วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวข้อนี้ได้แนวคิดจาก คคห. คุณโรสนี่

อ้างคำพูด:
Rosarin
เห็นก็ไม่รู้
คิดก็ไม่รู้
ได้ยินก็ไม่รู้
ทำอะไรก็ไม่รู้
ลืมตาก็ไม่รู้ไปหมด
แล้วยังไปนั่งหลับตาทำไม่รู้
ละเอียดให้แก้กิเลสได้ยากกว่าเก่า555
viewtopic.php?f=1&t=55967&p=420751#p420751


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมตาก็ไม่รู้ กะพริบตาก็ไม่รู้ ฟังทีละคำก็บ่ฮู้ นั่นๆนี่ๆก็ไม่รู้ ต้องหลับตาจึงรู้ ตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมตาก็บ่ฮู้บ่หัน กะพริบตาก็บ่ฮันบ่ฮู้ ฟังทีละคำก็ไม่รู้ นั่นๆนี่ๆก็ไม่รู้ ต้องหลับตาจึงรู้ ตัวอย่าง

ยาวตัดมา


อ้างคำพูด:
ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้
หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔
แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ...ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป
เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้น แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมาผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสเห็นด้วยไหมขอรับ :b12: เขาหลับตานะน่า กิลงกิเลสนิวงนิวรณ์สงบระงับเลย (ข้อนี้นักคิดอาจมีเถียง :b32: )

ถ้ากิเลสไม่ระงับ จ้างก็ไม่รู้ ยิ่งคิดฟุ้งไปเท่าไหร่ยิ่งห่างไกลไปเท่านั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้นี้ ก็เคยได้ยิน กาย เวทนา จิต ธรรม (สติปัฏฐาน ๔) ที่พวกเรามักอ้างกันเป็นประจำนั่นเอง :b12: แต่ก็อ้างไปงั้นแหละ ร่างกายเห็นๆ ยังบอกไม่ใช่บอดี้ (ใครพูดจำไม่ได้แล้วคิกๆๆ) บ้างก็เดินหารูปหานาม นี่เพ้อแล้ว

กาย ร่างกาย รูป มันก็อันเดียวกันนั่นแหละ

ดูตัวอย่างนี่ ลืมตาก็ไม่รู้ กะพริบตาก็ไม่รู้ ต้องหลับตา (นั่ง) จงกรม ต้องลืมตา อย่าหลับตาเดินจะชนต้นเสา :b32:

อ้างคำพูด:
รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน


ทำแบบนี้ ต้องมีผู้รู้เข้าใจแนะนำ การรู้เห็นด้านในด้านลึกอย่างนี้แหละ จะบำบัดทุกข์ได้ จะพ้นจากทุกข์ได้ เพราะเขารู้เห็นด้วยตนว่า ร่างกาย จิตใจ ไร้ตัวมิใช่ตน มันเป็นของมันอย่างนี้เอง ก็วางใจได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 03:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b9:
เคยคิดตรงไหมคะทีละ1คำ
1คำที่คิดเท่านั้นรู้ความจริง
ตรงสัจจะไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งรู้คิดพูดทำตรงสัจจะ
อย่างนั้นทุกครั้งที่คิด
ตรงๆตรงจริงๆเคย
เข้าใจตรงจริงไหม
และเห็นของตนน่ะ
มันไม่ตรง1สัจจะ
เพราะจริงคือสี
แค่สีเดียวนะ
ไม่มีอะไรปน
ที่เกิดมีแสง
และตาไม่บอด
จึงเห็นได้แค่หลับตา
เห็นก็ไม่ปรากฏถ้าถามว่า
แล้วรู้ได้ไงก็รูปกระทบตาคือ
แสง+สีทีละ1สีแค่เตะตาแล้วดับ
ไม่มีแสงแล้วอีกหลายขณะ
จึงรู้ได้ว่าเห็นผิดจากคำสอน
เพราะความจริงมีมืดมิดมากกว่าสว่าง
มืดมากไหมที่ไม่รู้ว่ามืดบอด
บอดสนิทเลยเพราะไม่รู้
จึงไปทำเพื่อแสวงหาธัมมะ
แสวงนี่เป็นกิเลสชื่อโลภะ
ที่ไปด้วยอยากคือตัณหา
กิเลสเป็นเพื่อน1ตัณหาเป็นเพื่อน2
ตัณหาอันเดียวกับแสวงคือโลภะ
เป็นสิ่งที่ต้องการรู้ใช่ไหมถึงไปเพื่อทำ
แต่ตถาคตบอกให้ฟังโดยใช้กาลามสูตร10
ชาวกาลามะถามตถาคตไว้ล่วงหน้าว่า
แล้วจะรู้ได้ไหมว่าใครพูดคำตถาคต
กาลามสูตรสิบต้องใช้ตรงขณะก่อนดับ
แค่กะพริบตาใช้กาลามสูตร10ทันสักข้อไหมคะ
กิเลสใหม่ของตัวเองน่ะเพิ่มนับไม่ได้ทุกครั้งที่ลืมคิดตามคำสอนเลยนะจ๊ะ
กิเลสเกิดตอนมีวิถีจิตทางอายตนะ6ตอนลืมตาตื่นมีปกติไม่ง่วงและไม่หลับ
ปัญญาแรกเกิดตอนฟังคือสุตมยปัญญาฉลาดก็เลือกเองได้ว่าจะฟังไหมอิอิ
:b32: :b32:
คำจริงเวลาคิดไม่ตรงก็คิดมากจำหมดทุกคำของตถาคตลืมไปนะว่าไม่ใช่ปัญญาของตัวเอง
แถมให้ว่าฟังจากแหล่งที่เขาพูดตรงจริงที่จะฟังคำตถาคตรู้เรื่องในภาษาที่ตนถนัดนะคะ
http://www.dhammahome.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32: :b9:
เคยคิดตรงไหมคะทีละ1คำ
1คำที่คิดเท่านั้นรู้ความจริง
ตรงสัจจะไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งรู้คิดพูดทำตรงสัจจะ
อย่างนั้นทุกครั้งที่คิด
ตรงๆตรงจริงๆเคย
เข้าใจตรงจริงไหม
และเห็นของตนน่ะ
มันไม่ตรง1สัจจะ
เพราะจริงคือสี
แค่สีเดียวนะ
ไม่มีอะไรปน
ที่เกิดมีแสง
และตาไม่บอด
จึงเห็นได้แค่หลับตา
เห็นก็ไม่ปรากฏถ้าถามว่า
แล้วรู้ได้ไงก็รูปกระทบตาคือ
แสง+สีทีละ1สีแค่เตะตาแล้วดับ
ไม่มีแสงแล้วอีกหลายขณะ
จึงรู้ได้ว่าเห็นผิดจากคำสอน
เพราะความจริงมีมืดมิดมากกว่าสว่าง
มืดมากไหมที่ไม่รู้ว่ามืดบอด
บอดสนิทเลยเพราะไม่รู้
จึงไปทำเพื่อแสวงหาธัมมะ
แสวงนี่เป็นกิเลสชื่อโลภะ
ที่ไปด้วยอยากคือตัณหา
กิเลสเป็นเพื่อน1ตัณหาเป็นเพื่อน2
ตัณหาอันเดียวกับแสวงคือโลภะ
เป็นสิ่งที่ต้องการรู้ใช่ไหมถึงไปเพื่อทำ
แต่ตถาคตบอกให้ฟังโดยใช้กาลามสูตร10
ชาวกาลามะถามตถาคตไว้ล่วงหน้าว่า
แล้วจะรู้ได้ไหมว่าใครพูดคำตถาคต
กาลามสูตรสิบต้องใช้ตรงขณะก่อนดับ
แค่กะพริบตาใช้กาลามสูตร10ทันสักข้อไหมคะ
กิเลสใหม่ของตัวเองน่ะเพิ่มนับไม่ได้ทุกครั้งที่ลืมคิดตามคำสอนเลยนะจ๊ะ
กิเลสเกิดตอนมีวิถีจิตทางอายตนะ6ตอนลืมตาตื่นมีปกติไม่ง่วงและไม่หลับ
ปัญญาแรกเกิดตอนฟังคือสุตมยปัญญาฉลาดก็เลือกเองได้ว่าจะฟังไหมอิอิ
:b32: :b32:
คำจริงเวลาคิดไม่ตรงก็คิดมากจำหมดทุกคำของตถาคตลืมไปนะว่าไม่ใช่ปัญญาของตัวเอง
แถมให้ว่าฟังจากแหล่งที่เขาพูดตรงจริงที่จะฟังคำตถาคตรู้เรื่องในภาษาที่ตนถนัดนะคะ
http://www.dhammahome.com



ตอบสั้นๆไม่ต้องยาว คุณโรส ใครบ้างไม่กระพริบตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32: :b9:
เคยคิดตรงไหมคะทีละ1คำ
1คำที่คิดเท่านั้นรู้ความจริง
ตรงสัจจะไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งรู้คิดพูดทำตรงสัจจะ
อย่างนั้นทุกครั้งที่คิด
ตรงๆตรงจริงๆเคย
เข้าใจตรงจริงไหม
และเห็นของตนน่ะ
มันไม่ตรง1สัจจะ
เพราะจริงคือสี
แค่สีเดียวนะ
ไม่มีอะไรปน
ที่เกิดมีแสง
และตาไม่บอด
จึงเห็นได้แค่หลับตา
เห็นก็ไม่ปรากฏถ้าถามว่า
แล้วรู้ได้ไงก็รูปกระทบตาคือ
แสง+สีทีละ1สีแค่เตะตาแล้วดับ
ไม่มีแสงแล้วอีกหลายขณะ
จึงรู้ได้ว่าเห็นผิดจากคำสอน
เพราะความจริงมีมืดมิดมากกว่าสว่าง
มืดมากไหมที่ไม่รู้ว่ามืดบอด
บอดสนิทเลยเพราะไม่รู้
จึงไปทำเพื่อแสวงหาธัมมะ
แสวงนี่เป็นกิเลสชื่อโลภะ
ที่ไปด้วยอยากคือตัณหา
กิเลสเป็นเพื่อน1ตัณหาเป็นเพื่อน2
ตัณหาอันเดียวกับแสวงคือโลภะ
เป็นสิ่งที่ต้องการรู้ใช่ไหมถึงไปเพื่อทำ
แต่ตถาคตบอกให้ฟังโดยใช้กาลามสูตร10
ชาวกาลามะถามตถาคตไว้ล่วงหน้าว่า
แล้วจะรู้ได้ไหมว่าใครพูดคำตถาคต
กาลามสูตรสิบต้องใช้ตรงขณะก่อนดับ
แค่กะพริบตาใช้กาลามสูตร10ทันสักข้อไหมคะ
กิเลสใหม่ของตัวเองน่ะเพิ่มนับไม่ได้ทุกครั้งที่ลืมคิดตามคำสอนเลยนะจ๊ะ
กิเลสเกิดตอนมีวิถีจิตทางอายตนะ6ตอนลืมตาตื่นมีปกติไม่ง่วงและไม่หลับ
ปัญญาแรกเกิดตอนฟังคือสุตมยปัญญาฉลาดก็เลือกเองได้ว่าจะฟังไหมอิอิ
:b32: :b32:
คำจริงเวลาคิดไม่ตรงก็คิดมากจำหมดทุกคำของตถาคตลืมไปนะว่าไม่ใช่ปัญญาของตัวเอง
แถมให้ว่าฟังจากแหล่งที่เขาพูดตรงจริงที่จะฟังคำตถาคตรู้เรื่องในภาษาที่ตนถนัดนะคะ
http://www.dhammahome.com



อ้างคำพูด:
แสวงนี่เป็นกิเลสชื่อโลภะ
ที่ไปด้วยอยากคือตัณหา
กิเลสเป็นเพื่อน1ตัณหาเป็นเพื่อน2
ตัณหาอันเดียวกับแสวงคือโลภะ



นี่พูดผิดเต็มๆเลย นี่แหละความคิดแบบนิครนถ์ คือแยกไม่เป็นแยกไม่ออกระหว่างฉันทะ (เรียกเต็มว่า ธรรมฉันทะ) กับ ตัณหา (เรียกเต็มว่า ตัณหาฉันทะ) ถ้าคุณโรสอยู่อินเดียแก้ผ้าไปแล้ว คิกๆๆ ดีนะอยู่เมืองไทยไม่ถึงกับแก้ผ้า เป็นได้เพียงนั่งกระพริบตาแยกสีแยกเสียงอยู่ที่โคนต้นไม้ แล้วก็ยืนตะโกน ข้าบรรลุธรรมแล้วโว้ยๆๆๆๆ

ชักอยากเห็นหน้าสะแล้วซี่ อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช้านี้โชคดี ไปเห็นลิงค์นี้

ครูสมาธิ สำนักปฏิบัติธรรม สำนักวิปัสสนา ทำลายคำสอนพระพุทธเจ้า

https://www.youtube.com/watch?time_cont ... GZvzEiUos0

จากมิจฉาทิฏฐิตัวย่า เลยตัวแม่ไปอีก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทมะ การฝึก, การฝึกฝนปรับปรุงตน, การรู้จักข่มจิตข่มใจ บังคับควบคุมตนเองได้ ไม่พูดไม่ทำเพียงตามที่อยาก แต่พูดและทำตามเหตุผลที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่าดีงามสมควรเป็นประโยชน์ รู้จักปรับตัวปรับใจ และแก้ไขปรับปรุงตนด้วยปัญญาไตร่ตรองให้งอกงามดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เชิญคุณโรสฟังลิงค์นั้นแล้วมาถกเถียงกันที่นี่หน่อยสิขอรับ :b8: :b13:

รูปภาพ


ฟังดูแล้วไม่เห็นมีอะไรก็พูดเรื่อง ตาเห็น หูได้ยินเสียง ฯลฯ ที่พูดนั่นแหละเท่ากับประกาศตนว่าไม่รู้เรื่องสมาธิ (สมถะ) เรื่องวิปัสสนา (ปัญญา) อะไร

ยอมรับอยู่อย่างหนึ่ง ว่าเป็นนักพูด น้ำเสียง ท่วงทำนอง วรรคตอน ใช้ได้ น่าฟัง แค่นั้นแหละ :b1: ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูคำสอนทั่วๆ จิตมันต้องฝึก ซึ่งที่พูดที่ถามกันตามคลิป...ว่า พุทโธ ยุบหนอ พองหนอ หรืออะไรก็ตามเนี่ยนั่นๆนี่ๆไป จิตมันแว้บไปนั่นมานี่อีกแระ ก็เพราะมันฟุ้งไปนั่นมานี่นั่นแหละมันถึงต้องฝึกไง


น หิ เอเตหิ ยาเนหิ - คจฺเฉยฺย อคตํ ทิสํ
ยถฺตนา สุทนฺเตน ทนฺโต - ทนฺเตน คจฺฉติ ฯ

ก็บุคคลพึงไปสู่ทิศที่ยังไม่เคยไป ด้วยยานเหล่านี้ เหมือนคนฝึก (ตน) แล้วไปสู่ทิศที่ยังไม่เคยไปได้ด้วยตนที่ฝึกแล้ว ทรมานดีแล้ว ฉะนั้นไม่ได้ ฯ


อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ
เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ
ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส
หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคาโห ฯ

เมื่อก่อน จิตดวงนี้ได้เที่ยวไป ตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ที่ใคร่ (และ) ตามความสบาย วันนี้ เราจักข่มมันด้วยโยนิโสมนสิการ ประหนึ่งนายควาญช้างข่มช้างที่ตกมันแล้ว ฉะนั้น ฯ

โย จ วสฺสสตํ ชีเว - อปสฺสํ อุทยพฺยพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย - ปสฺสโต อุทยพฺยพยํ

ก็ผู้ใดไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป พึงมีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป ยังประเสริฐกว่านั้น ฯ

โย จ วสฺสสตํ ชีเว - อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย - ปสฺสโต อมตํ ปทํ ฯ

ก็ผู้ใดเห็นบทอันไม่ตาย พึงมีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นบทอันไม่ตาย ประเสริฐกว่านั้น ฯ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ - โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน - นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ฯ

ตนแลเป็นที่พึงแห่งตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึงได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลหาได้โดยยาก ฯ

อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุง นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา ฯ


ก็คนไขน้ำทั้งหลาย ย่อมไขน้ำ ช่างศรทั้งหลาย ย่อมดัดลูกศร ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้ ผู้ว่าง่ายสอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกฝนตนเอง ฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูเนื้อๆเฉพาะตัว

โยนิโส โดยแยบคาย, โดยถ่องแท้, โดยวิธีที่ถูกต้อง, ตั้งแต่ต้นตลอดสาย, โดยตลอด


โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย, การทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงโดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี เทียบ อโยนิโสมนสิการ

อโยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยไม่แยบคาย, การไม่ใช้ปัญญาพิจารณา, ความไม่รู้จักคิด, การปล่อยให้อวิชชาตัณหาครอบงำนำความคิด

(วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ มี ๑๐ วิธี)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b32:
ลืมตาก็ไม่รู้ยังไปหลับตาทำไม่รู้ลึกกว่าเดิม
เพราะวิถีจิตของจิตเห็นมีตอนลืมตาตื่นดู
การหลับตาคือขาดอายตนะทางตา
รู้ความจริงตามคำสอนต้องมีครบ
คือตาไม่บอดและหูไม่หนวก
มีครบธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6
ถึงจะเป็นการลืมตารู้ตื่นเบิกบาน
คนตาบอดไม่มีอายตนะทางตาน๊า
ทั้งกิเลสและปัญญาเกิดตอนมีวิถีจิต
และวิถีจิตที่ใช้สะสมปัญญาคืออายตนะทางหูน๊า
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2018, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b32:
ลืมตาก็ไม่รู้ยังไปหลับตาทำไม่รู้ลึกกว่าเดิม
เพราะวิถีจิตของจิตเห็นมีตอนลืมตาตื่นดู
การหลับตาคือขาดอายตนะทางตา
รู้ความจริงตามคำสอนต้องมีครบ
คือตาไม่บอดและหูไม่หนวก
มีครบธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6
ถึงจะเป็นการลืมตารู้ตื่นเบิกบาน
คนตาบอดไม่มีอายตนะทางตาน๊า
ทั้งกิเลสและปัญญาเกิดตอนมีวิถีจิต
และวิถีจิตที่ใช้สะสมปัญญาคืออายตนะทางหูน๊า
:b12:
:b16: :b16:


มาอีกแระวิถีจิต

วิถีจิตนี่มันอะไรขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร