วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ปัญญาวิมุติ - เจโตวิมุติ
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

:b44: :b44:

....เมื่ออธิบายในเรื่องสมาธิ ข้าพเจ้าจะอธิบายใน ๒ รูปแบบ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ศึกษาให้เข้าใจในสมาธิ ๒ รูปแบบนี้เอาไว้

๑. สมาธิความสงบ

๒. สมาธิความตั้งใจมั่น


จะอธิบายในสมาธิความสงบก่อน แล้วจะอธิบายในสมาธิความตั้งใจมั่น ว่าสมาธิทั้ง ๒ นี้ มีความแตกต่างกันอย่างไรและเชื่อมโยงต่อกันอย่างไร ท่านผู้อ่านจะได้รู้จากหนังสือเล่มนี้

สมาธิความสงบนั้น ผู้ที่จะทำได้มีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า กลุ่มนิสัยเจโตวิมุติ กลุ่มนี้ในอดีตชาติเคยเป็นดาบสฤาษีบำเพ็ญในการเพ่งกสิณต่างๆ มีความชำนาญในสมาธิความสงบมาก่อน ชำนาญในการเข้าฌาณสมาบัติจนเป็นวสี เกิดมาในชาตินี้ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา นิสัยความเคยชินในวิธีการทำสมาธิติดตัวมาอย่างไรก็ชอบใจอย่างนั้น ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าในวิธีเจริญสมาธิ วิธีเจริญวิปัสสนาปัญญา แต่มาชอบใจในการเจริญสมาธิอย่างฝังใจ ได้ออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ห่างไกลหมู่ชน พากันเจริญในสมาธิความสงบอย่างแน่วแน่ต่อเนื่องกัน นิสัยเดิมเคยได้บำเพ็ญในสมาธิมาก่อน ใจก็มีความสงบได้ง่าย ทำให้ใจได้รับความสงบเป็นรูปฌาณ อรูปฌาณ เกิดความว่างเปล่าภายในใจ ไม่มีอารมณ์ใดที่จะทำให้กระเพื่อมได้

ขอยกตัวอย่าง ในครั้งพุทธกาล มีพระ ๓๐ รูปได้ทำสมาธิความสงบจนถึงที่สุด ในวันหนึ่งพระผู้เป็นหัวหน้าเรียกประชุมไต่ถามเรื่องการทำสมาธิ ทุกองค์ได้พูดเหมือนกันว่า ไม่มีอารมณ์แห่งราคะ ไม่มีกิเลสตัณหาอาสวะน้อยใหญ่ภายในใจแต่อย่างใด พระผู้เป็นหัวหน้าได้ประกาศว่า ถ้าพวกเราเป็นเช่นนี้ด้วยกันทั้งหมดแล้ว พวกเราก็ได้พ้นไปแล้วจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย ในบัดนี้พวกเราได้สิ้นจากอาสวะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้ว ให้ทุกท่านเตรียมตัวออกเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้า เพื่อรับพยากรณ์ว่าพวกเราได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว

เมื่อเดินทางใกล้จะถึงวัด พระพุทธเจ้ามีญาณหยั่งรู้ว่าพระทั้ง ๓๐ รูปที่มานี้มีความสำคัญตนผิด คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เพียงทำสมาธิความสงบเข้าฌาณสมาบัติได้ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่จะละกิเลสตัณหาได้เลย สมาธิความสงบ ฌาณสมาบัติ เป็นเพียงวิธีข่มกิเลสตัณหาไว้เท่านั้น


พระพุทธเจ้าจึงให้พระอานนท์ไปบอกพระ ๓๐ รูปนั้นว่า ในคืนนี้ให้ท่านทั้งหลายได้พักนอนในป่าช้านี้ก่อน พรุ่งนี้เช้าจึงไปกราบพระพุทธเจ้า พระ ๓๐ รูปก็หาที่พักในป่าช้านั้น ในช่วงขณะนี้พระพุทธเจ้าได้เนรมิตศพหญิงสาววัยรุ่น ที่มีรูปร่างสวยงาม นอนหงายไม่มีผ้าปิดตัวเหมือนคนนอนหลับอมยิ้มอยู่ในป่าช้าคนเดียว พระรูปหนึ่งเดินไปเห็น จึงเรียกพระองค์อื่นๆ มาดูด้วย พระ ๓๐ รูปที่มีความชำนาญในการเข้าฌาณสมาบัติ เมื่อมาเห็นอย่างนี้ อารมณ์ของราคะที่ถูกสมาธิความสงบในฌาณสมาบัติข่มเอาไว้ก็เริ่มฟื้นตัว ทุกรูปเกิดความกำเริบในทางราคะไปด้วยกัน

พระผู้เป็นหัวหน้าได้ประกาศว่า พวกเราได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาแล้วในวิธีการเจริญวิปัสสนา ในคืนนี้ให้พวกเราทั้งหลายได้พากันเจริญในวิปัสสนา ใช้ปัญญาพิจารณาอสุภะ ความสกปรกไม่สวยงามในรูปหญิงสาวคนนั้น แยกส่วนแบ่งส่วนแล้วแต่เป็นสิ่งสกปรกไปทั้งตัว โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาร่างกายตัวเอง ใช้ปัญญาพิจารณาในร่างกายให้รู้เห็นเป็นความสกปรกเหมือนกัน พิจารณาซากสกปรกภายนอก พิจารณาความสกปรกภายในร่างกายตัวเองให้รู้เห็นเป็นความสกปรกด้วยกัน

ในคืนนั้น พระ ๓๐ รูป ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ การปฏิบัติในวิธีทำสมาธิความสงบและมีความชำนาญในวิธีทำฌาณสมาบัติมาก่อน แล้วกลับมาฝึกในสมาธิความตั้งใจมั่นอันประกอบด้วยปัญญาเหมือนพระ ๓๐ รูปที่ได้อธิบายมานี้ จึงได้ชื่อว่าพระอริยเจ้ากลุ่มเจโตวิมุติ ให้เราทั้งหลายได้เข้าใจตามนี้

ผู้มีนิสัยเจโตวิมุติจะมีความโดดเด่นในวิธีทำสมาธิความสงบ และชำนาญในการเข้าฌาณสมาบัติ แต่ในขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องมาทำสมาธิความตั้งใจมั่นอันประกอบด้วยปัญญาอยู่นั่นเอง ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในที่ไหนว่า เมื่อจิตลงสู่สมาธิความสงบแล้วให้ใช้ปัญญาพิจารณา การสอนอย่างนี้ผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นอย่างมาก

หลักเดิม พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิความสงบแล้ว ให้จิตอยู่ในความสงบจนอิ่มตัว อย่าไปบังคับให้ถอน อย่าไปทำความกดดัน เมื่อความสงบอิ่มตัวแล้วก็จะค่อยๆ ถอนตัวออกมาเอง ให้มีสติรู้ว่าสมาธิกำลังถอนตัว มีสติยับยั้งเอาไว้ในขั้นอุปจาระสมาธิ เรียกว่า สมาธิความตั้งใจมั่น แล้วน้อมเข้าสู่ปัญญาหรือเจริญวิปัสนาต่อไป นี้เป็นหลักเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ขอให้ท่านทั้งหลายที่สนใจในวิธีทำสมาธิต้องเข้าใจตามนี้

กลุ่มผู้มีนิสัยเป็นเจโตวิมุติ ในสมัยครั้งพุทธกาลนั้นมีน้อย แต่ก็โชคดีที่ได้บวชเป็นพระในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ พระองค์ก็ช่วยแก้ความเห็นผิดกลับมาเป็นความเห็นถูกได้ เหมือนกับพระ ๓๐ รูป ที่ได้อธิบายมาแล้ว ถ้ามีผู้ทำสมาธิในยุคปัจจุบันเป็นเหมือนกับพระ ๓๐ รูปนี้ ในยุคนี้จะไม่มีทางแก้ไขความเห็นผิดความสำคัญผิดนี้ได้เลย ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ตายไปเป็นพรหมมีอายุยาวนานทีเดียว ถึงจะมีบุญบารมีพร้อมที่จะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ก็หมดสิทธิ์ไป จะไม่มีใครๆ แก้ไขความเห็นผิดให้เป็นความเห็นถูกได้ เพราะผู้ที่ทำสมาธิจิตมีความสงบดีหรือมีอภิญญาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะมีมานะอัตตาเกิดขึ้นเป็นคู่กัน จะเกิดโอหังจองหองลำพองตัวไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ไปเข้าใจว่าคนอื่นภาวนาปฏิบัติไม่ดี ไม่เก่งเหมือนตัวเอง ในบรรดาสาวกด้วยกันถึงจะเป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แล้วก็ตาม จะช่วยแก้ปัญหาผู้มีความเห็นผิดให้กลับตัวเป็นผู้มีความเห็นถูกไม่ได้เลย เว้นเฉพาะผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันหรือเป็นคู่ทรมาณกันมาก็พอจะแก้ไขกันได้

ในยุคนี้ มีผู้เป็นนิสัยเจโตวิมุติอยู่บ้าง ดูตรงที่เขาทำสมาธิ จะมีความสงบได้ง่ายนั่งอยู่นาน แต่ก็ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาให้แก่ตัวเองได้ อาการของจิตเป็นอย่างไรก็ไม่มีปัญญารอบรู้แต่อย่างใด จึงไปถามครูอาจารย์หลวงปู่หลวงตา ถามในเรื่องอาการของจิตที่เกิดขึ้น ถ้าครูอาจารย์ผู้ที่ไม่เข้าใจ ก็จะตอบสั้นๆ ไปว่า การเป็นในลักษณะอย่างนี้มีความถูกต้องแล้ว ทำไปเถอะ เท่านั้นเอง

ผู้มีนิสัยเจโตวิมุติมาทำสมาธิความสงบในยุคนี้ย่อมทำได้ แต่มีปัญหาอยู่มาก เพราะเอาความอยากเป็นตัวนำหน้า การทำสมาธิด้วยความอยาก เช่น อยากให้จิตมีปัญญาเกิดขึ้น อยากให้จิตมีความบริสุทธิ์ อยากละกิเลสตัณหา อยากเห็นสวรรค์ อยากเห็นนรก อยากเห็นในชาติก่อนที่ผ่านมา อยากบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นนั้นขั้นนี้ ความอยากอย่างนี้จะเข้าทางกิเลสตัณหา สังขารจิตที่เป็นกิเลสมารจะหลอกใจให้เกิดหลงทางโดยไม่รู้ตัว ผู้ทำสมาธิที่มีความอยาก ดังที่ได้อธิบายมานี้ จะต้องมีปัญญาเกิดขึ้นเป็นวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่างแฝงขึ้นจากจิต จะเกิดเป็นนิมิตในลักษณะต่างๆ ให้ได้เห็นในรูปแบบต่างๆ จิตก็จะเกิดความลุ่มหลงไปตามนิมิตนั้นๆ

ในสมัยครั้งพุทธกาลก็มีผู้เป็นวิปัสสนูปกิเลสอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าได้ช่วยแก้ปัญหาความเห็นผิดกลับมาเป็นความเห็นถูกได้ สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ในยุคนี้ ถ้าใครเป็นในลักษณะนี้จึงยากที่จะแก้ไขได้ เพราะผู้เป็น มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จะไม่เชื่อใครๆ ที่มาเตือนว่าตัวเองปฏิบัติผิดแต่อย่างใด ถ้าผู้เป็นวิปัสสนูเหมือนกันมาพูดคุยผลของการปฏิบัติ จะเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย มีความรู้เห็นอย่างไรจะพูดคุยกันทั้งวันทั้งคืนไม่จบไม่สิ้น จะพูดคุยในเรื่องนิมิตต่างๆที่เกิดขึ้น หรือพูดคุยธรรมะ ก็เป็นตุเป็นตะได้ชัดเจนน่าเชื่อถือ ผู้ไม่รู้ก็จะเชื่อว่าเป็นธรรมะจริงแล้วเชื่อตาม ที่จริงแล้วเป็นธรรมะปลอมนั่นเอง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: ปัญญาวิมุติ

ปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติ มีอยู่ในคนเดียวกัน แต่ที่ต่างกันเป็นเพราะนิสัยที่ได้บำเพ็ญมาไม่เหมือนกัน ผู้มีนิสัยเจโตวิมุติ ได้แก่ ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเหมือนพวกดาบสฤาษีที่ได้บำเพ็ญสมาธิความสงบ บำเพ็ญฌาณมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อท่านเหล่านี้ได้มาเกิดในชาตินี้ การปฏิบัติก็ต้องเริ่มตันจากการบำเพ็ญฌาณทำสมาธิให้มีความสงบไปก่อน เมื่อจิตมีความสงบแล้ว จะถอนตัวออกมาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ที่เรียกว่า สมาธิความตั้งใจมั่น แล้วน้อมไปสู่ปัญญา พิจารณาในสัจจธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่งตามบารมีที่ตัวเองได้บำเพ็ญมา ถ้าเป็นในลักษณะนี้จึงได้ชื่อว่า ผู้มีนิสัยเจโตวิมุติ

ผู้มีนิสัยในปัญญาวิมุติ ในชาติก่อนเคยได้บำเพ็ญในทางปัญญาบารมีมาแล้ว เมื่อมาเกิดใหม่ ได้ปฏิบัติภาวนา จะทำได้เพียงสมาธิความตั้งใจมั่นเท่านั้น แต่จะมีความโดดเด่นในทางปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสมาธิความตั้งใจมั่นจับคู่กับปัญญามีความสมบูรณ์พร้อมแล้ว หากพิจารณาในสัจธรรมใด ก็จะมีความรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงในสัจธรรมนั้น และได้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่งตามบารมีที่ตัวเองได้บำเพ็ญมา ถ้าเป็นในลักษณะนี้จึงเรียกว่าผู้เป็นปัญญาวิมุติ ขอให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจตามนี้ หรือหากใครตีความหมายเป็นไปอย่างอื่น ให้ถือว่าตัวใครตัวมัน หรือหากท่านยังมีความสงสัยอยู่อีก ให้มาถามข้าพเจ้าโดยตรง มีความพร้อมที่จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ เพราะในยุคนี้มีผู้ตีความในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแตกต่างกันไป แต่ใครจะตีความในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกต้องที่สุดนั้น ก็เป็นความเห็นของท่านผู้นั้น

ผู้มีนิสัยปัญญาวิมุติ เมื่อศึกษารู้วิธีแล้วนำมาปฏิบัติ จะเป็นของง่ายสำหรับท่านผู้นั้น อุบายในการปฏิบัติไม่มีความสลับซับซ้อนที่ยุ่งยาก ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้มีนิสัยเป็นปัญญาวิมุติ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่งในขณะนั้นเป็นจำนวนมาก หรือยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าในขณะนั้น แต่ได้นำเอาอุบายธรรมที่ได้รู้อยู่แล้วไปปฏิบัติ ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้เช่นกัน จะไปถามท่านเหล่านั้นว่าสมาธิความสงบเป็นอย่างไร ฌานนั้นฌานนี้ เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นจะไม่รู้ เพราะท่านเหล่านั้นเป็นนิสัยปัญญาวิมุติ เพียงทำสมาธิความตั้งใจมั่นได้แล้ว ใช้ปัญญาพิจารณาสัจธรรม มีความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น


ผู้มีนิสัยปัญญาวิมุติ ในสมัยครั้งพุทธกาลมีจำนวนมากถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ การปฏิบัติของผู้มีปัญญาวิมุติ ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่มีพิธี ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว อยู่ในที่ไหนก็ใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมได้ จะยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบท ก็จะใช้ปัญญาพิจารณาได้ทุกเมื่อ แม้ทำงานอะไรอยู่ ก็น้อมเอางานที่เราทำ มาเป็นอุบายในทางปัญญาได้ อุบายธรรมที่จะนำมาเป็นองค์ประกอบทางปัญญามีมากมาย ถ้าเราเข้าใจในหลักของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในทุกสถานที่ มีสัจธรรมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำ บนบก หรือสถานที่แห่งใดในโลกนี้ แม้เอาปลายเข็มเจาะแทงลงไปที่ไหน จะถูกสัจธรรมความจริงในที่แห่งนั้น

ธุระของผู้ปฏิบัติมี ๒ อย่าง คือ

๑. คันถธุระ คือ ธุระในภาคการศึกษา

๒. วิปัสสนาธุระ คือ ธุระในการใช้ปัญญาพิจารณา


ธุระทั้งสองนี้ ผู้ปฏิบัติต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วใช้ปัญญามาพิจารณา ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงในสิ่งนั้นๆ ภาคการศึกษาจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ไม่ว่างานทางโลก หรืองานทางธรรม ต้องศึกษาให้รู้ก่อนทั้งนั้น เพราะโลกกับธรรมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ถ้าไม่รู้จักธรรมก็จะมองเป็นโลกไปเสียทั้งหมด ถ้าผู้รู้จักธรรมก็สามารถใช้ปัญญาพิจารณาโลกให้เป็นธรรมได้ และสามารถตีความหมายให้แยกธรรมออกจากโลกได้อย่างชัดเจน

เปรียบได้กับน้ำฝนเป็นน้ำที่ใสสะอาดจืดสนิทโดยธรรมชาติ หากน้ำฝนนั้นตกลงสู่มหาสมุทร รวมอยู่ในน้ำทะเลก็จะเค็มไปด้วยกัน จะตักมาอม มาแตะปลายลิ้นเพื่อแยกแยะหาน้ำจืดนั้นจะไม่รู้เลย การแยกน้ำเค็มและน้ำจืดออกจากกันได้ ต้องมีเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้าไปกลั่นกรอง จึงแยกน้ำจืดออกจากน้ำเค็มได้ นี้ฉันใด การปฏิบัติธรรมก็ฉันนั้น การจะแยกจิตอันบริสุทธิ์ออกจากกิเลสตัณหาอวิชชาได้ ไม่ใช่เพียงนั่งหลับตานั่งสมาธิให้ใจมีความสงบหรือเข้าฌานนั้นฌานนี้ได้ กิเลสตัณหาอวิชชาจะเหือดแห้งไปด้วยวิธีเช่นนี้หาใช่ไม่

ดังคำบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

ปัญญายะ ปริสุฌฺชติ
จิตจะมีความบริสุทธิ์ได้เพราะปัญญา


ไม่มีใครบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้เพราะสมาธิความสงบในฌานแต่อย่างใด ให้เราเปลี่ยนความเห็นเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไปหลงในสมาธิความสงบ หลงอยู่ในฌานตลอดไปชั่วกาลนาน



:b8: :b8: :b8: http://watpabankor.com/

:b50: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=42881

:b50: รวมคำสอน “หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42885

:b50: หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ วัดป่าบ้านค้อ ละสังขารแล้ว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19450

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: :b8: :b48:

ธรรมรักษาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2011, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาด้วยค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 18:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็น Bwitch ทีไร ก็ยังคงนึกถึง ... :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2020, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2021, 13:21 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เห็น Bwitch ทีไร ก็ยังคงนึกถึง ... :b1:

Kiss
:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2021, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2023, 11:10 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร