วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 พ.ย. 2018, 08:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขที่พึงเน้น สำหรับคนทั่วไป เริ่มตั้งแต่ในบ้าน


เพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ หรือใช้งาน ควรเน้นความสุขใน ๓ เรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสบ่อย คือ เรื่องกามสุข เรื่องความสุขทางสังคม และเรื่องความสุขในการพัฒนาของชีวิต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขของคนทั่วไป ที่ตรัสบ่อย ก็คือ เรื่อง กามสุข เพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ส่วนใหญ่ หรือชาวบ้านชาวเมือง และมวลชาวโลก เป็นความสุขสนองผัสสะ อาศัยการเสพ พึ่งพาขึ้นต่ออามิสวัตถุ เป็นความสุขจากการได้ การเอา เพื่อตัวเอง ให้แก่ตัวเอง ให้ตัวเองได้เสพ ซึ่งเมื่อคนปฏิบัติต่อมันไม่ถูก บริหารไม่เป็น จัดการไม่ดี ก็เป็นบ่อเกิดของปัญหาสารพัดในโลกนี้ ที่ขัดแย้งแย่งชิงเบียดเบียนข่มเหงกัน ตั้งแต่ระดับบุคคล จนถึงระดับโลก จึงต้องย้ำว่า ถ้าจะแก้ปัญหาของมนุษย์ให้ตรงจุด ให้ได้ผล ก็ต้องแก้ที่นี่ คือ ให้มนุษย์พัฒนาปัญญาที่รู้เท่าทัน และบริหารจัดการกามสุขนี้ ให้ถูกต้อง ให้ถูกทาง อย่างน้อยให้คุณเหนือโทษ ให้เกื้อกูลเหนือการเบียดเบียน

อย่างไรก็ตาม เรื่องกามสุข ได้พูดไว้ในบทก่อนพอสมควรแล้ว ในที่นี้ จึงอ้างไว้ให้รู้จุดเน้น เพียงแค่นี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขที่ ๒ ที่เน้น คือ ความสุขทางสังคม ที่ว่าเป็นความสุขจากความเป็นมิตร มีไมตรีจิตมิตรภาพ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย เมตตา กรุณา เป็นต้น ถ้าว่าโดยหลักธรรม หลักใหญ่สำหรับความสุขข้อนี้ ก็ได้แก่ พรหมวิหาร ๔ และสังคหวัตถุ ๔ ถ้าจะให้สังคมประชาธิปไตยมั่นคง ก็ไปให้ถึงสาราณียธรรม ๖ กันเลย

ความสุขทางสังคมนี้ โดยพื้นฐานย่อมมุ่งไปที่หลักพรหมวิหาร ซึ่งได้อธิบายความหมายไปแล้ว แต่ในที่นี้ จะพูดอีกครั้งโดยเน้นเชิงปฏิบัติ เหมือนให้เห็นตัวอย่าง โดยจับที่จุดแกน คือ ในบ้าน หรือ ในครอบครัว เริ่มต้นที่ความสุขของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเห็นลูกอยู่ดีมีสุข

เวลาอธิบายเรื่องพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็จะยกเรื่องพ่อแม่มาเป็นตัวอย่าง โดยอธิบายเริ่มที่พ่อแม่ เพราะธรรมชาติเอื้ออยู่แล้วให้พ่อแม่มีคุณธรรมชุดนี้ โดยเฉพาะแม่นั้นถือเป็นแกน ในคัมภีร์จึงยกแม่เป็นหลักในการอธิบาย

ตามปกติ ท่านยกแม่ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่า แม่อยากให้ลูกมีความสุข เห็นลูกร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ป่วย สมใจตัว นี่คือ ได้สนองความต้องการพื้นฐานที่อยากให้ลูกมีความสุขแล้ว แม่ก็มีความสุข

ความต้องการหรืออยากให้ลูกสมบูรณ์แข็งแรงมีความสุขอย่างนี้ เรียกว่า เมตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ พอลูกเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่นิดหน่อย แม่ก็มีจิตใจหวั่นไหว ทนอยู่ไม่ได้ ก็ร่วมกับพ่อ ต้องไปหาทางแก้ไขบำบัดเยียวยาลูก ให้หายเจ็บหายไข้หายป่วยให้ได้
ถ้าลูกยังไม่หายทุกข์ ยังไม่กลับเป็นสุข แม่และพ่อก็สุขไม่ได้ พอลูกหายป่วย พอลูกหายป่วยเป็นปกติขึ้นมา แม่และพ่อก็สมใจ สมปรารถนา ได้สนองความต้องการที่อยากให้ลูกมีความสุข แล้วแม่และพ่อก็มีความสุข

ความต้องการหรืออยากให้ลูกพ้นคลายหายจากทุกข์กลับฟื้นขึ้นมาเป็นสุขอย่างนี้ เรียกว่า กรุณา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วถ้าลูกเติบโตเจริญงอกงาม มีรูปกายสวดสวยงามสง่า ประสบความสำเร็จในการศึกษาสอบได้คะแนนสูง หรือได้งานดีมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ คือ ดียิ่งขึ้นไป แม่และพ่อก็สมใจ สมปรารถนา ได้สนองความต้องการที่อยากให้ลูกเจริญงอกงามมีความสุขยิ่งขึ้นไป แล้วแม่และพ่อก็มีความสุข

ความต้องการหรืออยากให้ลูกเจริญงอกงามมีความสุขยิ่งขึ้นไป โดยพลอยมีใจยินดีเบิกบานมีความสุขไปด้วยอย่างนี้ เรียกว่า มุทิตา

ถึงข้อนี้ ว่าโดยทั่วไป พ่อแม่ทำกันได้ครบ แต่ครบแค่นี้ยังไม่พอ ครบในข้อที่พูดมาแล้วเท่านั้น ยังไม่ครบพรหมวิหาร ได้แค่โอ๋ ยังไม่ช่วยให้ลูกเติบโตจริง ถ้าใช้ศัพท์สมัยใหม่ ก็ว่า อาจจะไม่ได้วุฒิภาวะ ถ้าหนักหน่อยก็บอกว่า จะได้แต่ลูกแหง่อ้อนเอากับแม่พ่อเรื่อยไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จึงถึงข้อ ๔ ให้ไม่ลืมว่าอุเบกขาต้องมาด้วย พูดรวบรัดว่า ในสถานการณ์หรือกรณีที่ลูกจะต้องฝึกหัดรับผิดชอบชีวิตของเขาเอง ก็ดี ควรรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ก็ดี ถึงเวลาที่เขาจะรับผิดชอบชีวิตของเขาแล้ว ก็ดี พ่อแม่ต้องยอมปล่อย ไม่ทำให้เขา แต่ดูให้เขาทำ ให้เขาดำเนินชีวิตกิจการไปตามวิถีด้วยตัวเขาเอง ไม่เข้าไปขวนขวายก้าวก่ายแทรกแซง นี่ก็คือตั้งแต่ลูกตั้งไข่หัดเดิน ไปจนถึงลูกแต่งงานแยกบ้านไปตั้งเรือนดูแลรับผิดชอบครอบครัวของเขา

ท่านมักยกตัวอย่างตอนลูกออกเรือน มีครอบครัวของเขาเองแล้วอย่างนี้ว่า เมื่อลูกโต รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็อย่าเที่ยวไปยุ่มย่ามแทรกแซงในบ้านของเขา ไม่ใช่คอยบอกว่า ในบ้านของลูกนี่ ต้องจัดอย่างนั้น ต้องจัดอย่างนี้ เอานั่นออกไป เอานี่เข้ามา เที่ยวเข้าไปวุ่นวายทุกอย่าง คิดว่าอยากจะให้ลูกมีความสุข ลูกเลยสุขไม่ได้ กลายเป็นตัวเองไปเป็นเหตุให้ลูกมีทุกข์ ให้ลูกตัวกับลูกแต่งขัดแย้งหรืออึดอัดกัน

เมื่อมีปัญญารู้อยู่แล้วว่า ลูกเราโตแล้ว เขารับผิดชอบตัวเองได้ และถึงเวลาที่เขาจะต้องรับผิดชอบตนเอง เราก็คอยดู มองด้วยปัญญาว่ามีอะไรจะต้องเกื้อกูลช่วยเหลือแก้ปัญหา ก็จึงไปทำ คอยดูอยู่ ไม่ใช่ทอดทิ้ง และเป็นที่ปรึกษาให้ แต่ไม่เข้าไปยุ่มย่ามแทรกแซง อุเบกขาทำหน้าที่ตรงนี้

ความต้องการหรืออยากให้ลูกอยู่ในความถูกต้องสมควรตามเหตุผล ไม่ทำความผิดพลาดเสียหาย ดำเนินไปตามธรรม โดยมีใจเป็นกลางวางเรียบนิ่งไม่หวั่นไหวเอนเอียงลงตัวอย่างนี้ เรียกว่า อุเบกขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้ออุเบกขานี้ควรย้ำ ต้องให้ชัด เพราะคนมากมายไม่ค่อยเข้าใจ หรือเข้าใจผิดไปเลย แล้วใช้ไม่เป็น ไปกันไม่ค่อยถึง

บอกแล้วว่า อุเบกขาเป็นที่บรรจบของความรู้ กับ ความรู้สึก เป็นที่ดุลระหว่างรู้ กับ รัก เป็นที่จิตใจประสาน กับ ปัญญา

สามข้อแรก ตั้งแต่เมตตา ก็ต้องประสาน กับ ปัญญา ต้องใช้ปัญญา แต่นั่นก็คือแนะนำว่าต้องใช้ ควรใช้ควบคู่กันไป จึงจะได้ผลดี แต่ในทางปฏิบัติจริง จะเอาปัญญามาใช้หรือไม่ ก็ไม่แน่ เช่น รักอย่างไร้ปัญญา ก็มีส่วนข้ออุเบกขานี่เกิดจากปัญญาเลยทีเดียว ปัญญามา จึงมีอุเบกขาได้

(ถ้าปัญญาไม่มา อุเบกขาโดยไม่เกิดจากปัญญา ก็ไม่ใช่อุเบกขาแท้ เป็นอุเบกขาเทียม เรียกว่า เฉยโง่)

ในแง่ที่อุเบกขามาดุล พึงทราบว่า สามข้อแรกทำให้เด็กพัฒนาด้านความรู้สึก มีจิตใจดี หรือที่เวลานี้นิยมเรียกว่า พัฒนาด้านอารมณ์ ทำให้มีความรัก มีไมตรี รู้จักสงสารเห็นใจคน อยากช่วยเหลือ ร่วมมือเป็นต้น

แต่ถ้าขาดอุเบกขา เสียดุล พ่อแม่กลายเป็นเอาแต่รักเอาแต่โอ๋เด็ก นอกจากทำให้เด็กอ่อนแอแล้ว เขาก็จะคอยแต่รอรับ ถ้าเอียงมาก ก็กลายเป็นนักเรียกร้อง กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัว ต้องให้คนอื่นเอาใจ เห็นใจคนอื่นไม่เป็น เป็นต้น นี่แค่ตัวอย่าง

ทีนี้ ด้านสำคัญ อุเบกขาเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะในเรื่องสติปัญญา ความเข้มแข็งเก่งกล้าสามารถ ความรู้จักรับผิดชอบ

ที่จริง พ่อแม่เลี้ยงลูก จะให้ลูกพัฒนา เริ่มแต่ให้เขาทำโน่นเป็น ทำนี่ได้ด้วยตนเอง ก็ต้องใช้อุเบกขาอยู่แล้ว แต่มักไม่สังเกต และไม่รู้จักใช้อุเบกขาให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เอาง่ายๆ คุณแม่มี เมตตา รักลูกมาก ลูกยังเล็กมาก ก็ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้ แต่แน่ละ ตามความถูกความควร เด็กจะเติบโตขึ้นไป ก็ต้องกินอาหารเป็น ใช้ช้อน ใช้ซ่อม ใช้จานชามเป็น ฯลฯ รับผิดชอบชีวิตของตัวได้

คุณแม่ป้อนไปๆ แล้วถึงเวลาหนึ่ง ปัญญาก็บอกว่า เอาละ ต่อไปนี้ ลูกควรจะกินเองได้ ควรใช้ช้อนเป็น เป็นต้น คุณแม่ก็บอกลูกให้รู้จักวิธีใช้ช้อน ให้ลูกลองทำเอง คุณแม่ก็หยุด ไม่ป้อน ปล่อย คอยดูลูกทำ ดูแลให้เขาทำได้เอง นีคืออุเบกขา แม้แต่ปอกผลไม้ ปอกกล้วย เป็นต้น คุณแม่เคยปอดให้ใส่ปาก ต่อมาก็บอก ก็ดูให้ลูกทำได้ทำเป็นเอง

คุณพ่อคุณแม่ไม่หยุดแค่ขั้นเบื้องต้นแค่นี้ ก็ใช้ปัญญาต่อไปว่า ลูกเราควรทำอะไรเป็นบ้าง ควรทำเก่งในเรื่องอะไร ก็ใช้วิธีอุเบกขา เอาเรื่องที่จะฝึกมาบอก เป็นที่ปรึกษา และดูให้เขาทำ ปล่อยให้เขาทำ ต่อไปลูกก็เก่ง ทำได้หมด

ถ้าอยู่แค่เมตตา กรุณา ก็ทำให้ลูกๆ เรื่อยไป ถ้าอุเบกขา ก็ทำให้ลูกดู แล้วก็ดูให้ลูกทำๆ เรื่องก็อย่างนี้เอง

ถ้าใช้แค่เมตตา กรุณา ก็ได้ความสุข ที่ลูกสุขสมปรารถนาเฉพาะหน้าไปทีหนึ่งๆ แต่ถ้ามีอุเบกขามาคุมมาดุล ก็จะได้ความสุขที่ยืนนานระยะยาว เพราะได้เห็นลูกพัฒนามีความสามารถก้าวไปด้วยดีในวิถีชีวิตที่ยาวไกลในโลกอันกว้างใหญ่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอันว่า พ่อแม่เป็นตัวอย่างของการนำบ้าน นำครอบครัวให้มีความสุขเชิงสังคม จะต้องพัฒนามนุษย์ให้มีคุณธรรมชุดนี้ โดยเฉพาะเข้าใจ และใช้อุเบกขาให้ถูกต้อง

มองอย่างกว้าง อุเบกขาต้องการธรรม ต้องการความถูกต้อง ให้มวลมนุษย์ที่เรารักเราปรารถนาดีนั้น มีธรรม มีความถูกต้อง มีความไม่ผิดพลาด ซึ่งเป็นความปรารถนาดีอย่างสูงสุด แล้วเมื่อสมปรารถนาสมใจของเรา ตัวเราก็จะมีความสุขที่ประณีตลึกซึ้งยืนยาวและแท้จริง

เมื่อบ้านดี ครอบครัวมีความสุขอย่างถูกต้อง ถูกธรรมอย่างนี้ บ้านนั้นครอบครัวนั้น ก็เป็นหน่วยแกนที่จะร่วมสร้างกันขึ้นเป็นสังคมที่เจริญงอกงามมีความสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2018, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




45679059_10217095422878626_7127162180880826368_n.jpg
45679059_10217095422878626_7127162180880826368_n.jpg [ 41.56 KiB | เปิดดู 3135 ครั้ง ]
จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๘


ต่อ พัฒนากามสุขที่สุขแย่งกัน ให้มีความสุขที่สุขด้วยกัน ที่

viewtopic.php?f=1&t=56830&p=430791#p430791

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 พ.ย. 2018, 20:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๘

คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียนยังไงก็ไม่จบถ้าไม่ถึงนิพพานรู้ไหมคะ
1ขณะที่เห็นแค่แสงสีกระทบตาวาบดับทันทีเรียกว่าจิตเห็น
จิตทางอื่นไม่เห็นและไม่เกิดพร้อมแสงเข้าใจไหมว่าตาไม่เห็น
โลกของสีเพียงสีเดียวล้วนๆไม่มีมายาจอมปลอมเจือปนอะไรเลย
คือจิตแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันไม่มีใครเห็นแค่สี1สีนอกจากตถาคต
เวลาที่คิดมืดไม่มีแสงสว่างปนไม่มีเห็นปนเข้าใจไหมเมื่อไม่มีแสงเห็นอักษรได้ไหม
ตอนได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้สึกสุขทุกข์หรือจำอะไรๆนั้นมันมืด5ขณะสลับสว่างแค่เห็น1ขณะที่มีแสง
และถ้าคิดเห็นอ่านอักษรไม่มีแสงจะมีตัวอักษรไหมเพราะคิดมืดและตอนคิดไม่มีเห็นปนมีบ้านไหมคิดในมืดน๊า
ทำอะไรก็มีแต่เราคิดทำดีทำบุญให้ทานมีสิ่งของจริงๆไหมฟังบ้างนะสุตมยปัญญาต้องทำตรงขณะเงินมีจริงไหม
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๘

คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียนยังไงก็ไม่จบถ้าไม่ถึงนิพพานรู้ไหมคะ
1ขณะที่เห็นแค่แสงสีกระทบตาวาบดับทันทีเรียกว่าจิตเห็น
จิตทางอื่นไม่เห็นและไม่เกิดพร้อมแสงเข้าใจไหมว่าตาไม่เห็น
โลกของสีเพียงสีเดียวล้วนๆไม่มีมายาจอมปลอมเจือปนอะไรเลย
คือจิตแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันไม่มีใครเห็นแค่สี1สีนอกจากตถาคต
เวลาที่คิดมืดไม่มีแสงสว่างปนไม่มีเห็นปนเข้าใจไหมเมื่อไม่มีแสงเห็นอักษรได้ไหม
ตอนได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้สึกสุขทุกข์หรือจำอะไรๆนั้นมันมืด5ขณะสลับสว่างแค่เห็น1ขณะที่มีแสง
และถ้าคิดเห็นอ่านอักษรไม่มีแสงจะมีตัวอักษรไหมเพราะคิดมืดและตอนคิดไม่มีเห็นปนมีบ้านไหมคิดในมืดน๊า
ทำอะไรก็มีแต่เราคิดทำดีทำบุญให้ทานมีสิ่งของจริงๆไหมฟังบ้างนะสุตมยปัญญาต้องทำตรงขณะเงินมีจริงไหม
:b12:
:b32: :b32:

ถ้าเงินไม่มีจะมีคนได้ไหมภิกษุบวชในธรรมวินัยรับเงินอาบัติต้องตกนรกเอาเงินไปทำไมมีปัญญาไหมที่บวช
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๘

คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียนยังไงก็ไม่จบถ้าไม่ถึงนิพพานรู้ไหมคะ
1ขณะที่เห็นแค่แสงสีกระทบตาวาบดับทันทีเรียกว่าจิตเห็น
จิตทางอื่นไม่เห็นและไม่เกิดพร้อมแสงเข้าใจไหมว่าตาไม่เห็น
โลกของสีเพียงสีเดียวล้วนๆไม่มีมายาจอมปลอมเจือปนอะไรเลย
คือจิตแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันไม่มีใครเห็นแค่สี1สีนอกจากตถาคต
เวลาที่คิดมืดไม่มีแสงสว่างปนไม่มีเห็นปนเข้าใจไหมเมื่อไม่มีแสงเห็นอักษรได้ไหม
ตอนได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้สึกสุขทุกข์หรือจำอะไรๆนั้นมันมืด5ขณะสลับสว่างแค่เห็น1ขณะที่มีแสง
และถ้าคิดเห็นอ่านอักษรไม่มีแสงจะมีตัวอักษรไหมเพราะคิดมืดและตอนคิดไม่มีเห็นปนมีบ้านไหมคิดในมืดน๊า
ทำอะไรก็มีแต่เราคิดทำดีทำบุญให้ทานมีสิ่งของจริงๆไหมฟังบ้างนะสุตมยปัญญาต้องทำตรงขณะเงินมีจริงไหม
:b12:
:b32: :b32:

ถ้าเงินไม่มีจะมีคนได้ไหมภิกษุบวชในธรรมวินัยรับเงินอาบัติต้องตกนรกเอาเงินไปทำไมมีปัญญาไหมที่บวช
:b32: :b32:

:b12:
ปัญญาตามคำสอนมี3ขั้นต้องสะสมปัญญาตามลำดับ
ข้ามขั้นจะมีปัญญาเกิดได้ไหมสุตมยปัญญาฟังในมืด
ถ้าชาติไหนไม่ฟังแสดงว่าชาตินั้นไม่ได้สะสมปัญญา
เห็นดับเพียง3ขณะกิเลสไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางเลย
ถ้าไม่เริ่มฟังก็ไม่มีปัญญาเกิดเพิ่มเพราะปัญญาเจตสิกเกิดเองไม่ได้แต่กิเลสเกิดตอนขณะที่3ดับมีอวิชชาปกติ
https://youtu.be/6nGSEXKabA4
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
การรู้ความจริงตามได้รู้จากเสียง
การนอนหลับฝันขาดอายตนะทางตา
เป็นนิมิตจากการคิดนึกในความมืดสนิท
วิถีจิตครบ6ทางมีตอนตื่นลืมตาตามปกติรู้แจ้ง
รูปนิมิตตอนตื่นกะหลับเหมือนกันเลยคือไม่มีตัวตน
เห็นในฝันเหมือนกันเลยกับเห็นตอนตื่นลืมตาคือไม่มีอยู่จริง
ขนาดมีอายตนะทางตาตอนตื่นดูอยู่เนี่ยมีเห็นจริงๆแค่สี1สีดับทันทีมืดต่ออีก5ทางอายตนะ
ไม่มีคนสัตว์วัตถุเลยตามความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเข้าใจไหมขาดฟังไม่ได้เพราะเห็นผิดค่ะ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
กรัชกาย เขียน:
จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๘


คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียนยังไงก็ไม่จบ ถ้าไม่ถึงนิพพานรู้ไหมคะ

1ขณะที่เห็นแค่แสงสีกระทบตาวาบดับทันทีเรียกว่าจิตเห็น
จิตทางอื่นไม่เห็นและไม่เกิดพร้อมแสงเข้าใจไหมว่าตาไม่เห็น
โลกของสีเพียงสีเดียวล้วนๆไม่มีมายาจอมปลอมเจือปนอะไรเลย
คือจิตแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันไม่มีใครเห็นแค่สี1สีนอกจากตถาคต
เวลาที่คิดมืดไม่มีแสงสว่างปนไม่มีเห็นปนเข้าใจไหมเมื่อไม่มีแสงเห็นอักษรได้ไหม

ตอนได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกสุขทุกข์ หรือจำอะไรๆนั้น มันมืด 5 ขณะ สลับสว่าง แค่เห็น 1 ขณะที่มีแสง

และถ้าคิดเห็นอ่านอักษรไม่มีแสง จะมีตัวอักษรไหม เพราะคิดมืด และตอนคิดไม่มีเห็นปนมีบ้านไหมคิดในมืดน๊า

ทำอะไรก็มี แต่เราคิดทำดี ทำบุญ ให้ทาน มีสิ่งของจริงๆไหม ฟังบ้างนะ สุตมยปัญญา ต้องทำตรงขณะ เงินมีจริงไหม


เพ้อเจ้อเรื่องพระพุทธศาสนาโดยแท้ คิกๆๆ

คราวนี้มาใหม่ จากโทรศัพท์มาเงินมั่ง

เสียเวลาเปล่า เลอะเทอะปนเปกันไปหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร