข็งแรงสมบูรณ์ในทัศนะของผู้เขียน เฉพาะที่เขียนเรื่องนี้ได้แก่อาหาร ๒ ประเภท คือ

๑.อาหารที่เข้าทางปาก อาหารประเภทนี้มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม นุ่มนวล กลมกล่อม มีสีสวยงามชวนชิม มนุษย์ปรุงแต่งได้ทั้งสิ้น อันเป็นเรื่องของ รูปธรรม


๒. อาหารที่เข้าทางจมูก อาหารประเภทนี้ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี คือ อากาศหรือออกซิเจนนั่นเอง มนุษย์ปรุงแต่งไม่ได้ หรือเรียกว่าเป็น นามธรรม

มนุษย์ทั่วไปจะสนใจแต่อาหารที่เข้าทางปากเป็นส่วนใหญ่

พูดอีกนัยหนึ่ง สนใจแต่ในวัตถุหรือในรูปธรรม มีกิเลสตัณหาในรสอาหารหรือวัตถุนั้น มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องกินอาหารทางปาก ซึ่งมีทั้งโปรตีน จากเนื้อหรือจากถั่ว และอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวและน้ำตาล เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีอาหารประเภทไขมัน ไวตามิน และเกลือแร่ต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร