วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 04:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2018, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
การอ่านคือการหลงเงาของตัวธัมมะไงคะ
เพราะอ่านคือจิตคิดนึกหลายคำแล้วตีความอีก
ส่วนการฟังคือคิดตรงคำตรงขณะรู้ความหมายตรงขณะ
คิดตรงคำและไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะได้ยินอะไรเพราะเสียงมีตั้งหลายเสียง
แต่เสียงคำที่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังได้ยินคือความจริงก่อนเสียงดับ
:b12:
:b4: :b4:


huh huh huh

หาวเพราะไม่รู้เรื่องหรือคะก็ความจริงตามคำสอนต้องคิดตรงคำ
การอ่านบัญญัติเกิน1คำจำเป็นชื่อเป็นเรื่องราวมันไม่ตรงทางไงคะ
แต่การฟังคือจิตได้ยินเสียงตามรู้เสียงตรงเสียงที่เกิดแล้วเข้าใจทีละคำคะ
:b32: :b32: :b32:


คุณโรสเดา...เพราะไม่รู้..ละซิ..ว่า..ทำไมผมถึงหาว :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2018, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตัดความกังวลเสียให้หมด

นี่การเจริญสมถะภาวนาในตอนต้น ๆ หรือตอนปลายมีสภาวะเหมือนกัน นั้นก็คือ

อันดับแรก จงอย่าสนใจกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด เรื่องราวของชาวบ้านต่าง ๆ ยกประโยชน์ไป เราไม่สนใจ แลเรื่องราวของเราก็เหมือนกัน ตัดความกังวลเสียให้หมด ที่เรียกว่า "ปริโพท"

พระพุทธเจ้าบอกว่า อันดับแรก จงตัดความกังวลทุกอย่างเสียให้หมด ให้ดำริไว้อย่างเดียวคือกำหนดจิตจับเฉพาะอารมณ์ สมถะภาวนาที่เราต้องการอารมณ์อย่างอื่นเราไม่ต้องการทั้งหมด นี่ต้องทำแบบนี้มันถึงจะมีผล

ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าภาวนา สักแต่ว่าพิจารณา อย่างนี้เท่าไรมันก็ไม่มีผล จงจำให้ดีว่า

อันดับแรก ตัดความกังวลเสียให้หมด กังวลภายนอก กังวลภายใน กังวลเรื่องของบุคคลอื่น มีบุตรภรรยา สามี ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ยกยอดทิ้งประโยชน์ไป ไม่สนใจ ใครจะเป็นยังไงก็ช่างมันตัวใครตัวมัน ตายแล้วไม่ใช่ชวนกันไปตกนรกขึ้นสวรรค์ได้

นี่พูดถึงว่าอารมณ์ที่เรากำลังใช้ในการทรงสมาธิจิต และ กังวลของเราก็เหมือนกัน มันจะเป็นมันจะตายก็ช่างมัน เราต้องการอย่างเดียวคือ ความบริสุทธิ์ คือความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่มีสัญลักษณ์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดมาทางกาย ก็ระแวงโน่นระแวงนี่ กลัวจะเป็นอย่างนั้นกลัวจะเป็นอย่างนี้ ถ้าอารมณ์จิตเป็นอย่างนี้ แล้วก็เจริญสักกี่โกฏิชาติมันก็ไม่ได้ผล



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2018, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
การอ่านคือการหลงเงาของตัวธัมมะไงคะ
เพราะอ่านคือจิตคิดนึกหลายคำแล้วตีความอีก

ส่วนการฟังคือคิดตรงคำตรงขณะรู้ความหมายตรงขณะ
คิดตรงคำและไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะได้ยินอะไรเพราะเสียงมีตั้งหลายเสียง
แต่เสียงคำที่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังได้ยินคือความจริงก่อนเสียงดับ



หาวเพราะไม่รู้เรื่องหรือคะก็ความจริงตามคำสอนต้องคิดตรงคำ
การอ่านบัญญัติเกิน1คำจำเป็นชื่อเป็นเรื่องราวมันไม่ตรงทางไงคะ
แต่การฟังคือจิตได้ยินเสียงตามรู้เสียงตรงเสียงที่เกิดแล้วเข้าใจทีละคำคะ


อ้างคำพูด:
การอ่านบัญญัติเกิน 1 คำ จำเป็นชื่อ เป็นเรื่องราว มันไม่ตรงทางไงคะ


คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ คงอ่านหนังสือเป็นเรื่องๆเป็นหน้าๆไม่ได้แน่ๆ คือ อ่านแล้วไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ไม่ทำมะดาๆ แบบนี้ อ่านหนังสือพิมพ์รู้เรื่องหรือขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2018, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:

เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ โรคย่อมเป็นไปได้ทั่วร่างกาย เป็นไปได้ทั้งโรคจร และโรคประจำ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สุดแต่กฎของกรรมจักเป็นผู้นำไป
ไม่ว่าโรคอันใดเกิดกับร่างกาย ให้ยอมรับนับถือกฎของกรรมนั้น

การรักษาก็สักแต่ว่ายังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น อย่าไปคิดว่าอยากจักหาย
ให้คิดว่าให้เป็นการบรรเทาทุกขเวทนา อย่าเอากิเลสมานำหน้าในการรักษาโรค


การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการเตือนสติไม่ให้ประมาทในชีวิต
การเผลอลืมภาวนาย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังสติไม่สมบูรณ์
เพราะฉะนั้นจงอย่าโทษตัวเอง แต่ให้พยายามเพียรเข้าไว้
เพื่อให้เกิดความเคยชินในการภาวนา


พยายามอย่าให้จิตว่างจากความดี
ความชั่วใด ๆ เกิดขึ้นแล้วในจิต ให้พยายามผลักออกไปจากอารมณ์
ดูร่างกายตามความเป็นจริง
แล้วอย่าใช้ความเคยชินในสมัยก่อนมาใช้ให้เห็นว่าเป็นธรรมดา แต่จิตก็ไปชินติดอยู่กับความห่วงใย - กังวลร่างกายอยู่อีก

ต้องฝึกฝนจิตใหม่ ให้ชินอยู่กับการปล่อยวางร่างกาย
ให้เห็นธรรมดาของร่างกายมันเป็นอยู่อย่างนั้น
จิตอย่าไปกังวล ให้วางความกังวลทิ้งไป จิตเบาใจไม่ร้อน -
ไม่กังวลกับอาการของร่างกายไม่ว่ากรณีใด ๆ



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2018, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยพิจารณา เรื่องนี้ไหมคะ.. :b8:

จับผิด(ความเลว)ตัวเอง จับดี(ข้อดี)คนอื่น.. :b8:
.
.
.
เคยพิจารณาเรื่องนี้บ้างไหมคะ :b8:

การหลงอารมณ์ หลงความรู้สึกของตัวเอง :b8:

(แท้จริงอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง เป็นเพียงการทำงานขันธ์ห้าเท่านั้น)


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2018, 19:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
ให้เห็นอารมณ์เลวของตนเองอยู่เสมอ นั่นแหละเป็นของดี
และตราบเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จงอย่าคิดว่าตนเองดีแล้วเป็นอันขาด

เพราะนั่นจักทำให้เกิดการหลงผิดทะนงตนเป็นการใหญ่
จงเห็นตามความเป็นจริง โดยเอาสังโยชน์เป็นเครื่องวัดอารมณ์กิเลสเอาไว้
จักได้มั่นใจในความเลวที่ยังหลงเหลืออยู่

ที่พูดเช่นนี้มิใช่เป็นการตำหนิ แต่การพูดนี้เป็นการให้รู้ผลของการปฏิบัติ
รวมความว่า จงมองเลวของตนเอง แล้วแก้ไขเลวตรงนั้นที่ใจของตนเอง
อย่าไปมองเลวของบุคคลอื่น แล้วไม่ต้องไปแก้ไขความเลวของบุคคลอื่น


ให้เห็นปกติธรรมนั้น ๆ อยู่เสมอ จิตก็จักวางเรื่องของคนอื่นไปได้
เอาแต่ปฏิบัติในจิตของตนเอง นี่แหละเป็นทางสายเอก
เป็นทางของบุคคลผู้เดียว เข้าใจหรือไม่



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2018, 20:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
ทำอะไรอย่ามัวกลัวช้า การปฏิบัติแม้ต้องการความเพียรก็จริงอยู่
แต่ตัวเพียรนั้นก็มิใช่การเร่งรีบในความใจร้อน
หากแต่ต้องการความใจเย็น ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ
กล่าวคือมีสติไม่หลงลืมความมุ่งมั่นในการละกิเลสเท่านั้น

ส่วนใหญ่ไปเร่งรีบ ไปตั้งความหวังในความเป็นพระอริยเจ้ามากเกินไป
พอทำไม่ได้ก็เลยทุกข์ เบื่อหน่ายในการปฏิบัตินี่เป็นการวางจิตไม่ถูก

พึงตั้งใจทำให้สม่ำเสมอกัน - อย่าหน่าย - อย่าเบื่อ - อย่าใจร้อน
เห็นธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง
แล้วรักษากำลังใจ แก้ไขข้อบกพร่องอยู่เสมอ ๆ
ก็จักได้มรรคผลตามที่ตั้งใจไว้เอง



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2018, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคย พิจารณาเรื่องนี้บ้างไหมคะ :b8:
.
.
.
...ทุกครั้งที่มีการเจ็บป่วย...

ยิ่งเจ็บป่วยมากจนเหมือนเรากำลังจะตาย มันเป็นข้อสอบว่า...
.
.
.
ผลปฎิบัติทั้งหมดที่เราเพียรทำๆมา..เกิดผลหรือไม่ :b8:

(เราวางอารมณ์เพื่อที่จะตายอย่างไร)
.
.
.
.
ความรู้สึกของใจเราตอน เรากำลังจะตาย มันบอกผลว่า

......เราสอบได้ หรือ สอบตก........

(หรือดีขึ้น ก้าวหน้ากว่าเดิมจากที่เคยสอบๆตายมา)


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
เคย พิจารณาเรื่องนี้บ้างไหมคะ :b8:
.
.
.
...ทุกครั้งที่มีการเจ็บป่วย...

ยิ่งเจ็บป่วยมากจนเหมือนเรากำลังจะตาย มันเป็นข้อสอบว่า...
.
.
.
ผลปฎิบัติทั้งหมดที่เราเพียรทำๆมา..เกิดผลหรือไม่ :b8:

(เราวางอารมณ์เพื่อที่จะตายอย่างไร)
.
.
.
.
ความรู้สึกของใจเราตอน เรากำลังจะตาย มันบอกผลว่า

......เราสอบได้ หรือ สอบตก........

(หรือดีขึ้น ก้าวหน้ากว่าเดิมจากที่เคยสอบๆตายมา)


:b8: :b8: :b8:

Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 03:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
อุปสรรคสำคัญคือขาดการฟังและ
ไม่เพียรรู้ตามคือไม่พึ่งคิดตามคำสอน
คิดแต่จะไปทำตามที่คิดไปเองไม่ฟังไง
ประมาทคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้
ฟังเพื่อเข้าใจความจริงถูกตามได้เท่านั้น
คิด-ถูก-ตาม-ได้...คือความจริงที่คิดได้ตรงๆ
ไม่รู้จึงต้องเพียรฟังเพื่อเข้าใจความจริงตามได้
คือฟังพระพุทธพจน์ก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
ไม่มีใครรู้จักปัญญาที่เคยสะสมจนกว่าจะเริ่มฟัง
เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีและปรากฏจริงๆ
จึงต้องเพียรสิกขาตามโดยฟังคำวาจาสัจจะของตถาคต
เพื่อให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ตรงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏว่ามี
ตนที่กำลังตั้งใจฟังเท่านั้นคือเงี่ยโสตลงสดับจึงจะรู้ว่าตนตรงแค่ไหนค่ะ
ใช้ตาดูความจริงที่กำลังเห็นมองความจริงพร้อมฟังพระพุทธพจน์ฟังเสียงคิดตามโดย
ใช้หูที่ไม่บอดฟังความจริงเพื่อให้เข้าใจถูกคิดถูกตามตรงคำตรงขณะเพื่อรู้ความจริงตามเสียง
เพื่อให้คิดถูกตรงทางหนึ่งทางใดไม่คลาดเคลื่อนตามเสียงตรงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก่อนดับไป
เข้าใจไหมคะ...ทำผิดจากคำสอนตามเคยชิน...ลืมคิดตามคำสอนคือประมาทอยู่ที่แน่ๆบวชรับเงินตกนรก
ตัดสินใจให้ดีว่าตนสะดวกขัดเกลากิเลสในเพศใดนุ่งห่มจีวรแต่ใช้เงินไม่ได้เอานิสัยก่อนบวชมาใช้ไม่ได้ค่ะ
2เพศที่พระพุทธเจ้ากำหนดต่างกันที่เงินที่บ่งบอกว่าเป็นเพศไหนดูจากพฤติกรรมเป็นหลักตายแน่ :b32:
ถ้าบวชแล้วรับเงินใช้เงินก็คือขาดจากบรรพชิตแล้วค่ะพฤติกรรมวัดตามพระธรรมวินัยดูตามปกติก็รู้แล้ว
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 05:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[/quote]
Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4: [/quote.
.
.
.
ขออนุญาติ แสดงความเห็นคะ :b8:

สิ่งที่อ่านเจอในข้อความข้างบน เป็นสัญญาจากสุตตมยปัญญา

ซึ่งมันผ่านการตรอง กรอง และย่อย จนเป็นจินตมยปัญญาแล้ว

จึงแสดงความเห็นออกมา :b8:
.
.
.
แต่ส่วนที่เมยพิมพ์...เป็นเรื่องของธรรมปฎิบัติ(ไม่ใช่ธรรมสมมติบัญญัติ :b8: )

ผล...ถ้าสอบได้ คือ ได้ ภาวนามยปัญญา

คือ ผ่านสังโยชน์ข้อแรก คือ สักกายทิษฐิ :b8:
.
.
.
คุณ รส กำลังคุยกับเมย ในเรื่องเดียวกัน แต่คนละหมวดกัน :b8:

เมยคุยในทางธรรมปฎิบัติ แต่ คุณรสมองในทางธรรมบัญญัติ :b8:
.
.
.
ถ้ามองในทางธรรมบัญญัติ..เมยมองว่า...

เราสามารถรู้สึกตัวได้ตอนที่จิตปฎิสนธิ และ จิตสุดท้ายที่จุติคะ

แต่หลังจุติ นี่ไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญานขันธ์ดับไปแล้ว

(ค่อยๆดับไป...เทียบไปกับภาวะของภวังค์ได้..เราจะรู้ได้ชัด..)

ส่วนตัวหลับสนิท นี่เห็นด้วยคะ ไม่ขัดแย้ง

เมื่อวิญญานขันธ์ดับสนิท ทำให้ตอนหลับเราไม่รู้ตัว
.
.
.
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเมยนะคะ คุณรส :b53: :b1: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:

Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4: [/quote.
.
.
.
ขออนุญาติ แสดงความเห็นคะ :b8:

สิ่งที่อ่านเจอในข้อความข้างบน เป็นสัญญาจากสุตตมยปัญญา

ซึ่งมันผ่านการตรอง กรอง และย่อย จนเป็นจินตมยปัญญาแล้ว

จึงแสดงความเห็นออกมา :b8:
.
.
.
แต่ส่วนที่เมยพิมพ์...เป็นเรื่องของธรรมปฎิบัติ(ไม่ใช่ธรรมสมมติบัญญัติ :b8: )

ผล...ถ้าสอบได้ คือ ได้ ภาวนามยปัญญา

คือ ผ่านสังโยชน์ข้อแรก คือ สักกายทิษฐิ :b8:
.
.
.
คุณ รส กำลังคุยกับเมย ในเรื่องเดียวกัน แต่คนละหมวดกัน :b8:

เมยคุยในทางธรรมปฎิบัติ แต่ คุณรสมองในทางธรรมบัญญัติ :b8:
.
.
.
ถ้ามองในทางธรรมบัญญัติ..เมยมองว่า...

เราสามารถรู้สึกตัวได้ตอนที่จิตปฎิสนธิ และ จิตสุดท้ายที่จุติคะ

แต่หลังจุติ นี่ไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญานขันธ์ดับไปแล้ว

(ค่อยๆดับไป...เทียบไปกับภาวะของภวังค์ได้..เราจะรู้ได้ชัด..)

ส่วนตัวหลับสนิท นี่เห็นด้วยคะ ไม่ขัดแย้ง

เมื่อวิญญานขันธ์ดับสนิท ทำให้ตอนหลับเราไม่รู้ตัว
.
.
.
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเมยนะคะ คุณรส :b53: :b1: :b48:[/quote]



:b32:
พระพุทธเจ้าเท่านั้นในชาติสุดท้ายที่มีสติตลอดเวลา
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติจิตค่ะเข้าใจผิดแล้วนะคะ
ตามคำสอนพระองค์ทรงแสดงว่าไม่ประมาท
โดยระลึกเสมอว่าตนไม่ปิดอบายภูมิไว้ก่อน
คิดไหมคะว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ความจริง
เหมือนบวชแล้วรับเงินเป็นว่าเล่นไปนรกแน่นอนแล้วค่ะ
หรือคิดว่าห่มจีวรบรรลุฌานสมาบัติแล้วพ้นนรกดูพระเทวทัตสิคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:

Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4: [/quote.
.
.
.
ขออนุญาติ แสดงความเห็นคะ :b8:

สิ่งที่อ่านเจอในข้อความข้างบน เป็นสัญญาจากสุตตมยปัญญา

ซึ่งมันผ่านการตรอง กรอง และย่อย จนเป็นจินตมยปัญญาแล้ว

จึงแสดงความเห็นออกมา :b8:
.
.
.
แต่ส่วนที่เมยพิมพ์...เป็นเรื่องของธรรมปฎิบัติ(ไม่ใช่ธรรมสมมติบัญญัติ :b8: )

ผล...ถ้าสอบได้ คือ ได้ ภาวนามยปัญญา

คือ ผ่านสังโยชน์ข้อแรก คือ สักกายทิษฐิ :b8:
.
.
.
คุณ รส กำลังคุยกับเมย ในเรื่องเดียวกัน แต่คนละหมวดกัน :b8:

เมยคุยในทางธรรมปฎิบัติ แต่ คุณรสมองในทางธรรมบัญญัติ :b8:
.
.
.
ถ้ามองในทางธรรมบัญญัติ..เมยมองว่า...

เราสามารถรู้สึกตัวได้ตอนที่จิตปฎิสนธิ และ จิตสุดท้ายที่จุติคะ

แต่หลังจุติ นี่ไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญานขันธ์ดับไปแล้ว

(ค่อยๆดับไป...เทียบไปกับภาวะของภวังค์ได้..เราจะรู้ได้ชัด..)

ส่วนตัวหลับสนิท นี่เห็นด้วยคะ ไม่ขัดแย้ง

เมื่อวิญญานขันธ์ดับสนิท ทำให้ตอนหลับเราไม่รู้ตัว
.
.
.
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเมยนะคะ คุณรส :b53: :b1: :b48:




:b32:
พระพุทธเจ้าเท่านั้นในชาติสุดท้ายที่มีสติตลอดเวลา
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติจิตค่ะเข้าใจผิดแล้วนะคะ
ตามคำสอนพระองค์ทรงแสดงว่าไม่ประมาท
โดยระลึกเสมอว่าตนไม่ปิดอบายภูมิไว้ก่อน
คิดไหมคะว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ความจริง
เหมือนบวชแล้วรับเงินเป็นว่าเล่นไปนรกแน่นอนแล้วค่ะ
หรือคิดว่าห่มจีวรบรรลุฌานสมาบัติแล้วพ้นนรกดูพระเทวทัตสิคะ
:b32: :b32: :b32:[/quote]

ไม่ขัดแย้งคะ :b8: ...เมยไม่ถนัดการปรุงด้วยสมบัญญัตินะคะ

แต่อ่านและติดตามได้ :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:

Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4:

.
.
.
ขออนุญาติ แสดงความเห็นคะ :b8:

สิ่งที่อ่านเจอในข้อความข้างบน เป็นสัญญาจากสุตตมยปัญญา

ซึ่งมันผ่านการตรอง กรอง และย่อย จนเป็นจินตมยปัญญาแล้ว

จึงแสดงความเห็นออกมา :b8:
.
.
.
แต่ส่วนที่เมยพิมพ์...เป็นเรื่องของธรรมปฎิบัติ(ไม่ใช่ธรรมสมมติบัญญัติ :b8: )

ผล...ถ้าสอบได้ คือ ได้ ภาวนามยปัญญา

คือ ผ่านสังโยชน์ข้อแรก คือ สักกายทิษฐิ :b8:
.
.
.
คุณ รส กำลังคุยกับเมย ในเรื่องเดียวกัน แต่คนละหมวดกัน :b8:

เมยคุยในทางธรรมปฎิบัติ แต่ คุณรสมองในทางธรรมบัญญัติ :b8:
.
.
.
ถ้ามองในทางธรรมบัญญัติ..เมยมองว่า...

เราสามารถรู้สึกตัวได้ตอนที่จิตปฎิสนธิ และ จิตสุดท้ายที่จุติคะ

แต่หลังจุติ นี่ไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญานขันธ์ดับไปแล้ว

(ค่อยๆดับไป...เทียบไปกับภาวะของภวังค์ได้..เราจะรู้ได้ชัด..)

ส่วนตัวหลับสนิท นี่เห็นด้วยคะ ไม่ขัดแย้ง

เมื่อวิญญานขันธ์ดับสนิท ทำให้ตอนหลับเราไม่รู้ตัว
.
.
.
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเมยนะคะ คุณรส :b53: :b1: :b48:




Rosarin เขียน:
:b32:
พระพุทธเจ้าเท่านั้นในชาติสุดท้ายที่มีสติตลอดเวลา
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติจิตค่ะเข้าใจผิดแล้วนะคะ
ตามคำสอนพระองค์ทรงแสดงว่าไม่ประมาท
โดยระลึกเสมอว่าตนไม่ปิดอบายภูมิไว้ก่อน
คิดไหมคะว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ความจริง
เหมือนบวชแล้วรับเงินเป็นว่าเล่นไปนรกแน่นอนแล้วค่ะ
หรือคิดว่าห่มจีวรบรรลุฌานสมาบัติแล้วพ้นนรกดูพระเทวทัตสิคะ
:b32: :b32: :b32:


สายน้ำเมย เขียน:
ไม่ขัดแย้งคะ :b8: ...เมยไม่ถนัดการปรุงด้วยสมบัญญัตินะคะ

แต่อ่านและติดตามได้ :b53:



Kiss
คนเกิดได้ยากมากและยากที่จะได้พบคำสอนที่เป็นคำตถาคตแท้ๆ
จึงต้องคิดให้รอบคอบนะคะตอนนี้ยังมีตัวตนคือมีอัตภาพมนุษย์ไงคะ
ที่ตาไม่บอดและหูไม่หนวกและการพาจิตออกจากทุกข์นี้ทำไปจากภพภูมิมนุษย์ค่ะ
จนเข้าถึงนิพพานได้นั้นต้องมีปัญญาถ้าชาตินี้ไม่เคยฟังเลยแปลว่าไม่มีปัญญาเกิดเพิ่ม
ปัญญาตามคำสอนคือปัญญาเจตสิกเกิดเองไม่ได้จากไปคิดพูดทำเอาเองเข้าใจไหมคะต้องพึ่งคิดตามตรงๆ
ทีละคำ/ปัญญาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตามลำดับโดยลำดับไม่ข้ามลำดับแรกคือสุตมยปัญญา
ข้ามการฟังคำสอนสะสมความคิดเห็นผิดทันทีเพราะเชื่อตามเห็นผิดของตนต้องรู้จักประมาณปัญญาตนเอง
เพราะปัญญาสะสมตามจิตได้ทีละ1ขณะฟังต่อเนื่องกิเลสความไม่รู้จึงแทรกเข้าไม่ได้ถ้าไม่ฟังอวิชชาไหลค่ะ
ความจริงที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้เลยกำลังมีกำลังปรากฏกับอวิชชาของผู้ไม่รู้คิดตามคำตถาคตทีละคำไงคะ
มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ตอนคิดถูกตามคำสอนได้ตอนกำลังฟังเท่านั้นค่ะที่ไปทำอะไรๆนั้นน่ะคิดทำเองค่ะ
https://youtu.be/X6ije-STnwc
:b13:
:b17: :b17:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 16 ส.ค. 2018, 11:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 11:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:

Kiss
ไม่มีใครเลือกเกิดได้เพราะจิตเกิดดับเร็วเป็นอณูวินาที
ขณะที่ไม่รู้สึกตัวคือไม่มีวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตไม่รู้อะไรเลยมี3ขณะจิตคือ1ปฏิสนธิ2หลับสนิท3จุติ
ไปเข้าร่างใหม่ทันทีเร็วแบบกะพริบตาแล้วไม่รู้อะไรเลยมืดสนิท
:b13:
:b4: :b4:

.
.
.
ขออนุญาติ แสดงความเห็นคะ :b8:

สิ่งที่อ่านเจอในข้อความข้างบน เป็นสัญญาจากสุตตมยปัญญา

ซึ่งมันผ่านการตรอง กรอง และย่อย จนเป็นจินตมยปัญญาแล้ว

จึงแสดงความเห็นออกมา :b8:
.
.
.
แต่ส่วนที่เมยพิมพ์...เป็นเรื่องของธรรมปฎิบัติ(ไม่ใช่ธรรมสมมติบัญญัติ :b8: )

ผล...ถ้าสอบได้ คือ ได้ ภาวนามยปัญญา

คือ ผ่านสังโยชน์ข้อแรก คือ สักกายทิษฐิ :b8:
.
.
.
คุณ รส กำลังคุยกับเมย ในเรื่องเดียวกัน แต่คนละหมวดกัน :b8:

เมยคุยในทางธรรมปฎิบัติ แต่ คุณรสมองในทางธรรมบัญญัติ :b8:
.
.
.
ถ้ามองในทางธรรมบัญญัติ..เมยมองว่า...

เราสามารถรู้สึกตัวได้ตอนที่จิตปฎิสนธิ และ จิตสุดท้ายที่จุติคะ

แต่หลังจุติ นี่ไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญานขันธ์ดับไปแล้ว

(ค่อยๆดับไป...เทียบไปกับภาวะของภวังค์ได้..เราจะรู้ได้ชัด..)

ส่วนตัวหลับสนิท นี่เห็นด้วยคะ ไม่ขัดแย้ง

เมื่อวิญญานขันธ์ดับสนิท ทำให้ตอนหลับเราไม่รู้ตัว
.
.
.
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเมยนะคะ คุณรส :b53: :b1: :b48:




Rosarin เขียน:
:b32:
พระพุทธเจ้าเท่านั้นในชาติสุดท้ายที่มีสติตลอดเวลา
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติจิตค่ะเข้าใจผิดแล้วนะคะ
ตามคำสอนพระองค์ทรงแสดงว่าไม่ประมาท
โดยระลึกเสมอว่าตนไม่ปิดอบายภูมิไว้ก่อน
คิดไหมคะว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ความจริง
เหมือนบวชแล้วรับเงินเป็นว่าเล่นไปนรกแน่นอนแล้วค่ะ
หรือคิดว่าห่มจีวรบรรลุฌานสมาบัติแล้วพ้นนรกดูพระเทวทัตสิคะ
:b32: :b32: :b32:


สายน้ำเมย เขียน:
ไม่ขัดแย้งคะ :b8: ...เมยไม่ถนัดการปรุงด้วยสมบัญญัตินะคะ

แต่อ่านและติดตามได้ :b53:



Kiss
คนเกิดได้ยากมากและยากที่จะได้พบคำสอนที่เป็นคำตถาคตแท้ๆ
จึงต้องคิดให้รอบคอบนะคะตอนนี้ยังมีตัวตนคือมีอัตภาพมนุษย์ไงคะ
ที่ตาไม่บอดและหูไม่หนวกและการพาจิตออกจากทุกข์นี้ทำไปจากภพภูมิมนุษย์ค่ะ
จนเข้าถึงนิพพานได้นั้นต้องมีปัญญาถ้าชาตินี้ไม่เคยฟังเลยแปลว่าไม่มีปัญญาเกิดเพิ่ม
ปัญญาตามคำสอนคือปัญญาเจตสิกเกิดเองไม่ได้จากไปคิดพูดทำเอาเองเข้าใจไหมคะ
ปัญญาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตามลำดับโดยลำดับไม่ข้ามลำดับแรกคือสุตมยปัญญา
ข้ามการฟังคำสอนสะสมความคิดเห็นผิดทันทีเพราะเชื่อตามเห็นผิดของตนต้องรู้จักประมาณปัญญาตนเอง
เพราะปัญญาสะสมตามจิตได้ทีละ1ขณะฟังต่อเนื่องกิเลสความไม่รู้จึงแทรกเข้าไม่ได้ถ้าไม่ฟังอวิชชาไหลค่ะ
ความจริงที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้เลยกำลังมีกำลังปรากฏกับอวิชชาของผู้ไม่รู้คิดตามคำตถาคตทีละคำไงคะ
https://youtu.be/X6ije-STnwc
:b13:
:b17: :b17:



คะ :b53:
.
.
.
แล้วอิ่มหรือยังคะ ในสุตตะ..?

อิ่มจากสุตตะแล้ว เราจะได้เอาสุตตะ ไปพัฒนาในความเพียรทางด้านการปฎิบัติต่อไป :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร