วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท...วาดภาพโดยคุณ kunawaro


พระธรรมเทศนา
ของ
พระครูสุทธิธรรมรังษี
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี


เรื่อง การพิจารณากาย
แสดงไว้เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔
(ถอดความมาจาก...
บันทึกเสียงเทศนาธรรมขององค์ท่าน)


:b44: :b44:

นโม ตสฺสส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺสส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺสส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส


ลำดับต่อไปจะได้บรรยายธรรมะอันเป็นแนวทางปฏิบัติของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย
วันนี้บังเอิญฝนตก คนก็น้อย กัณฑ์เทศน์ก็ไม่ค่อยมี เสียงมันก็ไม่ค่อยขึ้น (หัวเราะ)

การแสดงธรรมเป็นสิ่งที่ยาก ไม่เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านรู้วาระ รู้จิตใจของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย
เพราะฉะนั้นการเทศน์ก็ยังเข้าไปสู่จิตใจของบุคคลผู้นั้นให้เห็นเหตุเห็นผล
ได้บรรลุธรรมวิเศษเกิดขึ้นในขณะที่ฟังธรรมก็มีจำนวนมากๆ เป็นเช่นนั้น

เพราะว่าเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งของใจของมนุษย์ทั้งหลาย
อย่างบรรดาเราก็เหมือนกัน ฟังๆ ไปอย่างนั้น
ผู้เทศน์ก็ไม่สันทัด ผู้ฟังบางทีก็สันทัด ไม่สันทัดก็มี
ก็ว่าตามความจริงอย่างนั้น

การปฏิบัติ...ว่าแล้วก็ว่าซ้ำๆ ซากๆ น่าเบื่อน่าหน่าย
การปฏิบัติหัวใจก็ต้องมีความเข้มแข็ง
ถ้าขาดความเข้มแข็ง ความอุตสาหะ
ความพยายาม ความพากความเพียรอย่างนี้
เหมือนไฟที่มันอยู่ในศีรษะเราอย่างนี้
เพราะหัวใจอย่างนั้นไม่เห็นภัยไม่เห็นสิ่งที่ทุกข์
เดือดร้อนเหมือนอย่างไฟที่ติดในหัวเรานั้นเหมือนกัน
บางคนก็ทนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักวิธีดับไฟที่ไหม้อยู่บนหัวเรา
ก็มีแต่วันที่จะตายจมลงไปอยู่ตลอดเวลา
เพราะไม่มีอุบายที่จะแก้ไข อันนี้เป็นสิ่งที่ลำบาก

การแก้หัวใจที่ไม่สงบก็ต้องใช้ความพยายามแก้ไขดัดแปลงมากๆ
ไม่ใช่จะนิ่งเพ่งดูจำเพาะหัวใจอันนั้นอันเดียวอย่างนั้น
การเพ่งอย่างนั้นก็ใช้ได้เหมือนกันแต่สำหรับผู้ที่มีกำลัง
ถ้าผู้ที่ไม่มีกำลังแล้ว นีวรณธรรมก็เข้ามาทับ
หรือเรียกว่า อารมณ์ทั้งหลายเข้ามาชิงความดีของเราที่จะตั้งอยู่ไม่ได้
มันคอยให้ส่ายออกไปโน้มน้าวหาอารมณ์เข้ามาป้อนใจอยู่ตลอดเวลา
สมาธิก็ไม่สามารถจะตั้งได้


เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันก็จะต้องดูเล่ห์ดูเหลี่ยมคูของใจเรา
ใครจะพูดขนาดไหนมันก็ไม่เข้าใจเรา เราต้องดูเอาเอง ดูที่หัวใจลงไป
ในขณะที่บำเพ็ญอย่างนั้นใจมันไม่สงบ
ใจมันไปคิดวุ่นวายสิ่งใดอย่างนี้เราก็จะต้องหาวิธีแก้ไข
อย่างก็เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ แล้วว่า ต้องใช้การบริกรรม


เหมือนอย่างคนเราที่ตกลงไปกลางทะเลอย่างนี้
ไม่มีเรือ ไม่มีแพ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นภาชนะ
ก็จำเป็นที่จะต้องหา มีหูมีตา มีอันใดที่จะต้องใช้
ก็จะต้องเอาพยายามหาสิ่งนั้นเพื่อป้องกันชีวิต ขี้เกียจก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ท่อนไม้ ท่อนต้นกล้วยหรืออันใด ไม้ไผ่ ไม้อะไรอันใดอันหนึ่ง เพื่อเกาะยังชีวิต
ให้เป็นไป ไม่ให้ถึงแก่การจมลงไปในทะเล นี่เหมือนกับการที่เราภาวนานี่อย่างนี้เหมือนกัน
ถ้าใจมันไม่สงบ ใจมันวอกแวกอยู่ตลอดเวลา ใจไม่สงบ หรือเกิดการง่วงเหงาหาวนอน
หรือเกิดความขี้เกียจขี้คร้าน เกียจคร้านจนไม่อยากนึกไม่อยากคิดนี่
...นี่มันเป็นอุปสรรคทั้งนั้น อุปสรรคสำหรับการปฏิบัติฝ่ายของหัวใจ


หัวใจของผู้ปฏิบัติก็จำเป็นจะต้องเข้มแข็งต่อสู้ กำจัดสิ่งเหล่านี้ให้มันออกไปจากหัวใจเรา
เมื่อกำจัดออกไปได้อย่างนั้นก็เหมือนเราที่กำลังลอยคอไปอยู่ในทะเลเจอท่อนไม้
ได้อาศัยไปถึงฝั่งได้ก็ไม่ถึงแก่ความตาย อุปมาอุปไมยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ใจที่พะวักพะวนมีนิวรณธรรมเข้ามาครอบงำใจเราอยุ่ตลอดเวลา
ไม่เพียงถึงหนึ่งนาทีสองนาทีอย่างนี้มันก็เอาไปกินหมด ไม่มีความดีเกิดขึ้นกับใจเรา

นี่เพราะฉะนั้นอย่างเรือแพหรือท่อนไม้ท่อนซุงอันใดก็แล้วแต่
ที่เราเกาะชีวิตไปนั่นยังชีวิตเราไม่ตาย
ก็เหมือนกับที่เราอาศัย พุทโธ ธัมโม สังโฆ อันใดอันหนึ่ง
หรือความตายความไม่เที่ยง ความเจ็บความป่วยอันใด ท่องอรหังพุทโธ อิติปิโส ภควา
บทใดบทหนึ่งอย่างให้ลงไปถึงหัวใจ อย่างนั้น แล้วให้กอดแน่นอยู่อย่างนั้น
ไม่ให้ใจพะวักพะวนไปในที่ใดอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็น “อุบาย”
เป็นที่จะประคับประคองใจของเรานั้นไม่ให้มันเข้าไปสู่ ไปส่ายไปหาอารมณ์มาป้อนใจ


เมื่อภาวะของใจจดจ้องอยู่อย่างนั้นแล้ว มันก็จะเกิดสงบ
ก่อนที่มันจะเกิดสงบมันก็ต้องจัด กำจัดนิวรณ์ตัวนั้นเองออกไป
เมื่อนิวรณ์มันออกไปน้อยเข้า น้อยเข้า เมื่อเราเพียรพยายามว่าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ใจนั้นก็จดจ้องอยู่กับการบริกรรมตลอดเวลาต่อเป็นเรื่องกันไป ใจนั้นก็เริ่มสบาย
ใจนั้นก็นิวรณ์ก็ไม่ค่อยมีมา หรือมีมาก็ห่าง
ถ้ามันยังเห็นว่ามีห่างอยู่เราก็ต้องอย่าเพิ่งทิ้งการบริกรรมตัวนั้น
เทศน์ก็ไม่รู้จะเทศน์อย่างไร ก็ต้องเทศน์กันอย่างนี้เอง เทศน์เพื่อแนะนำพร่ำสอน
เพราะฉะนั้นบางท่านบางคนก็ไม่ค่อยเข้าใจ
แต่เราเข้ามาในวัดอโศฯ (วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ)
ล้วนแต่บุคคลที่เคยฝึก เคยกระทำกับครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์ที่ท่านเสียไปอย่างนี้ก็เคยสมาคมอยู่กับท่าน
เพราะฉะนั้นได้ยินสิ่งที่เคยเข้าอกเข้าใจน่ะแยะ
เต็มอกเต็มภูมิเต็มไปหมดจนล้นออกไปหาย หามาคืนไม่ได้
เรียกว่า ลืมของเก่า เราจำเป็นจะไม่ต้องลืมของเก่า
สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ใจของเราอันนี้ให้เกี่ยวเกาะให้แน่นแฟ้น

ใจของเราที่เกิดความสงบขึ้นได้อันนั้นไม่ว่าอันใดก็แล้วแต่
มันย่อมเป็นประโยชน์ที่จะตัดนิวรณธรรมของเรา

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2012, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เข้ามาปฏิบัติอย่างนี้ ก็ต้องการจะกำจัดนิวรณธรรมไม่ให้เข้ามา
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ส่วนของใจ ถีนนมิททะ อุทธัจจกุกกุจจะ ราคะ โทสะ โมหะ
มันฝังอยู่ในหัวใจเรา เหมือนหนามมาแทงอยู่ในอก
อย่างนี้มันเจ็บแสบอยู่ทุกวัน
เราไม่พยายามถอนมันแล้วมันก็เป็นหนองเป็นไต
เป็นหนองแล้วก็เน่าเปื่อย ผลที่สุดก็ตาย

ใจเรานี่มันเป็นอย่างไรมันจึงไม่สงบ
เราก็จำเป็นจะต้องพยายามเอาให้มันจนเกิดความสงบได้
อย่าให้มันเสียที นี่เรานักปฏิบัติต้องมีความเข้มแข็งสำหรับใจ
บางคนกายก็ไม่เข้มแข็งใจก็ยิ่งไม่เข้มแข็งใหญ่
นี่..บางคนกายไม่ให้แต่ใจเข้มแข็งก็มี
เป็นอย่างนี้

เพระฉะนั้นต้องอุตส่าห์อันธรรมะของพระพุทธเจ้า
ยกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
บำเพ็ญจะได้เป็นสัพพัญญูก็ต้องเอาอยู่ตั้งหกปี อย่างนี้เป็นต้น
ต้องใช้ความพยายามอดข้าวอดปลาทำสารพัด ทุกอย่าง
ทำจนเกือบล้มเกือบตายก็ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ นี่เป็นอย่างนั้น
จนกระทั่งมาได้หกปี นี่มาเห็นปฏิปทาการเดินหรืออานาปา
พิจารณาอานาปา มาใช้ปัญญาพินิจพิจารณาจึงได้รู้ความจริงเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของเราก็เหมือนกันอย่างนั้น
อันใดที่มันจะแก้ใจให้มันขาดจากนิวรณ์แล้วใจนั้นก็ได้เป็นสมาธิ
นั่นแหล่ะตัวนั้นแหล่ะเป็นตัวอุบายสำคัญจะแก้ใจเราได้
ใจเราให้หยุดจากพะวักพะวน ใจไม่ให้นิวรณ์ มีนิวรณธรรมเข้ามาครอบงำได้
ใจอย่างนั้นจึงเรียกว่าใจควร ใจสมกับบาลีที่ยกว่าเป็น
“อาตาปี” เพียรเพ่งแผดเผาใจชนิดนั้น
นั่นใจอย่างนั้นใจที่สมควรแก่มรรคผลธรรมวิเศษของพระพุทธเจ้า


ถ้าใจเหลาะแหละ ใจโลเล ใจไม่แน่นอน หยิบอันนู้นก็ไม่เอา หยิบอันนี้ก็ไม่เอา
อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ดี เหลาะแหละโลเลอย่างนี้ใจไม่ตั้งอยู่ ใจอย่างนั้นใช้ไม่ได้
ใจเหลวไหล ใจอ่อนแอ ใจขี้เกียจ ใจขี้คร้าน ไม่ให้เกิดผลกับการปฏิบัติ

การปฏิบัติต้องใช้ใจเข้มแข็ง ใจเด็ดใจเดี่ยว
จะเอาอันใดก็ต้องเอาอย่างนั้น

จนให้ใจนั้นทำไมทรมานมาก ยากนักเราก็ต้องทรมานด้วยการอย่างนั้น
ว่าอย่างนั้นให้มันอันเดียวอยู่อย่างนั้น
(คือการบริกรรม-เพิ่มเติมโดยผู้ถอดเสียง)
ดูสิว่าจะไปไหนใจนั้นน่ะ แล้วนิวรณ์มันจะอยู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราพยายามบริกรรมอยู่อย่างนั้น มันไม่หนีเราไป หนีไปไม่ได้
เพราะทนความเพียรไม่ได้เหมือนไฟเข้าไปเผาอยู่ในกองขยะ
ก่อขึ้นน้อยพอขยะมันติดแล้วลุกขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ในทีสุดกองใหญ่ๆ ก็ไหม้ลงไปจนหมด...นี่เป็นอย่างนั้น


เหมือนใจเราก็เหมือนกัน ทีแรกก็มีการพะวักพะวน
การดิ้นรนกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ไม่เป็นอันนั่ง ไม่เป็นอันที่จะสงบ
เรื่องนั้นเข้ามาเรื่องนี้เข้ามาสารพัด
อยู่ในวัดก็ไปหาเรื่องบ้าน หาเรื่องบ้านหาเรื่องค้าขาย
ลูกคนนั้นขายไม่ดี ลูกคนนี้ขายดี มีกำไรมาก มีกำไรน้อย เป็นทุกข์กับเขา
นี่..ใจตัวนี้แหล่ะ “ใจอกุศล” ใจบาป

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกำจัดตัวนี้
เหมือนหนามที่มันอยู่ในอกเรา ฝังเราอยู่อย่างนี้
ทำไมเจ้าจึงดื้อ ทำไมเจ้าดิ้นรนกระวนกระวายกระสับกระส่ายไปหาอันใด
นี่...ต้องด่ามันเข้า ใช้ปัญญาด่ามัน ใช้สติระลึก
เจ้าทำไมซนออกไป เจ้าทำไมถึงออกไปทำไม
มันได้อะไร มีประโยชน์ตรงไหน มันเรื่องของเขา เรื่องของเราอยู่ในวัดในวา
นี่...ต้องเอากันอย่างนั้น ด่ามัน

นี่วิธีแก้มีต่างๆ นานา พวกญาติโยมได้ผ่านโลกผ่านสงสารมา
ก็มีอุบายแยบคายด้วยกันทุกคน
แต่น่าจะมีอุบายที่มันแก้ใจที่ดิ้นรนกระวนกระวายตัวนั้นน่ะ
ให้มันดับให้ได้ เมื่อใจดับได้อยู่กับ “พุทโธ”
ว่าลงไปอย่างนั้นหรือ “ธัมโม” “สังโฆ”
บทใดบทหนึ่งอยู่อย่างนั้นจนตลอดเวลาแล้วใจนั้นมันก็จะตั้งเป็นสมาธิ

เมื่อใจที่ตั้งเป็นสมาธิ เราก็ต้องรู้จักแล้ว
...อ่อ เราต้องทำอย่างนี้นะมันจึงถูกต้อง
มันจึงปราบนิวรณ์ได้ ใจมันจึงสงบ
ใจจึงไม่กระสับกระส่ายไปหาอดีต อนาคต
เรื่องบ้าน เรื่องช่อง เรื่องลูก เรื่องผัว เรื่องเมีย
จะรู้อย่างนี้ต่างๆ นานา มันไม่ไปก็ต้องใช้ตัวนี้บังคับ

เหมือนวัวควายที่มันโดนแส้ มันก็ต้องรู้จักเจ็บ รู้จักเข็ด รู้จักหลาบ
นั่น...สัตว์เดรัจฉานมันยังรู้จักเข็ดจักหลาบ ใจเรานี่มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานนะ
...มันทรมานยากจริงๆ ไม่ให้มันไปมันก็จะไป มันดิ้นรนกระวนกระวายสารพัด
ก็จะต้องหวดด้วยดาบ หวายด้วยพ้อ
ดาบเพชฌฆาตของพระพุทธเจ้า คือ เรียกว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ
อันนี้เป็น “รัตนะ” เรียกว่าเป็นของดีที่สุด ต้องเอามาสู่ในหัวใจเรา
พอเข้ามาสู่ในหัวใจเราได้อย่างนั้นแล้ว ใจก็ต้องสงบ ใจก็ต้องชนะ
มารของกิเลสของใจนั้นก็ต้องหายไป


เมื่อใจมันปราบกิเลสมารอย่างนั้นออกได้แล้ว
ใจก็อยู่เที่ยงตรง ใจก็สว่างไสว ใจเยือกใจเย็น ใจสงบ
ใจเป็นสมาธิ เยือกเย็น นั่งอยู่หลายๆ คนตั้งร้อย ตั้งห้าหกเจ็ดสิบอย่างนี้
...นั่งอยู่ก็เหมือนไม่นั่ง บนศาลาก็เหมือนไม่นั่ง

ใจนี้มันวางจากสิ่งทั้งปวงภายนอก
มีหัวใจที่รู้อยู่เฉพาะดวงใจอันนั้นอันเดียวอย่างนี้
นั่นเรียกว่า เป็น “สมาธิ”
ไม่เกี่ยวเกาะ ไม่พัวพัน ไม่นึกส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ นานา
ใจอยู่เฉพาะใจ เที่ยงเป็นปกติอย่างนั้น นี่เรียกว่า จิตของเราเข้าสมาธิ


นี่...เพ่งอย่างนั้น พอเพ่งนานเข้า นานเข้า ใจก็ยิ่งสบาย กายก็สบาย
กายที่ปวดที่เมื่อยที่เจ็บอย่างนั้นอย่างนี้
ยุงกัด เจ็บหลัง เจ็บเอว เจ็บแข้ง เจ็บขา มันก็ไม่มีมา
ใจมันเป็นปกติ ใจมันวาง ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเข้ามาข้องใจของเรา
ทำให้กายก็สบาย ใจก็สบาย สมาธิก็เป็นอย่างนั้น

แต่ลักษณะเสวยงานสมาธิมากเข้า ก็มีโทษ ไม่ใช่มีคุณ
มีคุณเหมือนกันแต่ก็ต้องมีโทษ
เพราะบั้นปลายของการเสวยสมาธิเมื่อหนักเข้า หนักเข้า มากเข้าอย่างนั้น
“ถีนมิทธะ” ตัวสำคัญมันจะเข้ามา นี่...ตัวนั้นมันต้องระวัง
วิธีนี้ก็ต้องระวัง นักปฏิบัติโดยมากพลั้งเผลอ ถีนมิทธะเข้าครอบงำนี่เสียหมด
ตัวนี่เป็นตัวอุปสรรคสำคัญ เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว
ก็ทำให้สมาธิเสื่อม สมาธิคลาย ไม่มีกำลังกล้าแกร่ง

เพราะฉะนั้น เมื่อเราฝึกอย่างนั้นจนมีความชำนิชำนาญแล้ว
เคยพูดอยู่เสมอๆ “ต้องใช้ปัญญาค้นคว้า” สมาธิก็มีอยู่แค่นั้น จบกันแค่นั้น
แค่ทำใจให้สงบ เข้าไปอยู่ปกติแค่นั้นเอง
นี่...อย่างพวกเดียรถีย์ ชีไพร สมัยก่อน นักพรตต่างๆ ก็บำเพ็ญแค่นั้น
ไม่ใช้การค้นคว้า ไม่ใช้ปัญญา

คำที่ว่าไม่ใช้การค้นคว้านั่นเองเป็นตัวปัญญา
การที่ใช้การค้นคว้าเรียกว่า “ปัญญา”
การนึกคิดปรุงแต่งของร่างกายของเรา
นึกคิดถึงอันใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบใจก็เอามาพิจารณา
เป็นแก้วแหวนเงินทองข้าวของที่รักที่ชอบใจอันใดอันหนึ่งก็เอามาพิจารณา
ว่าอันนั้นเมื่อเราตายแล้วเป็นของเราหรือเปล่า

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วสิ่งนั้นเขาว่าเป็นของของเราหรือ
หรือเราไปยึดเขาก็ดูหัวใจเราที่เอื้อมไปพิจารณาอย่างนั้นด้วย
อันนั้นเขาว่าอะไร ใจเรานี้ต่างหากเป็นคนไปว่าเป็นของของเรา
ของสวยของงามใครมาลักมาเอาไปไม่ได้

นี่...มันก็ต้องดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง
มองดูหัวใจที่มันคิดไปอย่างนั้น นี่...ต้องพิจารณาอย่างนี้

พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว เมื่อพิจารณาแล้วเราก็มาหยุดใจให้เป็นปกติ
ไอ้ใจที่เป็นปกตินี้ มันไม่มีว่าอะไรนี่
มันมีแต่หน้าที่แต่ “รู้” อยู่อย่างเดียวเท่านั้น

อยู่กับความปกติของใจ
นี่...เพราะฉะนั้นจึงต้องค้นคิด พิจารณา การพิจารณาเป็นบาทสำคัญ
แต่ว่า การพิจารณาอย่างนี้คนไม่ค่อยชอบ เพราะมันต้องคิด ต้องนึก ต้องปรุง

ยิ่งปรุงในร่างกายเท่าไร พิจารณาร่างกายเท่าไร
ใจนั้นยิ่งสงบ เยือกเย็นลงเป็นลำดับ
เมื่อใจได้พิจารณาถึงกาย พิจารณาตั้งแต่หัว
มีตา มีหู มีจมูก มีปาก มีลิ้น มีแก้ม มีผม
เบื้องบนลงไปมีคาง มีขากรรไกร มีฟัน กราม
ฟันหน้า ฟันหลัง ฟันล่าง ฟันบน อย่างนี้
พิจารณาอย่างนี้ได้แค่นั้น ใจก็สงบแล้ว


แต่โดยมากผู้ที่ไม่เคยค้นคว้าพินิจพิจารณาก็กลับเถียงขึ้นมาอีกแล้วว่า
การค้นคว้าพินิจพิจารณาอย่างนั้นใจมันไม่สงบนี่
นี่เถียงขึ้นมานะ เถียง...ทำไมว่าเถียง
เพราะไม่เคยเป็นไม่เคยเข้าใจจึงเถียง ทะลึ่งเถียงขึ้นมาว่า
ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่หนทางอันแท้จริง นี่...อย่างนี้ก็มี

นั่นก็ต้องให้อภัยเพราะว่า เหมือนบุคคลที่ทำแกงแต่ไม่ได้กินแกง
ก็มันเปรี้ยว มันเค็ม มันมีหวานมีมันอย่างไร
ท่านเปรียบเหมือนทัพพีที่คนอยู่ในแกงไม่รู้รส

เหมือนกันกับเรา นักปฏิบัติก็เหมือนกัน
ถ้ายังไม่ตกในสภาวะทีค้นคว้าพินิจพิจารณาแล้วยังมืดแปดด้าน
ยังไม่เข้าใจส่วนละเอียดส่วนนี้
เพราะฉะนั้นการค้นคว้าพินิจพิจารณานี้เป็นสิ่งสำคัญ
เราไม่ต้องไปเอาอื่นไกลมากเพียงแต่นึกถึงอวัยวะของร่างกายเราเท่านี้ก็พอแล้ว
เพราะฉะนั้นให้เดินอยู่เฉพาะกายอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เบื้องบนไปถึงปลายตีน ถึงมือซ้ายมือขวา ถึงปลายตีนเบื้องขวา ปลายตีนเบื้องล่าง
เดินจากปลายตีนเบื้องขวาเดินมาหาเบื้องซ้าย จากปลายตีนเบื้องซ้ายขึ้นมาหาเบื้องบน
อย่างนี้ตลอดๆ ลองดูเถอะ

แต่อย่างนี้ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของสบายเหมือนกัน
จะทำให้ใจอยู่หนึ่งกับกายอันเดียวเนี่ยลองดูเถอะ นักสมาธิดีๆก็ลองดูได้
ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูว่าจะจริงแค่ไหน เออ ลองดู ลองดู
ที่เราว่าเรามีความรู้ความฉลาด รู้จักในข้อปฏิบัติจริงแล้ว
ก็ลองดูให้ชัดว่าจะพิจารณาได้นานขนาดไหน
ตั้งนาฬิกาลืมตาดูก่อนที่จะนั่ง เอาให้จริงๆ อย่างนี้
นี่ “รู้หรือไม่รู้” รู้กันตรงนี้ ถ้าพิจารณากายไม่ได้ แสดงว่ายัง “อยาก” อยู่
อย่าเข้าใจตัวเป็นผู้ประเสริฐ, ไม่ได้ ต้องเข้าใจอย่างนั้น


กำหนดลองดูเถอะใจที่มันเข้มแข็งพร้อมด้วยทั้งสติ ทั้งสมาธิแล้ว
มันก็จะกดดิ่งลงไปได้ตลอดเวลาอย่างนั้น เดินขึ้นเดินลง
เดินไปซ้าย เดินไปขวา เดินไปหน้า เดินไปหลัง นึกได้ตลอดเวลาอย่างนั้น
นี่...นี่แหล่ะ “มรรค” มรรคตัวสำคัญ


อันนี้เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้วมันจะเป็นเหตุก้าวไปสู่ความสิ้นทุกข์
ความหมดทุกข์เพราะคลายตัวนี้ เราหลงติดกาย หลงตัวนี้เอง
หลงหญิง หลงชาย หลงสวยหลงงามก็หลงตัวนี้ ไม่นอกไปจากตัวนี้
เพราะฉะนั้นต้องค้นกายของเราลงไปให้หนัก

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงแสดงอานิสงส์ว่า
เพียงค้น ๗ วัน ถ้าทำจริงๆ บางทีได้สามารถสำเร็จ
ตั้งแต่โสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหัต อรหันต์นั่น
๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ เดือน
ตลอดไปอย่างนั้น ถึงจนกระทั่ง ๗ ปี นี่ถ้าได้เพียรพยายามอยู่อย่างนั้น
อย่างต่ำที่สุดท่านจัดไว้ว่า ได้ “อนาคามิตา” นะ


แต่ลักษณะการค้นคว้าชนิดของปัญญานั้นไม่เกิด “ปฏิภาค”
ปฏิภาคดับแล้ว ส่วนนี้เป็นส่วนละเอียด ปฏิภาคเป็นส่วนหยาบ
เราอย่าเข้าใจว่าปฏิภาคเป็นส่วนละเอียด
ถ้าลงค้นอย่างนี้แล้ว ปฏิภาคดับ เพราะใจไม่มีปฏิภาค
ใจที่ค้นคว้าอย่างนี้ไม่เกิดปฏิภาค
นอกจากระยะต้นๆ ใหม่ๆ อย่างนั้นจึงบางครั้งบางคราวก็มีขึ้น
เมื่อกำหนดให้ขาดมันก็ขาด
เกิดขึ้นเห็นชัดเหมือนอย่างเราดูโทรทัศน์ด้วยตาเราอย่างนั้น
แต่นี่ดูด้วยตาใจ ดูด้วยหัวใจ
ใจทำไมไปเห็นอย่างนั้นได้ นี่เป็นของแปลกของมหัศจรรย์

ใจเราตั้งแต่เกิดมาจนมาในสภาวะจนบรรลุนิติภาวะอายุ ๒๐ ปีอย่างนี้
เราก็ไปหลับตาอยู่ไม่เคยเห็นอันใดสักทีนอกจากฝัน
แต่ใจเมื่อทำสมาธิลงไปแล้ว ใจเกิดสงบแล้ว ใจเกิดมีพลัง ใจมีความเข้มแข็ง
ใจนั้นจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ไปได้ อย่างตัวเราเมื่อเรากำหนดนึกอย่างนั้น
ใจสงบแล้ว กำหนดให้หัวขาด ปรากฏหัวขาดลงไป
แล้วก็นึกให้เลือดไหลแดง เลือดก็ปรากฏ นี่...อย่างนี้
ขั้นต้นในลักษณะของสมาธิที่มีอำนาจแก่กล้านึกได้อย่างนั้น
แต่ลำดับอย่างนั้นเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องเพ่งอยู่หน้าเดียว
เมื่อนึกเสร็จแล้วก็ต้องเพ่งดูอยู่อย่างนั้น ใช้ความคิดนึกไม่ได้
ลักษณะของสมาธิที่กำลังแรง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

แต่ส่วนการที่จะต้องใช้ปัญญาก็จำเป็นที่จะต้องคิดให้ละเอียดแยบคายกว่านั้น
เมื่อใช้ปัญญาพินิจพิจารณาแยบคายลงไป มากกว่านั้นแล้ว
ลักษณะนั้นก็เป็นปฏิภาคนั้นมันก็ต้องดับ ไม่ปรากฏขึ้น
นี่...เพราะสภาวะของใจที่ไปค้นคว้าอยู่อย่างนั้นทำให้ปฏิภาคดับ
ตามที่ได้สังเกตๆ และตามที่ได้ศึกษากับครูบาอาจารย์มา

แต่บางท่านบางคนเข้าใจว่า ปฏิภาคสูง
ไม่ใช่สูง สูงด้วยการค้นคว้าพิจารณานี่เป็นสำคัญ
อย่างเคยคุยกับปู่...ปู่ขาว ปู่ขาวนี่เป็นผู้มีคุณธรรมอันสำคัญองค์หนึ่ง
เพราะได้รับสมัญญาจากครูอาจารย์มั่น อาตมาได้ยินกับหูเอง
แต่ว่าท่านพูดให้หมู่ฟังเท่านั้นว่า
“เออ หมู่เอ้ย...ให้รู้จักท่านขาวไว้ด้วยเน้อ
เธอได้พิจารณาของเธอแล้วมาเล่าให้เราฟัง”

พูดเท่านี้ นี่...ก็กินหัวใจว่า ปู่นี้ (พระอาจารย์ขาว)
ต้องเป็นพระที่สำคัญแน่นอน หลวงตายังไม่รู้จัก
เมื่อออกจากครูอาจารย์แล้วก็ต้องพยายามค้นหาจนเจอะ เป็นอย่างนั้น
*

แล้วก็ได้ศึกษาคุยกันในเรื่องการปฏิบัติ ได้ถามสิ่งต่างๆ นานา
เพราะท่านเป็นผู้เฒ่าผู้แก่มีความชำนิชำนาญ
เราสมัยยังเป็นเด็กอยู่ ก็ต้องศึกษากับครูบาอาจารย์
สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก แล้วก็ได้เป็นประโยชน์
นี่...ก็ได้นำมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็เทศน์ไปตามประสาได้ยินได้ฟังมา
ความเข้าใจมันก็ยังน้อยอยู่ หลวงตาไม่ใช่ผู้ประเสริฐ เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น การค้นคว้านี่เป็นหลักสำคัญ
ค้นลงไป ค้นให้มาก อย่างไปเจอะกันกี่ที ปู่ก็ถาม (พระอาจารย์ขาว)
“เจี๊ยะ...เป็นไงเอ๊ย? ค้นบ่?”
“ค้นครับ”
“เออ เอาอย่างนั้นสิ” นี่...ทุกที
ถ้าเจอะกันก็ต้อง “คันครับครูอาจารย์...ค้นแยะ”
“เออ...อย่างนั้นจึงดี”

นี่ เพราะฉะนั้นก็มาเตือนสติพวกเรา ผู้ที่ทำสมาธิดีแล้วอย่าได้นอนใจ
ค้นคว้าพินิจพิจารณาไป กายนี่เป็นของดี พิจารณาแล้ว
มันจะเกิดความเบื่อความหน่ายคลายความกำหนัดของหัวใจ
ที่เคยติดว่า ตัวเรา ตัวเขา ตัวมึง ตัวกู อันนี้มันจะถอดถอนไป

เพราะว่าเมื่อพิจารณามากเข้า มากเข้า มันจะเกิดความเบื่อหน่าย
อย่างในอนัตตลักขณสูตรที่ท่านแสดง เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย
เบื่อหน่ายในสังขารร่างกายของเรา

เมื่อใจที่จดจ้องค้นคว้าพิจารณาอยู่ในอารมณ์อันหนึ่งของกายอย่างนั้นแล้ว
มากเข้า มากเข้า มันก็เกิดความเบื่อหน่าย
หน่ายอย่างในชีวิตเราไม่เคยเจอะ มันก็หน่ายลงไป
หน่ายจนบางครั้งบางคราวน้ำหูน้ำตาไหลลงมา เกิดความสังเวชสลดใจ
ในชีวิตเราไม่เคยเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นขึ้นมา
จึงว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์
เมื่อบุคคลใดๆ ได้ลิ้มรสเข้าไปแล้วมันก็ต้องติดคุณค่าราคาธรรมะ
เรื่องโลกมีเงินเป็นร้อยเป็นสิบเป็นพันล้าน
มันก็ไม่มีคุณค่าราคาเท่าธรรมะของพระพุทธเจ้า

สิ่งเหล่านั้นเป็นของนอกกาย
เราไม่ได้เอาติดตัวไปเลยไปเพียงแดงเดียวเก๊เดียว แม้แต่เสื้อผ้า ผ้าผ่อน
ตายแล้วโลงเขาทำมาอย่างดี สวยๆ งามๆ นั้นก็ต้องเผาไฟหมด

นี่เมื่อท่านได้พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว ใจมันถอด ใจมันถอน
ใจมันเกิดความสังเวชสลดใจอย่างนั้นจึงเรียกว่า
เป็นประโยชน์มหัศจรรย์ของการบรรพชา
ในชีวิตของเราได้พบพลอยเม็ดใหญ่
อย่างมีค่าหาประมาณที่จะเทียบไม่ได้ นี่อันนี้ประเสริฐที่สุด

เพราะฉะนั้นค้นคว้าพินิจพิจารณาลงไปแล้ว เห็นอะไรที่ประจักษ์
ฟังให้ดีๆ ตรงนี้ ฟังให้เข้าใจแล้วท่านทั้งหลายลองกำหนดใจดู
ใจที่ตั้งปกติกับใจที่คิด มันต่างกันอย่างไร เออ...ฟังนะ แล้วก็ทำลงไป
กำหนดดูซิ...ใจที่ตั้งเป็นปกติกับใจที่คิดอยู่ อันใดจริง อันใดไม่จริง
นี่...มองดูเดี๊ยวนี้ ทำเดี๊ยวนี้ ให้มันประจักษ์ขึ้นมา

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วยังมี วิมุต อีกอันหนึ่ง
หลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง ปัญญาแต่ยังต้องมีวิมุต หลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง
นี่...ฟังให้เข้าใจ ความคิดนึกปรุงแต่งที่พิจารณาตัวนั้น
เรียกว่า ปัญญา เรียกว่า เป็นมรรค
คือ เรียกอีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่า มรรค ยังไม่ถึง ผล
ผล คือ วิมุต ตัวหลุดพ้น

เมื่อจิตพิจารณาแยกเห็นแจ้งชัดลงไปแล้ว ก็วางการค้นคิดพิจารณา
หรือเรียกว่า ดับไปเอง อย่างนั้น

จิตตัวนั้นแยกออกมาเป็นเอกเทศ ไม่มีสิ่งใดเจือปน
ความคิดนึกปรุงแต่งก็ดับหมด ในขณะนั้นจิตเป็นเอกเทศ จิตเป็นเอก
ไม่มีสิ่งใดจะมาเกี่ยวเกาะพัวพันของหัวใจที่รู้อยู่อย่างนั้น
นั่นเพราะฉะนั้นเห็นโทษอันใดเมื่อพิจารณาอย่างนั้น
เมื่อเห็นโทษความคิดนึก ความปรุงแต่งของใจนั้นเอง
ไม่ได้เห็นผู้อื่น นอกไปจากตัวเรา
จากตัวใจของเรา ที่ดิ้นรนกระวนกระวายเมื่อเห็นตัวนั้น
ใจที่เห็นอย่างนั้นก็แยกออกมาอยู่ชัด จำเพาะใจอันเดียวเป็นปกติ
ยืน เดิน นั่ง นอน ไปที่ไหนก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีกาล ไม่มีเวลา
ใจอย่างนั้นจึงเรียกว่า ใจเป็นธรรม ใจเป็นมรรค ใจเป็นผล

นั่น เพราะฉะนั้นพวกเรา นี่ก็จะครึ่งพรรษาแล้วเพราะฉะนั้นก็ต้องขะมักเขม้น
ตั้งอกตั้งใจอย่าให้การงานอันใดมาทับถมเรา
ต้องมุ่งการปฏิบัติที่เรามุ่งมาดปรารถนาตัวนี้เป็นจุดใหญ่สำคัญในชีวิต
อย่างพวกญาติโยมที่มารักษาอุโบสถศีลก็เหมือนกัน
จงอุตสาหะตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญให้สมาธิเกิดขึ้นกับเรา แล้วผลกำไรก็ได้กับเรา
เมื่อมีกำไรแล้ว เข้ามาอยู่วัดอยู่วาได้กำไรในการบำเพ็ญสมาธิ เจริญศีลแล้วก็บำเพ็ญทาน
ออกพรรษากลับไปบ้าน เรามีกำไรแล้วเหมือนการค้าขายได้กำไรตั้งหลายสิบชั่ง
หลายร้อยชั่ง มีลูกมีหลานกลับไปก็ได้แจกเขา สองชั่ง คนละห้าชั่ง หกชั่ง สิบชั่ง
อย่างนี้เขาก็ชื่นอกชื่นใจ พอกลับไป
มาค้ามาขายในวัดขาดทุนไม่ได้เลย สมาธิไม่ได้สักที
กลับไปก็ไม่มีอะไรไปแจกเขา เขาก็เสียอกเสียใจ

เพราะฉะนั้นจงตั้งอกตั้งใจบากบั่นสู้อดสู้ทนทำให้มันเห็นจริงเห็นจัง
เกิดขึ้นกับเรา นี่...เป็นบุญอย่างมหาศาล
เฒ่าแก่โบราณจึงว่าไว้ว่า
เพียงใจสงบเท่างูแลบลิ้น ควายกระดิกหู ช้างกระดิกหู
อย่างนี้ก็มีอานิสงส์เหลือจะพรรณนา

ยิ่งเราทำใจให้สงบได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างนั้นแล้ว ยิ่งมีอานิสงส์ใหญ่
ยิ่งเห็นพิจารณาร่างกายเป็นของไม่เที่ยง
เกิดความสังเวชสลดใจนั่นยิ่งมีอานิสงส์แรงขึ้นไปอีก

ยิ่งเรียกว่า ค้าได้กำไรแยะๆ นั่น อย่างหลวงตาพูดเมื่อกี้นี่เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จงพากันตั้งอกตั้งใจในสิ่งที่เรามุ่งมาดปรารถนามา อย่าให้เสียเวลา
เพราะเวลาก็ครึ่งพรรษามาวันนี้แล้ว วันนี้ก็เป็นวันค่ำหนึ่ง
ครึ่งพรรษากับหนึ่งวันก็พากันตั้งอกตั้งใจให้มันเกิดเป็นขึ้น
ไม่เป็นก็พยายามให้มันเป็นขึ้น
ปัญญาที่เราเคยฝึกหัดเก่าแก่แล้วก็ต้องใช้การค้นคว้าพิจารณาลงไป

อย่าไปมัวอยู่กับความสงบนั้นมากเกินไป
มันจะเป็นฟืนเป็นไฟเกิดขึ้น เสื่อมเข้าแล้วมันก็หาที่เข้าไม่ได้ นี่เป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น ศาสนธรรม คำสั่งสอน
คืนนี้ก็เทศน์ไพเราะนักหนาให้พวกท่านทั้งหลายได้สดับตรับฟังนั้น
จงจำไปเป็นคติแล้วโอปนยิโก น้อมไปพินิจพิจารณา
เมื่อพิจารณาตามธรรมะทีได้บรรยายมานี้แล้วต่อนั้นไปก็จะได้
บังเกิดความสุขความเจริญงอกงามในศาสนธรรม
คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดังได้แสดงมาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้



* เพิ่มเติมโดยผู้ถอดเทป
๑. ปู่ขาว หมายถึง พระอาจารย์ขาว อนาลโย
๒. จากอัตโนประวัติของพระอาจารย์เจี๊ยะ ช่วงที่ท่านออกจากพระอาจารย์มั่นเพื่อวิเวก
พระอาจารย์เจี๊ยะจึงได้ออกตามหาเพื่อขอโอกาสศึกษากับพระอาจารย์ขาว
ตามที่ได้ยินคำกล่าวชมจากพระอาจารย์มั่นต่อหมู่คณะนั่นเอง


:b42: จบพระธรรมเทศนาเรื่องการพิจารณากายเพียงเท่านี้ :b42:

:b50: :b49: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=38764

:b50: :b49: รวมคำสอน “หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38692

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 18:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b27: :b27: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 13:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ

Kiss Kiss Kiss

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2020, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2020, 13:46 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2021, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2021, 14:43 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร