วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อาตมามีประสบการณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เราจะต้องรับใช้
เมื่อเรามีจิตมีปัญญาเกิด จะรู้กฎแห่งกรรมทันที จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เวรกรรมตามสนองอาตมา จึงรู้บุญบาป เมื่อก่อนนี้อยู่กับยาย
อาตมาไม่สนใจกับพระตลอดกาล เวลาไปวัดหาบของไปทำบุญที่วัด
ยายก็ต้องให้เก็บเอาก้อนดินไปด้วย ใส่กระบุงไปข้างละ ๓ ก้อน
ไปถึงวัดแล้วให้ไปโยนไว้ที่มันเป็นบ่อ เป็นหลุมอยู่ในวัด ยายบอกได้บุญ
อาตมาบอกว่าคนอื่นเขาไม่หาบดินไปวัดกันหรอก มีบ้านเราบ้านเดียวอายเขาตาย
ยายบอกว่าเราไปวัดเหยียบดินติดเท่ามานี่เป็นกรรมนะ เป็นบาป ใช้หนี้สงฆ์
เป็นหนี้สงฆ์มากเป็นบาปเป็นกรรม แต่แกก็ไม่ได้อธิบาย
เขาเล่ากันมาอย่างนี้แกก็จำมาอย่างนี้ ก็ทำมาอย่างนี้ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ว่าไม่บาป
บาปได้ยังไงเหยียบแค่นิดเดียวพระก็ถมเอาเองซิ นี่คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างนี้
แต่คนรุ่นเก่าถือนักถือเชื่อเข้าไว้ก่อนมันมีประโยชน์ มันได้กำไรชีวิต คือเชื่อกฎแห่งกรรม

อาตมาเป็นเด็กเมื่อมาบวชใหม่ ๆ ไปบ้านญาติที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ
เขากินเหล้ากัน พอเห็นพระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย เอาหล้าแอบเลย ยังกลัวบาปนะ
เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก แถมงานศพเล่นไพ่หน้าศพอุทิศส่วนกุศล
แล้วพระก็สวดไป ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปกรรมแต่ประการใด
เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอนเข้าใจอย่างนี้


สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ


ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ
แล้วเราก็เอาไปทานเสียเองทั้งคาว ทั้งหวาน แล้วก็บอกว่าไปถวายสมภาร
เดินจากบ้านไปไม่มีรถหรอก เดินไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร
อาตมาไปก็ไปเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างความดีมาด้วยกัน หนีโรงเรียนกันสะบัด
เพื่อนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย เราก็นึกเลยว่าจะเอาไปให้พระทำไม
เราก็ยังไม่ได้กินเลย พรรคพวก ๔-๕ คนด้วยกัน ก็เห็นด้วย
เลยตั้งวงกินกันเสียเลยเรียบร้อยล้างปิ่นโตเสร็จกลับบ้าน
ยายถาม ไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่าผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอก
ให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ
รับพรสมภารมาแล้วก็มาบอกยาย
ยายจะได้ชื่นใจแล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย

วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิด ก็แบบเดิม
กินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า “เจอสมภารมั้ย” เจอครับ
รับพรเสร็จผมก็มา แท้ ๆ สมภารดันมาอยู่บนบ้านเรา มาไม่บอกเราเลย
มานั่ง นั่งตั้งนานแล้ว วันนั้นสมภารไปฉันบ้านใต้
ฉันเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับยาย แวะมาเยี่ยมยาย เราไม่รู้ ไม่บอกเรา
เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยม
แต่อาตมารำคาญ พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป
ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ
ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง
เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น
เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเราแต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้


โกงค่าเรือจ้าง

ในเวลากาลต่อมาไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์
อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก


ยิงนก-หักคอ-หักขานก

ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้ว
ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืน ไปยิงนก
เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด
บอกกับโยมว่าจะไปติดวิชาตอนโรงเรียนปิด อยู่สัก ๗ วันจะกลับมา
ขอสตางค์สัก ๑๐๐ แม่ก็ให้ตังค์ไป เราจะเอาปืนไปได้ยังไง
ก็เอาที่นอนไปด้วยเอาเสื่อออกมาเอาปืนไว้ข้างใน
เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่งตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา
พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน
เราไม่ทราบว่ามันจะมีบาปกรรมแต่ประการใด
ล่วงมาอีกวันหนึ่ง ก็ไปยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้เราก็ขับมัน
เหนื่อยมาก แล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย
นกก็ดิ้นร้องไห้ตาย สรุปให้ฟังที่อาตมาทำบาปกรรม

ต่อมาได้บวชในพระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส
ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ก่อนที่จะบวชก็ไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ
ไปอยู่โรงเรียนหลายโรงเรียนอยู่วัดก็ตั้งหลายวัด
พอเสร็จจากเรียนหนังสือก็มาบวช กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียว
ท่องเรียนหนังสือไปจนจบหลักสูตร ก็ไปเจริญพระกรรมฐานออกป่าดงพงไพร


:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว

เริ่มมารักษาการเจ้าอาวาสที่วัดนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐
ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี่ ก็เริ่มใช้กรรมมาตามลำดับ
โดยที่ว่าในปีต่อมาใช้เรื่องก๋วยเตี๋ยวก่อน เรามานั่งสมาธิของเรา
มันก็เกิดไปเข้าญาณวิถีของเขาชื่อว่า นางกลุ่ม นางกลุ่มมีสามีชื่อตากิ๊ม
เขาไม่รู้ว่าเราโกงก๋วยเตี๋ยวเขา แม่กลุ่มกับตากิ๊มเกิดฝันพร้อมกัน
ฝันว่าเทวดามาบอกว่าถ้าต้องการให้ลูกชายหายเกเร แล้วกลับมาเรียนหนังสือละก้อ
ให้ไปตามลูกชายมาแล้วให้ไปบวชเณรที่วัดอัมพวัน รับรองแก้ได้แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โยมกลุ่มก็เอาลูกมา ตากิ๊มมาด้วย
อาตมาก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาเดินขึ้นมาสามคน
บอกว่าจะเอาลูกมาฝากบวชเณร อาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่บวชที่วัดอื่น
โยมกลุ่มก็เลยเล่าให้ฟังว่าที่พาลูกมานี่เพราะฝันไปว่า
เทวดามาบอกว่าให้มาบวชที่นี่ ช่วยรับไว้หน่อย

เรานึกแล้วว่าจะต้องได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวเขาแน่ แต่ไม่บอกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้
แล้วก็จัดการส่งโยมทั้งสองกลับแล้ว ก็จัดแจงโกนหัวเลย
เรามีเรือยนต์ลำหนึ่งก็วิ่งไปตามพระอุปัชฌาย์ ซื้อผ้าไตร ซื้อรองเท้า
ซื้อเสื่ออ่อน ซื้อบาตร ซื้อร่ม ทั้งหมด ๒๐๐ บาท
แล้ววิ่งไปหาอุปัชฌาย์บอกเอาเด็กมาบวชเณรครับ
บวชเสร็จแล้วก็กลับมาให้นั่งกรรมฐานเดินจงกรม

พอได้ ๗ วัน ก็เลยเล่าเรื่องเของอาตมาให้เณรฟังว่าอาตมานี่โกงค่าก๋วยเตี๋ยวแม่เจ้า
แม่เจ้าก็ไม่รู้ แล้วไอ้ผ้าไตรที่นะ อะไรต่ออะไร ๒๐๐ นี่
กระซิบบอกแม่นะบอกว่าเจ๊ากันไปนะ ไม่ต้องเอามาให้ ถือว่าใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวกันไป
พอเล่าเสร็จแล้วเณรบอกว่าผมเกิดศรัทธาเสียแล้ว ก็ตั้งใจปฏิบัติ

ต่อมาก็ขอสึกว่าจะไปเรียนหนังสือแล้ว ก็สอบได้ในปีนั้น
แล้วไปเป็นทหารอากาศต่อมาก็ได้เลื่อนเป็นนายทหารอากาศไปเลย

นี่คือใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่ได้ใช้ในชาตินี้ก็ต้องใช้ดอกชาติหน้านะ กฎแห่งกรรมมีจริง
แต่กฎแห่งกรรมที่อาตมาประเมินผลและได้ประสบการณ์มารู้ล่วงหน้าได้
เพราะใช้สติระลึกก่อนเป็นตัวรู้ล่วงหน้า ตัวสัมปชัญญะตัวผลักดัน
ทำให้แก้ไขเหตุการณ์ได้ทันเฉพาะหน้า เรียกว่า ตัวสัมปชัญญะ
ที่อาตมารู้นี้ก็เนื่องจากว่าเราเจริญสมาธิ เจริญสติอยู่ตลอดเวลา
ขอให้ท่านไปพิจารณาด้วยตนเอง ด้วยเจริญกุศลภาวนาไปเรื่อย ๆ
ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่าง เวลาที่ท่านทำงานก็ภาวนาไป
หูได้ยินเสียงภาวนาไว้ เขียนหนังสือภาวนาไว้ ตั้งสติไว้ตลอดกาล
กรรมฐานมีความสำคัญต่อหน้าที่การงาน

ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งเจริญภาวนาโดยไม่ได้ขาด
แล้วก็มีการอโหสิกรรม และแผ่เมตตา ขอให้ท่านเอาไปใช้กันทุกท่าน
ก่อนที่จะแผ่เมตตาออกไปต้องอโหสิกรรมก่อนนะ
ถ้าไม่อโหสิกรรมออกก่อนท่านจะแผ่ไม่ออก อโหสิกรรมให้ใจสบาย
ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร แผ่เดี๋ยวนั้นถึงเดี๋ยวนั้น
แล้วก็มีการรับตอบด้วยนะ อันนี้มันเป็นของใครของมัน
อาตมาจะบอกกรรมวิธีแบบวิชาการนั้นคงไม่ได้ เพียงแต่แนะแนววิธีปฏิบัติเท่านั้น
จากอำนาจของจิตด้วยการใช้สตินั่นเอง
มันอยู่ในวงแคบของการปฏิบัติกว่างเข้ามาหาแคบโดยวิธีนี้

ในเวลาต่อมาที่อาตมามาอยู่ที่นี่แล้วก็เจริญภาวนาและก็แผ่เมตตา
แต่ควรจะมีหลักการแผ่เมตตา แล้วก็อโหสิกรรมให้ได้
ที่เราทำวัตรสวดมนต์นั่นมีความหมายมาก กาเยนะวาจา ทั้งกาย วาจาใจ
ขออโหสิกรรมต่อคุณพระศรีรัตนตรัย ที่หมิ่นเหม่ต่อคุณพระศรีรัตนตรัย
กำหนดอโหสิกรรม แล้วแผ่ออกไปได้ผลแน่


ใช้หนี้ค่าเรือจ้างตาก้อย

พอมาเจริญสมาธิ จิตสงบก็นึกขึ้นมาได้บอกรีบใช้หนี้ค่าเรือจ้าง
นึกไปนึกมาถูกต้องที่เคยโกงเขามา อาตมาก็ไม่ได้ไปบ้านเขานาน
จนมาบวชเป็นสมภารเจ้าวัด ก็เอานมไป เอาโอวัลตินไป
เอาสตางค์ใส่ซอง ๒๐๐ บาท ถือราคาก๋วยเตี๋ยวเป็นเกณฑ์ ชื่อตาก้อย แก่แล้ว
อาตมาเอาเรือจอด เขาก็ตกใจว่าพระมาทำไม แกเจ็บหนักเป็นอัมพาตจะตายแล้ว
ก็เอาสตางค์ไปใส่มือกระซิบบอกที่หูว่า โยมก้อย
อาตมาตอนเป็นเด็กเคยโกงค่าเรือจ้างโยม เดือนละ ๓๐ สตางค์จำได้มั๊ย
แล้วเอานมโอวัลตินมาด้วย บอกลูกสาวว่าช่วยชงให้โยมด้วย อโหสินะโยมนะ
อาตมาเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แหมบุญของเราเหลือเกินเขาแปลกใจกันว่า
พระก็มาหลายวัดแล้วมีแต่มาบอกบุญ องค์นี้แปลกเอาสตางค์มาให้
วันหลังลูกสาวเอาข้าวสารมาให้ที่วัดเรานี่ เรียกว่าบุญงอกได้
คนที่มีจิตดีต้องมีมารต้องใช้หนี้ มีอุปสรรคตลอดเวลากาล
คนที่มีความดีต้องมีอุปสรรคแน่นอน ไม่ใช่ดีไปตลอด
เราเข้าใจผิดคิดกันว่า เราสร้างกรรมดีเหมือนมีกรรมมาบัง
ข้อเท็จจริงก็คือใช้เวรใช้กรรม เป็นความดีแล้ว


ใช้หนี้ค่าเรือจ้างยายนวม

อยู่มาอีก ๒-๓ เดือน อาตมานั่งสมาธิตั้งสติ นึกต่อกันไปได้ว่า
เคยโกงค่าเรือจ้างยังอยู่อีกท่าหนึ่ง ชื่อยายนวม อาตมาก็ไปแกก็จะตายเสียอีกแล้วขึ้น
ไปกระซิบที่หูบอกโยม อาตมาเมื่อเป็นเด็กเคยโกงค่าเรือโยม
อาตมามาขอให้อโหสิกรรมอาตมาด้วยนะ เสร็จแล้วก็ให้ ๒๐๐ บาท
พร้อมกับนม โอวัลตินตามเดิม วันหลังเขาทำบุญ ๗ วัน ยังเอาสตางค์มาถวายเราอีก
ได้มากว่า ๒๐๐ อีก พอกลับมาได้ ๒ วัน โยมนวมก็ตาย
อาตมาก็ได้ใช้หนี้ตลอดนี่มันเป็นบุญเป็นกรรมของเราโดยเฉพาะ

เวลาผ่านมา พอดีจะไปเยี่ยมร้านเบ๊เต็กเส็งที่บางปะอิน เคยแวะไปกินอาหารบ่อย ๆ
ต่อมาก็ไม่เอาสตางค์ เพราะทุกครั้งไปอาตมาก็จ่ายสตางค์
เขาบอกว่า ตั้งแต่อาตมาไปฉันร้านเขานี่ทำให้ร้านเขาขายดีเลยไม่เอาสตางค์
ก็ชอบพอกันอยู่ด้วย มาตอนหลังมีคนไปผ่าท้องที่สุขศาลาอนามัยชั้น ๑
บางปะอิน ที่ริมน้ำ อาตมาก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเขา

พอดีคืนนั้นอาตมาก็แผ่เมตตาอโหสิกรรม สติบอกอีกแล้วว่าจะต้องไปใช้หนี้เต่า
ที่รับจ้างต้ม เต่าตัวละ ๑ บาท ให้พวกขี้เมา ปรากฏว่าเต่ามันมีความสามัคคี
ดิ้นเสียจนหม้อดินแตกหนีเข้ากอไผ่ไปหมด กรรมเหล่านี้เราลืมไปหมดแล้ว
สติอันหนึ่งก็บอกว่า ระวังพรุ่งนี้อย่าเอาใครไป
อาตมาก็ไปกับคนขับรถปิคอัพ ถ้าไปก็ตายหมดเลย ตายหมดแน่นอน
อาตมาก็หาเรื่องเพทุบาย เขาก็โกรธอย่างร้ายแรงว่าไปชวนเขามาแล้วก็ไม่เอาเขาไป
อาตมาก็บอกกะคนขับรถว่า ไปเยี่ยมเขานี่เจ้าคอยตั้งเวลาไว้ว่าแค่ ๑๕ นาทีนะ คอยเตือน
อาตมาให้รีบกลับด่วน โดยเราคิดแล้วถ้าไม่กลับตามเวลา ๑๕ นาที
รถจะคว่ำที่พระนครศรีอยุธยาและเราจะต้องตาย เลยผลสุดท้ายไม่เอาใครไปเลย
พอได้ ๑๕ นาทีก็บอกเจ๊ชื่อศรีนวล ร้านเบ๊เต็กเส็ง อาตมาขอลาละ
บอกมีธุระ รีบกลับ ขึ้นรถได้ก็บึ่งเลยความเร็วขนาด ๑๒๐ ก.ม./ ชั่วโมง
ขับเป็นการใหญ่ถนนเอเชียเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ฝนตกฟ้าร้องเป็นการใหญ่
มาถึงอ่างทองฝนก็หยุด ฝนที่อำเภอพรหมฯ มันยังตกอยู่ถนนมันลื่น
ตรงโค้งตรงวัดคูรถมาด้วยความเร็วก็หมุนเลย รถเสียหลักพวงมาลัยหลวมหมดเลย
คว่ำ ๘ รอบ ศีรษะโดนทั้งบนทั้งล่าง ล็อคประตูไว้ จีวรขาด รถบี้ ถลอกปอกเปิดหมด
ต้องมาปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นเวลาแรมเดือน
อาตมาไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะอายเขา รถบี้หมดต้องเอาแชลงงัด
พวกรถมาจอดดูเป็นแถว ดีว่ารถข้างหน้าไม่สวน ถ้าสวนก็คงตายหมด
เสียค่าซ่อม ๓-๔ หมื่นบาท ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัวเลย มันถลอกหมด
อันนี้ก็ได้ใช้หนี้เต่าแต่ยังใช้ไม่หมด


ใช้หนี้หักคอนก

ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งสมาธิ ๖ เดือนเศษที่จะถึงวาระแห่งความตาย
ก็มีนิมิตบอกอาตมาให้ทราบว่า พระเดชพระคุณท่าน วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๑
เที่ยงสี่สิบห้าต้องจากวัด ตายไปใช้หนี้นกที่หักคอ
วันที่ ๑๖ ตุลาคมออกพรรษา อาตมาก็มานึกดูว่าเราต้องลาเขา
ก็ประชุมสงฆ์มอบอัฐบริขาร เสียสละปลงบริขารให้หมด มอบให้องค์อื่น
เงินวัดมีเท่าไรมอบให้มัคทายกแล้วก็องค์ไหนจะเป็นสมภารต่อไปก็มอบ
อาตมาก็บอกให้พวกโยมผู้หญิงมานั่งกรรมฐานคนละเดือน
พอโยมหญิงกลับแล้ว เอาโยมผู้ชายมานั่งแทน ต่อไปก็จะไม่มีคนสอน
จะขอลาแน่นอน วันที่ ๑๔ ตุลาคม

นี่มันรู้ล่วงหน้าได้ มันมีประโยชน์มากนะ ท่านทั้งหลายถ้ารู้ล่วงหน้าไม่ได้ลำบากมาก
สติตัวนี้เป็นการรวมผลงาน สัมปชัญญะมันบอกได้ดังนี้
อาตมาก็ขอลาเขาหมดแล้ว แบ่งงานแบ่งภาระหน้าที่แล้ว

อาตมาก็คิดว่าตามหลักพระพุทธเจ้าสอนไหน ๆ เราจะตายแล้วก็ขอลาเขาเสีย
แล้วคนที่มาเราก็บอกได้ คนที่ไม่มาจะทำยังไงเขาจึงจะรู้ได้
ก็เจริญกรรมฐานเดินจงกรม นั่งกรรมฐาน

มีโยมท่านหนึ่งชื่อโยมชาญ กรศรีทิพา ที่รู้จักอาตมาเนื่องจากว่า
บริษัทนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ คุณชาญ กรศรีทิพา เขามีโรงงานน้ำตาลที่สิงห์บุรี
เขาก็ฝันว่า รัชกาลที่ ๕ ไปเข้าฝันบอกให้เขามาที่วัดนี้
พระบรมฉายาลักษณ์ของท่านที่วัดนี้ เขาก็พูดลักษณะได้ถูกต้องโดยที่ ร.๕
เคยเสด็จทางชลมารคสมัย ร.ศ. ๑๒๕ และพระองค์ได้ถวายพระบรมฉายาลักษณ์
ตอนพระองค์ขึ้นเสวยราชย์ในวันนั้นท่านสมภารก็อยู่ด้วย

คุณชาญ พร้อมด้วยคุณสุเมธ ก็เดินเข้ามา อาตมาก็ไม่รู้จัก บอกโยมมีธุระอะไร
เมื่อทั้งสองมาเห็นรูปก็เลยเล่าเรื่องที่ฝันให้ฟัง ก็เลยรู้จักกันเป็นเวลาหลายปี
ในเวลาต่อมาอาตมาเห็นว่าคนนี้มีประโยชน์ต่อวัด ถ้าหากเราจะเป็นอะไรไป
เราต้องบอกเขาเสียก่อน อันนี้เอาไปใช้ได้เวลาจะแผ่เมตตา
กระแสจิตนี่เป็นพลังงานอันหนึ่ง อาตมาพิสูจน์ได้ เช่นเอาผ้าขาวมากอง
แล้วเราเอากระดาษสีมาทับแล้วเอาพลังงานกระแสแดดหรือไฟฟ้าส่อง
จะทำให้กระแสนี่ไปติดผ้าขาวได้ เหมือนอย่างแผ่ส่วนกุศล
ขอให้ท่านทำจิตดี ๆ ติดได้ แต่ก็หาคนทำไม่ได้ง่าย ๆ นัก ต้องทำจิตใจให้ถึงก่อน


:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ส่งกระแสจิตลาตายกลายเป็นตัวหนังสือ

อาตมาก็เริ่มต้นว่าใกล้วันที่ ๑๔ ตุลาคมแล้ว
เราก็มาสวดมนต์ไหว้พระแล้วแผ่เมตตาบอกโยมชาญ
ว่าโยมกับอาตมาก็ชอบกันมาหลายปีแล้ว อาตมาขอลานะ วันที่ ๑๔ ตุลาคม
อาตมาคอหักแน่ ตายอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ก็บอกเขาอย่างนั้น ขอลา
ในเวลาต่อมาคุณชาญเขาก็ไปทำงานบริษัท ไปนั่งเขียนหนังสือ
ไอ้ข้อความที่เราแผ่เมตตาไป ไปติดที่กระดาษเขา
ลายมืออาตมาด้วยตามที่เราแผ่เมตตาตรงกับตัวหนังสือ

วิธีการแผ่ส่วนกุศลท่านทั้งหลายจำตารานี้ไว้ให้ดี
สามารถทำเป็นตัวหนังสือได้สามารถติดที่โน่นที่นี่ได้

ครั้นถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม เที่ยงสี่สิบห้านาที อาตมาก็จำเป็นต้องไปประชุมที่วัดกวิศราราม
จังหวัดลพบุรีในวันนั้นด้วย หลวงพ่อธรรมญาณ เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี
ท่านมีหนังสือมาว่า เขาจะประชุมเจ้าคณะอำเภอกันทั้งหมดที่จังหวัดลพบุรี
พอดีวันนั้นนายแพทย์ศิริราชมาเลี้ยงเพลที่วัด พอเลี้ยงเพลเสร็จ
อาตมาก็เตรียมตัว รู้แล้วว่าวันนี้เราไม่ได้กลับวัดแน่นอนตามที่เรามีสติรู้ล่วงหน้า ๖ เดือน
ว่าเราต้องใช้หนี้นก จะใช้อย่างไรกันแน่ คงจะไม่ได้กลับ
มอบหมายการงานเรียบร้อยแล้ว โยมผู้หญิงมานั่งกรรมฐาน ๑ เดือน
แล้วโยมผู้ชายด้วยมาแทนหลังจากโยมผู้หญิงกลับไปแล้ว
โยมผู้ชายจะได้ช่วยกันเอาศพไปไว้วัดเตรียมงานครัวทำนองนี้เป็นต้น

อาตมาก็ลาเขาหมดแล้วก็ขึ้นรถเที่ยงกว่าแล้ว จะตกเที่ยงสามสิบ เปลี่ยนจีวรใหม่หมด
เตรียมหนังสือขึ้นรถ คิดว่าไม่ได้กลับ แล้วมีนาวาตรีวาด เกษแก้ว
ใส่เสื้อขาวกางเกงขาวก็อาศัยรถไปด้วย ก็คงจะตายพร้อมกับอาตมา
ออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี ถึงหลังตลาดปากบาง
ตอนนั้นพอถึงปั๊มน้ำมันรถเขาก็เปิดไฟเลี้ยวขวารถตามหลังมา ๓ คัน
แซงซ้ายรถทัวร์ทันจิตออกจากปั๊มน้ำมันวิ่งเข้าชนทันที เที่ยงสี่สิบห้า
พอดีนาวาตรีวาด เกษแก้ว ลอยขึ้นหลังรถทัวร์ไปเลย
พวกตลาดนึกว่าหนังสือพิมพ์ลอยไปก็เนื่องจากแกใส่เสื้อขาวกางเกงขาวนี่หลังหัก

อาตมาไหล่ชนเหล็กหักไปเลย แล้วกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยหมด
หัวขาวเลย คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลยเลือดเต็มจมูก กระจกมันบาด
อาตมาก็บินออกไปแบบนก ออกห่างรถไปประมาณ ๒๐ วา
แต่เดชะบุญว่ามือดีอยู่มือนึงจับขึ้นมา อาตมาก็ลองคลำว่าเราคอหักไปหรือนี่ตาไม่สัมผัส
หูไม่สัมผัส ตายหมดแล้วทั้งตัว แต่มือดีสติดี แต่กลับไปหายใจได้ที่ท้อง
พองหนอ ยุบหนอ ใช้ได้นะ ใครอยากจะรู้ว่าสะดือหายใจได้ลองไปคอหักดูนะ
คนขับก็สลบ อาตมายังพูดได้เพราะสติดีอยู่ที่ลิ้นปี่จำไว้ แล้วหายใจทางสะดือได้
ทำไมหายใจได้ นึกถึงในท้องได้ที่เราอยู่ในท้องแม่กินอาหารทางสะดือแน่นอน
หายใจได้ พองหนอ ยุบหนอ ตลอดเวลาเลย ได้ตำราเพิ่มขึ้น
แต่ต้องทำได้ก่อนนะต้องมาฝึกกันให้รู้สติ ตื่นมีสติ หลับมีสติ รู้แน่
อาตมาก็พูดว่าโยมช่วยอุ้มหน่อย ไอ้พวกที่ไปมุงดูกันก็ไม่ยอมอุ้ม
หัวเละแต่ยังพูดได้ ที่เข้าใจว่าหัวเละเพราะหนังไม่มี
จนตำรวจทางหลวงมาบอกว่าไม่ตาย ถ้าตำรวจไม่มาเราก็คงจะจมอยู่ตรงนั้น


กรรมต้มเต่ามาซ้ำ

พอดีตรงนั้นเขาทำอิฐ เถ้าแก่เขาก็ขับรถมา อาตมามือยังดีอยู่อกข้างก็เสยค้างไว้
มันไม่มีความรู้สึก พอรถแล่นถึงวิทยาลัยเกษตร ได้ยินเสียงแว่วแผ่วมาแต่ไกล เสียงดังนี้
สมน้ำหน้า ๆ ได้ยินมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวต้องซ้ำ ๆ คอหักแล้วยังไม่สงสารจะมาซ้ำ
สักประเดี๋ยวเห็นเต่า พอเห็นเต่าเท่านั้นแหละฝาหม้อน้ำรถอยู่ตรงนั้นหลุดพรวด
ลวกเอาเราคนเดียว ตายจริงเปียกหมดเลย ไอ้แขนยังดีอยู่ก็ร้อนนะซิ
แล้วกระเด็นไปถูกคนขับ ไอ้คนที่ประคองอาตมาไปบอกว่าหยุด ๆ
เดี๋ยวคนหลังจะตาย ไอ้เต่ามาซ้ำเราอีก สงสัยใช้หนี้ตอนนั้นยังไม่หมด
รถไปถึงโรงพยาบาลน้ำแห้งพอดีหมดพอดีเลย

อาตมาก็ขออธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอให้ไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว
ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์
ในเมื่อข้าพเจ้ายังใช้หนี้ในโลกมนุษย์ไม่หมดขอให้ข้าพเจ้าไปใช้ในชาติต่อไป
ประการที่ ๒ ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้ในโลกมนุษย์หมดแล้ว
อย่าได้ทรมานต่อไป อธิษฐาน ๒ ข้อ

วันนั้นพอดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่อยู่ เขาไปบ้านเขาทางวัดเกษ
อยู่แต่นายแพทย์ใหญ่หมอสมหมาย ก็วิ่งไปจากบ้านรู้ข่าวว่ารถชนอาตมา
ก็เอาเข้าห้องฉายเอ๊กซเรย์ เขาพูดกันได้ยินแว่ว ๆ บอกไม่มีทางหมอใหญ่บอกไม่มีทาง
หมอใหญ่สั่งให้อาตมานอนตรง ๆ บนรถ ซึ่งมีลูกล้อเล็ก ๆ
ให้บุรุษพยาบาลเอาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. โดยด่วน จัดการเย็บหนังที่มันถลกไปนี่ก่อน

อาตมาก็อธิษฐานไปเรื่อย ๆ มือดียังมีอยู่อีกมือหนึ่ง นอกนั้นตายหมดแล้ว
แต่ยังหายใจได้ที่ท้องพองหนอ ยุบหนอตลอด ก็แบ่งวาระบุรุษพยาบาล ๒ คนก็ไสรถเต็มที่
รถก็เกิดตกร่องประตูเหล็ก โครม! ล้อพังหมดแพทย์อีกคนบอกตายเสียแล้วละมังหว่า
เปล่าเลย คอลั่นกร๊วบเข้าที่เลย คือติดเลย ลืมตาเห็นเลย หายใจไม่ออก
พอคอติด ปวดก้นแทบหลุด เลยทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๒ ข้อ ได้ความรู้ยังไง
หมายความว่าถูกจุดประสาท ประสาทคอกับประสาทก้นเป็นเส้นเดียวกัน
เข้าไปในห้องฉุกเฉิน เขาก็เริ่มดึงหนังมาเย็บ หมอก็สงสัยว่าอาตมาจะเป็นอัมพาตไม่ดีขึ้น
บุรุษพยาบาลบอกว่าเป็นเพราะอั๊วนะ ถ้าอั๊วไม่ไสรถตกร่องคอจะต่อติด
หรือกลับมีบุญคุณเสียอีก อาตมาก็นึกว่าเราใช้เวรใช้กรรม
ในเวลาต่อมาหมอไม่สามารถจะรักษาได้ เพราะมีแรงขาแข็งถีบได้ทั้งนั้น
นางพยาบาลหมอ ก็ให้เราลองบีบมือ หากว่าเราจะไม่มีแรง อันนี้ก็เป็นบุญวาสนา

พอรุ่งเช้า คุณชาญมา ถือหนังสือโทรจิตมาด้วย
บอกนี่ท่านทำไมต้องเขียนหนังสือมาวันก่อนผมไปพบ ท่านทำไมไม่บอกผม
ทำไมต้องเขียนหนังสือฝากเขาไป
อาตมาบอกเปล่าว่าไม่ได้เขียน เขาว่านี่ไงละลายมือท่าน!

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรีก็ไม่รู้จะทำยังไงก็โทรศัพท์
ไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน อาจารย์เขาคือ หมอประดิษฐ์
ถามว่าหลวงพ่อองค์นี้คอหักแล้วไม่ตายทำไงดี
หมอประดิษฐ์บอก ผมก็ไม่เคยเห็น ขอให้เอาตัวมาดู

รุ่งขึ้นเขาก็หามอาตมาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเลิดสิน หามไปอาตมาพลิกไม่ได้
ยกแข้งยกขาได้ลุกไม่ได้ก็หามขึ้นไปชั้น ๒ หมอประดิษฐ์ก็มาตรวจเอาแพทย์มาวิจัยกันใหญ่
หมอประดิษฐ์ก็บอกขอทำเอง ก็เอาผ้ามาแช่น้ำ มาพันใส่เฝือก ๑๕ นาที
อาตมาเดิน ลุกขึ้นได้ ขากลับขึ้นรถกลับจังหวัดสิงห์บุรี มันก็แปลกดี
แขกมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างจังหวัดมากันเยอะ เขาลือกันว่า อาตมาคอหักไม่ตาย
ขนมนมเนยเยอะแยะไปหมด อาตมานึก เวลากินได้ไม่มาเยี่ยม
เวลาจะตายจะซื้อมาทำไม รู้ว่ากินไม่ได้ก็เอามาให้กิน คนกินได้ไม่ค่อยให้

พอกลับมาวัดได้ อาตมาก็คุยทั้งวัน เพราะมีคนมาเยี่ยมมากมาย
หมอประดิษฐ์ก็สั่งมาบอกว่า อย่าให้คุยมาก คุยมากแล้วแผลจะหายช้า
ให้ฉันยานอนหลับก็นอนไม่หลับ ฉีดยานอนหลับก็ไม่หลับ
จนนางพยาบาลว่า หลวงพ่อสู้ยา หมอประดิษฐ์รู้ก็ออกอุบายว่า
ให้เขามาโรงพยาบาลเลิดสินจะถอดเฝือกให้ อาตมาก็ดีใจรีบไป
พอไปถึงก็ถอดเฝือกให้จริง ๆ พอตัดเฝือกออกก็เลยเป็นลมครั้นพอพักสักประเดี๋ยว
หมอบอกหลวงพ่อเดี๋ยวใส่ใหม่ ผมหลอกท่านมาไม่งั้นท่านไม่มาเลยใส่ใหม่
เพิ่มอีก ๔ กิโล พอใส่ได้สัก ๑๕ นาที อ้าปากไม่ออกเป็นฤาษีเลย


เปรตปากเท่ารูเข็ม

พอกลับไปถึงสิงห์บุรี เราก็จะแย่อ้าปากไม่ขึ้น ผลสุดท้ายก็หิวน้ำเหลือเกิน
กินไม่ได้ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ ต้องดูด ดูดก็ไม่เข้า
เวลาฉันเช้าก็ใส่เข้าไปข้าง ๆ เลยมานึกในใจ นึกถึงยายได้ เจ้าต้องเป็นเปรต
ปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้จริง ๆ ตั้ง ๕๐ วัน
นอกเหนือจากกินไม่ได้แล้ว พูดไม่ได้ด้วย พออ้าปากมาก ๆ
ไอ้ข้างบนขบแล้วเลือดไหล จะกินอะไรก็ต้องป้อนเราต้องมาทรมานเป็นเปรต
ก็เลยนึกถึงคำยายว่าต้องเป็นเปรตเพราะไปกินข้าวที่ให้ไปถวายพระ

หลังจากที่อาตมากลับจากโรงพยาบาลแล้ว ๕๐ วันเท่านั้น
กลับมานึกในใจว่า เราต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ก็เริ่มถมดินรอบวัด
ก็เริ่มสร้างหอประชุมนี้เพื่อจะอบรมต่อไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น
ต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จะไม่ขอสร้างวัตถุต่อไปแล้ว ในที่สุด มีการทำบุญรับขวัญ โยมก็มาทำบุญกันมาก
ในครั้งสุดท้าย นายชาญ กรศรีทิพา กับนายสุเมธ เตชะไพบูลย์
ทั้งสองท่านนี้ก็มาทำบุญรับขวัญให้อาตมา แล้วนำเอากระดาษที่มีตัวหนังสือมาด้วย
วันนั้นแกก็พับอย่างดีมา พอทำบุญเสร็จเรียบร้อยอุทิศกุศลเรียบร้อยดีแล้ว
แกก็เอากระดาษออกมาว่าจะเอามาอ่านให้เขาฟัง
ปรากฏว่าตัวหนังสือไม่มี มีแต่กระดาษเปล่า เดี๋ยวนี้ก็ยังเก็บใส่กรอบไว้ดูเป็นที่ระลึก



คัดลอกจาก...หนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติเล่ม ๑
http://www.jarun.org

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณลูกโป่ง :b8: :b8: :b8:
ด้วยความเคารพ :b45: :b45: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ ตอนนี้ท่านอายุเท่าไหร่ สบายดีไหมครับ
ไม่ได้ติดตามข่าวมานานครับ เพราะไม่ได้ไปวัดท่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ปัจจุบันหลวงพ่อท่านอายุ 80 ปีค่ะ
หลวงพ่อท่านสบายดีค่ะ แต่ท่านมีปัญหาเรื่องเส้นเสียงนิดหน่อยค่ะ
แต่ก่อนท่านเทศน์บ่อยๆค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ท่านจะเทศน์ทุกวันพระค่ะ ตอนคนเข้าอบรมกรรมฐาน
เวลาบ่าย ๒ โมง ที่ศาลา ร.๕

หากยังไม่มีเวลาไปที่วัดท่าน ลองเข้าไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซต์ได้ค่ะ
http://jarun.org

ธรรมะสวัสดีค่ัะ

:b48: cool :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาด้วยค่ะ
แมวขาวศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมมานานมากแล้วจนไม่มีความคลางแคลงอีก
ผลกรรมของหลวงพ่อก็อ่านมาหลายเที่ยว พอได้มาอ่านซ้ำอีก
ก็รู้สึกยินดีที่ผู้นำมาลงไว้ที่นี่
เป็นธรรมทาน

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron