วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก :b32: เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย


อ้างคำพูด:
Rosarin
เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก
แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น
เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก


อ้างคำพูด:
Rosarin
เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม
อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ
กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต
ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม
จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี

ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ
จิตเห็นค่ะ
ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ
คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น
เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด

viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218


ประโยคทอง
อ้างคำพูด:
ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี


นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลงหลักให้จบก่อนอย่าเพิ่งแทรกนะขอรับ :b1:


ตัวสภาวะ

อายตนะ * แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทย ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ที่ว่า ที่ต่อ หรือเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือ เชื่อมต่อกับ อะไร ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็นส่วนๆ ด้านๆไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดน หรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่า จำนวนอายตนะ ๖ ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะ ทั้ง ๖ จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละ อย่างๆ โดยเฉพาะ

สิ่งที่ถูกรับรู้หรือ ลักษณะอาการ ต่างๆ ของ โลกเหล่านี้ เรียกชื่อว่าอายตนะเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้ เช่นเดียวกัน แต่เป็น ฝ่ายภายนอก เพื่อแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรก ว่า อายตนะภายใน (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า อายตนะภายนอก (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก)

อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า อารมณ์ แปล ว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของ จิต แปลง่ายๆว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้ นั่นเอง

เมื่ออายตนะ (ภายใน) ซึ่งเป็นแดนรับรู้ กระทบกับอารมณ์ * (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้าน ของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น ตากระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น หู กระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่าได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้เรียกว่า วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์

ดังนั้น จึงมีวิญญาณ ๖ อย่าง เท่ากับอายตนะ และอารมณ์ ๖ คู่ คือ
วิญญาณ ทางตา ได้แก่ เห็น
วิญญาณทาง หู ได้แก่ ได้ยิน
วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น
วิญญาณทาง ลิ้น ได้แก่ รู้รส
วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย
วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง คคห.บน * ตามลำดับ


* คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ อายตนะ มีความหมายหลายนัย เช่น แปลว่า เป็นที่สืบต่อแห่งจิตและเจตสิก คือ เป็นที่ที่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กันง่วน เป็นที่แผ่ขยายจิตและเจตสิกให้ กว้างขวางออกไป เป็นตัวการนำสังสารทุกข์อันยืดเยื้อให้ดำเนินสืบต่อไป อีก เป็นบ่อเกิด แหล่ง ที่ชุมนุม เป็นต้น (วิสุทธิ.3/61 ฯลฯ)

อนึ่ง พึง สังเกตว่า ประสาทรับความรู้สึกภายในร่างกายเกี่ยวด้วยท่าทางการเคลื่อน ไหว ทรงตัว เป็นต้น จำพวกที่เรียกว่า somesthesia (kinesthetic, vestibular and visceral senses) ท่านไม่ได้จัดเพิ่มไว้ในพวก อายตนะด้วย แม้ท่านจะไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ ก็มองเห็นเหตุผลได้ ว่า ความรับรู้ประเภทนี้ บางส่วนรวมอยู่แล้วในอายตนะที่ ๕ ที่ท่าน ใช้คำกว้างๆว่า "กาย" แต่เหตุผลข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ประสาทจำพวกนี้ ทำหน้าที่จำกัดเพียงในด้านสรีรวิทยา มุ่งเพื่อรักษาสภาพ ปกติแห่งการทำงานของร่างกายเท่านั้น มีลักษณะจำเพาะตัว และจำกัดอยู่ ภายใน เป็นเครื่องสนับสนุนที่จำเป็น แต่มีค่าคงตัว ไม่มีคุณค่าที่จะ ก่อผลงอกเงยทั้งด้านความรู้ และด้านเสพเสวยโลก ทั้งด้านญาณวิทยา และด้านจริยธรรม จึงไม่เข้ากับความหมายของอายตนะ


* คำว่า ทวาร นิยมใช้กับอารมณ์ อายตนะภายใน คู่ กับ อายตนะภายนอก แต่ในที่นี้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อ ไป จะเรียกอายตนะภายในว่า อายตนะ เรียกอายตนะภายนอกว่า อารมณ์


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปได้ว่า อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖มีชื่อในภาษาธรรม และมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้

๑. จักขุ - ตา เป็นแดนรับรู้ รูป (สี) - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น (สี)
๒. โสตะ - หู ,, ---------,, สัททะ - เสียง ,,---------------,,โสตวิญญาณ - ได้ยิน
๓. ฆานะ - จมูก ,,---------,, คันธะ - กลิ่น ,,--------------,, ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น
๔. ชิวหา - ลิ้น ,,----------,, รส - - - รส ,,---------------,, ชิวหาวิญญาณ - รู้รส
๕. กาย - กาย ,,--------,, โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ,,--------,,กายวิญญาณ-รู้สิ่งต้องกาย
๖. มโน - ใจ ,,---------,, ธรรมารมณ์ - เรื่องในใจ ,,---------,,มโนวิญญาณ-รู้เรื่องในใจ


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิญญาณจะต้องอาศัย อายตนะ และอารมณ์ กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นได้ ก็จริง
แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นได้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วยวิญญาณนั้นๆจึงเกิดขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตข้อ ๑ ตามพระสูตร ท่านก็ว่า ตา เห็น รูป (รูป = สี) สิ่งที่มองเห็นด้วยจักขุ (ตา) ทุกอย่างเรียกว่า รูป ทั้งหมด แต่อภิธรรมว่า สี (สี=รูป) แค่นี้ นี่ว่าตามปรมัตถนัย ที่คุณโรสพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าธัมมะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร อะไรอีกก็ว่าไป

แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าคุณโรสกับเจ้าสำนักบ้านธัมมะ ว่าไปตามปรมัตถนัยแล้วก็นำเอาปรมัตถนัยของเขาไปคิดต่อมันจึงเป็นอัตตนัย คิกๆๆ คือคิดเพ้อเจ้อฟุ้งไปตามภาพมโนคติของตน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉายภาพให้พอเห็นเค้า

"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น (= วิตักกะ) ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ) บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ (= สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย) ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน" (ม.มู.12/248/226)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง

ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก :b32: เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย


อ้างคำพูด:
Rosarin
เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก
แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น
เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก


อ้างคำพูด:
Rosarin
เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม
อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ
กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต
ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม
จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี

ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ
จิตเห็นค่ะ
ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ
คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น
เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด

viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218


ประโยคทอง
อ้างคำพูด:
ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี


นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย

:b12:
ในแต่ละสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แค่1คนทั้งจักรวาลนั้นน่ะ
มีอัครสาวกซ้ายขวาเท่านั้นที่มีปัญญาและฤทธิ์รองจากพระพุทธเจ้า
ตัวเองน่ะเป็นสาวกที่มีปัญญามากคนนั้นหรือเป็นสาวกที่มีฤทธิ์คนนั้นหรือคะ
ยิ่งนับปีพ.ศยิ่งรู้ว่าปัญญาห่างไกลมากและถ้ายังดื้อไม่สะสมการฟังจะมีปัญญาได้หรือ
คนที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือคนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตตรัยพระพุทธเจ้าลืมไปไหมคะ
ว่าเป็นสาวกต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะจำแต่อรรถบัญญัตินั้นแค่สะสมสัญญาเจตสิกนะคะ
ปัญญาเกิดจากฟังการฟังต้องมีเสียงดังนั้นการฟังจึงจำเป็นต้องมีสัทบัญญัติคือมีเสียงให้ได้ยินจึงเข้าใจค่ะ
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ส.ค. 2018, 15:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง

ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ

:b32:
ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน
การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว
แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่
มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก
เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่
ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ
มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ
ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน
ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ
ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ
เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก :b32: เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย


อ้างคำพูด:
Rosarin
เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก
แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น
เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก


อ้างคำพูด:
Rosarin
เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม
อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ
กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต
ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม
จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี

ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ
จิตเห็นค่ะ
ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ
คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น
เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด

viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218


ประโยคทอง
อ้างคำพูด:
ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี


นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย

:b12:
ในแต่ละสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แค่1คนทั้งจักรวาลนั้นน่ะ
มีอัครสาวกซ้ายขวาเท่านั้นที่มีปัญญาและฤทธิ์รองจากพระพุทธเจ้า
ตัวเองน่ะเป็นสาวกที่มีปัญญามากคนนั้นหรือเป็นสาวกที่มีฤทธิ์คนนั้นหรือคะ
ยิ่งนับปีพ.ศยิ่งรู้ว่าปัญญาห่างไกลมากและถ้ายังดื้อไม่สะสมการฟังจะมีปัญญาได้หรือ
คนที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือคนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตตรัยพระพุทธเจ้าลืมไปไหมคะ
ว่าเป็นสาวกต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะจำแต่อรรถบัญญัตินั้นแค่สะสมสัญญาเจตสิกนะคะ
ปัญญาเกิดจากฟังการฟังต้องมีเสียงดังนั้นการฟังจึงจำเป็นต้องมีสัทบัญญัติคือมีเสียงให้ได้ยินจึงเข้าใจค่ะ
:b32: :b32:


ไปโน่นอีก คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ส.ค. 2018, 15:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ถ้าเป็นผู้ตรงตามคำสอนต้องมีสัจจะ
บวชคือสละทรัพย์สมบัติหมด
เงินเป็นทรัพย์ค่ะ
แต่ไม่ใช่อริยทรัพย์
คริคริคริบวชสะสมทั้งวัตถุข้าวของเงินทองเต็มวัดเต็มวาใครคิดจะแก้ไขให้ถูกต้องบ้างคะะะะะะะะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้าเป็นผู้ตรงตามคำสอนต้องมีสัจจะ
บวชคือสละทรัพย์สมบัติหมด
เงินเป็นทรัพย์ค่ะ
แต่ไม่ใช่อริยทรัพย์
คริคริคริบวชสะสมทั้งวัตถุข้าวของเงินทองเต็มวัดเต็มวาใครคิดจะแก้ไขให้ถูกต้องบ้างคะะะะะะะะ
:b32: :b32:


ไปโน่นอีก คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง

ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ

:b32:
ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน
การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว

แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่
มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก
เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่
ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ
มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ
ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน
ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ
ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ
เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ
:b32: :b32:


ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง

ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ

:b32:
ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน
การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว

แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่
มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก
เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่
ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ
มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ
ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน
ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ
ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ
เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ
:b32: :b32:


ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา :b32:

:b12:
ไปหาอ่านให้เจอนะคะโรสฟังมาไม่จำหรอกว่าสิกขาบทไหน
รู้แต่ว่าคำตถาคตระบุว่าภิกษุตามธรรมวินัยที่รับเงินคือผู้ทุศีล
เป็นมิจฉาชีพขโมยปัจจัยสี่ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทและยังมีคำ
ที่บอกถึงความเลวของผู้รับเงินทรงตรัสเรียกภิกษุในธรรมวินัยที่รับเงินว่า
มหาโจรเศรษฐีหัวโล้นอลัชชีไม่มีหิริโอตัปปะปล้นคำสอนทำตนเพื่อลาภสักการะและวัตถุ
:b5: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง

ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ

:b32:
ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน
การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว

แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่
มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก
เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่
ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ
มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ
ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน
ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ
ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ
เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ
:b32: :b32:


ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา :b32:

:b12:
ไปหาอ่านให้เจอนะคะโรสฟังมาไม่จำหรอกว่าสิกขาบทไหน
รู้แต่ว่าคำตถาคตระบุว่าภิกษุตามธรรมวินัยที่รับเงินคือผู้ทุศีล
เป็นมิจฉาชีพขโมยปัจจัยสี่ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทและยังมีคำ
ที่บอกถึงความเลวของผู้รับเงินทรงตรัสเรียกภิกษุในธรรมวินัยที่รับเงินว่า
มหาโจรเศรษฐีหัวโล้นอลัชชีไม่มีหิริโอตัปปะปล้นคำสอนทำตนเพื่อลาภสักการะและวัตถุ
:b5: :b32:


ไปดูให้แน่ ถ้าไม่แน่มันมั่ว คิกๆๆ เล่นเอาถึงว่า จับเงิน รับเงิน ขาดจากความเป็นพระนี่เลอะแล้ว

ที่เห็นมีข้อหนึ่งที่ว่า ภิกษุถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้เกิน ๕ มาสก ขาดจากความเป็นภิกษุ ก็ทำนองๆอทินนาทาน ขโมยของของเขานั่นแล

ถ้าอะไรที่เรารู้ไม่ชัด รู้ไม่ถึงแล้วพูด เลอะขอรับ ก็ทำนองพูดเรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องอุเบกขา เรื่องปีติ เรื่องปัสสัทธิ เป็นต้นเหล่านี้แหละ ถ้าไม่เคยสัมผัสพูด เด็กมันหัวเราะเอา นี่พูดจริงๆนะขอรับ ไม่ได้พูดเล่น ไปค้นคว้า ไปศึกษา ไปทดลองทำให้มั่นใจ จริงๆนะ :b13: รักนะถึงบอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร