วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 11:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


http://www.alittlebuddha.com/Monkpictur ... on_011.jpg

http://www.alittlebuddha.com/Monkpictur ... on_004.jpg

http://www.alittlebuddha.com/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธบัญญัติห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม

บทบัญญัติในวินัย ซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ให้ความสำคัญแก่สงฆ์ ที่ควรกล่าวไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ พุทธบัญญัติไม่ให้ภิกษุอวด อุตริมนุสสธรรม คือ คุณวิเศษ หรือ การบรรลุธรรมอย่างสูงที่เกินปกติของมนุษย์สามัญ เช่น สมาธิ ฌาน สมาบัติ มรรคผล ถ้าอวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง คือ หลอกเขา ย่อมต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ (วินย.1/227-231/165-171)

แต่ถึงแม้ว่าจะได้บรรลุคุณวิเศษนั้นจริง ถ้าพูดอวดหรือบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน หรือผู้อื่นใดที่มิใช่ภิกษุหรือภิกษุณี ก็ไม่พ้นเป็นความผิด เพียงแต่เบาลงมา เป็นอาบัติปาจิตตีย์ (วินย. 2/304-5/208-211)

http://www.alittlebuddha.com/Monkpictur ... on_002.jpg

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นเหตุที่จะให้มีพุทธบัญญัตินี้ เกิดจากในคราวทุพภิกขภัย ภิกษุพวกหนึ่ง คิดหาอุบายจะให้พวกตนมีอาหารฉันโดยไม่ลำบาก จึงกล่าวสรรเสริญกันและกันให้ชาวบ้านฟังตามที่เป็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ว่าท่านรูปนั้นได้ฌาน ท่านรูปนั้นเป็นโสดาบัน ท่านรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ ท่านรูปนั้นได้อภิญญา ๖ เป็นต้น

ชาวบ้านเลื่อมใส พากันบำรุงเลี้ยงภิกษุกลุ่มนั้นอย่างบริบูรณ์

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นห้าม โดยทรงติเตียนว่าไม่สมควรที่จะอวดอ้างคุณความดีพิเศษกันเพราะเห็นแก่ท้อง และสำหรับผู้ที่อวดอ้างโดยไม่เป็นจริง ทรงติเตียนอย่างรุนแรงว่าเป็นมหาโจรที่เลวร้ายที่สุดในโลก เพราะบริโภคอาหารของชาวบ้านชาวเมืองโดยฐานขโมย

(สังเกตเหตุบัญญัติวินัยด้วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธบัญญัติอีกข้อหนึ่ง ในจำพวกห้ามอวดอุตริมนุสสธรรม คือ สิกขาบทที่มิให้ภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่ชาวบ้าน ภิกษุใดแสดง ภิกษุนั่นมีความผิด ต้องอาบัติทุกกฎ (วินย. 7/29-33/12-16)

ต้นเหตุเกิดจากเศรษฐีท่านหนึ่ง เอาบาตรไม้จันทร์แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ แล้วประกาศท้าพิสูจน์ว่า ใครเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์จริง ก็ขอถวายบาตรนั้น แต่ให้เหาะไปเอาลงมาเอง

พระปิณโฑลภารัทวาชะ ได้ยินคำท้า ประสงค์จะรักษาเกียรติของพระศาสนา จึงเหาะขึ้นไปเอาบาตรลงมา ทำให้ชาวเมืองตื่นเต้นเลื่อมใสกันมาก

พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้าม โดยทรงตำหนิว่า ไม่สมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมล้ำสามัญมนุษย์ เพราะเห็นแก่บาตรที่เป็นของมีค่าต่ำ ทรงเปรียบการทำเช่นนั้นว่า เป็นเหมือนสตรีที่เผยอวัยวะพึงสงวนให้เขาดูเพราะเห็นแก่เงินทองของต่ำค่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เหตุผลส่วนที่ปรากฏชัด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรารภก่อนที่จะทรงบัญญัติสิกขาบทเหล่านี้ ก็คือ เป็นการไม่สมควร ที่จะอวดคุณความดี และความเก่งกล้าสามารถพิเศษของตน เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ หรือผลประโยชน์ต่างๆ

แต่ในเวลาที่ทรงบัญญัติจริง ปรากฏว่า ทรงเปิดกว้างให้สิกขาบทนั้นมีขอบเขตครอบคลุมเหตุจูงใจทุกอย่าง ไม่เฉพาะการอวดหรือแสดงเพราะเห็นแก่ลาภสักการะและผลประโยชน์ที่จะได้เท่านั้น

ในเรื่องนี้ เพื่อเสริมความเข้าใจให้กว้างขึ้น สมควรที่จะพิจารณาถึงเจตนารมณ์ที่ลึกซึ้งลงไปอีกด้วย เช่น การที่ไม่ทรงประสงค์ให้ประชาชนตื่นเต้นหลงใหลกับสิ่งที่เข้าใจว่าสูงส่งเกินวิสัยของตน แล้วหันไปคิดพึ่งพาฝากความหวังไว้กับผู้อื่น สิ่งอื่น จนละเลยการเพียรพยายามทำตามเหตุผลที่เป็นวิสัยของตน ดังนี้เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่สิ่งที่ควรพูดถึงในที่นี้ ก็คือ เจตนารมณ์ที่คำนึงถึงสงฆ์ ตามหลักการของพระพุทธศาสนา การดำรงอยู่แห่งธรรมวินัย เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกนั้น ขึ้นอยู่กับสงฆ์ที่เป็นส่วนรวม การที่จะสืบต่อพระศาสนาหรือรักษาธรรมวินัย จึงต้องทำให้สงฆ์คงอยู่ยั่งยืน

พูดอย่างชาวบ้านว่า พระพุทธเจ้าทรงฝากธรรมวินัยไว้กับสงฆ์ มิใช่ไว้กับบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งไม่อาจคงอยู่ได้นาน

พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายให้ประชาชนทำนุบำรุงภิกษุทั้งหลาย และสัมพันธ์กับภิกษุทั้งหลายในฐานะที่เป็นสงฆ์ ให้ทาน บำรุง และสัมพันธ์กับภิกษุ ในฐานะที่ท่านเป็นภิกษุรูปหนึ่ง หรือเป็นตัวแทนผู้หนึ่งของสงฆ์ ไม่ใช่ในฐานะของบุคคลชื่อ ก. ชื่อ ข. ชื่อ ค. แม้ว่าภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หรือบางรูปเก่งกล้าสามารถ หรือบรรลุธรรมวิเศษ ความสัมพันธ์ของท่านกับประชาชน ก็จะแสดงออกทางสงฆ์หรือผ่านสงฆ์ ให้สงฆ์มีส่วนร่วมในผลสำเร็จของท่านด้วย


คำที่พูดนี้ พอจะมองเห็นไม่ยาก ในกรณีที่ภิกษุรูปหนึ่งมีความดีงามความสามารถพิเศษ ถ้าความดีงามความสามารถนั้นเป็นไปในฐานที่ท่านเป็นภิกษุรูปหนึ่ง ผลได้ที่มีมาถึงภิกษุรูปนั้น จะมีมาถึงสงฆ์ด้วย หรือสงฆ์จะมีส่วนได้รับผลด้วย สงฆ์จะเจริญงอกงามไปกับภิกษุรูปนั้น

แต่ในทางตรงข้าม ถ้าความดีงามความสามารถของภิกษุนั้น แสดงออกในฐานะบุคคลผู้มีชื่อนี้โดยเฉพาะ เป็นพวกกลุ่มนั้นกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ภิกษุนั้นจะเจริญเติบโตขึ้น แต่เป็นความเจริญเติบโตส่วนตัวหรือเฉพาะกลุ่มของตัว ที่บั่นรอนให้สงฆ์ซูบโทรมอ่อนแอลง

การอวดคุณวิเศษของภิกษุ ย่อมทำให้ประชาชนรวมจุดความสนใจไปที่ภิกษุนั้น และหันไปทุ่มเทความอุปถัมภ์บำรุงให้

แต่ในเวลาเดียวกัน สงฆ์จะด้อยความสำคัญลง ภิกษุส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเอาใจใส่ ขาดผลได้ และสงฆ์ส่วนรวมก็จะอ่อนกำลังลง


ด้วยเหตุนี้ จึงมีตัวอย่าง พระอรหันต์บางท่านในสมัยพุทธกาล * เมื่อความดีเด่น และความสามารถพิเศษของท่านปรากฏเป็นที่รู้ขึ้น และในเมื่อความสนใจต่อตัวท่าน เปลี่ยนจากความสนใจในฐานะภิกษุรูปหนึ่ง กลายไปเป็นความผูกพันในตัวบุคคล พร้อมกับมีลาภผลติดตามมา ตัวท่าน กลายเป็นที่รวมความสนใจแทนสงฆ์ หรือเป็นเหตุให้ความสนใจต่อภิกษุส่วนมากและความสำคัญของสงฆ์ลดลง ท่านก็หลีกออกไปเสียจากที่นั้น (พึงพิจารณาเรื่อง พระอิสิทัตตะ และพระมหกะ ใน สํ.สฬ. 18/546-557/349-358 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวโดยสรุป การอวด หรือ บอกกล่าวอุตริมนสุสสธรรม คือคุณวิเศษของตน แก่ชาวบ้าน แม้จะเป็นจริงก็มีผลเสียหายที่สำคัญแก่ส่วนรวม ดังนี้

๑. ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นระดมความสนใจมารวมที่บุคคลผู้เดียว หรือกลุ่มเดียว แทนสนใจสงฆ์ ดังกล่าวแล้ว และชาวบ้านผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็จะคิดเปรียบคิดเทียบ เกิดความดูถูกดูแคลนท่านอื่น กลุ่มอื่น อย่างถูกต้องบ้าง ผิดพลาดบ้าง เป็นโทษแก่ตนเอง และแม่พระศาสนาโดยส่วนรวม ความข้อนี้สัมพันธ์กับข้อต่อๆไปด้วย

๒. เมื่อมีการอวดกันได้ ไม่เฉพาะท่านที่รู้จริงได้จริงเท่านั้นที่จะอวด ท่านที่สำคัญตนผิดก็จะอวด แต่ที่ร้ายแรงยิ่งก็คือ เป็นช่องให้ผู้ไม่ละอายทั้งหลายพากันฉวยโอกาสอวดกันวุ่นวาย
ชาวบ้านซึ่งไม่รู้ไม่มีประสบการณ์เอง ก็แยกไม่ถูกว่าอย่างไหนจริงอย่างไหนเท็จ บางคราวที่เท็จ มองในสายตาชาวบ้าน กลับเห็นเป็นอัศจรรย์น่าเชื่อถือกว่า ดังที่ผู้เชียวชาญการหลอกหรือเล่นกลลวงชาวบ้านได้สำเร็จกันมามาก ข้อนี้ สัมพันธ์กับข้อต่อไปอีก

๓. ชาวบ้านระดับโลกิยปุถุชนทั้งหลาย มีความพอใจนิยมชมชอบต่างๆกัน ตื่นเต้นในต่างสิ่งต่างระดับกัน และผู้ที่บรรลุธรรมวิเศษ ก็มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัติและความสามารถด้านอื่นๆต่างๆกันไป มิใช่จะมีคุณสมบัติที่พร้อมจะเป็นผู้นำตามรอยบาทพระศาสดาได้เหมือนกัน บางท่านบรรลุคุณวิเศษแล้ว พูดสอนอธิบายไม่เป็น คล้ายกับพระปัจเจกพุทธะ สู้พระพหูสูตที่ยังไม่บรรลุก็ไม่ได้
เปรียบได้กับคนที่ได้ไปเที่ยวถิ่นห่างไกลเห็นมาด้วยตนเอง กลับมาแล้ว บางคนพูดคุยเล่าให้คนอื่นฟัง ไม่จับจิตจูงใจ
ส่วนบางคนไม่เคยไปจริงเลย แต่เล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว น่าตื่นเต้น เหมือนอย่างคุณครูบางท่าน สอนวิชาภูมิศาสตร์เมืองฝรั่งเก่ง ทั้งที่ตนเองไม่เคยไป
หรือในด้านบุคลิกลักษณะ บางท่านสำเร็จอริยผลแล้วก็จริง แต่รูปร่างไม่ชวนเลื่อมใส เช่น อย่างพระอรหันต์ชื่อลกุณฏกภัททิยะ ผู้มีร่างเตี้ยค่อม ถูกพระหนุ่มเณรน้อยคอยล้อเลียนเย้าแหย่อยู่เสมอ จนพระพุทธเจ้าต้องทรงช่วยอนุเคราะห์ (สํ.นิ.16/704/325 ฯลฯ) ในกรณีเช่นนี้ ท่านที่บรรลุจริงนั้นแหละ เมื่อบอกเขา กลับจะทำให้คนไม่เชื่อ หรือถ้าเชื่อเข้า ก็เลยหมดหรือคลายความเลื่อมใสในพระศาสนาลงไป
ส่วนคนที่ไม่ได้จริง แต่พูดคล่อง หลอกเก่ง ลักษณะดี กลับนำฝูงชนสู่ทางผิดไปได้จำนวนมาก

๔. เมื่อท่านที่บรรลุจริง อวดด้วย สอนเก่งด้วยบ้าง ท่านที่บรรลุจริง สอนไม่เป็น แต่อวดเขาบ้าง ท่านที่ไม่รู้จริง สำคัญตนผิดคิดว่าบรรลุแล้ว เที่ยวบอกเล่าไปบ้าง ท่านที่ไม่บรรลุ แต่ชอบหลอก พูดวงเขาไปบ้าง
ต่อไปหลักพระศาสนาก็จะสับสนปนเปฟั่นเฟือน ไม่รู้ว่าอันใดแท้อันใดเทียม
บางท่านมีส่วนรู้จริงในประสบการณ์ บางแง่บางอย่าง แต่ทำอรรถกับพยัญชนะให้เคลื่อนคลาดจากกัน เพราะหย่อนความรู้ทางปริยัติ ก็ทำให้หลักธรรมสับสน พาคนเข้าใจเขว และเสียเอกภาพแห่งคำสอนของพระศาสดา

ความจริงนั้น การยืนยันความตรัสรู้ เป็นภารกิจของพระศาสดา ซึ่งเป็นผู้นำ จำเป็นต้องประกาศหรือยืนยัน ในเมื่อจะทำหน้าที่ตั้ง และปกป้องพระศาสนานั้น พร้อมทั้งหมู่สาวก
ส่วนหมู่สาวกภายหลัง เมื่อสมัครเข้ามา ก็คือยอมรับคำสอนของพระศาสดาแล้ว การยืนยันหรืออ้างอิงจึงไปอยู่ที่องค์พระศาสดา และคำสอนของพระองค์ ความรับผิดชอบในการสอน ไม่อยู่ที่อ้างการบรรลุของตน แต่อยู่ที่สอนให้ตรงกับคำสอนของพระศาสดา หรือ สอนตัวพระพุทธศาสนาแท้ๆ

ดังนั้น สาวกทั้งหลายจึงมุ่งว่าจะสอนให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาความซื่อตรงต่อคำสอนของพระศาสดา เป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จะวัดความถูกต้องของการสอนพระพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องอ้างการบรรลุของตนเป็นกลักเกณฑ์ตัดสิน ก็จะดำรงเอกภาพแห่งคำสอน และเอกภาพแห่งพระพุทธศาสนาทั้งหมดเอาไว้ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2018, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง เมื่ออวดคุณวิเศษออกไปแล้ว มีผู้เลื่อมใส เอาลาภสักการะมาถวาย ของถวายนั้นกลายเป็นของที่ได้มาเพราะการพูดอวดนั้นเอง ทางพระวินัยถือว่าเป็นลาภไม่บริสุทธิ์

พูดให้ลึกลงไปอีก ท่านว่า ไม่ต้องกลัวว่าผู้บรรลุอริยผลแล้วจะมาพูดอวดอ้าง หรือป่าวประกาศ เพราะเป็นธรรมดาของพระอริยะทั้งหลายเองที่ว่าท่านไม่อวด
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่อวดว่าตนเป็นพระอริยะ ก็คือ อวดว่าไม่ได้เป็นอริยะนั่นเอง ผู้ที่อวดคุณวิเศษที่มีจริง จะมีก็แต่ปุถุชนซึ่งได้คุณวิเศษขั้นโลกีย์ เช่น ฌานสมาบัติเป็นต้น (ดู วินย.อ.2/304)

(จากหนังสือพุทธธรรม หน้า 925)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2018, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตั้งคณะสงฆ์ขึ้นมาทำไม ? พระองค์เสด็จไปประกาศพระศาสนา ไปเที่ยวสั่งสอนประชาชน ให้ธรรม ก็คือ ให้การศึกษา (ไตรสิกขา) นั่นเอง เพราะทรงสอนเขา เพื่อเขาจะได้เรียนรู้เข้าใจ และฝึกฝนพัฒนาตนเองขึ้นไป แต่ในการให้การศึกษาแก่ประชาชน โดยไปสอนทีละคนๆ กว่าจะสำเร็จนั้นเสียเวลามาก และได้ทีละคนๆ พระองค์ก็จึงจัดตั้งคณะสงฆ์ขึ้นมา เป็นชุมชนที่ว่า คนที่มุ่งจะศึกษา คือ เรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนให้บรรลุธรรม จะได้เข้ามาอยู่เพื่ออุทิศตนในการศึกษาได้เต็มที่ พร้อมกันนั้น ชุมชนสงฆ์นี้ ซึ่งเป็นแหล่งการศึกษา ก็จะมีผู้ที่ก้าวหน้าไปมากๆแล้วในไตรสิกขามาอยู่รวมกันมาก

ผู้ใดต้องการศึกษา ก็มาหาที่แหล่งนี้ได้ง่าย และชุมชนสงฆ์นี้ ก็จะเป็นศูนย์กลางที่ท่านผู้ได้ศึกษาดีแล้ว ออกไปเผยแพร่สั่งสอนให้การศึกษาแก่ประชาชนขยายกว้างขวางออกไป ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ชุมชนสงฆ์เป็นแหล่งเอื้อโอกาสในการศึกษาได้ดีที่สุด ก็จะต้องมีการจัดสรรสภาพแวดล้อม และวางระเบียบระบบต่างๆ ให้เป็นเครื่องเอื้อโอกาสเช่นนั้น พระองค์จึงได้ทรงบัญญัติวินัยขึ้นมา

เป็นอันว่า ชุมชนสงฆ์มีขึ้นมาก็เพื่อให้การศึกษาได้ผลดียิ่งขึ้น หรือเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าการศึกษาของมนุษย์จะดำเนินไปด้วยดี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชุมชนสงฆ์หรือจะเรียกว่าคณะสงฆ์ก็แล้วแต่ จึงเป็นชุมชนแห่งการศึกษาเพราะพระพุทธศาสนาเอง ก็เป็นศาสนาแห่งการศึกษา พูดได้เลยว่า ถ้าไม่มีการศึกษา คือ ไตรสิกขา ก็ไม่มีพระพุทธศาสนา นอกจากทุกคนเป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อบวชเข้ามาแล้วถ้าไม่ศึกษาแล้วจะทำอะไรถ้าไม่ศึกษา พระสงฆ์ก็ไม่สามารถเป็นปัจจัยสร้างสรรค์สังคมได้ ก็จะกลายเป็นเพียงผลผลิตของสังคมอย่างที่กล่าวมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2018, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


‘หม่อมโจ้’ วิพากษ์ยิบ ปม ‘พุทธะอิสระ’ ค้นลึกเหตุเรียก ‘หลวงปู่’ ชี้เรื่องแอบอ้างเพียบ

https://f.ptcdn.info/874/057/000/p9lmun ... VGHl-o.jpg

https://www.matichon.co.th/social/news_979517

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2018, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สนธิญาณ” ฟันธง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ศักดิ์สิทธิ์ ..เดินทางสายพระโพธิสัตว์ แสวงหาพุทธภูมิ?

รูปภาพ


http://www.tnews.co.th/contents/456891

:b32: น้ำดื่มผสมใบกระท่อมเพื่อกล่อมประสาทคนแล้วก็จูงไปตามตลาดนัด... :b35:

https://www.youtube.com/watch?v=AnnomLIxYm0

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/811 ... ?s=779x537

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2018, 20:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนอวด..ไม่บรรลุ

เพราะคนบรรลุ..ไม่รู้จะอวดไปทำไม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2018, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา

คนอวด..ไม่บรรลุ

เพราะคนบรรลุ..ไม่รู้จะอวดไปทำไม


นี่ไง

กรัชกาย เขียน:
ต้นเหตุที่จะให้มีพุทธบัญญัตินี้ เกิดจากในคราวทุพภิกขภัย ภิกษุพวกหนึ่ง คิดหาอุบายจะให้พวกตนมีอาหารฉันโดยไม่ลำบาก จึงกล่าวสรรเสริญกันและกันให้ชาวบ้านฟังตามที่เป็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ว่าท่านรูปนั้นได้ฌาน ท่านรูปนั้นเป็นโสดาบัน ท่านรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ ท่านรูปนั้นได้อภิญญา ๖ เป็นต้น

ชาวบ้านเลื่อมใส พากันบำรุงเลี้ยงภิกษุกลุ่มนั้นอย่างบริบูรณ์

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นห้าม โดยทรงติเตียนว่าไม่สมควรที่จะอวดอ้างคุณความดีพิเศษกันเพราะเห็นแก่ท้อง และสำหรับผู้ที่อวดอ้างโดยไม่เป็นจริง ทรงติเตียนอย่างรุนแรงว่าเป็นมหาโจรที่เลวร้ายที่สุดในโลก เพราะบริโภคอาหารของชาวบ้านชาวเมืองโดยฐานขโมย

(สังเกตเหตุบัญญัติวินัยด้วย)


ดังนั้น ผู้ศึกษาพุทธธรรม (ธรรม-วินัย) ในเมืองไทย จะรู้แค่ปลายๆไม่พอ จะต้องค้นต้องรู้ให้ถึงต้นเรื่องต้นบัญญัติ ดูเหตุผลที่พระบรมศาสดาบัญญัติวินัยด้วย นึกถึงสภาพสังคมของคนสภาพแวดล้อมอื่นๆในยุคสมัยโน้น (2500 กว่าปี) ด้วย ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีเจ้าลัทธิศาสนามากมาย ที่แข่งขันกันเผยแผ่ลัทธิศาสนาของตน ก็มีบางลัทธิเขาเคร่งมากๆ เคร่งครัดถึงขนาดว่า ต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่ตัดไม่เด็ด ครั้นเมื่อภิกษุในพุทธศาสนาไปเด็ดไปตัดเข้า จึงถูกอีกฝ่ายตำหนิติเตียน พระพุทธก็ต้องบัญญัติห้ามภิกษุพรากของเขียว ฯลฯ นี่ตัวอย่างการบัญญัติสิกขาบท (วินัย) สิกขาบทอื่นๆ ก็พึงเทียบนัยนี้

ในเมืองไทยยุคปัจจุบันดูกันแค่ส่วนปลายๆแล้วก็จับเอาส่วนปลายนั้นคิดฟุ้งไปวิพากษ์ไปตามจริต สังเกตุดูเถอะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2018, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ติตถกร เจ้าลัทธิ หมายถึงคณาจารย์ ๖ คน คือ
๑. ปูรณกัสสป
๒. มักขลิโคสาล
๓. อชิตเกสกัมพล
๔. ปกุทธกัจจายนะ
๕. สัญชัยเวลัฏฐบุตร
๖. นิครนถนาฎบุตร
มักเรียกว่า ครู ทั้ง ๖

เจ้าลัทธิ ๖ ท่านนี้ ที่ตำราพูดถึงบ่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ ๕ กับที่ ๖ คนที่ ๕ สัญชัย เป็นอาจารย์ของอุปติสสะ (สารีบุตร) กับ โกลิตะ (โมคคัลลานะ) มาก่อนก่อนที่จะมาถือพุทธ

ส่วนคนที่ ๖ นิครนถ์ ถือเคร่งมากๆ เห็นอะไรเป็นกิเลสไปหมดแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่นุ่ง มีคำสอนคล้ายๆพุทธโดยเฉพาะเรื่องกรรม ชาวพุทธต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกแล้วจะเป็นการถือเรื่องกรรมแบบนิครนถ์ไปเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2018, 05:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คนอวด..ไม่บรรลุ

เพราะคนบรรลุ..ไม่รู้จะอวดไปทำไม


คนที่ว่า..ได้อรหันต์..ได้อภิญญา6 ...โดยหวังลาภสักการะ..นั้นเป็นพวกโกหก100%


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 94 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร