วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 11:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ได้แนวคิดจาก คคห.ของคุณ Rosarin นี่

อ้างคำพูด:
มืดมากไหมที่ไม่รู้ว่ามืดบอด
บอดสนิทเลยเพราะไม่รู้
จึงไปทำเพื่อแสวงหาธัมมะ
แสวงนี่เป็นกิเลสชื่อโลภะ
ที่ไปด้วยอยากคือตัณหา
กิเลสเป็นเพื่อน1ตัณหาเป็นเพื่อน2
ตัณหาอันเดียวกับแสวงคือโลภะ
เป็นสิ่งที่ต้องการรู้ใช่ไหมถึงไปเพื่อทำ

แต่ตถาคตบอกให้ฟังโดยใช้กาลามสูตร10

ชาวกาลามะ ถาม ตถาคตไว้ล่วงหน้าว่า

แล้วจะรู้ได้ไหมว่าใครพูดคำตถาคต

กาลามสูตรสิบต้องใช้ตรงขณะก่อนดับ

แค่กะพริบตาใช้กาลามสูตร 10 ทันสักข้อไหมคะ

viewtopic.php?f=1&t=56086



นำมาส่วนหนึ่ง แต่กว่าจะอ่านแยกแยะได้ว่าคุณเธอพูดเรื่องอะไร ก็ทำเอาปวดขมับสองข้างเลย คิกๆๆ

เอาเถอะถึงจะมั่วยังไง ก็พอจับใจความได้ว่า เรื่องกะพริบตาใช้กาลามาสูตรไม่ทัน อย่าว่าแต่ 10 ข้อเลย ข้อเดียวก็ไม่ทัน ว่างั้น อิอิ

พิสดูแล้วเหมือนเค้าจะสื่อสารว่า กะพริบตา ....พริบ อ่านไม่ทัน คือ อ่านไม่จบข้อ เมื่อกะพริบตาอ่านไม่ทันไม่จบข้อคุณโรสว่า ไม่รู้ธรรมะ ถ้าจะให้รู้ธรรมะต้องอ่านให้ทันแล้วตรงขณะก่อนตาลืมขึ้น พริบ (เชิญกะพริบพิสูตรคำแนะนำคุณโรส ได้ตามอัธยาศัย)

แล้วก็พูดคำตถาคต อันนี้ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร

เอายังไงก็เอา จะนำเหตุของเรื่องชาวกาลามชนให้ดู สังเกตดูว่าใน 10 ข้อกะพริบตากี่ครั้ง คิกๆๆๆ จะบ้าตาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาแล้วนะเริ่มแล้วนะ อ่านแล้วตีให้แตกนะ

พุทธพจน์แสดงหลักศรัทธา

สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทฤษฎี ลัทธิ หรือคำสอนอันใดอันหนึ่งอยู่แล้ว หรือยังไม่นับถือก็ตาม มีหลักการตั้งทัศนคติที่ประกอบด้วยเหตุผล ตามแนวกาลามสูตร * ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ?

...............


ที่อ้างอิง *

* พระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกต่างฉบับ เรียก เกสปุตตสูตร บ้าง เกสปุตติสูตร บ้าง เกสปุตติยสูตร บ้าง เกสมุตติสูตร บ้าง (องฺ.ติก.20/505/241)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)


เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ
เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:


นี่แสดงว่าเพ้ออ่านหนังสือไม่เป็น ไม่รู้จักคน

ถ้าให้คุณโรสพูดเขียนเรื่องทั่วๆไป เรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ฟังได้ แต่พูดธรรมะเท่านั้นแหละ เข้าป่าเข้าดงไปเลย เพราะอะไร ? เพราะคุณโรสคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องผิดปกติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาแล้วนะเริ่มแล้วนะ อ่านแล้วตีให้แตกนะ

พุทธพจน์แสดงหลักศรัทธา

สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทฤษฎี ลัทธิ หรือคำสอนอันใดอันหนึ่งอยู่แล้ว หรือยังไม่นับถือก็ตาม มีหลักการตั้งทัศนคติที่ประกอบด้วยเหตุผล ตามแนวกาลามสูตร * ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ?

...............


ที่อ้างอิง *

* พระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกต่างฉบับ เรียก เกสปุตตสูตร บ้าง เกสปุตติสูตร บ้าง เกสปุตติยสูตร บ้าง เกสมุตติสูตร บ้าง (องฺ.ติก.20/505/241)

:b32:
เขียนมาแล้วกาลามสูตร10ใช้คิดตามทีละข้อตรงข้อความข้างล่างนี้
เพราะทุกคนกำลังมีเห็นไตร่ตรองยังไงถึงจะรู้ว่าข้อไหนคือคำตถาคต
:b12:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:


นี่แสดงว่าเพ้ออ่านหนังสือไม่เป็น

ไม่ได้เพ้อและไม่ได้มั่ว
ตรงมากใช้กาลามาสูตร
ให้ครบทั้ง10ข้อนะคะ
คิดตามตอบถูกไหม
กิเลสเลือกไม่ถูกน๊า
กลัวตอบผิดรึถึงไม่ตอบ
:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรส คิกๆๆ

ต่อ

ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่รู้ไม่เข้าใจและยังไม่มีความเชื่อในเรื่องใดๆ ก็ไม่ทรงชักจูงความเชื่อ เป็นแต่ทรงสอนให้พิจารณาตัดสินเอาตามเหตุผลที่เขาเห็นได้ด้วยตนเอง เช่น ในเรื่องความเชื่อทางจริยธรรมเกี่ยวกับชาตินี้ชาติหน้า ก็มีความในตอนท้ายของสูตรเดียวกันนั้นว่า

“กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง ๔ ประการ ตั้งแต่ในปัจจุบันนี้แล้ว คือ

“ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่าเมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๑ ที่เขาได้รับ

“ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครองตนอยู่โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติปัจจุบันนี้แล้ว” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๒ ที่เขาได้รับ

“ก็ถ้า เมื่อคนทำความชั่ว ก็เป็นอันทำไซร้ เรามิได้คิดการชั่วร้ายต่อใครๆ ที่ไหนทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปกรรมเล่า” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๓ ที่เขาได้รับ

“ก็ถ้า เมื่อคนทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่าเป็นอันทำไซร้ ในกรณีนี้ เราก็มองเห็นตนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๔ ที่เขาได้รับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นับถือในลัทธิศาสนา หรือหลักคำสอนใดๆ พระองค์จะตรัสธรรมเป็นกลางๆ เป็นการเสนอแนะความจริงให้เขาคิด ด้วยความปรารถนาดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง โดยมิต้องคำนึง ว่าหลักธรรมนั้นเป็นของผู้ใด โดยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่มีการชักจูงให้เขาเชื่อ ให้เข้าเลื่อมใสต่อพระองค์ หรือเข้ามาสู่อะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าศาสนาของพระองค์

พึงสังเกตด้วยว่าจะไม่ทรงอ้างพระองค์หรืออำนาจเหนือธรรมชาติพิเศษอันใดเป็นเครื่องยืนยันคำสอนของพระองค์ นอกจากเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ให้เขาพิจารณาเห็นด้วยปัญญาของเขาเอง และพึงสังเกตด้วยว่า ทรงสอนหลักการปฏิบัติพื้นๆที่เรียกว่าอปัณณกตา คือ ใน เรื่องที่มนุษย์ทั่วไปไม่รู้ จะเป็นเรื่องที่เรียกว่าเหนือธรรมชาติก็ตาม หรือแม้แต่เรื่องสามัญที่ไม่รู้แน่ชัด พึงเลือกเอาการปฏิบัติที่ไม่พลาด แน่ๆ ไม่ต้องมัวคาดมัวเดา

ตัวอย่าง ดังในเรื่องชาดกว่า พวกกองเกวียนเดินทางผ่านทะเลทราย ต้องบรรทุกน้ำไปหนักมาก ระหว่างทาง พวกหนึ่งเจอคนปลอมจะหลอกเอาเป็นเหยื่อ บอก ว่า ไปข้างหน้าอีกไม่ไกล จะมีชุมชนใหญ่ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ น้ำที่ บรรทุกมานี้หนักเปล่าๆ ทิ้งไปเสียเถิด ค่อยไปเอาข้างหน้า แถมแสดงหลัก ฐานเท็จให้ดู พวกกองเกวียนดีใจ เอาตุ่มไหใส่น้ำทิ้งหมด แล้วเดินทาง ต่อไปอีกเท่าไรๆ ก็ไม่เจอน้ำ จนอดตายหมด เป็นเหยื่อเขาไป

ส่วนกองเกวียนอีกพวกหนึ่ง โดนหลอกด้วยหลักฐานเท็จเหมือนกัน แต่ ถือหลักอปัณณกตานี้ว่า ถ้าไม่รู้จริงประจักษ์ ก็ไม่ยอมตามตรรกะหรือการ คาดเดา เมื่ออันที่แน่ๆ มีอยู่แล้ว คือนำที่บรรทุกมาในเกวียนนั่นแหละ ก็บรรทุกไป จนกว่าจะเจอแหล่งน้ำที่ว่านั้นจริง ก็เติมได้ พวกที่ใช้ ปัญญา และอะไรที่ประจักษ์ได้ ก็ให้ประจักษ์ ถือหลักอปัณณกตานี้ ก็พา กองเกวียนเดินทางไปถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ * (อปัณณกชาดก.ชา.อ. 1/153)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอาแล้วนะเริ่มแล้วนะ อ่านแล้วตีให้แตกนะ

พุทธพจน์แสดงหลักศรัทธา

สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทฤษฎี ลัทธิ หรือคำสอนอันใดอันหนึ่งอยู่แล้ว หรือยังไม่นับถือก็ตาม มีหลักการตั้งทัศนคติที่ประกอบด้วยเหตุผล ตามแนวกาลามสูตร * ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ?

...............


ที่อ้างอิง *

* พระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกต่างฉบับ เรียก เกสปุตตสูตร บ้าง เกสปุตติสูตร บ้าง เกสปุตติยสูตร บ้าง เกสมุตติสูตร บ้าง (องฺ.ติก.20/505/241)

:b32:
เขียนมาแล้วกาลามสูตร10ใช้คิดตามทีละข้อตรงข้อความข้างล่างนี้
เพราะทุกคนกำลังมีเห็นไตร่ตรองยังไงถึงจะรู้ว่าข้อไหนคือคำตถาคต
:b12:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:


นี่แสดงว่าเพ้ออ่านหนังสือไม่เป็น

ไม่ได้เพ้อและไม่ได้มั่ว
ตรงมากใช้กาลามาสูตร
ให้ครบทั้ง10ข้อนะคะ
คิดตามตอบถูกไหม
กิเลสเลือกไม่ถูกน๊า
กลัวตอบผิดรึถึงไม่ตอบ
:b55: :b55: :b55:



คุณโรส ทำมะคุณทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมตั้งกฎเกณฑ์ว่า กะพริบตาต้องอ่านให้จบข้อ ถ้าไม่จบไม่ใช่ธรรมะ คิกๆๆ ก็อ่านไปเรื่อยๆไม่ได้หรา มันจะกะพริบตากี่ครั้งกี่ทีก็ชั่งมัน มันจะตายหรือยังไง :b32: ธรรมะบ้าบออะไร เออ

อนึ่ง ถ้าได้คุณกับแม่บ้านทำมะไปปฏิรูปศาสนานะ ฉิบหายแน่ๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:



จน ไม่รู้ขอรับ เฉลยสิขอรับ อะไร :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 มิ.ย. 2018, 14:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 25 มิ.ย. 2018, 14:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่ออีกซึ่งไม่ลึกจนเกินไป พอเห็นได้

สำหรับเรื่องนามธรรมที่ลึกลงไปกว่านั้น ก็ดังเช่น เรื่องในอปัณณกสูตร * (ม.ม.13/103-124/100-121) ซึ่งแสดงถึงการใช้หลักเลือกเอาที่ไม่พลาดไว้ก่อน หรือทำสิ่งที่ไม่พลาดเห็นชัดอยู่แน่ๆ แม้แต่ในการที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ดังนี้

พระพุทธเจ้า เสด็จจาริกถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ สาลา พวกพราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านนี้ ได้ทราบกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆ ในฐานะ อาคันตุกะที่ยังไม่ได้นับถือกัน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า

พระพุทธเจ้า: คหบดีทั้งหลาย พวกท่านมีศาสดาท่านใดท่านหนึ่งที่ถูกใจ ซึ่งท่านทั้งหลายมีศรัทธาอย่างมีเหตุผล (อาการวตีสัทธา) อยู่บ้างหรือไม่ ?

พราหมณ์คหบดี: ไม่มีเลย ท่านผู้เจริญ

พระพุทธเจ้า เมื่อท่านทั้งหลาย ยังไม่ได้ศาสดาที่ถูกใจ ก็ควรจะถือปฏิบัติหลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอน (อปัณณกธรรม) ดังต่อไปนี้ ด้วยว่า อปัณณกธรรมนี้ เมื่อถือปฏิบัติถูกถ้วน จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน หลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอนนี้เป็นไฉน ?”

สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบำเพ็ญทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี ปรโลกไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี ฯลฯ ส่วนสมณพราหมณ์ อีกพวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิ ที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับสมณพราหมณ์พวกนั้นทีเดียวว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การบำเพ็ญทานมีผล การบูชามีผล ฯลฯ ท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันมิใช่หรือ “

พราหมณ์คหบดี: ใช่อย่างนั้น

พระพุทธเจ้า: สมณพราหมณ์ ๒ พวกนั้น พวกที่มีทิฐิว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบำเพ็ญทาน ไม่ มีผล ฯลฯ สำหรับพวกนี้ เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้ คือ พวกเขาจะละทิ้ง กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต อันเป็นกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่างเสีย แล้วจะยึดถือประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่าง ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร ? ก็เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มองเห็นโทษ ความทราม ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม และอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นคุณฝ่ายสะอาดผ่องแผ้วของกุศลธรรม”

ในเรื่องนั้น คนที่เป็นวิญญูชน ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า “ถ้าปรโลกไม่มี ท่านผู้นี้ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไป ก็ทำตนให้สวัสดี (ปลอดภัย) ได้ แต่ถ้าปรโลก มี ท่านผู้นี้ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เอาเถอะ ถึงว่าให้ปรโลกไม่มีจริงๆ ให้คำ ของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นความจริงก็เถิด ถึงกระนั้น บุคคลผู้นี้ ก็ถูกวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันนี้เองว่า เป็นคนทุศีล มี มิจฉาทิฐิ เป็นนัตถิกวาท ก็ถ้าปรโลกมีจริง บุคคลผู้นี้ก็เป็นอันได้แต่ ข้อเสียหายทั้งสองด้าน คือ ปัจจุบันก็ถูกวิญญูชนติเตียน แตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก อีกด้วย ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอาแล้วนะเริ่มแล้วนะ อ่านแล้วตีให้แตกนะ

พุทธพจน์แสดงหลักศรัทธา

สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทฤษฎี ลัทธิ หรือคำสอนอันใดอันหนึ่งอยู่แล้ว หรือยังไม่นับถือก็ตาม มีหลักการตั้งทัศนคติที่ประกอบด้วยเหตุผล ตามแนวกาลามสูตร * ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ?

...............


ที่อ้างอิง *

* พระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกต่างฉบับ เรียก เกสปุตตสูตร บ้าง เกสปุตติสูตร บ้าง เกสปุตติยสูตร บ้าง เกสมุตติสูตร บ้าง (องฺ.ติก.20/505/241)

:b32:
เขียนมาแล้วกาลามสูตร10ใช้คิดตามทีละข้อตรงข้อความข้างล่างนี้
เพราะทุกคนกำลังมีเห็นไตร่ตรองยังไงถึงจะรู้ว่าข้อไหนคือคำตถาคต
:b12:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
คำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
:b32: :b32:


นี่แสดงว่าเพ้ออ่านหนังสือไม่เป็น

ไม่ได้เพ้อและไม่ได้มั่ว
ตรงมากใช้กาลามาสูตร
ให้ครบทั้ง10ข้อนะคะ
คิดตามตอบถูกไหม
กิเลสเลือกไม่ถูกน๊า
กลัวตอบผิดรึถึงไม่ตอบ
:b55: :b55: :b55:



คุณโรส ทำมะคุณทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมตั้งกฎเกณฑ์ว่า กะพริบตาต้องอ่านให้จบข้อ ถ้าไม่จบไม่ใช่ธรรมะ คิกๆๆ ก็อ่านไปเรื่อยๆไม่ได้หรา มันจะกะพริบตากี่ครั้งกี่ทีก็ชั่งมัน มันจะตายหรือยังไง :b32: ธรรมะบ้าบออะไร เออ

อนึ่ง ถ้าได้คุณกับแม่บ้านทำมะไปปฏิรูปศาสนานะ ฉิบหายแน่ๆ

:b12:
มีตัวเลือกเพิ่มให้ค่ะ
อันไหนจริงที่สุดมีแค่1คำตอบค่ะ
1คนเห็น
2ตาเห็น
3จิตเห็น
4แมวเห็น
5เทวดาเห็น
6พรหมเห็น
กำลังเห็นนี่ตรงขณะเดี๋ยวนี้ตอบตามที่ตนรู้สิเดี๋ยวนี้ต้องเลือก1ข้อ
จะได้ไม่หลงภพชาติตนเองคำตถาคตชัดเจนตอบให้ชัดสิคะ
ไม่เลือกก็ไม่มีคำตอบให้เพราะต้องอธิบายให้ละเอียด
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ


อย่าเพิ่งลามไปใหญ่ ตอบนี่ก่อน ถ้ายังงั้น คนก็ไม่มีใช่หรือไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 106 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร