วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2018, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมบัติของอุบาสก อุบาสิกา ๕ (คิหิปฏิบัติ กับ หลักธรรมที่สำคัญบทหนึ่งในพระวินัย)

วันนี้ จะพูดเรื่องสมบัติของอุบาสก ๕ ประการ อุบาสิกาด้วย พูดแต่อุบาสกก็พอตัดคำหลังทิ้งไป

อันผู้ที่นับถือพุทธศาสนา เรียกว่า บริษัท ๔ ของพระพุทธเจ้า คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ภิกษุณี คือ ภิกษุที่เป็นผู้หญิง

อุบาสก คือคฤหัสถ์ที่เป็นผู้ชาย นับถือพระพุทธเจ้า เรียกว่า บริษัท ๔ แต่สมัยนี้เหลืออยู่แค่ ๓ คือ

ภิกษุ, ภิกษุณีหายไป, อุบาสก, และอุบาสิกา

ภิกษุณีหายไปนั้น เพราะว่าขาดตอน พอขาดตอนแล้วบวชไม่ได้ เพราะภิกษุณีจะบวชได้ก็ต้องบวชในสงฆ์ ๒ ฝ่าย บวช บวชกับภิกษุณีแล้วต้องมาบวชกับภิกษุสงฆ์อีก

เมื่อไม่มีภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์ก็เลยขาดหายไป ที่เราเห็นว่าเป็นแม่ชี ก็คืออุบาสิกานั่นเอง ไม่ได้นับเนื่องในภิกษุณี ภิกษุณีไม่มีแล้ว มีแต่ภิกษุสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุเท่านั้นที่เป็นผู้นำในบริษัท ๓ เป็นพี่เอื้อย มีหน้าที่ที่จะดูแลแนะนำสั่งสอนอุบาสก อุบาสิกา ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้เขาเดินไปในทางที่ถูกต้อง สิ่งใดผิดอย่าไปสอน สอนเฉพาะสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา

ภิกษุบริษัทต้องสนใจในการศึกษาเล่าเรียน ให้มีความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง ตามหลักธรรมวินัย ถ้าสอนผิดก็เหมือนกับการทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมไป ให้เหลืออยู่แต่เพียงชื่อว่านับถือพุทธศาสนา แต่ตัวการปฏิบัตินั้น ไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้ก็เรียกว่าเสื่อมไปแล้ว เราไม่อยากให้พระพุทธศาสนาเสื่อม จึงต้องสอนให้ถูกตรงตามธรรมวินัย เพื่อให้ผู้นับถือนั้นปฏิบัติตรงอย่างแท้จริง จึงถือว่าสอนถูกสอนตรง ตามหลักพระพุทธศาสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2018, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานี้ในเมืองไทยเรานี้ พุทธบริษัทภิกษุก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี มีความเชื่อกันไม่ตรงกับธรรมวินัยไม่ใช่น้อย เขาออกไปนอกลู่นอกทาง ทำอะไรออกห่างจากหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มีอยู่ไม่ใช่น้อย เขาออกไปนอกลู่นอกทาง ทำอะไรออกห่างจากหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ไม่มีใครคอยช่วยแก้ไข เห็นว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เลยปล่อยไป มันไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมจริง แต่ทว่าเป็นการผุกร่อนของพระพุทธศาสนา คล้ายๆ ตัวมอดกินไม้ มันกินไปเรื่อยๆ ผลที่สุดไม้ก็ใช้ไม่ได้

การกระทำผิดของพุทธบริษัทไม่ว่าในรูปใด สอนผิดแล้ว ปฏิบัติผิดแล้ว ก็เกิดความเข้าใจผิด นี่เป็นตัวหนอนบ่อนไส้พระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาหายไปจากดวงใจของประชาชน เหลืออยู่แต่เพียงชื่อ แต่ตัวการปฏิบัตินั้นไม่ตรงกัน นี่ไม่ได้ความ เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท จะต้องช่วยกันแก้ไข ปรับปรุงให้เข้าหลักเกณฑ์เท่าที่เราสามารถจะปรับปรุงได้ ให้มีความเชื่อถูกทาง ให้มี ความคิดถูกทาง เราจะปล่อยไว้ว่าคนเหล่านั้น เขาไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้ ไม่รู้ไม่เข้าใจจะต้องสอนให้รู้ให้เข้าใจจนได้ ถ้าสอนให้เขารู้เขาเข้าใจแล้ว ก็คงจะเปลี่ยนแปลงได้

ทีนี้ มันจะคิดอย่างนี้ ชาวบ้านเขาชอบอย่างนั้น ขี้เกียจจะไปขัดคอเขา นี้ไม่ไหว เพราะเรามันต้องขัดคอชาวบ้านบ้าง ขัดให้มันแววหน่อย สะอาดขึ้นหน่อย

ความจริงชาวบ้านเป็นผู้ที่เชื่อพระ ถ้าพระเราพยายามพูดจา แนะแนวทางที่ถูกที่ชอบ เขาก็ค่อยเปลี่ยนไปเอง เขาไม่ดันทุรังอยู่อย่างนั้นตลอดไปดอก ถึงแม้เรื่องนั้นกระทำมานานแล้วเขาก็เปลี่ยน.

มีตัวอย่างจะพูดให้ฟังสักหน่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2018, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เชียงใหม่ สมัยก่อน ถ้าวันเพ็ญตรงกับวันพุธละก็ เขาจะต้องไปปลุกพระขึ้นมารับบิณฑบาต ตีหนึ่ง ตีสอง ใส่บาตรกลางคืนกัน เขาเรียกว่าใส่บาตรพระอุปคุต พระก็มารับบาตรกลางคืน รับไปแล้ว ในเรื่องฉันไม่ต้องพูดถึงกันละ รับไปแล้วก็ว่ากันกลางคืนเหมือนกัน อันนี้ เป็นที่ทำกันมานานแล้ว ไม่ใช่ของไทยดอก เป็นของพม่า ในพม่าเขามีพระอุปคุต แล้วเขามีการตักบาตรพระอุปคุตในวันเพ็ญพุธเหมือนกัน

เคยไปเที่ยวเมืองย่างกุ้งสมัยหนึ่ง ได้ไปพักในวัดใกล้พระเจดีย์ชเวดากอง ตอนดึก พระมาปลุกให้ลุกขึ้น แล้วก็ชวนไป ไอ้เรามันไปอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ เขามาชวนไปไหนก็ต้องไปกับเขา ไปถึงบ้านหลังใหญ่ทีเดียวกว้างขวาง เป็นบ้านเศรษฐี จุดตะเกียงสว่างไสว ขึ้นไปชั้นบน นิมนต์พระมาสัก ๑๐๕ รูป นั่งฉันข้าวกันอยู่เป็นโต๊ะๆ เลย เอ๊ะ ไม่ได้การแล้ว หลวงพ่อนี่พาเรามาฉันอาหารกลางดึกเลย แล้วท่านก็บอกว่านั่งลง ซุนซ่าๆ แปลว่า นั่งลงๆ ก็ต้องนั่งลงฉันกล้อมแกล้มไปตามเรื่อง ไม่เอร็ดอร่อยอะไร ใจมันไม่อยากจะฉัน ถ้าไม่ฉันตรงนั้น จะถูกเขาเขม่นเอา พม่าไว้ใจไม่ได้ ใจแกร้อน แกไม่เขม่นเอาเฉยๆ เอาแข็งขารุมเอาจะลำบาก ก็เลยฉันกล้อมแกล้มไปตามเรื่อง ฉันเสร็จแล้ว ก็เลยถามว่า ทำไมมาฉันกันกลางคืนอย่างนี้ เขาบอกว่าวันนี้ มันเป็นวันพิเศษ วันเพ็ญตรงกับวันพุธ พระอุปคุตขึ้นมาจากสะดือทะเล ถ้าได้ทำบุญกับพระอุปคุตได้บุญใหญ่เลย นี้แหละธรรมเนียมอย่างนี้เป็นของพม่า ลามมาถึงเชียงใหม่ เพราะเชียงใหม่นั้น พม่าเคยมายึดครองในสมัยหนึ่ง ทีนี้ ก็เอาลัทธินี้มาฝากไว้ เขาใส่บาตรกันอยู่นานแล้ว

เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ ผมขึ้นไปเชียงใหม่ ทำงานเผยแผ่ธรรมะปลุกใจประชาชนที่นั่น ตามคำขอร้องของชาวบ้านชาวเมือง เขาขอร้องไปที่ท่านพุทธทาส ท่านไปไม่ได้ให้ผมไปแทน พอดีละ พอไปพักได้ไม่กี่วัน ก็ตรงกับวันเพ็ญพุธพอดี ตักบาตรกันอย่างนั้นในเมือง ผมอยู่วัดเชิงดอยไม่ได้มา แต่คนอื่นเขาเล่าให้ฟัง เล่าว่ามีตักบาตรอุปคุต ก็นึกไว้ในจ่า อันนี้ มันไม่ถูกต้อง เชียงใหม่ แก้ไขให้ได้ คิดอยู่ในใจว่าอันนี้มันไม่ถูก เชียงใหม่ เลยก็ดูปฏิทินไว้ เมื่อไรวันเพ็ญจะตรงกับวันพุธอีกสักทีหนึ่ง มันเวียนๆไปจะต้องตรงเข้าสักพุธหนึ่งจนได้ มันจะตรงเข้ามาอีกพุธหนึ่ง

อีก ๗ วันจะถึงวันพุธ ก็เริ่มปฏิบัติงาน เทศน์ ให้ชาวบ้านพังก่อน ญาติโยมชาวบ้านมาฟังเทศน์เยอะๆ เทศน์กลางคืน กลางวัน ๒ ครั้ง เพื่อบอกว่าการกระทำนั้น ไม่ถูกต้อง ให้หยุดเสียตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ฉันรักพี่น้อง เห็นพี่น้องทำถูกต้องก็ชมเชย ถ้าเห็นทำผิดก็จะบอกจะกล่าว พี่น้องเมื่อฟังแล้วเอาไปคิดไปตรองให้ดี เมื่อเห็นไม่ดีแล้วก็ชวนกันเลิกเสีย

เสร็จแล้วไปพูดกับพระ พูดกับเจ้าคณะจังหวัดบอกว่าเรื่องชาวบ้านนี้ผมพูดแล้ว ไม่แต่พูดได้เขียนหนังสือลงในหนังสือชาวเหนือด้วย ได้อ่านกันมากๆ แล้วก็ไปคุยกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดท่านพูดอ้อมๆแอ้มๆ บอกว่า มันเป็นธรรมเนียม เขาทำกันมานานแล้ว ธรรมเนียมน่ะถูกแล้ว แต่ถ้ามันไม่ถูกเราต้องแก้ เออ คนมันมากแก้ยากนะ ท่านก็ว่าไปอย่างนี้

ใต้เท้าไม่ต้องเป็นห่วงดอก ชาวบ้านผมแก้เอง แก้พระเถอะ ท่านถามว่า จะแก้อย่างไร ทำจดหมาย ส่งเวียนไปทุกวัด วันเพ็ญพุธนี้ ห้ามออกบิณฑบาต ญาติโยมไม่ออกแล้วละ แต่พระจะออกมาอีก อย่าให้ออก

เจ้าคณะจังหวัดก็ยอมทำตาม เซ็นหนังสือส่งทุกวัดในบริเวณตัวนครเชียงใหม่ ซึ่งมี ๗๐ วัด พอถึงวันเพ็ญพุธเข้าจริงๆ ชาวบ้านไม่มาเลย ไม่ได้ใส่บาตร

พระวัดโน้น เมืองไกลโน่น นอกเมืองใกล้สนามม้าบ้านเด่นโน่นออกมา ๒ องค์ คุณโยมศรีเที่ยวขี่รถไปตรวจการ พระวัดไหนออกบ้าง ไปเจอเข้า พระคุณเจ้าไปไหนล่ะ จะไปบิณฑบาตอุปคุตสักหน่อย โอ้บ่มีแล้ว เขาเลิกแล้ว หลวงพ่อกลับวัดเถอะ พระ ๒ องค์กลับวัดไป ไม่ได้มาตั้งแต่นั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีพระอุปคุตแล้ว พระอุปคุตไม่ขึ้นจากสะดือทะเลแล้ว ขึ้นไปทำไมดึกๆ นอนดีกว่า มันเสียเวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2018, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องชาวบ้านนี้ มันแก้ได้ เราอย่านึกว่าแก้ไม่ได้ สำคัญอยู่ที่คนแก้ คนแก้ตั้งใจแก้หรือไม่ และเมื่อเราตั้งใจแก้ก็ต้องสร้างตัวเราก่อน สร้างบารมีให้คนเขาเคารพ เชื่อฟัง ให้เขาเลื่อมใสศรัทธา เมื่อเขาเลื่อมใสศรัทธา เขาก็เชื่อเรื่องที่เราพูด เขาก็ทำถูกได้ แก้ได้

ทีนี้ คนเราจะแก้อะไรนั้น ต้องมีอันหนึ่ง สำคัญ คือ ความเสียสละชีวิตจิตใจให้แก่ธรรมะ ยอมตนที่จะปฏิบัติทุกอย่างตามหน้าที่ให้แก่พระพุทธศาสนา ให้เสียสละแล้วก็ทำได้ ถ้าไม่เสียสละมันไม่กล้าพูดมากไป ถ้าสึกออกไปแล้วเพื่อนจะตีหัวเอา ไม่กล้า

นี้เรามันต้องมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวว่า ยอมเสียสละเพื่อแก้ไขพุทธบริษัท สิ่งใดผิด ต้องบอก สิ่งใดถูกต้องสรรเสริญ ทำอย่างนี้มันก็แก้ได้ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจถูกขึ้นในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วก็พูดเรื่อยไป แก้เรื่อยไป คนที่รับฟังเขาก็หยุดเหมือนกั้น เขาหยุดได้

เรากล้าจะแก้ไข โยมก็ยินดีตามหลังพระ ถ้าพระหยุด โยมก็หยุดเหมือนกัน มันอยู่ที่เรา ถ้าพระไม่ช่วยกันแก้ก็ไปไม่รอด สิ่งใดผิด มันอยู่ที่เรา ถ้าพระไม่ช่วยกันแก้ก็ไปไม่รอด สิ่งใดผิดมันก็ผิด ๓ ชั่วโคตร ไม่รู้จักจบสิ้น แต่แก้แล้วมันเป็นของถูกขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2018, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบาสก อุบาสิกานี่ ต้องสอนให้ถูก ให้เชื่อหลักทางพระพุทธศาสนา สมบัติของอุบาสก อุบาสิกา มีอะไรบ้าง ? มีอยู่ ๕ ประการ

ประการแรก ประกอบด้วยศรัทธา. ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ เชื่ออะไร ? เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจธรรมจริง เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้ผู้ปฏิบัติตามหลุดพ้นจากความทุกข์

เชื่อว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรมเพื่อพ้นทุกข์ สืบศาสนามาจนถึงพวกเราทั้งหลายจริง

อันนี้เป็นหลักของความเชื่อ คือเชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยนี้อย่างไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ต้องมั่นคงเด็ดเดี่ยวอยู่ในสิ่งทั้งสาม

ที่สังเกตดู พุทธบริษัทเราหลายใจ เป็นคนหลายใจ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ควรจะเรียกว่า ขออภัยเถอะ เรียกว่า ดอกทอง แล้ว เวลานี้ดอกทอง พุทธบริษัทดอกทอง เออ ทำไมเรียกอย่างนี้ ก็เพราะมันไปไหว้ขวักไขว่ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแน่นแฟ้น พอมีทุกข์ขึ้นมาก็ไหว้ไปเปะปะไปเลย ไหว้เสา ไหว้ต้นไม้ ไหว้หิน บางคนไหว้ผี ไหว้เทวดา นี่แหละ เพราะไม่ถือให้มั่นคงในพระพุทธเจ้า ถ้ามั่นคงในพระ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะไม่ไหว้อะไรให้วุ่นไป เราจะต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า แก้ทุกข์ตามวิถีทางของพระพุทธเจ้า ทรงสอนวิธีแก้ทุกข์ไว้แล้ว แล้วเราก็ต้องแก้ตามนั้น อย่าไหว้เปะปะไปหมด คืออะไรๆ ไหว้ทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้แก้ทุกข์อย่างไร ? ให้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุผลเกิดขึ้นไม่ได้ เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์นั้นอยู่ในใจของเรา ต้องค้นที่ตัวของเรา มองดูด้านใน พิจารณาดูว่า เวลานี้เรามีทุกข์ ทุกข์มาจากเรื่องอะไร ค้นไป มันก็รู้ว่าทุกข์เรื่องอะไร คิดด้วยปัญญาต่อไป ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้ เรียกว่า แก้ทุกข์ตามแบบพระพุทธ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2018, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่ ๒ ว่า ให้มีศีลบริสุทธิ์ พยายามที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีลที่ควรจะรักษานั้นไม่มาก ห้าข้อเท่านั้น ไม่ฆ่าสัตว์ (มนุษย์) ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุราเมรัยสิ่งเสพติด ศีลห้าข้อเท่านั้น อย่านึก่วาเป็นเรื่องเล็กน้อย

ศีลข้อที่หนึ่ง เป็นหลักประกันชีวิต

ศีลข้อที่สอง เป็นหลักประกันทรัพย์สมบัติ

ศีลข้อที่สาม เป็นหลักประกันครอบครัว

ศีลข้อที่สี่ เป็นหลักประกันการรักษาเกียรติทางการพูดจาสมาคมแก่กันและกัน

ศีลข้อที่ห้า เป็นหลักประกันคุ้มกันทุกอย่าง

ศีลห้าข้อเป็นหลักประกันอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เราควรจะปฏิบัติอยู่อย่างนี้ แต่บางทีมันก็ไม่บริสุทธิ์เสมอไป อาจจะพลาดไปบ้าง พอพลาด รู้ค่อยแก้ไขต่อไป สำรวมระวังต่อไป
ศีล ขอทำความเข้าใจหน่อย สำคัญอยู่ที่เจตนา การรักษาศีลอยู่ที่เจตนา “เจตนาหัง ภิกขะเว สีลัง วะทามิ - ก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความตั้งใจว่าเป็น ศีล” คือตั้งใจที่จะงดเว้น งดเว้นจากการฆ่า ก็เป็นศีลขึ้นแล้ว
งดเว้นจากการลัก ก็เป็นศีลขึ้นในใจเรา
ตั้งใจว่าจะไม่ล่วงเกินในของรักใคร่ของใครอื่น ก็เป็นศีลขึ้นมาแล้ว
ตั้งใจว่าจะไม่โกหกหลอกลวงใคร ก็เป็นศีลขึ้นมาแล้ว
ตั้งใจว่าจะไม่เสพสิ่งมึนเมา ของเสพติดทุกอย่าง ก็เป็นศีลขึ้นมาแล้ว
ตราบใดที่เราตั้งใจว่าจะรักษาศีล ก็เป็นศีลอยู่ในตัวเรา ถ้ารักษาอยู่ก็บริสุทธิ์ในตัวเรา เมื่อไรเผลอประมาทไป ความตั้งใจหย่อนคลายไป แล้วไปล่วงเข้า ก็ขาดไป ขาดแล้วเราก็ต้องแก้ไขใหม่ ต้องคอยสำรวจตรวจสอบเรื่องศีลของเรา อย่าให้มันขาดมากเกินไป
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะรักษากันเลย ยิ่งบางข้อด้วย ข้อ ๕ คนรักษาน้อย โดยเฉพาะคนไทยเราเป็นแชมป์เรื่องนี้ ไม่มีคนชาวพุทธประเทศไนเมาเท่าประเทศไทย

ผมเที่ยวไปหลายประเทศแล้ว ในเมืองพุทธนี่พม่าก็ไปเที่ยวหลายหน เที่ยวเดินไปก็มี ไอ้นั่งรถน่ะไม่เห็นดอก ของเขามันเรียบร้อยเคร่งครัด ไม่กินเหล้าเมายาที่ไหน
คราวหนึ่ง มีการประชุมพุทธศาสนาสัมพันธ์แห่งโลก อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ เป็นผู้แทนประเทศไทยไปประชุม ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม เขาได้ไปพักบ้านรัฐมนตรีด้วยกัน ไม่มีเครื่องดื่มเลย เขาดื่มแต่น้ำชาเท่านั้น ปกติที่นี่ไม่มีการดื่มเหล้าของมึนเมา เขาดื่มแต่น้ำชา น้ำส้ม น้ำหวาน น้ำผลไม้ ถ้าเป็นของมึนเมาทุกประเภทเขาไม่ดื่ม พุทธบริษัทเขาเคร่งครัดอย่างนั้น ทำบุญสุนทานอะไรเขาก็เคร่ง การทำบุญบ้าน การสวดศพ บวชนาค เขาไม่มีของมึนเมาดื่มกันเลย เขาไม่นิยม จึงไม่มีคนขี้เมา

เมืองอินเดียซึ่งเป็นเมืองที่นับถือศาสนาพุทธอยู่บ้างไม่มากนัก เพราะเป็นฮินดูส่วนมาก แต่ฮินดูกับพุทธไปกันได้ เพราะฮินดูถือศีลเคร่งครัด ศีลห้านี่ฮินดูถือเคร่งนะ ข้อที่หนึ่งนี้เขาถือเคร่งมาก เขาไม่กินเนื้อสัตว์เลย นก วิหก ไม่มีใครรังแก กระรอก กระแต เที่ยววิ่งเพ่นพ่าน ลิงแสม เยอะแยะยั้วเยี้ย ทหารพระรามไม่มีใครรังแก นกยูงตามทุ่งนายังมีเดินให้เราเห็น บ้านเราเป็นเอาขนมาเหน็บฝาหมด กวางเป็นฝูงๆ นอกเมืองเดลฮี มีกวางเป็นฝูงๆ ไม่มีใครยิงกวาง ไม่มีคนล่ากวาง บ้านเรา เขาเอามาอยู่ข้างฝาหมด เป็นอย่างนี้ ข้อหนึ่งนี่เขาเคร่งนะ

ศีลข้อสองเขาก็เคร่งครัด เขาเกลียดคนเป็นโจร ตรงนี้ไม่ได้ดอก ถ้ารู้ว่าใครเป็นโจร มันรุมกัน บาทาตายเลย ในรถไฟเคยมีคนไทยวางกระเป๋าไว้ เข้าห้องน้ำออกมากระเป๋าหายแต่รู้ แกรู้ แกพูดอินเดียได้คล่อง แกพูดว่าเอาคืนมาดีๆ นะ คืนเสียดีๆ ไม่เช่นนั้น ฉันจะเอะอะขึ้น ตายนะ มันคืนให้ คนอินเดียคนหนึ่งเหลือบเห็นเข้า รู้ว่าไอ้คนนั้นเอาของไปแล้วคืนให้ มันร้องขึ้นมาว่า “โจโร โจโร” โจโร เป็นคำแขก เป็นโจรไอ้โจรนะ โจโร โจโร คนทั้งรถรุมกระทืบไอ้คนนั้นสลบคาตีน คนอินเดียไม่ได้นะ ถ้ามีใครร้องว่า โจโร ละเป็นรุมกระทืบไอ้ขโมยตายทีเดียว เขารังเกียจมาก

ศีลข้อสามเขาก็เคร่งครัดมาก ผู้หญิงเขาอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนไม่ไปเที่ยว แต่ก็มี มีโสเภณีเหมือนกัน เป็นคนต่ำๆก็มีบ้าง

แต่ศีลข้อสี่ อินเดียถือไม่ค่อยได้เลย เรื่องพูดนี่เอาแน่นอนไม่ได้ พูดอย่างนี้บิดไปทางโน้นเอาแน่ไม่ได้ ถือไม่ได้ เสียข้อเดียว

ศีลข้อห้า เขาก็เคร่ง ขบวนรถไฟในอินเดียเขาไม่มีเหล้าขายดอก ในห้องพักตามโรงแรมรถไฟในสถานีทั่วไปเขาไม่มีเหล้าขาย บางรัฐเขาไม่ให้ขายเลย แต่ก็มีบางรัฐให้ขาย เพราะสัปดาห์หนึ่งขายได้หนึ่งวัน เขาขายเฉพาะชาวต่างประเทศ อินเดียแท้ๆ ไม่ได้ดื่มดอกเขาขายแพงมาก ไม่มีโอกาสได้ดื่ม บ้านเมืองของเขาปกติ คนเขาเรียบร้อยไม่ค่อยยุ่งเท่าไร เพราะไม่เมาเหล้า อุปัตติเหตุไม่ค่อยมี รถสวนทางกัน ถนนก็แคบ วิ่งมาหยุดปั๊บหลีกไป ไม่ชนกันดอก เรานึกว่าชนกันละคราวนี้ ขับมาเร็ว แต่ก็หลีกไปได้ เพราะคนขับไม่เมา ส่วนมากขับช้าใจเย็น เราเร่งให้ขับเร็วๆ ก็ไม่ยอมทำเพราะไม่เมาเหล้า

การทำดี มันอยู่ที่เราตั้งใจทำ ตั้งใจทำแล้มันก็ทำได้ ทำบ่อยๆ มันก็ชินเอง ทำชั่วเราก็หัดมันเหมือนกัน เราไม่ได้ชั่วมาตั้งแต่เกิดนะความจริง ชั่วไม่ใช่ของเดิม ของเดิมมันไม่ดีไม่ชั่ว เราค่อยสะสมความชั่วทีละน้อยๆ จนความชั่วมันพอกพูดมากขึ้น
ถ้าเรารู้ตัวว่าเราชั่วแล้ว เราก็เปลี่ยนเสีย กลับใจลดความชั่วลงไปๆ สร้างความดีขึ้นเท่านั้นเอง มันก็ทำได้ มีไม่ใช่น้อยที่คนเขาชั่วแล้วกลับใจ ทำความดีได้ กลับตัวแล้วเป็นคนดีมีเกียรติในสังคมถมไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2018, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเล่านิทานเซ็นให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เรื่องคนชั่วได้ดีก้าวหน้า ในญี่ปุ่นสมัยนั้น มีนักเทศน์อยู่คนหนึ่ง ชื่ออาจารย์กูโด อยู่ที่เมืองเกี่ยวโต มหาวิทยาลัยมีชื่อ ท่านเป็นนักเทศน์นักสอนที่มีชื่อมาก เทศน์ตั้งแต่ราษฎรสามัญจนกระทั่งถึงราชา ปกติไม่ค่อยอยู่วัดดอก เที่ยวจาริกไปสั่งสอนราษฎรแนะแนวทางสร้างชีวิตให้แก่คนเหล่านั้นเป็นประจำ มีชื่อเสียงทั่วประเทศญี่ปุ่น
คราวหนึ่ง ท่านเดินทางไปหมู่บ้านอีดูอูอีก แล้วพอเดินไปฝนมันตก ตกหนักเสียด้วย น้ำเจิ่งไปหมด ใส่รองเท้าฟางมันยุ่ย หลุดไปทีละเส้นสองเส้น ไม่ได้การแล้ว แต่ทว่ายังหาที่ซื้อไม่ได้

เดินไปพบกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง นึกในใจว่า แบบนี้คงมีรองเท้าฟาง คือบ้านที่เป็นคนจน เขามีรองเท้าฟางใช้ เห็นมีรองเท้าฟางแขวนไว้ข้างฝาสองตามคู่ก็เลยถามเขา
แม่สาวเจ้าของบ้านเป็นคนใจอารี บอกว่า ไม่ต้องดอกอดิฉันจะถวาย เลยรับไปคู่หนึ่ง เปลี่ยนเอารองเท่าเก่าออก
สาวเจ้าของบ้าน บอกว่า ฝนยังตกอยู่หนักมาก นั่งพักก่อนเถอะ จะรีบไปไหน
หลวงพ่อองค์นั้นก็เลยนั่ง สำรวจดูบ้าน หลังคามีรูฝนรั่วลงมา พื้นบ้านเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝาเป็นรูลมพัดเข้ามาได้ ดูแม่หญิงเจ้าของบ้านผิวพรรณซูบซีด ไม่มีเลือดฝาด มีเด็กสามคนผิวเหลือง พุงป่องก้นปอดแสดงว่าบ้านนี้แย่ แย่เต็มที

อาจารย์ก็เลยถามว่า ทำไมอยู่กันแบบนี้ พ่อบ้านไม่มีหรือ พ่อบ้านน่ะเป็นคนสำคัญในครอบครัว พ่อบ้านขี้เมานี้ก็แย่ จึงได้ถามอย่างนั้น
แม่หญิงถอนใจเฮือกแล้วตอบ พอเอ่ยถึงคำว่าพ่อบ้านก็บอกว่า เขามีโรคประจำตัว ๒ อย่าง

อาจารย์ถามว่า เป็นโรคอะไร ตอบว่าเป็นโรคขี้เมากับโรคการพนันค่ะ โรคเมาขนาดหนัก ติดการพนันหนักเหลือเกินค่ะ

อาจารย์ถามต่อไปว่า เดี๋ยวนี้เขาไปไหนล่ะ
ไปทุกวันเจ้าค่ะ หยุดไม่ได้ วันไหนแพ้ละไม่กลับบ้าน วันไหนชนะ กลับมาก็พูดกันไม่รู้ภาษา เมาแปล้มาเลย ดิฉัน
แสนจะลำบากไม่รู้กรรมเวรอะไร ทำไมจึงได้มาแต่งงานกับคนอย่างนี้

หลวงพ่อสงสารนึกในใจว่าต้องช่วยหน่อย แล้วถามว่า วันนี้เขาจะกลับไหมล่ะ น่าจะกลับเจ้าค่ะ เพราะไป ๒ วันแล้ว
เออ ดีเหมือนกัน เอ้า นี่สตางค์ เอาไปซื้อไก่กับเหล้ามา ล้วงกระเป๋า ซื้อไก่มาสักซีกหนึ่ง ซื้อเหล่ามาสักครึ่งหนึ่ง ครึ่งแบนนะ
แม่หญิงสงสัย ผัวเรามันเมาอยู่แล้ว สงสัยจริงพระองค์นี้กินเหล้าด้วยหรือ
หลวงพ่อบอกว่า เธอไม่ต้องฉงนสนเท่ห์ดอก ฉันไม่กินดอกของอย่างนั้น ฉันจะเอาไว้เลี้ยงผัวคนดีของเธอเมื่อกลับมาคืนนี้ ก็ไปซื้อมาใส่ถาดเก็บไว้ เอามาวางไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา

เวลา ๒ ยามกว่า ก็ได้ยินเสียงเมามาแต่ปากตรอก คนเมาอย่างนั้น ร้องเพลงบ้าง ลำตัดบ้าง อะไรต่ออะไรลั่นมา
อาจารย์แกสั่งแม่หญิงว่า อยู่แต่ในห้องอย่าออกมาเด็ดขาด ถ้าผัวเธอมา ฉันจะเปิดประตูรับเอง
แม่บ้านก็เขาไปนั่งอยู่ในห้อง นอนไม่หลับเป็นทุกข์ ผัวขี้เมาสร้างความทุกข์ขึ้นในครอบครัวแท้ๆ ก็นั่งเฝ้าดูอยู่ พอเขามาถึงเคาะประตู เมียโว้ยผัวมาแล้ว
อาจารย์ก็ไปเปิดประตูแอ๊ดประตูมันฝืดเสียงดัง นายนั้น ก็ผลักเข้ามา เออ มาแล้วก็ดีแล้ว เรามาพักหลบฝนในบ้านท่านสะดวกสบาย จะเลี้ยงท่านเสียหน่อย ไก่มี เหล้ามี ไม่ถามชื่อถามแซ่แล้ว ยกถาดมาวางบนโต๊ะระหว่างขา มือหนึ่งหยิบไก่ มือหนึ่งหยิบขวดหยิบแก้วเทเหล้า ถือไก่จับกิน กินไก่กินเหล้า กินเหล้ากินไก่ เพลินไป คอพับลงไป หลับไปเลย ไม่หลับเฉยๆ ยังคาบกระดูกไก่ที่ปากอีกชิ้นหนึ่ง แสนจะทุเรศ
อาจารย์ท่านมองดู แย่จริง ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน อาจารย์ท่านไม่หลับดอก ท่านนั่งสมาธิตลอดรุ่ง เช้าก็ไปล้างหน้านิดหน่อยแล้วกลับมานั่งคอย ประมาณ ๒ โมง เจ้านั่นลุกขึ้นงัวเงียมองเห็นพระนั่งอยู่ สร้างเมา พระอะไรมานั่งในบ้านกู เดี๋ยวก่อน ไปล้างหน้าก่อน มานั่งลง แล้วคำนับถามว่า ท่านเป็นใครมาจากไหน มานั่งอยู่นี่ ถามเอาใหญ่ทีเดียว
อาจารย์ยิ้มๆ นึกขำ เลยบอกว่า เรานี่ชื่อกูโด มาจากเกียวโต ฝนตกหนัก จะไปธุระที่อื่นเลยต้องมาพักที่นี่ หน้าซีดเหมือนกับไก่ต้มเลย เจ้าของบ้านหน้าซีดไปทันที

อาจารย์กูโด เป็นอาจารย์สอนธรรมะ แม้คนขี้เมาก็ยังรู้จักเคยได้ยิน เพราะชื่อเสียงอาจารย์โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น ถึงเมาก็เคยได้ยินชื่อ เลยตกใจแย่แล้วกู อาจารย์มีชื่อมาอยู่ในบ้าน เมื่อคืนกูเมา พูดอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ หน้าถอดสี

อาจารย์บอกว่า ไม่ต้องตกใจ นั่งลง ฉันจะพูดด้วยสัก ๒ – ๓ คำ เขาก็นั่งเรียบร้อย ท่านพูดว่า “คิดดูให้ดี ร่างกายนี้ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกขณะ ถ้าเธอไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันจะมีค่าที่ตรงไหน” พูดสั้นๆ “คิดดูให้ดี ร่างกายนี้ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเธอไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ จะมีค่าที่ตรงไหน.
พูดเท่านั้น มันกระทบที่ใจเลย เหมือนเอาเข็มฉีดยาแทงลงไปที่ฝีกกลัดหนอง หนองมันทะลักออกมาทันที มันเจ็บเข้าไปถึงทรวง ถ้าพูดตามศัพท์ชาวบ้าน เขาสลดใจมาก
อาจารย์พูดแล้วก็บอกว่าฉันไปละนะ เขาบอกว่าเขาจะไปส่งอาจารย์ อาจารย์ไม่พูดเลย เดินไปเรื่อย ไม่พูดไม่ตอบ เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิเขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2018, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เขาเดินไปคิดไป ชีวิตนี้มันเปลี่ยนแปลง ให้มันคิดให้ลึกหน่อย เดินเฉยไปได้ประมาณ ๓ กิโลเมตร
อาจารย์เหลียวมา ฮึ พอแล้ว กลับบ้าน ไม่ได้มันน้อยไปขอรับ อาจารย์ ผมขอไปส่งอีกหน่อย ไปอีก พอ ๕ กิโลเมตร
อาจารย์เหลียวมาบอกอีก มันไกลแล้ว พอทีๆ มันยังน้อยไปครับ อาจารย์ ไปอีกหน่อย ๑๐ กิโลเมตร

อาจารย์บอกนี่มันไกลสุดกู่แล้ว กลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านได้แล้ว ลูกเมียเขาจะคิดถึง อาจารย์ครับ ขณะที่ผมเดินตามหลังอาจารย์ ผมคิดคิดอยู่ตลอดทาง คำพูดของอาจารย์ที่บอกว่า “คิดดูให้ดี ร่างกายของเรานี้ เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออกที่ไปแตกดับ ถ้าเราไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันจะมีค่าที่ตรงไหน” ผมคิดมาก ชีวิตผมไม่มีค่าเลย ตั้งแต่เกิดมาเที่ยวเตร่เสเพล กินหล้าเฮฮา ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ให้เป็นแก่นสารเลย มีเมียก็ไม่ได้เอาใจใส่เมีย มีลูกก็ไม่ได้เลี้ยงลูก มันเหลวไหลเต็มที มันเหมือนขี้โคลนขี้ตมแล้ว ไม่ได้เรื่องอะไร
วันนี้ ผมได้รับแสงสว่างชีวิตแล้ว อาจารย์มาสะกิดผม ผมรู้สึกตัว ผมไม่กลับไปบ้านแล้ว แล้วเธอจะทำอย่างไร อาจารย์ถาม
ผมก็จะไปกับอาจารย์ด้วย ไปทำอะไร ไปบวช ว่าอย่างนั้น อาจารย์บอกว่าไม่เป็นไร ได้ ก็ดีเหมือนกัน พาไปเลย ไปถึงวัด เมืองเกียวโตบวชให้เลย

ญี่ปุ่นเขาบวชจริงๆ เขาไม่บวชเล่น นิกายเซ็นตื่นตี ๔ ลุกขึ้นไปในห้องประชุม สวดมนต์หอกลาง สวดมนต์เสร็จแล้วทุกรูปหันหน้าเข้าฝา ทำสมาธิ อาจารย์ถือไม้ยาวแค่นี้ ชำเลืองดู ใครนั่งหลังคู้ ใครนั่งเอน นั่งง่วง ทุบเลย แต่ไม่ถึงกับทุบเปรี้ยงนะ เคาะเบาๆ บอกว่าฉันจะตีแกละนะ แกเตรียมตัวเอาไว้ อย่านึกว่าฉันตีก็แล้วกัน สอนเอาไว้อย่างนั้น อย่านึกว่าตัวถูกตี หรือใครตี อะไรบังเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไปเท่านั้นเอง อาจารย์ไปเคาะเบาๆก่อน แล้วฟาดเปรี้ยงลงไปไม่เบาเลย ดีจริงๆ แรงๆ ญี่ปุ่นเขาทุบเปรี้ยง เออเรียบร้อย
ถ้าองค์ไหนถูกตีถึง ๓ ครั้งในคืนนั้น เป็นถูกลงโทษหนัก ให้ลูกศิษย์ชวนกันยกออกไปโยนทิ้งนอกประตู หิมะจะตกถึงเข่า ก็ไม่ให้เข้ามา ต้องนั่งอยู่นั้น

ญี่ปุ่นเขาเคารพครูอาจารย์ ถ้าอาจารย์ทำอย่างนั้น ก็ต้องนั่งทนหนาวอยู่อย่างนั้นแหละ จะตายก็ไม่ว่า ต้องทนเอา จนกว่าอาจารย์เปิดประตูบอกว่า เข้ามาได้ ถึงจะเข้ามากราบอาจารย์เรียบร้อย ไม่โกรธไม่อะไรทั้งสิ้น นั่งก้มหน้านิ่ง อาจารย์ให้โอวาท นี่ของเขาอย่างนั้น

คนคนนี้เขาเข้าไปบวชแล้วก็เอาจริง ปฏิบัติจริง จนกลายเป็นนักเทศน์เหมือนกับอาจารย์กูโด ก่อนตายได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม นี่แหละ เขาเรียกว่า “เพชรในตม” อาจารย์กูโดไปงมมาแล้วเอาประดับไว้ในเรือนแหวนแห่งพระธรรมวินัย กลายเป็นดีไปได้ ดังตัวอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2018, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเรานี่ใครที่อยู่ในโคลนในตม ก็นึกเสียมั่ง มีบ้างไหมพวกเรา ที่อยู่ในโคลนในตมแม่โขง กระทิงแดง ในตมอะไรต่ออะไรอย่างนั้น จนมือไม้สั่นงันงกไปแล้ว นึกเสียบ้าง นึกอย่างไร
นึกว่าชีวิตนี้มันเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่ใช้ให้มันมีประโยชน์ มันจะมีค่าตรงไหน คิดอย่างนี้แหละแล้วทำให้มันมีค่า
คนเรามีค่าตรงที่ทำดี นั่นแหละ ไม่ทำดีก็ไร้ค่าเท่านั้นเอง ค่ามันอยู่ตรงนั้น วัว ควาย ค่าตัวอยู่ที่น้ำหนักมากๆ มีค่า คนเราอ้วนหรือผอมก็เท่านั้นแหละ เนื้อหนังเขาไม่เอา เอาคุณความดีเป็นพื้นฐาน

เพราะฉะนั้น ที่เราสำนึกในตัวเราว่าเรามีข้อบกพร่องอะไร เราก็กลับสร้างคุณงามความดีเพื่อความก้าวหน้าต่อไป เปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าหลงผิด
นิสัยอย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สันดานอย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไอ้ที่เราเป็นอย่างนี้อยู่ ความจริงมันเปลี่ยนมาจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต่างหาก เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจ พลังภายในของเราว่ามันมีพอหรือไม่
ถ้ามีกำลังภายในพอแล้ว มันเปลี่ยนได้หมดทุกอย่าง ไอ้เรามันต้องสร้างกำลังภายใน ต้องคอยปลุก คอยเตือนตัวเราตลอดเวลา
อย่าให้ความอ่อนแอมาครอบคลุมจิตใจ ต้องเป็นคนเข้มแข็ง ต้องเป็นคนก้าวหน้าในทางที่ดี บอกตัวเองบ่อยๆ ปลุกเสกตัวเองเอาไว้ในเรื่องนั้นนั่นแหละ ปลุกได้ดี ปลุกตามแบบพระพุทธเจ้า

ปลุกเสกพระเครื่องน่ะมันไม่ได้อะไรดอก ปลุกคนให้มันก้าวหน้า ปลุกหิน ปลุกอิฐมันจะได้เรื่องอะไร ปลุกไม่ถูกทาง
ปลุกเสกตัวเอง ตื่นเช้า เสกข้าพเจ้าจะเป็นคนรักงาน เป็นคนก้าวหน้า เป็นคนอดทน คนมีความเพียร แล้วก็ทำตามสัญญาที่ได้ว่ากับตัวเรา เราก็จะก้าวไปในทางที่ถูกต้อง
บางทีอาจจะเผลอได้ เรื่องธรรมดา ถ้าเผลอก็ขอให้รู้ตัว กลับได้ ตัดได้ ปฏิบัติใหม่ ก้าวหน้าต่อไป ขับรถลื่นออกไปนอก หักเข้ามาแล้วขับระมัดระวัง อย่าให้มันไถลลื่นออกไปอีก อะไรๆ มันเป็นบทเรียนทั้งนั้นแหละ สิ่งใดที่เราทำ เป็นบทเรียนทั้งนั้น ดีก็เป็นบทเรียน ชั่วก็เป็นบทเรียน จดจำใส่ใจเพื่อเอาไปแก้ไขต่อไป
รักษาศีล รักษาจิต ให้มันดีไว้ ศีลรักษาไม่ยากดอก ก็คือรักษาจิตนั่นแหละ อย่าให้คิดเรื่องชั่ว อย่าให้ทำสิ่งชั่วก็เป็นศีลอยู่ในตัวแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2018, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่ ๓ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ในหนังสือนวโกวาท ก็ว่า ไม่ควรเชื่อมงคล มันควรเติม ตื่นข่าว ลงไปด้วย
มงคลน่ะมันดีนะ มงคลในพระพุทธศาสนาก็มี

มงคลตื่นข่าวหมายถึงอะไร ? หมายถึง ถือโชคลาง เช่น ตื่นเช้ามาได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง ร้องเท่านั้นดี ร้องเท่านี้ไม่ดี ร้องเท่านั้นมีลาภ ร้องเท่านี้มีคนมาหา นี่ก็ มงคลตื่นข่าว
หรือว่า ทำไอ้นั่นดี ไอ้นั่นไม่ดี เกี่ยวกับวัตถุประเภทต่างๆ เช่นว่า ไม้นั้นเอามาไว้กับตัวดี แขวนไว้แล้วจะป้องกันภัยอันตราย แก่นไม้กาฝาก
ยกบ้านสร้างเรือนเราเคยไหม มองคลตื่นข่าว เขาแขวนมะพร้าวไว้ผลหนึ่ง ต้นกล้วยต้นอ้อย อันนี้ เขาไม่แขวนให้เป็นมงคลตื่นข่าว แต่เป็นปริศนาธรรม คือ บอกว่า ปลูกบ้านแล้วก็ให้ปลูกอ้อย ปลูกกล้วย ปลูกมะพร้าวด้วย มันจะได้กินทีหลัง ไม่เข้าใจปริศนาธรรม เอามาแขวนไว้จนเหี่ยวตายไปหมด กล้วยก็ตาย มะพร้าวก็ตาย มันไม่ถูกเรื่อง แขวนเวลายกเสา
ยกเสาแล้วเอาลงมาไปปลูกไว้ซี่ กล้วยก็ปลูกไว้ อ้อยก็ปลูกไว้ ไม่เท่าไรก็ได้กินแล้ว
ทีกุฏิ ๒ ชั้นที่หลังสูง คุณเจ้าของแกถือโชคลาง ไม่ได้หล่อเสาดอก ยกโครงเหล็กขึ้น เอากล้วยเอาอ้อยมาผูกไว้ ผมไปเห็นเข้า เออ ดี คุณนายคุณหญิง ประเดี๋ยวก็ปลดลงมาปลูกไว้ตรงนี้นะ
เวลานี้ จะได้กินแล้ว กล้วยจะได้กินแล้ว ออกเครือแล้ว จวนจะได้กินแล้ว เขามุ่งจะให้ทำอย่างนั้น มันจะเจริญงอกงามอย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2018, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างหนึ่ง ที่เราเห็นแต่งงานแต่งการอะไร วันนั้นผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาวิ่งวุ่นอยู่ตอนเย็น ถามว่าใบเงินใบทองที่นี่มีไหมครับ บอกว่า ที่ริมรั้วกรมชลฯ มี จะเอาไปทำอะไรกัน เขาจะแต่งงานกัน
การที่จะแต่งงาน ชีวิตครองบ้านครองเรือนน่ะมันต้องมีเงินมีทองด้วย ต้องหาเงินหาทองให้มีพอใช้ จึงจะอยู่สบาย
ถ้าไม่หาเงินหาทอง มันไม่ได้เรื่อง เขามุ่งอย่างนั้น นี่เอามาพรมน้ำมนต์เฉยๆ ไม่ชี้แจงแนะแนวทางให้เขาเข้าใจ ต้องอธิบายให้เข้าใจ
เมื่อไปในงานแต่งงาน หลวงพ่อต้องเทศน์ให้เขาเข้าใจทุกราย บอกให้รู้ว่า การพรมน้ำมนต์นี้แหละ มันไม่สำคัญอะไรดอก พรมไปตามหน้าที่ที่เขาเคยทำ ส่วนน้ำ น้ำในขันนี้ เขาเตือนใจว่า เราทั้งสองคนต้องอยู่กันเหมือนน้ำ น้ำมันแยกกันไม่ออก มันอยู่ในภาชนะเดียวกัน น้ำนี้ เป็นเครื่องชำระ น้ำนี้เย็น ต้องอยู่กันอย่างเย็นๆ ความชั่วของเราอย่าให้มันเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย
ใบเงินใบทองนี้ เขาบอกให้หาเงินมาใช้เมื่อแต่งงานกัน ขี้เกียจไม่มีอะไรจะกิน กินไอ้นั่นอย่างเดียวน่ะมันอยู่กันไม่ได้ :b1: สอนก็หัวเราะกันหน่อย
ต้องเทศน์ว่า เขาทำเพื่ออะไร ? เขาให้จุดธูปพร้อมกัน จุดเทียนพร้อมกัน คือ สอนให้สามัคคีมีใจเป็นอันเดียวกัน ทำอะไร ทำพร้อมกัน ถือทำพร้อมกันทุกอย่าง แต่ต้องทำดีนะ ถ้าเล่นไพ่พร้อมกัน กินเหล้าพร้อมกัน ฉิบหายนะ มันต้องสอนอย่างนั้น
เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงจะได้พอรู้เรื่องบ้าง จึงจะได้ประโยชน์ในการนิมนต์พระไปที่บ้าน นี่แหละ พิธีรดน้ำพรมน้ำมนต์ ทำไปตามเรื่อง อย่าไปทำอย่างเดิม เป็นมงคลตื่นข่าว เราต้องแถมนิดหน่อย สอนให้เขารู้เรื่อง จึงจะไม่เป็นมงคลตื่นข่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2018, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องอื่นยังมีอีกเยอะแยะ มงคลตื่นข่าว เช่น เชื่อโชคลาง ฤกษ์ยาม ก็เป็นมงคลตื่นข่าว
ในเรื่องฤกษ์ยามนี้ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างไร ? ท่านบอกว่า ผู้ใดประพฤติดีในตอนเช้า ตอนเช้าฤกษ์ดี
ประพฤติดีตอนสาย ตอนสายฤกษ์ดี
ประพฤติดีตอนเที่ยง เที่ยงฤกษ์ดี
ประพฤติดีตอนบ่าย บ่ายดี
ประพฤติดีตอนเย็น ตอนเย็นดี

ผู้ใดประพฤติชั่วตอนเช้า ตอนเช้าก็ชั่ว ชั่วเรื่อยไป เวลาไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่การกระทำ
ทำดีเวลาใด เวลามันก็ดีไปด้วย
ทำชั่วเวลาใด เวลาก็พลอยชั่วไปกับเรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2018, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลำพังเวลาแท้ๆ เขาว่า “อัพยากะตะ” เวลาไม่ดี ไม่ชั่ว เช้า สาย บ่าย เย็น มันไม่ชั่ว อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ มันไม่ชั่ว เพียงสมมติให้เรียกง่ายขึ้น จึงเรียกว่าอาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ ถ้าไม่ตั้งชื่ออย่างนี้ จะเรียกอย่างไร วันนั้น วันนี้ มันพูดยาก จึงต้องสมมติไว้
เช้า สาย บ่าย เย็น ก็ไม่ดี ไม่ชั่ว

มันดี ชั่ว อยู่ที่อะไร ? อยู่ที่การกระทำ เราทำดีเวลามันก็พลอยดีกับเรา ความจริงมันเป็นอย่างนั้น

มีพระพุทธดำรัสตรัสไว้ “นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา - คนพาลมัวไปดูดวงดาวดูเดือนอยู่ ประโยชน์ก็ผ่านพ้นไปเสีย ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้” ท่านว่าอย่างนั้น มัวไปคำนวณเดือนดาว ประโยชน์มันผ่านพ้นไป.

เรือเข้ามาเทียบท่า เราต้องไปติดต่อซื้อสินค้าทันที จำไว้ พอเรือเข้าท่ามัวไปวิ่งหาหลวงพ่อซื้อดีไม่ดีเที่ยวนี้ เพื่อนเอาไปกินเสียแล้ว
พอหลวงพ่อบอกว่าซื้อดี กลับมาไม่ทัน เพื่อนมัดจำเอาไปหมดแล้ว ประโยชน์มันผ่านไปเสียแล้ว เพราะมัวไปนับดาวนับเดือนอยู่ เรือเข้าเป็นประโยชน์อยู่ในตัวแล้ว
ข้าวสุกเกี่ยวได้ เกี่ยวทันที ลาภมาถึงแล้ว ต้องเอาทันที นับเป็นฤกษ์ดีอยู่ในตัว มัวไปนับดาวนับเดือน มันก็ผ่านพ้นไปเสีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2018, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนถือโชคถือลาง ทำให้เกิดความชักช้า เสียเวลา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ถืออย่างนั้น ไม่ให้ถือฤกษ์ถือยาม
เรื่องนี้มีคนถามว่า เจ้าคุณเป็นพระผู้น้อย มาพูดไม่ให้ถือฤกษ์ถือยาม ชั้นพระผู้ใหญ่ยังไปดูหมอ
ผมตอบอย่างไร ผมกระซิบเบาๆ พระผู้ใหญ่ก็ยังโง่ได้เหมือนกัน อย่านึกว่าเป็นพระผู้ใหญ่แล้วแล้วจะฉลาดยอดคนไปเมื่อไร เขาให้เป็นเท่านั้นแหละ แต่จิตใจยังโง่ได้เหมือนกัน ไม่ฉลาดเสมอไป ไปดูหมอไม่ฉลาดดอก ยังโง่อยู่ ยังมีอวิชชาครอบงำจิตใจอยู่ เราไม่ถืออย่างนั้น เราถือว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นเรื่องสำคัญ สุขทุกข์อยู่ที่เรา เสื่อมไม่เสื่อมก็อยู่ที่เราทำเหมือนกัน
เจริญก็อยู่ที่เราทำ อะไรๆมันก็เกิดขึ้นจากเรากระทำทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับฤกษ์ยาม

ถ้าจะดูเวลา ต้องดูอย่างนี้ : ต้องดูเวลาที่เหมาะ เวลาไหนที่แดดอ่อน ร่มเย็น เช่น ในเวลาสร้างโรงเรียน ก็มีฤกษ์วางหินเหมือนกัน แต่ไม่เรียกว่าวางศิลาฤกษ์ เรียกว่า “วางก้อนหิน เพื่อสร้างโรงเรียน” ในก้อนหินนั้น ไม่มีดวง ทั่วไปเขาเขียนดวงลงบนหิน แต่ของผมไม่มีเลย แต่ได้เขียนลงไปว่า ก้อนหินนี้ จอมพลถนอม ได้มาวางไว้เมื่อวันที่เท่านั้น เดือนนั้น พ.ศ.นั้น เท่านั้นแหละ เหตุที่ต้องไปเชิญท่านนายก ฯ มาวางเพื่อต้องการของเงินล๊อดเตอรี่ เพราะว่าท่านเป็นประธานกรรมการ
ถ้าไม่เชิญมาให้เห็น จะไปขอได้อย่างไร เลยไปขอแล้วเชิญมาด้วย พอนายกมาถึงก็ได้ฤกษ์เลย ไม่รอให้เสียเวลาท่าน พอมาถึงก็จุดเทียนเลย รายงานประกาศ
ที่ที่วางหินนั้นน่ะ ผมไม่มีการตั้งศาล ปกติเขาเขาตั้งศาล หัวหมู บายศรีกัน โดยมาก คนที่มาเป็นประธานก่อนจะมาวาง ต้องจุดธูปตั้งของ ปักที่อะไรกันเต็มไปหมดเลย ผมไม่มี เอาแต่พระพุทธรูปมายืนองค์เดียว มายืนไว้ตรงนั้น ตั้งโต๊ะบูชา มาถึงให้นายก ฯ กราบ พระก่อน กราบพระเสร็จแล้วก็วางลงไปเท่านั้น แล้วก็เป็นอันหมดเรื่อง กลับไปส่งซองเช็คมาให้ ๓ แสน ไม่ยากอะไร เรื่องเท่านั้นแหละ ไม่ได้ถือโชคถือลางอะไรเลย ดูว่าวันไหนดี ดูเหมือนกันว่าไอ้ร่มสนนี้ มันร่มดีเวลาไหน ดูอยู่หลายวันนะ ดูว่า เวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๐ นาที นี้ร่มสนมันร่มดีไหม ดูว่ามันร่มดี พอเหมาะพอดี นายกฯ มาถึง ๑๕.๒๕ น. เอาเลยจุดธูป จุดเทียน ถึงฤกษ์แล้ว ฤกษ์มันอยู่ตรงนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร