วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิต ความเป็นอยู่

ชีพ ชีวิต, ความเป็นอยู่

อายุ สภาวธรรมที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่หรือเป็นไป, พลังที่หล่อเลี้ยงดำรงรักษาชีวิต, พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตที่จะดำรงอยู่และดำเนินต่อไป, ตามปกติท่านอธิบายว่า อายุ ก็คือ ชีวิตินทรีย์ นั่นเอง, ช่วงเวลาที่ชีวิตจะเป็นอยู่ได้ หรือได้เป็นอยู่, ในภาษาไทย อายุ มีความหมายเพี้ยนไปในทางที่ไม่น่าพอใจ เช่น กลายเป็นความผ่านล่วงไปหรือความลดถอยของชีวิต

ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ

๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียกว่า รูปชีวิตินทรีย์

๒. ชีวิตินทรีย์เป็นเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก อย่างหนึ่ง เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียกอรูปชีวิตินทรีย์ หรือนามชีวิตินทรีย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม นี้ แปลกันมาว่า ความจริง, ความถูกต้อง, ความดีงาม

ความหมายที่เป็นหลักเป็นแกนของธรรมนั้น ก็คือ ความจริง หรือสภาวะที่เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นๆ เป็นธรรมดา

มนุษย์เรานั้น ต้องการสิ่งที่เกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตน แต่สิ่งทั้งหลายที่จะเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่คนแท้จริง จะต้องสอดคล้องกับความจริง มิฉะนั้น ก็จะไม่เกื้อกูลเป็นประโยชน์ได้แน่แท้ยั่งยืน

สิ่งที่เกื้อกูลเป็นประโยชน์แก่มนุษย์แท้จริง เรียกว่า เป็นความดีงาม

ความดีงาม จึงอยู่สอดคล้อง คือ ถูกต้องตามความจริง

ความจริง เป็นหลักยืนตัว ความดีงาม เป็นคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ ความถูกต้องเป็นความสัมพันธ์ที่น่าพอใจ ระหว่างคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ กับความจริงที่เป็นหลักยืนตัวนั้น


ถ้าไม่มีความจริง ไม่มีความถูกต้อง ความดีงามก็ไม่แท้ไม่จริง เหมือนอย่างที่คนหลอกลวงก็สามารถทำให้คนรู้สึกว่า เขาเป็นคนดีได้ แต่แล้วในเมื่อไม่ถูกต้อง ไม่ตรงความจริง พอขาดความจริงเท่านั้น ที่ว่า ดี ก็หมดความหมายไป กลายเป็นไม่ดี ดังนั้น ความจริง และความถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

ทีนี้ ความจริงนั้น มีอยู่เป็นสภาวะของมันเอง หรือเป็นธรรมดาของธรรมชาติ และความถูกต้องก็อยู่กับความจริงนั้นด้วย แต่เมื่อเรื่องมาถึงคน หรือว่า เมื่อคนไปเกี่ยวข้องกับมัน ก็มีข้อผูกพันขึ้นมา ซึ่งทำให้คนเกิดมีเรื่องในภาคปฏิบัติว่า

๑.จะทำอย่างไร ให้ความจริงนั้นปรากฏขึ้นมา เพราะว่า บางทีความจริงมีอยู่ แต่ความจริงนั้นไม่ปรากฏ

๒.จะทำอย่างไร ให้คนดำรงอยู่ในความจริงนั้นได้ จะได้มีความถูกต้องที่จะตรึง หรือรักษาความดีงามไว้ และ

๓.จะทำอย่างไร ให้คนทำการได้ถูกต้องโดยสอดคล้องกับความจริงนั้น เพื่อให้คนอยู่กับความดีงาม ซึ่งเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมของเขา

นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น ตอนนี้ก็จึงเหมือนกับว่า ในเรื่องธรรมนี้ เรามอง ๒ ด้าน
คือ
หนึ่ง มองด้านความเป็นจริง หรือตัวสภาวะก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร
แล้วก็
สอง บนฐานของความจริงนั้น มองว่าเราจะทำอย่างไรให้มนุษย์นี้ ดำเนินไปกับความจริงนั้น โดยอยู่กับความจริง แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามความจริง

ต้องครบทั้ง ๒ ขั้น ขาดขั้นใดขั้นหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น

บางทีเราจะเอาขั้นที่ ๒ คือ จะให้คนปฏิบัติถูกต้อง แต่เราไม่รู้ว่า ความจริงคืออะไร มันก็ไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงต้องมีหลักยันอยู่เป็น ๒ ด้าน คือ ด้านสภาวะที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ และด้านที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับความจริง



อย่างไรก็ตาม ตามที่ใช้กันอยู่นั้น "ความจริง" มีความหมายค่อนข้างหลวมๆ ไม่เคร่งครัดนัก คือไม่จำเป็นต้องถึงกับเป็นความจริงตามสภาวะของธรรมชาติ แต่รวมทั้งความจริงตามที่มนุษย์ตกลงยอมรับกันด้วย เช่น หลักการ และข้อที่ตกลงยึดถือกันมาเป็นพวกสมมติสัจจะต่างๆ ดังนั้น ความดีงาม ความถูกต้อง บางทีจึงวัดเพียงด้วยความสอดคล้องกับความจริงระดับนี้ก็มี

สำหรับ บุคคลทั่วไป เอาเพียงว่า ถ้ารักษาปฏิบัติทำความดีงาม ตามที่บอกกล่าวเล่าสอนกันมา ก็ใช้ได้ หรือนับว่าเพียงพอ เมื่ออยู่กับความดีงามแล้ว ก็ถือว่าดำรงความจริง และความถูกต้องพร้อมไปในตัวด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ท่านแสดงให้พระบวชใหม่ฟัง)

อันตรายสำหรับภิกษุใหม่

เมื่อวานได้พูดถึงเรื่อง องค์แห่งภิกษุใหม่ เพื่อจะได้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจให้เรา มีความสำนึกในฐานะเป็นผู้บวชใหม่ว่า ควรจะประพฤติตนอย่างไร อันจะเป็นเครื่องช่วยให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เพราะว่าการปฏิบัติธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ มีการงานสมบูรณ์ มีความสุขสมบูรณ์ต่อไป

ชีวิตมนุษย์ กับ ธรรมะต้องอยู่ด้วยกัน ขืนแยกออกจากกันเมื่อใดแล้วมันก็ไม่มีราคา แต่ถ้ายังมีธรรมะคุ้มครองจิตใจอยู่ตราบใด อะไรๆก็จะดีขึ้น

ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร เป็นพระ เป็นชาวบ้าน เป็นทหาร เป็นตำรวจ หรือเป็นอะไรก็ตาม ต้องเป็นด้วยธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะเข้าประกอบแล้ว การเป็นก็ไม่สมบูรณ์ แม้เป็นผัวเป็นเมีย นี่ก็ต้องเป็นด้วยธรรมะ ไม่ได้เป็นด้วยการอยู่นอนกันอย่างเดียว ไอ้การอยู่นอนกันนั้น สัตว์เดรัจฉานมันก็เป็นได้ มนุษย์เราเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็ตรงที่มีธรรมะเข้าประกอบ

คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า สิ่ง ๔ ประการ
คือ
การกินอาหาร
การเสพเมถุน
การหลับนอน
การสะดุ้งกลัวภัย
สี่อย่างนี้เหมือนกันทั้งในมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน

สัตว์เดรัจฉานก็กินอาหารตามประเภทของมัน มีการเสพเมถุนเพื่อสืบพันธุ์ต่อไป มีการหลับนอนพักผ่อน มีการสะดุ้งกลัวต่อภัยอันตราย

มนุษย์เราก็มีการกินอาหาร มีการหลับนอนพักผ่อน มีการเสพเมถุนเพื่อสืบพืชพันธุ์ มีการสะดุ้งกลัวต่อภัยอันตราย เพราะฉะนั้น ในสี่ประการนี้ มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานนั้น แตกต่างกันที่ว่า มนุษย์มีธรรมะ สัตว์เดรัจฉานไม่มีธรรมะ มนุษย์เป็นผู้ประพฤติธรรมะ สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ประพฤติธรรม ความเป็นมนุษย์จึงอยู่ที่การมีธรรมะ พอเอาธรรมะออกจากใจ ก็เป็นได้อย่างมากเพียงคนเท่านั้นเอง ไม่ถึงความเป็นมนุษย์

คนแปลว่า “เกิดมา” เท่านั้นเอง มาจากคำว่า “ชน” แปลว่า “เกิด” พอเกิดออกมาก็เรียกเป็นคนได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นมนุษย์

มนุษย์ต้องมีการอบรมบ่มนิสัย สร้างเสริมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะคำว่า มนุษย์ นั้น เขาแปลว่า ผู้มีใจสูง มะนะ แปลว่า ใจ อุษยะ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า สูง เอามารวมกันเข้าเลยเรียกว่า มนุษย์ แปลว่าผู้ใจสูง

ถ้าใจต่ำก็เป็นได้แต่เพียงคน ไม่ถึงขั้นเป็นมนุษย์ ถ้าเราเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ ก็ต้องยกจิตใจให้สูงไว้

จิตใจจะสูงก็เพราะอาศัยเครื่องค้ำ เช่น ของสูงมันมีเครื่องค้ำ ถ้าไม่มีเครื่องค้ำมันก็หล่นลงมาเท่านั้นเอง สภาพจิตใจคนนี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรค้ำจุนไว้มันก็สูงอยู่ไม่ได้ ตกลงไปในปลักในตมของกิเลส จึงต้องมีศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจ

ศาสนาก็เป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจ วัฒนธรรม ประเพณี ตัวบทกฎหมายอะไรๆที่มนุษย์บัญญัติแต่งตั้งขึ้น ก็เพื่อเป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจทั้งนั้น ถ้าไม่มีเครื่องค้ำจุนจิตใจ เป็นมนุษย์สมบูรณ์ไม่ได้ การเป็นมนุษย์ก็ต้องมีธรรมะ

การเป็นพระในพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้หมายความว่า โกนหัว โกนคิ้ว นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วจะได้ชื่อว่า เป็นพระ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ หามิได้ อะไรๆก็ตามจะต้องเป็นด้วยธรรมทั้งนั้น เป็นทหารไม่ใช่พอสวมเครื่องแบบแล้วก็จะเป็นกับเขาเมื่อไร ต้องมีคุณธรรมของทหาร เป็นตำรวจเป็นต้นก็ต้องมีคุณธรรมของตำรวจ คุณธรรมของข้าราชการ คุณธรรมของครู คุณธรรมของทุกคน

ทุกคนต้องมีธรรมทั้งนั้น ปราศจากธรรม อะไรๆก็ไม่สมบูรณ์. ทีนี้ ชีวิตของคนเรานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มนุษย์เราจะเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นในชีวิตนี้ มันได้ทั้งนั้น

เป็นกันที่ตรงไหน ? เป็นที่ใจ เราจะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ สัตว์นรกก็ได้ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นผี ได้ทั้งนั้น เป็นเทวดาก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ มันเป็นได้ด้วยอะไร ? เป็นได้ด้วยการมีคุณธรรม

ในทางศาสนาพูดถึงธรรมะทั้งนั้น ความเป็นนั้นมันอยู่ที่มีธรรม ถ้าไม่มีธรรมมันก็เป็นในทางตรงกันข้าม เช่น ความเป็นมนุษย์ ก็ตรงที่มีธรรมะค้ำจุนจิตใจ เขาเรียกว่า มนุษยธรรม คือ ธรรมะของมนุษย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษยธรรมมีอะไรบ้าง ? อย่างน้อยก็มี กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เช่น เป็นผู้ไม่ฆ่ากัน ไม่ลักขโมยกัน ไม่ประพฤติล่วงเกิดของรักของชอบกัน ไม่พูดโกหกหลอกลวง ไม่พูดคำหยาบเหลวไหล ไม่พูดคำที่ให้คนแตกจากกัน ไม่พูดแบบเพ้อเจ้อ เรียกว่า พูดพล่ามไม่ได้เรื่องอะไร ใจก็ต้องเป็นคนไม่โลภ อยากได้ของใครๆ ไม่โกรธต่อใครๆ ไม่หลงในเรื่องอะไรๆ อย่างนี้ ก็เรียกว่ามีมนุษยธรรม มีคุณธรรมของความเป็นมนุษย์

ความเป็นสัตว์เดรัจฉานมันอยู่ที่ตรงไหน ? อยู่ที่ความโง่ นั่นเอง ความโง่นั่นแหละ คือสัตว์เดรัจฉาน

เวลาเราทำอะไรโง่ๆ พูดแบบโง่ๆ ไปสู่สถานที่ไหนแบบโง่ๆ เราก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น การไปสู่ที่เหลวไหลเราก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเที่ยวตามซ่อง ตามบาร์ ตามไนต์คลับ นี่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์ไป สัตว์เดรัจฉาน มันไป เดินสองขาแต่ใจมันสี่ขา ไปเที่ยวไม่เข้าเรื่อง ไปอย่างโง่ๆ ไม่ได้เรื่องอะไร

แม้เรากินเหล้า สูบกัญชา ยาฝิ่น เฮโรอิน นี่ก็จิตมันเป็นเดรัจฉาน เพราะว่าไปเสพอย่างโง่ๆ ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกินต้องดื่มอย่างนั้น ไปกินมันทำไม ไปดื่มมันทำไม ไปกินไปดื่มก็เพราะความโง่ ความโง่คือสัตว์เดรัจฉานพวกขวางโลก

เดรัจฉานเขาเรียกว่าพวกขวางโลก รูปร่างมันขวางโลก มนุษย์นี่ไม่ขวางโลก เพราะมันขึ้นตามรูปสูงของโลก เมื่อจิตใจของเรามันขวางๆรีๆ ละก็ เป็นเดรัจฉาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นสัตว์นรกมันเป็นอย่างไร ? นรกไม่ได้เป็นขุมๆ เหมือนอย่างที่เขาเขียนภาพไว้ ภาพที่เขาเขียนไว้นั้นมันเป็นภาพให้เห็นชัด เป็นแบบสาธิตของเมืองนรก มีต้นงิ้วหนามยาวตั้งศอกสองศอก มีคนปีนขึ้นไปหนามตำ เป็นเรื่องของความร้อนอกร้อนใจ
เวลาใดที่เรามีความร้อนอกร้อนใจ เพราะมัวแต่คิดโง่ๆ ทำโง่ๆ นั่นแหละมันตกนรกแล้ว ร้อนใจ นี่เขาเรียกว่ามันตกนรก
นอนบนแผ่นเหล็กแดง นอนที่สบายแต่มันร้อนอบอ้าว ร้อนอย่างนี้ไม่ตกนรกดอก มันเป็นธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ เกิดความร้อนอกร้อนใจเพราะอะไร ? ร้อนเพราะราคะ ร้อนเพราะโทสะ ร้อนเพราะโมหะ เพราะความริษยาพยาบาท นี่มันตกนรกแล้ว นั่นแหละที่เขาเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น คนที่ทำชั่วให้ตัวร้อนใจ เขาเรียกว่า ตกนรกทั้งเป็น คือร้อนอกร้อนใจอยู่ตลอดเวลาไม่สบายใจ เขาเรียกว่าเป็นสัตว์นรก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็น เปรต น่ะเป็นอย่างไร ? ภาพที่เขาเขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์ เปรตที่ท้องโตเท่าตุ่มสามโคก ปากเท่ารูเข็ม ต้องกินตลอดเวลา ของแข็งๆ ก็กินไม่ได้ ต้องเป็นน้ำ หยอดเข้าไปทีละน้อยๆ ปากเท่ารูเข็มจะกินได้อย่างไร กินไม่รู้จักอิ่ม เป็นภาพแสดงถึงความหิวไม่รู้จักอิ่ม กระหายไม่รู้จักอิ่ม ความไม่รู้จักพอนั่นแหละคือความเป็นเปรต

การคอรัปชั่นนั่นแหละคือเปรตละ คอรัปชั่นกินสินบาท กินสินบน อะไรต่างๆ กินอิฐ หิน ปูน ทราย ถนนหนทาง กินรถไฟ กินรถถัง กินเครื่องบิน กินปืนใหญ่ กินปืนน้อย เขาเรียกว่า พวกเปรต ทั้งนั้น ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

พวกคอรัปชั่นไม่ว่าประเภทใด เขาเรียกว่า เปรต หรือเวลาใดที่เราหิว หิวในกามคุณ อยากข้าวอยากน้ำนี่ไม่เป็นเปรต แต่ถ้าอยากกินให้อร่อย อยากกินนั่นกินนี่กินที่แปลกๆ มันก็เป็นเปรตไปเหมือนกัน

ถ้าอยากธรรมดาท้องมันแสบ เรื่องธรรมชาติต้องการนี่ไม่ถึงกับเป็นเปรต

แต่ถ้ามีแล้วไม่อร่อยต้องกินนั่น กินนี่ อยู่กรุงเทพฯ ต้องไปกินถึงพัทยา กินถึงบางแสน บางปู เขาเรียกว่า กินแบบเปรต แบบนั้นอุตริกินไม่เข้าเรื่อง กินอาหารฮ่องเต้ กินกัน ๔ วันไม่รู้จักจบ กินเข้าไปทำไม นั่นแหละเขาเรียกว่า กินแบบเปรต ไม่ได้เรื่องอะไร

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โกงเงินคนแก่ไร้ที่พึ่งระบาดถึงเชียงใหม่ (เป็นต้น)

16 ก.พ. 61 เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเขต 5 (ป.ป.ท.เขต 5 ) ลงพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมหลังตรวจพบผู้ได้รับเงินช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่งถึง 500 ราย อาจมีทุจริตอ้างชื่อเบิกเงินหลังพบพิรุธในอำเภอสันกำแพงและสันป่าตอง

http://www.thaipost.net/main/detail/3257

:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2018, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็น ผี น่ะ เป็นอย่างไร ? ความคิดที่จะไปหลอกไปต้มเขาละก็เป็นผีทั้งนั้น ที่วัดนี่ก็มีผีมาหลอกบ่อยๆ เคยมาหลอกผมบ่อยๆ คราวหนึ่งมากัน ๓ คน เป็นเด็กหนุ่มๆ ทั้งนั้น มายืนทำกระมิดกระเมี้ยนอยู่หน้ากุฏิ

เรามันคนขี้สงสารคนก็เลยถามว่า เรื่องอะไรไอ้หนู ผมมันไม่สบาย อยากจะให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้หน่อย นึกว่าจะรดให้มันสมน้ำหน้าหน่อย เลยให้เณรไปเอาน้ำมาถังใหญ่ บอกว่า นั่งลง เลยรดซะเปียกเหมือนลูกแมวตกน้ำไปเลย รดแล้วมันไม่ไป ยังเที่ยวกระมิดกระเมี้ยนอยู่อีก เอ้า รดแล้วทำไมไม่ไปละ ผมยังมีธุระกะหลวงพ่ออีก ต้องขึ้นไปบนกุฏิหน่อย ว่ายังนั้นเถอะ พอขึ้นมาบนกุฏิ นั่งแอบๆ หน่อย ถามว่า เป็นอย่างไร

ผมขับรถไปชนเขาตายเมื่อคืนนี้ เอ้าตายแล้วยังมาเที่ยวเดินอยู่แถวนี้ เดี๋ยวตำรวจจับเอานะ บอกว่าผมไปเอาของเขามาด้วย อะไรล่ะ นี่ครับสายสร้อยบ้าง สายสร้อยคอ สายสร้อยมือ เส้นใหญ่ๆเอามาจากไหนนี่ เอามาจากคนที่ตายเมื่อคืนครับ

ทำไมเอามาให้ฉันดูล่ะ เอามาให้หลวงพ่อเอาไว้ ผมได้สตางค์แล้วจะหนีต่อไป เลยบอกว่าไม่ได้ดอก ฉันมันไม่ใช้ ไม่รู้จะประดับตรงไหน ประดับอย่างไร ให้ลูกศิษย์แขวนก็ได้ อึ ไม่ได้ ลูกศิษย์แขวนมันยั่วตาขโมย เดี๋ยวจับลูกศิษย์ไปเรียกค่าไถ่ ฉันเดือดร้อนอีก เลยบอกว่าไหน ฉันขอจับดูหน่อยสิ เบาหวิวเลย ทองอะไรก็ไม่รู้ นึกในใจว่า ไอ่นี่มันเป็นผีมาต้มกูอีกแล้ว เลยบอกว่าเธอรีบไปเสีย ตำรวจมาที่กุฏิฉันบ่อยๆ เดี๋ยวมาเจอเธอเข้าจะเดือดร้อน แล้วมันก็ไปเท่านั้นเอง นี่เขาเรียกว่า ผีผู้ชาย

ผีผู้หญิงก็มี มีผู้หญิงมา มาถึงก็ทำหน้าเศร้าสร้อย ตกรถมาจากขอนแก่น คนปล้นเอาไปหมด ทำยังไง ขอค่ารถหน่อย ถามว่า เอาซักเท่าไหร่ ๕๐ บาท จะไปไหนล่ะ จะไปขอนแก่น เอ้า ไม่เป็นไร ฉันจะให้เด็กไปตีตั๋วที่ดอนเมือง ขึ้นรถไฟเลย

บอกไม่เอาเจ้าค่ะ จะไปรถยนต์ว่าอย่างนั้น ทำไมไปรถยนต์ไปรถไฟสบายกว่า อ้า นัดเพื่อนเขาไว้ เลยบอกไอ้นี่เอาอีกแล้ว มันลูกไม้เก่า บอกไปๆ เอาอีกแล้ว

มันมาหลายแบบ ไอ้พวกผีนี่มันมากันบ่อยๆ อย่างนั้นอย่างนี้ บางคนก็มาแบบใหม่ ลูกจะสอบไล่แล้ว สตางค์ไม่มี เอ้า เดือดร้อนเรอะ ไม่เป็นไร ฉันยินดีจะช่วยวันหลังมาใหม่ พรุ่งนี้ก็ได้ไปเอาชื่อมาจากโรงเรียนให้ครูใหญ่รับรองมา ฉันจะช่วยเต็มที่ เลยไป หายไปเลย
มันไม่มีโรงเรียนมันจะเอาชื่อมาได้ยังไง ลูกมันไม่ได้เรียนซักหน่อย นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ ผีละ ความคิดอันใดที่จะไปหลอกใครๆ หรือต้มใครๆ มันเป็นผีทั้งนั้น อย่างนี้มันก็เดือดร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ อสุรกาย เป็นอย่างไร ? พวกแอบๆ ซ่อนๆ ไม่ค่อยจะเปิดเผย ทำอะไรลับลมคมใน ขี้ขลาดไม่ค่อยออกที่แจ้ง หากินกลางคืนลับๆล่อๆ นี่เป็นพวก อสุรกาย นี่เป็นพวก ชั้นต่ำ พวกอบาย เขาเรียกว่า อบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นผี เป็นอสุรกาย เป็น สัตว์เดรัจฉาน เรียกว่า อบายภูมิ พวกชั้นต่ำ อยู่ในที่ต่ำ จิตตกต่ำไปกว่าระดับเดิม

ทีนี้ ถ้าสูงขึ้นมาก็เป็นมนุษย์ สูงจากมนุษย์ก็เป็นเทวดา เทวดาเป็นอย่างไร ? ใครอยากเป็นเทวดา ก็จะบอกให้ มันไม่ยากเย็นอะไรดอก เราไม่ต้องไปไหว้เทวดาดอก เป็นเองสะดีกว่า ที่คนไปไหว้เทวดาอยู่ไปไหว้ทำไม เทวดา เป็นซะเองดีกว่า
เป็นอย่างไรเทวดา ? เวลาพระสวดมนต์ โบราณตอนเย็นๆสวดมนต์ พอสวดมนต์จบก็ต้องย่ำฆ้อง ย่ำระฆัง ให้ญาติโยมชาวบ้านได้รู้ว่าสวดมนต์จบแล้ว

ตอนใกล้จะจบนี่ท่านสวดคาถาเทวดาว่า หิริโอตตัปะสัมปันนา สุกกะธัมมะสะมาหิตา ฯลฯ แต่ว่ายาวๆ หิ ริ โอต ตัป ปะ ฯลฯ เอาแล้วลูกศิษย์วัดวิ่งแย่งไม้กลองกัน เด็กวัดต้องแย่งกัน ตรงนี้แหละ มันภูมิใจว่าได้ตีฆ้องตีกลอง ต้องแย่งกัน พอเสียงลงว่า สะมาหิตา สันโตสัปปุริสา โลเก เทวธัมมาติ วุจจะเร ก็ตีกันโม้งเม้งๆ ว่ากันให้อื้ออึงไปเลย

คาถาเทวดาหมายความว่า บุคคลใดมีความละอายบาป มีความกลัวบาป มีกุศลกรรมบถ ๑๐ มีสัปปุริสธรรม ๗ ประจำใจ ผู้นั้น เป็นเทวดา มันไม่ยากเป็นเทวดา ทางมันมีเราก็เป็นได้ ไม่ต้องไหว้ เราเป็นซะเองดีกว่า นี่เป็นเทวดา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นพรหมก็เป็นได้ เป็นอย่างไรพรหม ? มีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์รู้จักพระพรหมไหม

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า รู้จักดี ไม่ใช่เพียงแต่รู้จัก ยังรู้ทางไปหาพระพรหมด้วย

พวกก็ถาม เอ๊ะ แล้วจะไปทางไหน พวกนั้น ไม่รู้นะเพราะเขาถือแค่บุคคล เพราะไม่ได้ถือบุคคลให้เป็นธรรมะ เรียกว่า พูดภาพคนซะเรื่อย ไม่ได้พูดภาษาธรรม

พระพุทธเจ้าท่านพูดภาษาธรรมะ เลยบอกว่า ฉันรู้ทางที่จะไปหาพระพรหมด้วย เขาก็ถามว่า ไปทางไหน

พระองค์ก็บอกว่า ประพฤติตนเป็นคนมีเมตตา มีกรุณา มุทิตา อุเบกขา สี่ประการนี้ เรียกว่า เป็นทางไปสู่พระพรหม เพราะฉะนั้น เราทุกคนก็เป็นพรหมได้ เมื่อเรามีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น มีจิตกรุณาสงสาร เมื่อเห็นใครเขามีความทุกข์ความเดือดร้อน มีมุทิตาความเพลิดเพลินในความดีของบุคคลอื่น ก็เรียกว่า คนมีน้ำใจในทางที่จะไปสู่พรหม

อันสุดท้าย เรียกว่า อุเบกขา ความวางเฉย วางเฉยนี่ หมายความว่า จะแผ่เมตตาก็ไม่ไหว กรุณาก็ไม่ไหว มุทิตาก็ไม่ไหว เราก็เฉยๆ (เฉยรู้ มิใช่เฉยโง่) เรียกว่าอุเบกขา นี่ก็เป็นพระพรหมแล้ว เป็นเทวดาชั้นพรหมแล้ว

จะยกฐานะให้สูงขึ้นไปกว่านั้นก็ยังได้ เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน ขั้นต้นเรียกว่า โสดาบัน ผู้ถึงกระแสธรรมแล้วก็ไปอีกขั้นหนึ่ง เรียกว่า สกิทาคามี อีกขั้นหนึ่ง อานาคามี อีกขั้นหนึ่ง พระอรหันต์ เป็นตามขั้นของการลดกิเลสที่มันกลุ่มรุมจิตใจ เมื่อลดกิเลสลงไปได้เป็นขั้นเป็นขั้น ก็ถึงขั้น อรหันต์.

นี้ว่าจิตของคนเรานี้จะเป็นอะไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “มะโนปุพพังคะมา ธัมมา - สิ่งทั้งหลายคือการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เกิดที่ใจ มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า” ความสุขก็อยู่ที่ใจ ความทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ความเสื่อมก็อยู่ที่ใจ อะไรก็อยู่ที่ใจ

ทีนี้ ใจคือความคิดนั่นเอง ใจของเรานั่นแหละมันสร้างอะไรแก่เราในชีวิตประจำวัน เรานั่งเป็นทุกข์เพราะเราคิดเรื่องเป็นทุกข์ เรานั่งหัวเราะเราคิดแต่เรื่องหัวเราะนั่นแหละ มันอยู่ที่ความคิดของเรา

แต่ว่าบางคราวคนเรามันโง่ ไปคิดแต่เรื่องกลุ้มใจ นั่งกลุ้มอยู่คนเดียว ความคิดอื่นมีตั้งเยอะแยะไม่คิดไปคิดแต่เรื่องกลุ้ม นี่เรียกว่าเป็นความเขลา ไม่รู้เท่าถึงการณ์ ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่รู้จักขบวนการของจิต ไม่รู้เหตุ รู้ผล รู้ต้น รู้ปลาย ของเรื่อง ไปคิดให้วุ่นวาย สร้างปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ จึงควรจะได้รู้เรื่องนี้ไว้ว่ามันอยู่ที่ธรรมะ จึงต้องเอาธรรมะมาใส่เข้าที่ใจของเรา เพื่อให้เราเป็นอะไร เช่น เราเป็นสามเณรก็ต้องมีธรรมะ เป็นพระภิกษุก็ต้องมีธรรมะ เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็ต้องมีธรรมะทั้งนั้น ขาดธรรมะก็ไม่ได้ หลักการมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรจะได้เข้าใจในเรื่องนี้ไว้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุผู้บวชเข้ามาใหม่ มีอันตรายเหมือนกัน อันตรายของพระใหม่มี ๔ ประการ ซึ่งควรจะรู้ไว้ ถ้าไม่รู้จักมันแล้ว เดี๋ยวมันลำบากเดือดร้อนต่อไป อันตรายของพระใหม่มี (ยาวลงหลักนิดหน่อยแล้วไปคิดต่อยอดเอาเอง)

๑. อดทนต่อคำสอนไม่ได้. เบื่อต่อคำสอน ขี้เกียจทำตาม เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงเลย อาจารย์ก็สอนอย่างนั้นสอนอย่างนี้ เคลื่อนไหวไม่ได้ ทำอย่างโน้นก็ผิด ทำอย่างนี้ก็ผิด ไม่ไหว นึกว่า จะบวชเข้ามาให้สบายสักหน่อย มีแต่เรื่องทำไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้น เรียกว่า อดทนไม่ได้ ทนต่อคำสอนไม่ได้ มันก็ลำบาก
ฯลฯ

๒. ประการที่สอง เป็นคนที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้. ในเรื่องนี้ก็สำคัญ เรื่องปากท้องนี่สำคัญ ท่านพุทธทาสบอกว่าใครไปไชยา แล้วถามถึงเรื่องอาหารการกินแล้ว ไม่เคยเห็นอยู่นานเลยสักองค์เดียว ถ้าไปถึงถามว่า อาหารการขบฉันเป็นอย่างไรละก็ คืนเดียวเผ่นทุกราย ไปถึงถามเรื่องการกินก่อนนี่เป็นห่วงแต่เรื่องท้อง บางองค์ไปถึงเห็นภูมิประเทศอะไรดี บอกแหมวัดนี้ ผมจะพักสัก ๗ วัน พอรุ่งเข้าขึ้นให้ฉันอาหารในบาตรเท่านั้น ไปแล้ว ผมมีธุระเสียแล้ว นี่มันเรื่องปากเรื่องท้อง ไม่ใช่เรื่องอะไรดอก
ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. ประการที่สาม อันตรายหนักไปกว่านั้นก็คือ เพลิดเพลินในกามคุณ อยากได้สุขยิ่งๆขึ้นไป.

คำว่า “กามคุณ” ไม่ได้หมายถึงว่า การอยู่ร่วมกับผู้หญิง มันหมายถึงอะไรทุกอย่าง ที่เขาเรียกว่ากามคุณห้า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งมันคู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
รูป คู่ กับ ตา
เสียง คู่ กับ หู
กลิ่นคู่กับจมูก
รส คู่ กับ ลิ้น
โผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่สัมผัสทางกายประสาท คู่ กับ กาย

สิ่งทั้ง ๕ ประการนี้ เรียกว่า กามคุณ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์น่าใครน่าปรารถนา อยากจะมี อยากจะได้ อะไรต่อมิอะไรมันอยู่ใน ๕ อย่างนี้ทั้งนั้น
อยากได้รถยนต์ ก็เท่ากับอยากได้รูป อยากได้โทรทัศน์ ก็เรียกว่าอยากได้รูปและเสียง
อยากได้น้ำอบน้ำหอมก็เรียกว่าอยากได้กลิ่น
อยากได้กินอาหารอร่อยก็เรื่องรสเรื่องชาติ
อยากจะได้จับต้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เป็นเรื่องโผฏฐัพพะ สัมผัสถูกต้อง มันอยู่ในกามคุณทั้งนั้น เรื่องของกามคุณทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ติดอกติดใจในสิ่งนั้นๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

มนุษย์เราไม่รู้จักพอ ถ้าไม่พอก็ไม่มีความสุข คนจนที่สุดในโลกก็คือคนที่ไม่รู้จักพอนี่เอง เราจะวัดความมั่งมีด้วยจำนวนตัวเลขไม่ได้ สมมติคนมีเงิน ๑๐๐ ล้าน ถามว่า ๑๐๐ ล้านนี่เป็นเศรษฐีใช่ไหม เขาก็บอกว่าผมยังจนอยู่ คนโน้นเขามี ๑๕๐ ล้าน คนโน้นมี ๕๐๐ ล้าน ยังไม่พอดอก แสดงว่าตัวเลขนี้วัดไม่ได้ แสดงว่า เมื่อไม่พอก็จนร่ำไป ถ้าพอรู้สึกว่าพอแล้วก็มั่งมี นี่แหละที่พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษ

สันโดษไม่ใช่แค่พระพุทธเจ้าสอนดอก พระเยซูคริสต์ก็สอน พระนาบีโมฮัมหมัดก็สอน ครูผู้สอนศาสนามักเป็นผู้สันโดษ นักบวชก็เป็นผู้สันโดษ ซึ่งหมายความว่าพอใจตามที่เรามีเราได้ สมมติว่า เราไปบิณฑบาตได้ข้าวกับกล้วยน้ำว้า ๓ ผล เราพอใจฉันข้าวกับกล้วยน้ำว้าได้ แต่ถ้าหากเราได้ข้าวได้กล้วยได้ไข่ เรายังไม่พอใจ อยากจะได้หมูสักชิ้น อยากได้ไอ้นั่นไอ้นี่ ก็เป็นทุกข์กับไปด้วยความไม่พอใจ เพราะเราเป็นคนยากคนจน เศรษฐีกินอาหารเต็มโต๊ะ แต่ถ้าไม่พอใจก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ากินด้วยความพอใจก็เป็นสุข

เมื่อสมัยเด็กๆ ครูเคยให้เรียงความ เรื่องซินแสคนหนึ่งให้ครูสอนลูกชาย ครูที่ไปสอนนี้เขาเลียงอาหารกลางวัน เวลาเลี้ยง ครูก็กินไปบ่นให้ลูกชายเศรษฐีฟัง บอกไม่มีรสชาติอย่างนั้นอย่างนี้
ลูกชายก็ไปบอกพ่อ ว่าครูบ่นว่ากับข้าวที่พ่อเลี้ยงไม่อร่อยเลย เศรษฐีอยากจะสอนครูสักหน่อย เลยวันหนึ่งเรียกครูมาคุย คุยจนกระทั้งเลยเวลาอาหาร แกก็หิว ดังนั้น แล้วเศรษฐีก็ให้เอาอาหารมาเลี้ยง เอาข้าวกับแกงเลียงหรือแกงจืดมากินกัน

ครูก็กินใหญ่ด้วยความหิวอย่างเอร็ดอร่อย พอกินเสร็จแล้ว เศรษฐีก็ให้ยกเอากับข้าวอย่างดีออกมาอีก ครูก็ตบท้อง นึกในใจว่ากินไม่ไหวแล้ว
เศรษฐีก็เลยบอกว่า อาหารมันอร่อยที่ตรงหิว ความหิวนั่นแหละเป็นน้ำซ้อสอย่างดี ถ้าไม่หิวแล้ว มันกินไม่ลง

ฉะนั้น เราก็ควรจะกินเมื่อร่างกายต้องการ ถ้ากินมากไปมันก็เป็นปัญหา ในขณะใดที่เราคิดอยากจะมีนั่นมีนี่มันเป็นทุกข์ ความอยากนี่แหละเป็นความทุกข์ เราต้องพอใจไว้ก่อน นั่งตรงนี้นั่งด้วยความพอใจ รถยนต์คันนี้ ถึงมันจะเก่าปุโรทั่งทั้งคัน เราก็พอใจ เพราะมันขับไปถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน เราก็สบายใจ

แต่ถ้าเรามองรถแล้วมองเห็นรถคนอื่นก็อดรำพึงไม่ได้ว่ามันแย่ นั่งด้วยความทุกข์ตลอดเวลา นั่งเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ จะกินหรือนุ่งห่มก็เป็นทุกข์ ก็เพราะไม่สบายใจ พอใจแล้วก็สบาย ไอ้ปัญหาเรื่องความพอใจนี่มันไม่จบง่าย เราต้องจำกัดว่าเท่าไรพอ แม้การอยู่บ้านอยู่เรือนก็เหมือนกัน ต้องจำกัดการเที่ยวการเล่น ความสนุกสนาน ต้องมีสถิติจำกัดลงไปหน่อย ถ้าไม่มีการจำกัดลงไป ไม่มีการจำกัดเลย สังคมก็วุ่นวาย คนไทยเราไม่ค่อยประพฤติตาม ไม่ค่อยได้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ จึงยุ่งด้วยปัญหาร้อยแปด

ถ้าเราเอาธรรมะมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ชีวิตก็สบาย การเงินการทองจะไม่เดือดร้อน ผ้านุ่งผ้าห่มเท่าที่จำเป็น เรียกว่า สันโดษ คือ พอใจตามที่เราได้

คนบางคนไม่เข้าใจเรื่องสันโดษ กลับไม่ชอบ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะของพระศาสนา แกบอกพระว่า อย่าไปสอนเรื่องสันโดษ คนมันจะขี้เกียจไม่ทำงาน พระก็อึดอัดเต็มทีในสมัยนั้น ก็นึกว่า จอมพลสฤษดิ์ ไม่ได้ความแล้ว สันโดษไม่ใช่ให้คนขี้เกียจ คนขี้เกียจคือคนไม่สันโดษ เช่น ให้ถางหญ้า มันไม่พอใจในการถางหญ้า หาเรื่องไปรดน้ำต้นไม้ พอให้รดน้ำต้นไม้ มันกลับไปเลี้ยงสัตว์ พอให้ไปเลี้ยงสัตว์ มันไปกวาดบันได้เสียแล้ว มันไม่สันโดษไม่พอใจ คนสันโดษเขาพอใจ เช่น ขุดดินขึ้นมาหนึ่งก้อนเขาพอใจ พอขุดขึ้นมาอีกก้อนเขาก็พอใจ ทำอยู่เช่นนั้นแหละไม่ไปไหน เพราะเขาพอใจในการกระทำนั้น คือการสันโดษ เป็นการพอใจในหน้าที่การงาน ไม่ทิ้งงาน

คนจับจด ทำงานกับบริษัทนี้ ๒ เดือน แล้วย้ายอีก แสดงว่า เป็นคนไม่สันโดษ แล้วจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เราทำอะไรต้องให้มั่นคง จับให้มั่นคั้นให้ตาย ทำให้จริงๆ พอใจทำงานนั้น ความพอใจจะไม่เกิดถ้าขาดความอดทน
บางคนทนไม่ได้ ถูกนายดุนิดหน่อยทนไม่ได้ หาว่านายดูหมิ่น ทนไม่ไหว ไปเสียเลย เป็นคนเอาตัวไม่รอดเพราะไม่สันโดษ ไม่พอใจ

สันโดษไม่ได้ทำให้คนเสีย ไม่ทำให้ชาติล่มจม แต่จะพาให้งานก้าวหน้า ชาติก้าวหน้า คนทุกคนพอใจในหน้าที่ในการงาน แต่เพราะบางคนไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ คิดว่า สันโดษ คือ ความขี้เกียจ
คนขี้เกียจนั่นแหละ คือ คนไม่สันโดษ การที่จะไม่เพลิดเพลินในกามคุณ ก็ให้เราพอใจในสิ่งที่เรามี เราได้ ในขณะนี้ เมื่อยังไม่มีสิ่งอื่นมา เราก็ต้องพอใจไปก่อน หลักมันเป็นอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. อันตรายอีกข้อหนึ่งเป็นข้อสุดท้ายว่า รักผู้หญิง. นี่เป็นอันตรายใหญ่เลย เป็นพระก็ทนไม่ได้ เป็นพระใหม่ยิ่งอึดอัด เป็นห่วงแฟน ภรรยาน่ะไม่เท่าไหร่ดอก มีลูกเต้าแล้ว คนที่มั่นหมายตาไว้นี่ซิมันหนักหนาเลย กลัวเพื่อนจะมาแยงไป ช่างเขาเถิด เขาจะเอาไปก็ช่างเขา จะไปทุกข์ร้อนทำไม่ ไม่เข้าเรื่อง
ถ้าเขาดีเรากอนุเคราะห์ไปตามเรื่อง ถ้าเขาเปลี่ยนใจ เราก็ว่าช่างหัวมันปะไร จะไปมีอะไร อย่าไปยึดถือ แต่ถ้ามีธรรมะ ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องประกอบ ไม่ได้ อันตราย สตรีเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์หนักหนา ฤๅษีบำเพ็ญตบะห้อยหัวอยู่กับต้นไม้ หลับตาจนหนวดเครายาว นกกระจาบจะมาทำรังแล้ว ยังแพ้ผู้หญิง

มีเรื่องเล่าว่า พระราชาต้องการฤๅษีองค์นี้มาทำพิธีบูชายันต์ เป็นพิธีกร แกไม่ยอมาท่าเดียว ก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ผู้หญิงคนหนึ่งรับอาสาว่า เรื่องกล้วยๆ ให้ไปสร้างกระท่อมให้ดิฉันบริเวณนั้น แล้วก็ให้มีเครื่องประดับประดาให้เรียบร้อย แล้วก็ให้ดิฉันอยู่คนเดียว มีสาวใช้อีกสักคน

พระราชาก็ถามว่าทำอย่างไร ตื่นเช้าก็เอาน้ำผึ้งไปขวดหนึ่ง เดินไปที่ฤๅษีห้อยหัว พอไปถึงก็รินน้ำผึ้งใส่ฝ่ามือเช็ดปากฤๅษี อะไรมันมาเปียกที่ปาก เลยมันก็ต้องเลีย ฤๅษีก็เลีย พอเลียมันก็หวาน ก็ไม่ว่าอะไร

อีกวันก็เอาไปทาอีก ก็ว่าเอ๊ะ อะไรนี่ แต่ก็ยังไม่ลืมตา

วันที่สามที่สี่ไปทำอีก ชักทนไม่ได้ว่าอะไร มาเช็ดปากกู หรือนกอะไรบินผ่านลืมตาดูหน่อย

แม่คนนั้น แกไม่นุ่งผ้าเสียด้วยซิ แล้วแกก็ไปยืน มันตรงพอดีกับนัยน์ตาฤๅษี ตรงของดีว่าอย่างนั้นเถอะ ฤๅษีก็ลืมตา อะไรน่ะ ลืมตาขึ้นก็เห็น พอลืมตาขึ้นมา ก็ฌานเสื่อมเลย กระโดดผลุงลงมา ถามว่าเธอเป็นอะไร เป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นเพชรพญาธร

ก็ดิฉันเป็นดิฉัน เป็นผู้หญิงธรรมดา

แล้วเธอทำหน้าที่อะไร

เป็นโยคีค่ะ

โยคีประเภทไหน

ประเภทมีความสุขทางเนื้อทางหนัง

แล้วอาศรมของเธอล่ะ

อยู่ตรงนั้นใกล้ๆ เชิญไปเที่ยวที่อาศรมของฉันบ้างซิ

ฤๅษีก็ไปเท่านั้น นางก็จูงมือไปให้พระราชาได้ นี่แพ้ แพ้อามิสนี่เอง

รูปภาพ


ไอ้เรื่องอามิสนี่สำคัญ ล่อคนตาย สัตว์ป่าถูกล่อได้นา เขาเล่าว่า กระทิงสวยงามตัวหนึ่ง อยู่ในป่า พระราชาไปประพาสป่าเห็น อยากได้เอามาเลี้ยงไว้ ไม่ได้เอามาฆ่ามาแกงอะไร แต่จับมันไม่ได้มันเปลี่ยว

ปุโรหิตบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องยาก จับได้ ขอน้ำผึ้งสักร้อยปี๊บ เอาไปเที่ยวพรมไว้ตามยอดหญ้าที่กระทิงกันแถวนั้น กระทิงกินหญ้า มันหวาน แล้วก็พรมมาเรื่อยๆ ทำเป็นทางกว้าง แต่แรกเอาเสื่อรำแพนทำ เอาหญ้าปกไว้ เอาน้ำผึ้งไปพรมๆ มันก็กินมาเรื่อยๆกินมาจนถึงทางแคบ เข้าถึงนั่น เขาปิดเสียเลย ปิดเสียแล้ว เขาต้อนเข้าโรงเสียเลย ขังไว้ที่นั่นจับไว้ได้ นี่อามิส - เครื่องล่อ

เครื่องล่อก็คือ รูปเป็นเครื่องล่อ เสียงเป็นเครื่องล่อ กลิ่น รส สัมผัส นี่เป็นเครื่องล่อใจให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น
อันนี้ เราจะต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร ? เจริญกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานห้า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ น่ะ พิจารณาผมไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ มันเหม็นสาบ ฟันนี่ก็ไม่น่ารัก ผิวหนังก็แหม เหงื่อไคลออกมาสกปรก ในตัวคนนี้เหมือนไหปลาร้า มีแต่ของบูดของเน่า ออกมาทางรูไหนมันก็ไม่ได้ความทั้งนั้น เมื่อพิจารณาใจมันสงบ
เวลาใดใจนึกถึงเรื่องอย่างนั้น ต้องทำกัมมัฏฐาน พิจารณาแยกแยะ วิเคราะห์วิจัย อารมณ์มันก็สงบลงไปได้ ไม่เป็นไร เรียกว่า เอาชีวิตรอด

เราเข้ามาฝึกอบรมเพื่อให้เข้มแข็ง หนักแน่น จะได้มีปัญญาออกไปต่อสู้กับปัญหาชีวิต ซึ่งจะต้องประสบพบเห็นอีกมากมายก่ายกอง

นี่อันตรายของภิกษุบวชใหม่ เก่าก็เป็นอันตรายเหมือนกัน เก่ามันรู้มานานแล้วเลยอยู่ได้ ความจริงมันก็เป็นอันตรายเหมือนกัน แต่ว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ก็เลยไม่เป็นอันตราย.

(จบคร่าวๆพอได้เค้าเท่านี้ จากหนังสือนี้ หน้า ๓๑)

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/2d8 ... s=614x1024

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 ก.พ. 2018, 12:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สันโดษ ความยินดี, ความพอใจ, ยินดีด้วยปัจจัย ๔ คือ ผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร ที่นอนที่นั่ง และยา ตามมีตามได้, ยินดีในของของตน, การมีความสุขความพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ด้วยความเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใคร

สันโดษ ๓ คือ

๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่เดือดร้อนเพราะของที่ไม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น ไม่ริษยาเขา

๒. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง คือพอใจเพียงแค่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและขอบเขตการใช้สอยของตน ของที่เกินกำลังก็ไม่หวงแหนเสียดาย ไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน

๓.ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร คือพอใจตามที่สมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะกับสมณภาวะหรือได้ของใช้ที่ไม่เหมาะกับตนแต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็นำไปมอบให้แก่เขา เป็นต้น

สันโดษ ๓ นี้ เป็นไปในปัจจัย ๔ แต่ละอย่าง จึงรวมเรียกว่า สันโดษ ๑๒


อามิส เครื่องล่อใจ, เหยื่อ, สิ่งของ

นิรามิษ, นิรามิส หาเหยื่อมิได้, ไม่มีอามิสคือเหยื่อที่เป็นเครื่องล่อใจ, ไม่ต้องอาศัยวัตถุ

นิรามิสสุข สุขไม่เจืออามิส, สุขไม่ต้องอาศัยเครื่องล่อหรือกามคุณ ได้แก่ สุขที่อิงเนกขัมมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร