วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่สีโห เขมโก
พระผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์และคนได้ทุกชาติทุกภาษา
เปิดตำนานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์สำคัญของอยุธยา ถึง ๒ องค์
คือ หลวงพ่อวัดมงคลบพิตร และหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
เปิดเผยความจริงจากตำนาน เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก วัดพนัญเชิง
มีอายุก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี


โดย สิทธา เชตวัน

ตอนที่ ๑ ปราบผีศาลปู่ตา

หลวงปู่สีโห เขมโก ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ท่านเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ประสบการณ์การธุดงค์
ของท่าน ได้พบกับสัตว์ร้าย สิ่งเร้นลับและตำนานของพระพุทธรูปที่สำคัญ
และศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ องค์ ที่สร้างก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี และ
ตำนานประวัติที่แท้จริงของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
แห่งวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงปู่สีโห เขมโก ท่านเป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
อย่างยิ่งยวดและชอบรุกขมูล ไม่ชอบอยู่วัดวาอาราม ท่านรักที่จะอยู่
ตามป่าช้า ตามถ้ำในป่าเปลี่ยว สถานที่วิเวกแวดล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย
นานาและไข้ป่า มุ่งมั่นอยู่ในมรรคกระแสพระนิพพานเต็มตัว ไม่วอก
แวกไปทางอื่น

ที่ท่านไม่ชอบอยู่ตามวัดเพราะไม่ชอบคลุกคลีกับชาวบ้าน ทำให้ใกล้
ความประมาท เป็นเหตุให้กิเลสกำเริบและเข้าไปเกาะจิตวิญญาณ
ผู้เขียน(สิทธา เชตวัน) ได้รู้จักกับพระอาจารย์ยี่หลก ศิษย์ก้นกุฏิของ
หลวงปู่สีโห ท่านได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ให้ฟัง

พระอาจารย์ยี่หลก ท่านเป็นพระธุดงค์ที่มีญาณแก่กล้า เคยธุดงค์ไป
แต่ลำพังผู้เดียวทั่วภาคอิสาน ภาคเหนือ แล้วข้ามเขตเข้าไปในพม่า
และลาวมาแล้ว ท่านเป็นพระผู้มีวาจาสิทธิ์ น่าเลื่อมใส
ดังนั้น เรื่องราวต่อไปนี้ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ

ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๓ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ให้พระอาจารย์สิงห์
ขันตยาคโม นำพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจัดเป็นกองทัพธรรม
ออกเผยแพร่ธรรม สมัยนั้น หลวงปู่สีโห ยังหนุ่มแน่น แต่ก็มีชื่อเสียง
ในทางกรรมฐานมาก ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่พร้อมพระธุดงค์ ๕-๖ รูป ได้ไปปักกรดอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง
ในอำเภอมัญจาคีรี ยังความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง
เพราะชาวบ้านเขานับถือผี ไม่เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เห็นพระเป็นศัตรูไปหมด เพราะเป็นที่เลื่องลือในสมัยนั้นว่า คณะพระธุดงค์
ชอบทำลายศาลปู่ตา ที่สถิตย์ของผีสางที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้บูชา
เพื่อให้ชาวบ้านหันมานับถือพระสงฆ์องค์เจ้า

ศาลปู่ตา ที่ป่าช้าหมู่บ้านแห่งนั้นดุร้ายมาก ชาวบ้านผ่านไปมาทำอะไรผิด
แม้เล็กน้อย เป็นต้นว่าขาดการให้ความเคารพนบไหว้บ้าง ไปเก็บเห็ดเก็บ
ผักในป่าลืมบอกบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง หรือทำต้นไม่ในเขตศาลหักบ้าง
มักจะถูกผีทำโทษ ให้เจ็บป่วยถึงตาย สร้างความเกรงกลัวให้แก่ชาวบ้าน
สืบทอดกันมาหลายชั่วคน

หลวงปู่สีโห รู้สึกสลดสังเวชที่ชาวบ้านหลงผิดไปนับถือผี มีความเกรงกลัว
แบบไร้สาระ ต้องฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่ไปสังเวยเซ่นสรวงกันไม่ขาด เป็นการ
ทำลายชีวิตสัตว์น่าอนาถนัก
ซ้ำยังทำให้ชาวบ้านขาดศีลธรรม เพราะไม่มีผู้ชี้ทาง ให้ข้ออรรถข้อธรรม
สั่งสอนอบรมกล่อมเกลากมลสันดานให้รู้จักผิดถูก ให้รู้จักเมตตาปราณี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ชาวบ้านมีแต่การมั่วสุมในอบายมุข กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เมื่อผิดใจ
ก็ตีรันฟันแทงกันถึงล้มตาย เป็นคนโหดร้ายทั้งชายทั้งหญิง

ชีวิตของพวกเขาน่าสงสารแท้ เมื่อตายแล้วหนทางไปคืออบายภูมิ มีนรกเป็น
แดนเกิดเป็นแม่นมั่น หลวงปู่ท่านมีจิตเมตตาคิดอยากจะช่วยฉุดพวกเขาจาก
ทางแห่งอบายภูมิ จึงได้พาพระธุดงค์ในคณะตรงไปยังศาลปู่ตา อันเฮี้ยนและ
มีฤทธิ์ในทางชั่วร้ายแห่งนั้น แล้วช่วยกันรื้อทำลายลงจนราบคาบไม่มีชิ้นดี

การกระทำของคณะพระธุดงค์ สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถือว่าไปทำลายล้างความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ปรากฏว่าในตอนกลางคืนวันนั้น ผีปู่ตาได้อาละวาดครั้งใหญ่
ชาวบ้านไม่ได้หลับได้นอน ด้วยว่ามีเสียงประหลาดได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายกับมีฝูงวัวฝูงควายนับร้อยนับพันตัววิ่งเข้าไปใน
หมู่บ้านฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่มองไม่เห็นตัว หมาในหมู่บ้านส่งเสียงเห่าหอน
และร้อยอี๊ดๆ หางจุกก้นแสดงความเกรงกลัวในเสียงประหลาดที่มนุษย์
มองไม่เห็น ชาวบ้านรู้ดีว่าเป็นขบวนผีปู่ตาอาละวาด เพราะถูกคณะพระธุดงค์
ทำลายศาล นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว ยังปรากฏเสียง
ร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดง เป็นทำนองพร่ำรำพันว่าบ้านช่อง
ถูกทำลาย แล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือนร้อนลำบาก บ้านแตก
สาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็น ชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้นในครั้งนี้
เสียงรำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอน ปราบผีศาลปู่ตา ๒

ขอย้อนเรื่องเดิม นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว
ยังปรากฏเสียงร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดงเป็นทำนองพร่ำรำพัน
ว่าบ้านช่องถูกทำลายแล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือนร้อนลำบาก
บ้านแตกสาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็นชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้น
ในครั้งนี้ เสียงรำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง


รุ่งเช้าชาวบ้านล้วนชายฉกรรจ์ หมู่หนึ่ง ได้ยกขบวนกันมาที่ป่าช้า
ทุกคนถือปืนแก๊ปคาบศิลากันคนละกระบอก ด้วยความโกรธแค้น
มุ่งจะมาฆ่าหลวงปู่สีโห พอมาถึงได้ระยะเผาขนก็ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย
ต่ำช้าต่างๆ นาๆ แล้วยกปืนขึ้นเล็ง แล้วยิงมายังหลวงปู่สีโหและคณะ
พร้อมกันทุกกระบอก


ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อปืนยิงไม่ออกชาวบ้านก็ตกใจ
จึงพากันโยนปืนทิ้ง แล้วชักดาบออกมาจะวิ่งเข้าไปฟาดฟันหลวงปู่
และพระที่ร่วมเดินทาง ก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ ปรากฏว่าทุกคนก้าวขาไม่ออก
คล้ายมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงที่เท้า ต่างก็ดิ้นรนกันไปมา
หูตาเหลือกด้วยความตกใจและก็พากันล้มลง


เมื่อเจอกับอภินิหารของหลวงปู่สีโห เช่นนั้น คนเหล่านั้นก็พากันหวาดกลัว
กันจนตัวสั่น หน้าซีดเหมือนผีตาย พากันร้องอ้อนวอนขอขมาลาโทษ
หลวงปู่สีโหท่านมีจิตเมตตา ไม่เคยนึกพยาบาทจองเวรผู้ใด
จึงถอนพลังกระแสจิตด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์อภิญญา
ทำให้คนเหล่านั้นสามารถลุกขึ้นเดินได้เป็นปกติ
ก็เข้ามากราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่และคณะสงฆ์
หลวงปู่ได้เมตตาอบรมธรรมะให้ฟังอย่างง่ายๆ แต่ทว่ามีข้ออรรถข้อธรรม
ลึกซึ้งกินใจ มองเห็นอะไรผิดอะไรถูก เห็นทางนรก และทางสวรรค์ ชัดแจ้ง
ดุจคนเรามองดูเงาตนเองในน้ำแล้วเห็นเงา ฉะนั้น
คนเหล่านั้นก็มีน้ำตาใหลออกมาด้วยความสำนึกผิดชอบชั่วดี


จากนั้นหลวงปู่สีโห ได้ให้พวกเขาไปหาบเอาทรายมา
แล้วท่านได้เสกคาถาปราบผี ให้เอาทรายไปหว่านทั่วบริเวณหมู่บ้าน
ปรากฏว่าคืนนั้นเหตุการณ์สงบร่มเย็นดี ไม่มีผียกขบวนวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน
ให้หมูหมาแตกตื่นเห่าหอนแต่อย่างใดเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์



ชาวบ้านได้พากันมากราบไหว้หลวงปู่และนำข้าวปลาอาหารมาถวายมากมาย
และยังได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ด้วย เพื่อเป็นหลักสรณะที่พึ่ง โดยจะสร้างวัดถวายด้วยแรงศรัทธา
หลวงปู่สีโหท่านได้ให้พระธุดงค์ในคณะ ๒ รูป อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเจริญศรัทธา
และช่วยชาวบ้านสร้างวัดป่าสาลวันขึ้น ตามนโยบายเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธองค์
เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ส่งบุตรหลานบวชเรียนบำเพ็ญศีลปฏิบัติธรรม ให้พระศาสนาเจริญ แพร่หลายออกไป

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๓ พระเศรษฐี

จากนั้น หลวงปู่สีโห ก็เดินทางออกจากหมู่บ้านมัญจาคีรี จ.ขอนแก่น จาริกไปยัง
หมู่บ้านต่างๆ ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เพื่อเผยแพร่ธรรม
แก่ชาวบ้าน ในสมัยนั้น ชาวบ้านนับถือผีกันมาก วัดวาอารามมีมากเหมือนกัน
แต่เป็นวัดฝ่ายมหานิกาย ที่หย่อนยานในพระธรรมวินัยกันเสียมาก เช่น พระซื้อ
ม้า วัว ควาย ไว้ขับขี่ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูไว้ขาย ประจบประแจงชาวบ้าน สะสม
เงินทองไว้เป็นทุน ได้อาศัยจตุปัจจัย ทรัพย์สินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญ
สะสมไว้ พอสึกออกมาก็นำเอาไปเป็นทุนในการครองเรือน

สมภารเจ้าวัดบางองค์ร่ำรวย มั่งมีปานเศรษฐี นำเอาเงินที่ชาวบ้านถวายไปซื้อ
ไร่ ซื้อนา ให้ญาติพี่น้องลูกหลาน บวชนานไปก็มุ่งหวังแต่ลาภยศ ที่จะมุ่ง
แสวงหาทางหลุดพ้น พระนิพพานมีน้อยมาก ความเป็นอยุ่ของพระส่วนมาก
มีพฤติการณ์ไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นศาสนา ทำให้กุลบุตรที่เข้ามาบวชเรียน
พลอยหลงผิดไปด้วย ถือเอาแต่ว่าการบวชเป็นพระก็ได้บุญแล้ว
ส่วนพระธรรมวินัยนั้น จะประพฤติอย่างไรไม่สำคัญ เป็นพระเสียอย่างเดียว
โกนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ถือว่าสำเร็จได้บุญแล้ว ชาวบ้านจะมาว่ากล่าว
ตักเตือนไม่ได้ ถือว่าบาปหนักต้องตกนรก เมื่อได้ชื่อว่าพระต้องทำถูกต้อง
หมด ใครจะแตะต้องไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง พระก็กลายเป็นอลัชชี ไม่มีความละอายใจ ทางฝ่ายชาวบ้านที่
ไม่รู้ไม่ศึกษาปฏิบัติธรรม ก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์ คือผู้หลงผิด เห็นผิดเป็น
ชอบไปด้วย ต่างพากันสำคัญผิด หลงถือเอาลัทธิผิดๆ สักแต่ได้ชื่อว่าบวช
เป็นพระก็ได้บุญกุศลแล้ว ไม่ประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม หารู้ไม่ว่าเป็นการ
ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง

ด้วยเหตุนี้เอง คณะของหลวงปู่สีโห จึงได้ออกเผยแพร่ธรรมกันอย่างขนาน
ใหญ่ มุ่งฝ่ายธรรมยุตอันเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไปที่ไหนก็สร้างวัดป่า
ขึ้นที่นั่น เพื่อให้เป็นวัดฝ่ายวิปัสนาธุระ ทั้งชาววัดและชาวบ้านจะได้ฝึก
กรรมฐาน เข้าถูกทางแห่งพระนิพพาน

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๔ พระอาจารย์ของจอมพลผิน ชุณหะวัณ

การเผยแพร่ธรรมะของคณะหลวงปู่สีโห ไปถึงไหนก็ปรากฏว่าชาวบ้าน
แตกตื่นเลื่อมใส มาทำบุญใส่บาตรให้ทานกันมากมาย ต่างก็ดื่มด่ำซาบซึ้ง
ในคำสอนอันเข้าใจได้ง่ายๆ และกินใจของหลวงปู่ ได้พากันสาบานตน
เป็นพุทธมามกะ รับศีลถืออุโบสถ ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิทำความเพียร เพื่อ
หาความสุขสงบในชาตินี้ และหวังผลในชาติหน้า เชื่อในเรื่องกฏของกรรม
การเวียนว่ายตายเกิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คำสอนของหลวงปู่สีโห อันประทับใจตอนหนึ่ง มีความว่า
" การทำบุญทำทานใดๆ ได้กุศลก็จริงอยู่ แต่ยังสู้การรักษาศีลไม่ได้ มีอานิสงส์
มากกว่าการให้ทานมากมาย คนเราได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ถือว่าประเสริฐนัก
เพราะการจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก ต้องบำเพ็ญเพียรคุณงามความดี
มาหลายร้อย หลายพันชาติ ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ส่วนมากมักจะไปเกิด
ในนรก หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียมากกว่า
มนุษย์เมื่อได้เกิดมาในโลกแล้ว แทนที่จะถือโอกาสบำเพ็ญเพียร สร้างคุณงาม
ความดีกัน กลับปรากฏว่าสร้างสมแต่กรรมชั่ว จึงไม่แปลกอะไรที่มนุษย์ตาย
ไปแล้วไปนรกกันมาก ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานกันมาก
ถ้าใครอยากได้บุญมาก ได้ไปสวรรค์วิมาน หรือได้ไปนิพพานเพื่อความ
พ้นทุกข์ ก็ควรรีบประพฤติปฏิบัติ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
เสียแต่วันนี้ อย่ามัวผลัดวันประกันพรุ่ง"
นอกจากคณะของหลวงปู่สีโหแล้ว ก็ยังมีคณะอื่นๆ ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่
มั่น ภูริทัตโต ได้แยกย้ายกันไปสร้างความสำเร็จมากมาย ประมาณปี ๒๔๗๘
หลวงปู่สีโหได้จาริกธุดงค์มาทางโคราช ได้แวะเยี่ยมพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ที่ปักกลดจำพรรษาอยู่ในป่าช้าวัดป่าศรัทธาธรรม ใกล้กองทหารมณฑลทหาร
บก นครราชสีมา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เช่น จอมพลผิน ชุณหะวัณ พลเอก-
หลวงหาญสงครามเป็นต้น
หลวงปู่สีโหพักอยู่กับพระอาจารย์ฝั้น ชั่วระยะหนึ่ง จึงลาไปเพื่อมุ่งหน้าไปยัง
จังหวัดสระบุรี เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาท และพระพุทธฉาย จากนั้น
ก็จะไปยังกรุงเก่าเพื่อไปนมัสการ หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง และหลวงพ่อพระ
มงคลบพิตร อันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๕ เทศน์โปรดงูยักษ์

หลวงปู่สีโห จาริกมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เชิงเขาใหญ่ เขตอำเภอสูงเนิน
เป็นเวลาใกล้ค่ำ ท่านได้เลือกเอาทำเลอันร่มรื่นใต้เงาต้นไม้ริมห้วยเป็นที่ปักกลด
ห่างไหลจากหมู่บ้านประมาณ ๑ กิโลเมตร ชาวบ้านมองเห็นกลดของหลวงปู่
ได้พากันนำน้ำร้อน น้ำอ้อย น้ำตาลมาถวายและกราบไหว้นมัสการถามไถ่
ความเป็นมา หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่าจาริกมาไกล จากอิสานจะไปนมัสการ
รอยพระพุทธบาท ที่สระบุรี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่ง
ชาวบ้านได้อาราธนาศีลและขอให้หลวงปู่เทศน์โปรดสัตว์ หลวงปู่ก็เมตตา
ให้ศีลและเทศนาโปรด เป็นที่ซาบซึ้งกินใจชาวบ้านจนน้ำตาไหลไปตามๆ กัน
ด้วยความปิติในธรรมและความเลื่อมใสศรัทธา จากนั้นชาวบ้านก็นิมนต์
ให้หลวงปู่ไปปักกลดในหมู่บ้าน เนื่องด้วยมีช้างป่างายาวตัวหนึ่ง ชื่อไอ้ตาเดียว
อาละวาดอยู่ในเขตนี้มาได้สามเดือนแล้ว ไล่ทำร้ายชาวบ้าน ทำลายพืชผลไร่นา
เสียหายนับไม่ถ้วน และฆ่าชาวบ้านมาแล้วถึง ๒๓ ศพ
ทางราชการและชาวบ้านได้พยายามดักซุ่มยิงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่สำเร็จ
เพราะไอ้ตาเดียวเป็นช้างที่ฉลาดและรู้ตัวล่วงหน้าทุกครั้ง ราวกับมีพราย
กระซิบ มันตาบอดข้างเดียวเพราะถูกพรานยิงลูกตามันจึงดุร้ายและอาละวาด

หลวงปู่สีโหได้ฟังแล้วหาได้สะดุ้งตกใจหวาดกลัวแต่อย่างใดไม่ ได้กล่าวตอบ
ฉันท์เมตตาจิตว่า เมื่อเป็นพระธุดงค์เต็มตัวแล้ว ย่อมจะไม่อาลัยใยดีในชีวิต
และกฏของการธุดงค์เมื่อปักกลดแล้วจะถอนไม่ได้ ตัวท่านเองหากจะตาย
เมื่อใดก็พร้อมที่จะตายทุกเมื่อ หาได้เกรงกลัวความตายไม่ ขอปักกลดอยู่
อย่างนี้แหละจะไม่ไปไหน หากตัวท่านจะมีเวรกรรมกับช้างดุร้ายตัวนี้แล้วไซร้
ขอให้ช้างตัวนี้ จงทำลายชีวิตท่านให้แตกดับถึงกาลมรณะภัยเสียเถิด
ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็จนปัญญา ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี เมื่อตะวันตกดิน
ความมืดค่ำมาถึง ชาวบ้านก็กราบลารีบกลับเข้าหมู่บ้าน
เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้ว หลวงปู่ก็เข้านั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรตามปกติ

พระจันทร์ข้างแรมโผล่พ้นทิวป่าดำทะมึนไม่นานนัก หลวงปู่สีโหก็รู้สึกว่า
มีเสียงแผ่วเบาเคลื่อนไหวเข้ามาในกลด แล้วชนข้างหลังหนักๆ คล้ายถูกกำปั้น
ทุบ ทำให้ร่างเซไปข้างหน้าเกือบล้มคะมำ จากนั้นรู้สึกมีร่างลื่นๆ ขนาดใหญ่
รัดร่างหลวงปู่จากส่วนเอวขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่างูกำลังรัดร่างท่าน
ให้กระดูกแหลกเหลว ต่อจากนั้นก็จะขยอกลงท้องเพื่อเป็นอาหารของมันต่อไป
หลวงปู่สีโห หาได้สะดุ้งตกใจกลัวแต่อย่างใดไม่ กลับพิจารณาว่า ธรรมดา
สัตว์ทั้งหลายย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ด้วยอำนาจความกระหายหิว
อันจำแนกออกได้หลายประการ ทั้งนี้เพราะถูกกิเลสครอบงำ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
หากทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้จักผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรมแล้วไซร้
กิเลสทั้งหลายที่ห่อหุ้มดวงจิตอยู่ก็จะค่อยๆ ละลายหายไป เหลือแต่จิต
อันใสสะอาด เป็นธรรมชาติฝ่ายสูงดั้งเดิม คือความเมตตาปราณี ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
งูเหลือมตัวนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ด้วยอำนาจความอยากกระหายหิวของมัน
จึงมุ่งจะรัดเราให้ตาย แล้วกลืนกินเป็นอาหารให้อิ่มท้อง มันดิ้นรนเสาะแสวงหา
อาหารใส่ท้องไปวันๆ ตามปกติวิสัย หาได้รู้ซึ้งซึ่งความผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด
จะไปโทษโกรธเคืองมันก็ไม่ได้ จะมีก็แต่ให้อภัยมันถึงจะถูก และควรจะเสียสละ
ร่างของเราให้มันได้กินเป็นอาหารอิ่มท้องด้วยความเมตตา เพราะอำนาจความ
หิวนี้ใหญ่หลวงนัก การที่เราให้ทานร่างกายของเราแก่งูเหลือมในครั้งนี้ ย่อมถือ
ว่าเป็นการให้ทานอันสูงส่งทีเดียว เพราะเป็นการให้ทานด้วยชีวิต
มื่อหลวงปู่พิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดปิติปราบปลื้มอิ่มใจในปรมัถทานในครั้งนี้
ปล่อยให้งูเหลือมรัดขึ้นมาจนถึงหน้าอก จนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ได้อนุโมทนาในใจว่า
"สาธุ ด้วยอำนาจกุศลทานบารมี ที่อาตมาได้อุทิศร่างเป็นทานให้แก่งูเหลือมในครั้งนี้
อาตมาขอแผ่อานิสงส์ผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และวิญญาณทั้งหลายในจักรวาลโดยทั่วถึงกัน
จงมารับเอาไปเถิด" อัศจรรย์อะไรเช่นนั้น เมื่อหลวงปู่แผ่กุศลเสร็จงูเหลือมยักษ์ค่อยๆ คลายขนด
ออกจากร่างหลวงปู่จนหมดสิ้น หลวงปู่ได้จุดเทียนขึ้นก็เห็นงูเหลือมเลื้อยออกมาขดเป็นวงอยู่เบื้องหน้า
ทอดหัวอันใหญ่โตสงบนิ่ง จ้องสายตาวาววามดูท่านเงียบๆ
หลวงปู่ก็คิดในใจว่าชะรอยงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ จะเป็นเจ้าที่เจ้าทาง มาแกล้งทดสอบลองใจเราดู
ว่าจะมั่นคงกล้าแข็งแน่วแน่ในพระนิพพาน สักเพียงใหนกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ หลวงปู่สีโหจึงได้ให้ศีลแก่งูเหลือม และเทศน์โปรดสัตว์เป็นข้ออรรถข้อธรรมมีใจความว่า
"ถึงแม้จะเกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำคืองู หากยึดถือศีลบริสุทธิ์ แค่ศีล ๕ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ
ละเว้นการฆ่าสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารเสีย แผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมป่าดงพงพี
ถ้าบุญบารมีเก่าตั้งแต่ชาติปางก่อนหนุนเนื่อง ก็จะไปสู่ภพสุคติภูมิได้"

คำสอนนี้ถือเป็นอัศจรรย์อย่างหนึ่งของหลวงปู่ เพราะเป็นการเทศน์โปรดสัตว์ชี้ทางให้พ้นทุกข์
ปกติสัตว์ย่อมฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง แต่คำเทศน์ของหลวงปู่ ทำให้งูเหลือมมีน้ำตาไหลออกมา
แสดงว่าคำเทศน์ของท่านศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลใจทำให้งูยักษ์ฟังรู้เรื่อง จนเกิดความปิติยินดีจนน้ำตาไหล
หลวงปู่สีโหได้ยื่นมือออกมา งูเหลือมยักษ์ได้ชูคอขึ้นสูงและโน้มลงเอาหัวซบกับฝ่ามือของท่าน ๓ ครั้ง
เป็นการคารวะนมัสการ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด จากนั้นงูยักษ์ก็ค่อยๆ เลื้อยหายไปกับความมืด
ในราตรีกาลอันอาถรรพณ์
เมื่องูเหลือมยักษ์ไปแล้ว หลวงปู่ก็ดับเทียนนั่งสมาธิต่อไป เจริญจิตจนถึงจตุถฌาณแล้วถอนมาอยู่อุปจารฌาณ
ที่มีความรู้สึกนึกคิด ได้ยกเอาวิปัสนาขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์เต็มขั้น จนล่วงเวลาไปจนถึงประมาณตี ๓
จึงได้ถอนอารมณ์ออกจากวิปัสนาญาน เปลี่ยนเป็นเจริญพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นฌาณ แล้วแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์
ทั้งหลายในจักรวาลโดยทั่วถึงกัน ปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั่วจักรวาล มีความรักใคร่ปราณีต่อกัน
ไม่มีความพยาบาทอาฆาต จองล้างจองผลาญกันและกัน จงอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ สันติสุข
เสร็จแล้วหลวงปู่ก็ถอนจากสมาธิ เตรียมจะพักผ่อนหลับนอนเสียที เพราะนั่งบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่หัวค่ำ
ทันใดก็มีเสียงแผดร้องดังสนั่นหวั่นไหวทำลายความเงียบขึ้น เสียงนั้นดังคล้ายแตรยักษ์
ชวนให้ขนลุกขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก..

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๖ ปราบช้างป่าตาเดียว

ทันใดก็มีเสียงแผดร้อง ดังสนั่นหวั่นไหวทำลายความเงียบขึ้น เสียงนั้นคล้าย
แตรยักษ์ชวนให้ขนลุกขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
หลวงปู่สีโหหาได้สดุ้งตกใจไม่ เพราะมีสติอยู่ตลอดเวลา กำลังจิตก็กล้าแข็ง
มั่นคงประดุจภูผาหินอันไม่สั่นคลอนต่อดินฟ้าอากาศ ท่านได้เปิดกลดออก
ให้กว้างเพื่อมองดูเจ้าของเสียงนั้น
ครั้นแล้วก็มองเห็นร่างทมึนสูงใหญ่ มองดูคล้ายหัวรถจักร ยืนตระหง่าน
อยู่กลางแสงเดือนข้างแรมต้น อยู่ห่างจากกลดประมาณห้าหกก้าว
มันคือช้างป่างายาวกว่าสองศอก หูกางผึ่งเต็มที่ จ้องสายตาดุร้ายเขม้นมอง
มายังกลดของหลวงปู่สีโหอย่างโกรธแค้นกระหายเลือดตามวิสัยสัตว์ป่า
อันเป็นพาลเกเร
"เห็นจะใช้ไอ้ตาเดียวเป็นแน่" หลวงปู่สีโหบอกตัวเอง แล้วก็ทอดสายตา
มองดูมันเฉยอยู่ อยากจะรู้ว่ามันจะกระทำประการใดต่อไป หาได้มีความ
รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อยไม่
เมื่อมันเห็นหลวงปู่เปิดกลดจ้องดู เจ้าคชสารพาลเกเร ก็แสดงความโกรธ
แค้นเพิ่มขึ้น ส่งเสียงกัมปนาทปานฟ้าร้องติดๆ กันหลายครั้ง ตาแดงดั่งแสงไฟ
ม้วนงวงเป็นก้อนกลม หูผึ่งลู่ไปทางด้านหลัง เตรียมจะพุ่งเข้าใส่ หมายล้าง
ชีวิตของหลวงปู่ให้แหลกลาญ
ท่านได้ทอดสายตามองมันด้วยความเมตตาสงสาร นัยน์ตาของมันบอดสนิท
ข้างหนึ่งเห็นได้ชัด คงจะมีความทุกข์เวทนามาก อันเนื่องมาจากถูกพรานยิง
เอาจนลูกตาแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรัง และที่ขมับหนังย่นๆ รอบต่อมของมัน
ยังมีเมือกสีดำๆ เยิ้มออกมาบอกให้รู้ว่ากำลังตกมันเสียด้วย
ดังนั้น ความดุร้ายของมันจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้งแล้วมันก็พุ่งเข้ามา เท้า
ทั้งสี่ย่ำพสุธาจนสะเทือนเหมือนจะถล่มทะลาย หลวงปู่จ้องตามันไม่สะทก
สะท้าน เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม พร้อมแล้วที่จะอุทิศชีวิตร่างกายให้มันทำลาย
โดยไม่ใยดีไดๆ ถือว่าชีวิตมนุษย์และส่ำสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความตายเป็นที่สุด

โลกนี้เป็นอนัตตา คือไม่มีอะไรทรงสภาพเที่ยงแท้แน่นอนเลย หลวงปู่เห็น
สังขารทั้งหลายเป็นของน่าเกลียด เป็นแดนของความทุกข์ เพราะกิเลสตัณหา
ปกปิดความนรู้สึกนึกคิด สังขารทั้งหลายเป็นของว่างเปล่า ท่านไม่ยึดมั่น
อาลัยในสังขาร ไม่ปราถนาจะเกิดอีก ท่านหวังพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าจะตายลงเดี๋ยวนี้ ก็ถือว่าเป็นการใช้กรรมเก่าที่ตามไล่ทันในชาตินี้
สมควรแก่การแล้ว จึงขอต้อนรับความตายด้วยความยินดี
เจ้าช้างเกเรจอมเพชรฆาต พอมาถึงก็ใช้งวงกระชากกลดของหลวงปู่ขึ้นสูง
แล้วเหวี่ยงทิ้งไปตกอยู่ไม่ไกล จากนั้นมันก็รี่ตามไปใช้เท้ากระทืบกลด
อย่างโกรธแค้น จากนั้นก็หันกลับมาคว้าบาตรและห่อผ้าเหวี่ยงไปไกล
ตกในลำห้วย หลวงปู่สีโห ยังคงนั่งนิ่งเฉย แผ่เมตตาเป็นปุเรจาริก คือมี
เมตตาเป็นปกติ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ตื่นตกใจอะไรเลย
มันจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำไปตามใจชอบ ไม่ขัดขวาง เมื่อมันเห็น
หลวงปู่ไม่เกรงกลัวลุกขึ้นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เจ้าคชสารพาลเกเรก็เกลียว
กราดใหญ่ แผดเสียงร้องสนั่นหวั่นไหวปรี่เข้ามาใช้งวงจับร่างหลวงปู่ยกขึ้น
หมายจะฟาดลงแล้วใช้เท้ากระทืบให้ร่างแหลกเหลวตายคาที่ ด้วยความ
บันดาลโทสะ
อัศจรรย์อะไรเช่นนั้น ช้างมันไม่สามารถยกร่างของหลวงปู่ขึ้นจากพื้นได้เลย
มิหนำซ้ำยังทรุดฮวบลงคุกเข่า คล้ายมาถอนเอาต้นซุงขนาดใหญ่ จนตัวเอง
ต้องเสียหลักทรุดลงหัวซุน มันส่งเสียงร้องกู่ก้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
อย่างแสนสาหัส คลายงวงอันใหญ่โตออก สะบัดไปมากลางอากาศคล้ายกับ
ว่างวงของมันถูกไฟป่าอันร้อนแรงลวกจนสุก ได้รับทุกขเวทนาปิ่มว่าจะสิ้น
ชีวิตลงในบัดดลเสียให้ได้
หลวงปู่สีโหหัวเราะน้อยๆ ฉันท์เมตตาจิต แล้วเอ่ยขึ้นกับไอ้ตาเดียวว่า
"เจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้โง่เขลาน่าสงสารเอ๋ย เจ้าแบกทุกข์หนักไว้ในสังขาร
จนเปี่ยมแปล้อยู่แล้ว ยังบรรทุกเอาความผูกใจเจ็บโกรธพยาบาทมนุษย์
ไว้ให้หนักแรกอีก เมื่อเห็นมนุษย์ที่ไหนก็จ้องจะเข้าเข่นฆ่า ทำลายล้าง
ผลาญชีวิต ไม่คิดหน้าคิดหลัง นับได้ว่าเจ้าได้สร้างกรรมเพิ่มพูนให้ตัวเอง
เป็นบาปหนักยิ่งขึ้น อนาถหนอ มิหนำซ้ำเจ้ายังเห็นเราผู้เป็นพระอริยะเจ้า
เป็นศัตรูเข้าจู่โจมทำร้ายอีก แต่เนื่องด้วยกรรมเก่าของเราทั้งสอง
ไม่เคยมีผูกพันต่อกัน เราจึงหาเป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ ร่างกายของเรา
จึงหนักอื้งเหมือนภูเขาหินและมี ความร้อนแรงกล้าดุจหินที่เผาไฟ
เมื่อเจ้าบังอาจลุอำนาจโทสะ เข้าทำร้ายเราเจ้าจึงแพ้ภัยตัวเอง
ได้รับทุกขเวทนาดังนี้แหละ"
เมื่อได้ฟังหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น เจ้าช้างตาเดียวก็ชูงวงขึ้นสูงและลดลง ๓ ครั้ง
ทำท่าคล้ายนมัสการ เปล่งเสียงร้องครางอยู่ในลำคอ ขอขมาลาโทษ
หลวงปู่สีโห ให้เมตตาสงสาร ไม่เคยนึกผูกใจโกรธเกลียดแม้แต่น้อย
จึงลุกขึ้นเดินไปเอามือตบหัวอันใหญ่โตของมันเบาๆ แล้วกล่าวอีกว่า
"พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงฌานสมาบัติหนึ่ง พระอริยะเจ้าหนึ่ง มนุษย์และสัตว์
เจ้าจะทำอันตรายไม่ได้ เราขออโหสิกรรมแก่เจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เจ้าจักหายจากทุกขเวทนา ด้วยประการทั้งปวง ด้วยอำนาจสัจจะบารมีของเรา"
กล่าวจบท่านก็ถอยกลับออกมา ไอ้ตาเดียวก็หยุดร้องครวญคราง ลุกขึ้นยืน
ตระหง่าน ชูงวงขึ้นสูง ส่งเสียงร้องเบาๆ แสดงควาปราบปลื้มปิติมีน้ำตา
ไหลเป็นทางยาวออกมา แล้วมันก็คุกเข่าลงอีก ชูงวงนมัสการขึ้นลง ๓ ครั้ง
อาการเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสไม่มีอีกเลย
บอกให้รู้ถึงวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่สีโห ที่กล่าวอโหสิกรรมให้นั้น ทำให้มัน
หายจากทุกข์ทรมานในพริบตาเป็นที่น่าอัศจรรย์
จากนั้นมันก็เดินลงไปที่ลำห้วย เก็บเอาบาตรและห่อผ้ามาถวายหลวงปู่
รวมทั้งกลดที่มันกระทืบแบนติดดินด้วย การที่เจ้าช้างป่าตาเดียวสามารถ
ฟังหลวงปู่พูดได้เข้าใจและรู้เรื่องโดยตลอด ก็ด้วยอำนาจคุณวิเศษของหลวงปู่
นั่นคือ ท่านมีเจโตปริยญาณ ล่วงรู้จิตใจอารมณ์ของมนุษย์และสัตว์ทุกขณะจิต
เมื่อพูดออกไปสามารถทำให้สัตว์เข้าใจได้ทันทีไม่มีติดขัด
เจ้าช้างป่าตาเดียว หลังจากนมัสการและถวายข้าวของที่มันทำลายคืนให้แก่
หลวงปู่แล้ว มันก็เดินเข้าป่าไป หลวงปู่ได้ปักกลดใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว
เข้าจำวัดหลับนอนได้ไม่นานก็รุ่งสาง

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๗ บิณฑบาตรกับเทวดา

พอรุ่งสางชาวบ้านได้พากันรีบออกมาแต่เช้าด้วยความเป็นห่วงหลวงปู่
เพราะเมื่อคืนนี้ ได้ยินเสียงช้างป่าร้องสนั่นหวั่นไหวน่ากลัวมาก
เมื่อมาเห็นหลวงปู่ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างได แถมยังได้เห็นรอยเท้า
ไอ้ตาเดียวย่ำสับสนรอยโตๆ เกลื่อนไปหมดรอบบริเวณที่หลวงปู่กางกลด
พวกชาวบ้านต่างก็อัศจรรย์ใจ พากันเลื่อมใสหลวงปู่เป็นอันมาก ได้ถามไถ่
เรื่องราว หลวงปู่ก็ได้แต่หัวเราะ บอกว่าไม่มีอะไรหรอก ช้างป่าตาเดียว
มาเยี่ยมเยือนท่าน แล้วก็กลับเข้าป่าไปเท่านั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไร
ขอญาติโยมอย่าได้วิตกหวาดกลัวไปเลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไอ้ตาเดียว
เป็นช้างที่ดีแล้ว รับรองได้ว่ามันจะไม่เกเรทำอันตรายผู้ใดอีกต่อไป
ที่ท่านบอกแค่นี้ก็เพราะไม่ประสงค์จะให้ชาวบ้านเห็นท่านเป็นผู้เก่งกล้า
วิเศษเกินมนุษย์ ที่ช้างไม่ทำอันตรายท่านนั้น ก็เป็นเรื่องของความเคราะห์ดี
มากกว่า แต่ชาวบ้านไม่เชื่อว่า จะเป็นเรื่องเคราะห์ดีโดยบังเอิญของหลวงปู่
ที่เอาชนะช้างโทนจอมเพชฌฆาตได้ในครั้งนี้พวกเขาคิดว่า
จะต้องเป็นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่อย่างแน่นอน

ชาวบ้านได้กราบนิมนต์หลวงปู่ให้ท่านอยู่เป็นมิ่งขวัญของหมู่บ้าน โดยรับจะ
ปลูกกุฏิสร้างวัดให้อยู่เป็นการถาวร หลวงปู่ไม่อาจรับสนองความต้องการนี้ได้
ด้วยว่าได้ตั้งปณิธานไว้มั่นคงแล้ว ที่จะจาริกธุดงค์ไปตามมรรคาของตน
เพื่อแสวงหาพระนิพพาน ให้ถึงที่สุดบรรลุเป้าหมายในเบื้องหน้า
ชาวบ้านได้นำอาหารตามมีตามเกิดหลายอย่างมาถวายให้ขบฉันจังหัน
หลวงปู่รับอนุโมทนาแล้วให้ศีลให้พรก่อนจากไปว่า เป็นบุญกุศลของญาติ
โยมแล้วที่ได้ทำบุญใส่บาตรท่านในเช้าวันนี้ เพราะว่าจักมีน้อยครั้งนักที่
ชาวบ้านจะได้ตักบาตรทำบุญพระธุดงค์รุกขมูลที่เพิ่งออกจากฌานสมาบัติ
และวิปัสนาญาณในตอนกลางคืนเช่นท่าน
ใครได้ตักรบาตรทำบุญย่อมจะมีผลไพบูลย์ในความเป็นอยู่ ฐานะจะไม่
ฝืดเคืองยากจน มีแต่นับวันจะเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับ
ชาวบ้านได้ฟังแล้วต่างก็ก้มกราบรับพรใส่หัวใส่เกล้าด้วยความ ปิติปลาบปลื้ม
ใจไปตามๆ กัน การเข้าฌานสมาบัติในตอนกลางคืน ของพระบรรลุฌานโลกีย์
นอกจากจะให้ผลอันวิเศษแก่ตัวเองแล้ว ยังให้ผลแก่ญาติโยมที่บำเพ็ญกุศลด้วย
ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามีขึ้นไป ออกจากนิโรธสมาบัติตอนรุ่งสาง
ชาวบ้านญาติโยมได้ตักบาตรท่าน ย่อมจะได้รับผลอันยิ่งใหญ่มหัศจรรย์
ในวันนั้นทันตาเห็น
ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่จึงสั่งสอนลูกหลานไว้เสมอว่า ถ้าเห็นมีพระธุดงค์
ผ่านมา จงพยายามทำบุญตักบาตรท่านให้จงได้ จะเป็นลาภกุศลผลบุญ
อันยิ่งใหญ่ในชาตินี้ทันตาเห็น เพราะพระธุดงค์ย่อมจะมีบุญญาธิการไม่
ขั้นใดก็ขั้นหนึ่งเสมอ

หลวงปู่สีโหจาริกออกจากหมู่บ้านแห่งนั้น มุ่งหน้าเข้าสู่ดงพญาเย็น
อันน่าสะพรึงกลัว เป็นที่เลื่องชื่อในความดุร้ายของผีป่า ไข้ป่า และ
สิงสาราสัตว์ร้ายในสมัยนั้นยิ่งนัก ใครผ่านเข้าสู่ดงมหากาฬนี้แล้ว
ยากที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ง่ายๆ หลวงปู่ธุดงค์ไปไม่รีบร้อนอะไร
ไปเรื่อยๆ ตามสบาย พอค่ำลงก็เลือกทำเลอันเหมาะสมสักกลดพักผ่อน
บำเพ็ญสมาธิเจริญเมตตาพรหมวิหาร แผ่เมตตาไปทั่วขอบเขตจักรวาล
การเจริญพรหมวิหารนี้ทำให้ฌานสมาธิไม่เสื่อม ทำให้ศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง
อยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจัยให้องค์วิปัสนาญาณก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
ในทางมรรคผล

พอรุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาตรตามต้นไม้ใหญ่ในป่า ด้วยการเจริญภาวนา
เทวตานุสสติกรรมฐาน คือสรรเสริญคุณความดีของปวงเทวดาทั้งหลาย
ด้วยว่าพระพุทธเจ้ายอมรับในเรื่องเทวดาว่ามีจริง ตามพุทธประวัติ
จะพบว่าพระพุทธศาสนาไม่เคยห่างเทวดาเลย
พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสให้พุทธบริษัทที่บารมียังอ่อน ให้ระลึกถึงความดี
ของเทวดาเป็นปกติ เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะเป็นเทวดานั้น ต้อง
เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน เคยบำเพ็ญเพียรสร้างคุณงามความดี มี "หิริ"
คือความละอายต่อบาปทั้งหลายทั้งปวง มี "โอตตัปปะ" คือความเกรงกลัว
ต่อผลของบาปชั่ว ไม่ยอมประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ ในที่ลับและที่เจ้ง
มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีจิตเมตตาปราณี มีการบริจากทาน เสมอต้นเสมอปลาย
เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า กามาวจร คือชั้นจาตุมหาราช
ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานนรดี และชั้นปรนิมมิตตวสวัสดี
รวมหกชั้นด้วยกัน บวกภูมิเทวดา ที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ และรุกขเทวดาด้วย
พวกเทวดาที่มีวิมานสถิตอยู่ตามสาขาต้นไม้ใหญ่ที่เรียกว่า นางไม้ จัดอยู่ใน
เทวดาชั้นจาตุมหาราช
การบิณฑบาตรตามต้นไม้ในป่านี้ จะมีพวกนางไม้และเทวดาผู้ชายมาใส่บาตร
จริงๆ บางครั้งก็พบว่าเมื่อรุกขเทวดาเหล่านี้ใส่บาตรแล้ว มีแต่บาตรเปล่าๆ
ก็เอาบาตรนี้ไปใส่น้ำแล้วดื่ม ปรากฏว่าจะบังเกิดความอร่อยหอมหวานสดชื่น
อิ่มพอดี มีกำลังวังชาอย่างประหลาด
บางครั้งก็จะได้ข้าวสุกหอมกรุ่นร้อนๆ และผลไม้ป่าใส่ให้จริงๆ สุดแท้แต่
เจตนาอัชฌาสัยของรุกขเทวดาเหล่านั้น จะใส่บาตรแบบไหนเอาแน่นอน
ไม่ได้ อาหารนี้เรียกว่า อาหารทิพย์ พระธุดงค์ที่สำเร็จได้ฌานสมาบัติแล้ว
เท่านั้น เทวดาในป่าถึงจะใส่บาตรอาหารทิพย์ให้ ส่วนพระที่บารมียังอ่อน
ไม่สำเร็จฌาน แต่มีบารมีเก่าหนุนเนื่องมาจากปางก่อน เทวดาก็อาจจะใส่
บาตรให้เหมือนกัน แล้วแต่กรณีไป
การใส่บาตรนี้บางครั้งรุกขเทวดาก็ปรากฏกายให้เห็น บางครั้งก็ไม่ปรากฏ
กายแต่อย่างใด ถ้าเป็นนางไม้จะแต่งตัวเรียบร้อยสวยงามมาก หน้าตาสวย
ผิวพรรณผุดผ่อง ผมดำยาวประบ่าทัดดอกไม้ป่า ถ้าเป็นรุกขเทวดาผู้ชาย
ก็แต่งกายแบบผู้ดีโบราณ
การพูดจาปราศรัยกับรุกขเทวดาขณะใส่บาตรอยู่ที่กาละเทศะอันควรแก่กรณี
เป็นต้นว่า ฝ่ายรุกขเทวดาพูดขึ้นก่อน พระธุดงค์จึงมีความประสงค์จะ
อนุโมทนาแผ่เมตตาให้แก่พวกเขาเพื่อชี้ทางสำเร็จมรรคผล

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๘ รู้ภาษาสัตว์ภาษาคนได้ทุกชาติทุกภาษา

หลวงปู่สีโห อยู่ในป่าดงพญาไฟ หรือดงพญาเย็นนี้ เป็นเวลาสิบห้าราตรี
ได้พบปะสัตว์ร้ายมากมาย เช่น ช้าง เสือ หมี ควายป่า กระทิง งูจงอาง
แต่สัตว์เหล่านี้ หาได้ทำอันตรายท่านไม่ ถ้าไม่หลีกหนีท่านไป พวกมันก็
จะเข้ามาคอยคุ้มครองปกปักรักษา

ด้วยบารมีอันสูง ของหลวงปู่ผู้เป็นพระอริยเจ้า สามารถเข้าใจและรู้ภาษา
ของสัตว์ต่างๆ เมื่อพูดอะไรพวกสัตว์ก็จะรู้เรื่องรู้ภาษาจากอำนาจของ
อภิญญาจิต ปัญหามีอยู่ว่า หลวงปู่สีโหสามารถล่วงรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ ในป่า
และภาษาคนได้ทุกชาติทุกภาษาได้อย่างไร?
หลวงปู่สีโหได้กรุณาให้อรรถาธิบายแก่พระอาจารย์ยี่หลกผู้เป็นศิษย์เอกฟังดังนี้
คนเราพูดจากันมีความเข้าใจได้ด้วยเหตุสามประการคือ
๑. ขอบเขตแห่งถ้อยคำ
๒. ขอบเขตแห่งเนื้อความ
๓. ขอบเขตแห่งความเข้าใจ
ด้วยหลัก ๓ ประการนี้ ทำให้เกิดความรู้ภาษาทุกๆ ภาษาในโลก
เงื่อนไข ๓ ประการนี้ผสมผสานระคนปนเปกัน สลับซับซ้อนยุ่งยากมากมาย
ทำให้เกิดแบ่งแยกเป็นภาษาต่างๆ วิวัฒนาการไปตามยุคตามสมัย
จนไม่สามารถจะแยกเงื่อนไขความแตกต่างของหลัก ๓ ประการนี้ออกเป็นสายๆ
ได้เด่นชัดเป็นการเด็ดขาด เพราะภาษาต่างๆ ในโลกมีมากมายเหลือเกิน
แต่สำหรับพระที่สำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูง สามารถใช้เจโตปริยญาณ
เป็นองค์คุณ แยกความแตกต่างของขอบเขตแห่งถ้อยคำ ขอบเขตแห่งเนื้อความ
ขอบเขตแห่งความเข้าใจออกได้อย่างชัดแจ้งเป็นสัดส่วน
เมื่อสามารถแยกเงื่อนไขทั้งสามประการนี้ได้สำเร็จ ย่อมจะสามารถเกิดความรู้
ความเข้าใจในภาษามนุษย์ทุกชาติทุกภาษา รวมทั้งภาษาสัตว์ต่างๆ ได้โดยง่าย
จะไม่มีปัญหาในเรื่องถ้อยคำ ในเรื่องเนื้อความและความเข้าใจ ที่เป็นเรื่อง
ยุ่งยากสับสนสำหรับปุถุชนเลย นี่คือหลักการใช้เจโตปริยญาณ
ในเรื่องทำความเข้าใจในภาษาต่างๆ ของท่านที่สำเร็จอภิญญา

หลวงปู่สีโหจาริกออกจากดงพญาเย็น ไปถึงพระพุทธบาท ได้ปักกลดอยู่ที่เขาโพธิ์ลังกา
หลังจากนมัสการพระพุทธบาทด้วยการเจริญพุทธานุสสติอยู่ ๓ วัน
จึงได้ออกเดินทางมาสระบุรี นมัสการพระพุทธฉายอยู่ ๑ ราตรี จนปิติอิ่มเอม
ในพุทธบารมีแล้ว ก็ถวายนมัสการลามุ่งหน้าสู่อยุธยาอันเป็นจุดหมายปลายทาง
ของการจาริกธุดงค์ในครั้งนี้

พระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองโบราณ มีวัดวาอารามเก่าแก่ที่มีความสำคัญ
ในทางประวัติศาสตร์มากมาย บางแห่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์
ควรค่าแก่การไปนมัสการและศึกษา จนปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็น
มรดกโลก
ยุคสมัยอันรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาปรากฏว่าพระพุทธศาสนา สมณชีพราหมณ์
ได้รับการอุปถัมภกจากเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ในรัชสมัยต่างๆ อย่างถึงขนาด
พูดได้ว่าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด พระมหากษัตริย์หลายพระองค์
ได้ทรงออกผนวชเป็นหลักชัยแก่บ้านเมืองเป็นเยี่ยงอย่างแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ก่อให้เกิดปฏิปทาเลื่อมใสมั่นคง จรรโลงบวรพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไป
อย่างกว้างขวางจรดพม่าและประเทศข้างเคียง

หลวงปู่สีโห จาริกธุดงค์มาพระนครศรีอยุธยาครั้งนี้ เพื่อนมัสการสถานที่
ศักดิสิทธิ์ และพระพุทธปฏิมากรโบราณคู่บ้านคู่เมือง หลวงปู่มาถึงในตอนเย็นใกล้ค่ำ
ได้ปักกลดที่ท้ายวัดพนัญเชิงติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา หลังจากสรงน้ำชำระกาย
ให้ชุ่มชื่นสบายในแม่น้ำแล้ว ท่านก็เข้าไปกราบนมัสการท่านพระครู
เจ้าอาวาส วัดพนัญเชิงผู้เป็นเจ้าของถิ่นตามธรรมเนียม
ท่านพระครูสมภารเจ้าวัดในตอนนั้น ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าท่าน
ชราภาพมีพรรษาสูงเป็นที่เคารพนับถือเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านมาก
ท่านพระครูได้นิมนต์หลวงปู่ให้เข้ามาจำวัดในกฏิด้วยกัน แต่หลวงปู่สีโห
พอใจที่จะปักกลดอยู่ท้ายวัดมากกว่า เพื่อความวิเวก ซึ่งท่านพระครูก็ไม่
ขัดข้อง เพราะรู้ปฏิปทาของพระกรรมฐานเป็นอันดีว่าชอบอยู่วิเวกตาม
ลำพัง หลวงปู่สนทนากับสมภารเจ้าวัดพอสมควรแล้ว ก็ขออนุญาตเข้า
ไปในวิหารใหญ่เพื่อนมัสการหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
ท่านพระครูสมภารมีความยินดีให้พระลูกวัดอำนวยความสะดวก
เปิดประตูวิหารให้ พร้อมทั้งจัดดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะบูชา
เมื่อเข้าไปในวิหารแล้ว หลวงปู่ก็ทำอารมณ์จิตให้ตั้งมั่น มีปิติชุ่มชื่นโสมนัส
กราบนมัสการหลวงพ่อโตด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว น้อมจิตรำลึกถึง
คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า สมัยเมื่อพระองค์เที่ยวจาริกโปรดสัตว์โลก
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธ์
เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว ก็ยังทรงพระมหากรุณาประดิษฐานพระเจดีย์ทั้งห้าคือ
พระปฏิมากร, พระมหาโพธิ, พระสถูป, พระชินธาตุ และพระไตรปิฏก
อันเป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกซึ่งเกิดมาในภายหลัง
หลวงปู่สีโหได้เจริญพุทธานุสสติอยู่จนอารมณ์เต็มเปียมโสมนัสศรัทธา
ในพระพุทธบารมี จึงได้ถอนจากฌาน เตรียมจะกราบลาหลวงพ่อโตกลับ
ทันใดก็ปรากฏมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูวิหารมา ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่
นั่งหันหลังให้ประตู แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ท่าน
ไม่ได้หันไปมองเลย ทำให้ท่านรู้ได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๙ พบพระนางสร้อยดอกหมาก

ทันใดก็ปรากฏมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูวิหารมา
ขณะนั้นหลวงปู่นั่งหันหลังให้ประตู แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างประหลาด
ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้หันไปมองเลย ทำให้ท่านรู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์
เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์มาก รูปร่างเธอสวยเหลือเกิน สวยเกินมนุษย์ปกติทั่วไป
ผิวขาวผ่องยองใย ลักษณะเป็นคนจีน หน้าตาอิ่มเอิบมีบุญญาธิการ แต่งองค์
ทรงเครื่องนางพญาพระเจ้ากรุงจีน เหมือนพวกงิ้วแต่งยังงั้นแหละ
ท่าทางเดินอ่อนช้อย งามสง่า เท้าไม่ติดพื้นคล้ายลอยมา
เธอเดินค้อมตัว ย่อตัวหลีกหลวงปู่ไปทางขวามือ แล้วหยุดยืนอยู่ในระยะห่าง
พอสมควร ทำกิริยายิ้ม จ้องดูหลวงปู่

หลวงปู่มองดูนางเต็มตา เป็นการมองด้วยตาเนื้อตามปกติ เพราะท่านได้ออก
จากสมาธิแล้วนั่นเอง ก็เหมือนคนเรามองดูกันธรรมดาอย่างสบายนั่นแหละ
หลวงปู่ได้เอ่ยถามทักทายขึ้นว่า "เจริญพรโยม" เธอยอบตัวลงนั่งพับเพียบ
เรียบร้อยบนเสื่อน้ำมันที่ปูหน้าแท่นสักการะบูชา แล้วก้มกราบหลวงปู่ แล้ว
กล่าวปฏิสันถานขึ้นด้วยสุ้มเสียงไพเราะ "สาธุ พระผู้เป็นเจ้า หม่อมฉันขอนมัสการ"
หลวงปู่ถาม "โยมมาจากไหน" "หม่อมฉันอยู่ที่นี่มานานแล้วพระผู้เป็นเจ้า" เธอตอบยิ้มๆ
"อยู่วัดนี้หรือ" หลวงปู่ถามด้วยความแปลกใจ
"ชาวบ้านเขาสร้างศาลให้อยู่ ติดกับพระวิหารหลังนี้ ชื่อศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก"
เธอตอบยิ้มๆ หลวงปู่นึกออกได้ทันที เพราะเคยรู้เรื่องราว
จากพระราชพงศาวดารมาบ้างเหมือนกัน
"อ้อ งั้นโยมก็เห็นจะใช่ เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก พระราชธิดาเจ้ากรุงจีนน่ะซิ"
"ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า" พระนางสร้อยดอกหมากตอบ
"อาตมาขอถวายพระพร ทีแรกไม่รู้ว่าจะเป็นพระนาง เมื่อรู้แล้วเช่นนี้
ก็มีความยินดีที่ได้รู้จัก พระอัครมเหสี พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ผู้มีบุญญาภิสังขารยิ่งใหญ่
ในสมัยโบราณกาลก่อนกระโน้น" หลวงปู่กล่าวฉันท์เมตตาจิต
พระนางสร้อยดอกหมากยิ้มละมัย ประนมมือสาธุรับพร
หลวงปู่ได้ถามพระนางต่อไปว่า "พระนางอยู่ที่วัดนี้มานานแล้วประมาณสักกี่ปี"
พระนางตอบว่า "หม่อมฉันอยู่ที่ศาลแห่งนี้มานานเกือบพันปีแล้วพระผู้เป็นเจ้า"
หลวงปู่ถามต่อ "ก็นับว่าพระนางอยู่ที่นี่นานโขอยู่ ด้วยวิบากกรรมอันใดเล่า
พระนางถึงไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าเสวยสุขอันเป็นทิพย์"
พระนางได้ตอบว่า "พระผู้เป็นเจ้าก็ย่อมจะทราบดีอยู่แล้วว่า หนึ่งวันในโลกวิญญาณ
เท่ากับ ๑๐๐ ปีในโลกมนุษย์ หม่อมฉันละร่างจากโลกมนุษย์มาอยู่โลกวิญญาณ
ยังไม่ถึง ๑๐ วันเลย หม่อมฉันยังจะต้องอยู่ในโลกวิญญาณต่อไปอีกนาน
หลายร้อยปี จนกว่าจะสิ้นกรรม"
หลวงปู่ถามต่อว่า "หลายร้อยปีของโลกวิญญาณใช่ใหม"
พระนางกล่าวตอบว่า "ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้าวิบากของหม่อมฉัน
เนื่องด้วยชาติปางก่อนเคยเกิดเป็นแม่ชี สำเร็จได้ฌานสมาบัติ
แล้วเกิดอุปาทานหลงผิด เบื่อหน่ายในสังขาร ต้องการจะสำเร็จ
เพื่อละร่างไปสู่สวรรค์ จึงได้กระทำอัตตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอตาย
ผลของการได้ฌานสมาบัติ แต่ไม่ได้เข้าฌานขณะที่ตาย และเป็นการตายโดย
ที่ยังไม่ถึงวาระเช่นนี้ วิบากกรรมนั้นส่งผลอยู่สองประการคือ
ถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาอำมาตย์ของท้าวเวสสุวรรณ ก็จะเกิดเป็นภุมเทวดา
เป็นพระภูมิเจ้าที่หรือเทพารักษ์สถิตย์อยู่ตามศาลเจ้า
แต่วิบากแต่หนหลังอันซับซ้อนของหม่อมฉันที่ผูกคอตายในชาติที่เป็นแม่ชี
ได้รับผลบุญได้เกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีนเสียก่อน แล้วจึงได้
อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง หลังจากนั้นกรรมหนักที่เคยผูกคอตาย
ก็ตามมาตัดรอน ทำให้หม่อมฉันเกิดความน้อยใจ หลงผิดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
ผูกคอตายอีก เพราะถูกพระเจ้าสายน้ำผึ้งขัดใจ"
หลวงปู่ได้ถามต่ออีกว่า "แล้วพระเจ้าสายน้ำผึ้งล่ะ ท่านไปเกิดแล้วหรือว่า
ยังมีวิบากเกี่ยวพันกันอยู่อีก"

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๐ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง
ตำนานประวัติน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก

ตำนานเกี่ยวกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง และพระนางสร้อยดอกหมากนั้น
มีกล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเลื่อนลอย แต่
นักประวัติศาสตร์และนักโบราญคดี ได้ค้นคว้าแล้วปรากฏว่า
พระเจ้าสายน้ำผึ้งนั้น มีตัวตนจริง เคยเป็นกษัตริย์ซึ่งครองเมืองเก่า
ที่ตั้งอยู่ที่หนองโสน ก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทองมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
ถึง ๓๐๐ ปี พระราชประวัติของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนาง
สร้อยดอกหมากเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก
จะขอกล่าวถึงพระเจ้าสายน้ำผึ้งก่อน ในครั้งนั้นกษัตริย์ครองกรุงอโยธยา
สิ้นพระชนม์ลง ไม่มีรัชทายาทสืบสันติวงศ์ บรรดาอำมาตย์จึงปรึกษากัน
เพื่อจะหาคนดีมีบุญมาเป็นกษัตริย์สืบต่อไป โดยให้เสี่ยงทายด้วยเรือพระที่นั่ง
โดยปล่อยเรือพระที่นั่งให้ลอยไป เรือก็ลอยไปจอดริมแม่น้ำใกล้กับที่เรือจอด
เป็นทุ่งนาแห่งหนึ่ง ก็เห็นเด็กเลี้ยงควายกำลังเล่นกันอยู่ เด็กคนหนึ่งเล่นเป็น
กษัตริย์ ตัดสินลงโทษประหารชีวิตเพื่อนอีกคนหนึ่งโดยใช้ไม้ไผ่ทำเป็นดาบ
พอเพชฌฆาตลงดาบปรากฏว่าเด็กชาวนานั้นคอขาดกระเด็นไปตามคำสั่ง
บรรดาอำมาตย์เห็นเป็นเหตุอัศจรรย์ และเรือเสี่ยงทายก็มาจอดตรงบริเวณนั้น
จึงได้เชิญเด็กชาวนานั้นขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงอโยธยาสืบมา

สำหรับพระนางสร้อยดอกหมากพงศาวดารได้กล่าวไว้ว่าเมืองจีน
ได้เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ขึ้น คือมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้มีบุญญาธิการ
โดยถือกำเนิดจากจั่นหมาก พระเจ้ากรุงจีน จึงรับมาเป็นราชธิดาบุญธรรม
ตั้งพระนามว่า พระนางสร้อยดอกหมาก ตามชาติกำเนิด
เมื่อเจริญวัยขึ้น เจ้าหญิงมีสิริโฉมงดงามมาก เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น
พระเจ้ากรุงจีนต้องการให้พระธิดามีคู่ครองเป็นผู้มีบุญญาธิการเหมือนกัน
จึงให้โหรทำนายดวงชะตา โหราจารย์ได้ตรวจดวงชะตาแล้วก็กราบทูล
พระเจ้ากรุงจีนว่า เนื้อคู่ของเจ้าหญิงเป็นกษัตริย์กรุงอโยธยา ซึ่งอยู่ทาง
ทิศตะวันตก เป็นผู้มีบุญญาธิการมาก คู่ควรกับพระราชธิดา
พระเจ้ากรุงจีน จึงแต่งพระราชสาส์น และให้ราชทูตนำไปถวายต่อกษัตริย์
กรุงอโยธยา ในพระราชสาส์นมีใจความว่า พระเจ้ากรุงจีนประสงค์ติดต่อ
เป็นพระราชไมตรีต่อกัน และจะยกพระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหสี ให้
เสด็จมารับโดยเร็ว
พระเจ้าสายน้ำผึ้งทราบความจากพระราชสาส์นก็ดีพระทัย จึงตรัสบอกกับ
ราชทูตของจีนว่า เดือน ๑๒ จะยกขบวนเดินทางไปยังเมืองจีน และได้
ตอบแทนพระราชไมตรีของพระเจ้ากรุงจีนด้วยข้าวของต่างๆ เป็นจำนวนมาก

จุลศักราช ๓๙๕ ปีมะเมีย เบญจศก ครั้นถึงเดือน ๑๒ แรม ๑๑ ค่ำ จึงยกพยุหะ
ไปทางชลมารค เพื่อไปรับตัวพระนางสร้อยดอกหมาก ขณะที่เรือพระที่นั่ง
ผ่านไปถึงวัดปากคลอง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นรวงผึ้งใหญ่เกาะอยู่ที่
อกไก่ใต้ช่อฟ้า จึงทรงอธิษฐานว่าหากพระองค์มีบุญญาธิการจะได้ปกครองบ้านเมือง
ให้ร่มเย็นเป็นสุข ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมาที่เรือ ครั้นหันหัวเรือเข้าไป
น้ำผึ้งก็หยดลงมาที่หัวเรือดังคำอธิษฐาน
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงพากันขนานพระนามของพระองค์ว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง
จากนั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงเดินทางไปเมืองจีนโดยเรือพระที่นั่งเอกชัยเพียง
ลำเดียว พระองค์สั่งให้ขบวนเรือที่ท้าวพระยามหาอำมาตย์ที่ติดตามมากลับ
ขึ้นไปรักษาพระนครตามปกติ ด้วยอำนาจบุญญาธิการของพระองค์ทำให้
การเดินทางไปเมืองจีนไปได้โดยสะดวกแม้จะเป็นแค่เรือพาย เมื่อถึงปากอ่าว
ชาวประมงค์จีนทั้งหลายที่หาปลาอยู่ในทะเลต่างก็อัศจรรย์ยิ่งนัก
เพราะธรรมดาเรือพายตามแม่น้ำจะมาพายในทะเลด้วยระยะทางที่ยาวไกล
มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ข่าวนั้นก็ไปถึงพระเจ้ากรุงจีน ทรงแปลกพระทัย
และได้ให้เสนาผู้ใหญ่ไปดูว่าจะเป็นจริงตามข่าวหรือไม่ และให้ทดสอบ
บุญบารมีของพระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วยการให้พระองค์ประทับพักที่อ่าวนาค
คืนหนึ่ง ครั้นเวลาค่ำก็ให้คนไปสอดแนมดูว่าจะเป็นประการใด คนที่ไป
สอดแนมก็กลับมารายงานว่ามีเรื่องแปลกประหลาดที่เวลากลางคืนมีเสียง
มโหรี ดังขึ้นเอง จากนั้นก็ทูลเชิญให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งพักที่อ่าวเสืออีกคืนหนึ่ง
ครั้งถึงเวลาราตรีกาล เทพยดาก็บันดาลเสียงมโหรีดังขึ้นอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์
ในบุญญาธิการของพระองค์ ทำให้พระเจ้ากรุงจีนเมื่อทราบเรื่องก็เกิดความ
เลื่อมใส รุ่งขึ้นพระเจ้ากรุงจีนจึงแต่งกระบวนแห่ออกมาต้อนรับและเชิญ
พระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้าไปยังพระราชวัง และจัดพิธีราชาภิเษกกับพระนาง
สร้อยดอกหมาก เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง

พระเจ้ากรุงจีนแต่งสำเภาห้าลำ กับเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก
และให้ข้าราชบริพารติดตามมาอยู่เมืองไทย ๕๐๐ คน จากนั้นพระเจ้า
กรุงจีนให้เชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งไปเฝ้า และทรงตรัสว่า บ้านเมืองหามี
ผู้รักษาไม่ กลัวจะมีข้าศึกมาย่ำยี ให้พากันกลับพระนครเถิด
พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ถวายบังคมลา เรือสำเภาเดินทาง ๑๕ วันก็ถึงพระนคร
ขุนนางผู้ใหญ่ ผู้น้อย พระราชาคณะ ราษฏร์ ต่างก็โสมนัสยินดีพากันมา
รับเสด็จเป็นอันมาก พระราชาคณะ ๑๕๐ รูปไปรับเสด็จที่เกาะ จึงเรียกว่า
เกาะพระตั้งแต่นั้นมา จากนั้นก็ทูลเชิญเสด็จมาท้ายเมือง ทรงให้พระนาง
สร้อยดอกหมากรออยู่ก่อน พระองค์ทรงเข้าไปในพระราชวังจัดเตรียมสถานที่
และจะจัดขบวนเพื่อต้อนรับให้สมพระเกียรติ ด้วยพระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงไป
เมืองจีนเป็นเวลานาน ราชการงานเมืองรอพระองค์มากมาย จึงไม่ได้ออกไป
รับพระนางด้วยพระองค์เอง ด้วยความน้อยพระทัยที่พระสวามีไม่ออกมารับ
จึงไม่ยอมเข้าไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ตรัสเป็นการล้อเล่นว่า มาถึงนี่แล้วถ้าไม่
เข้ามาจะอยู่ที่นั่นก็ตามเถิด เมื่อข้าราชบริพารมากราบทูลให้ทราบก็ยิ่งเสีย
พระราชหฤทัย เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พระนางก็ไม่ยอม
ไป ด้วยวิบากกรรมที่เคยผูกคอตายสมัยที่เกิดเป็นแม่ชีก็เป็นเหตุให้พระนาง
ฆ่าตัวตาย ต่อมาก็จัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ที่แหลมบางกะจะ และ
ได้สถาปนาเป็นพระอาราม พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพระนางเชิง" แต่นั้นมา

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๑ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ตำนานสร้างพระศักดิ์สิทธิ์ ๒ องค์
(หลวงพ่อโต วัดมงคลบพิตรและหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง)

ตำนานเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ๒ องค์ คือหลวงพ่อโตวัดมงคลบพิตร
และหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง ซึ่งคนทั่วไปคิดว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ความจริง
สร้างขึ้นก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี

จากการที่หลวงปู่ได้พูดคุยกับพระนางสร้อยดอกหมาก และได้ถามถึงพระเจ้าสายน้ำผึ้งว่า
" แล้วพระเจ้าสายน้ำผึ้งล่ะ ท่านไปเกิดแล้ว หรือยังมีวิบากเกี่ยวพันกันอยู่อีก "
พระนางสร้อยดอกหมาก ตอบว่า " พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ด้วยกุศลบารมีที่ได้บริจาคทานและรักษาศีลมาก เวลานี้ก็แวะไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนหม่อมฉัน
อยู่เสมอ ด้วยความนับถือกัน แต่ไม่มีอะไรผูกพันกับหม่อมฉันเหมือนเมื่อเป็นสามีภรรยากัน
ในโลกมนุษย์หรอกเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า "
หลวงปู่ถามต่อว่า " พระเจ้าสายน้ำผึ้งนี่รูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไรนะ เหมือนคนไทยทุกวันนี้ใหม
หรือว่าใหญ่โตกว่ากันมาก เขาว่าคนโบราณมักสูงใหญ่ถึงหกศอกแปดศอกใช่ไหมพระนาง "
พระนางสร้อยดอกหมากหัวเราะน้อยๆ แล้วกล่าวตอบว่า " พระผู้เป็นเจ้าจะได้เห็นเอง วันนี้พระเจ้า
สายน้ำผึ้งก็ได้มาด้วยกับหม่อมฉัน "
" เอ๊ะ.......ไม่เห็นมีนี่พระนาง " หลวงปู่กล่าวอย่างแปลกใจ
" ท่านรออยู่ข้างนอกค่ะ ยังไม่ได้เข้ามาในนี้ "
" อ้าว เชิญท่านเข้ามาซิพระนาง "
ทันใดร่างพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ปรากฏตัวเดินเข้ามาในพระวิหาร แต่งองค์ทรงเครื่องอลงกตพิภูษาสรรพาภรณ์
แพรวพราวด้วยแก้วกาญจนมณีรัตนชัชวาล ตามแบบเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ทรงอิสริยยศงามสง่า พระวรกาย
สูงใหญ่ กว่าคนในปัจจุบัน ผิวขาว หน้าตาคมสันสวยนัยย์ตาโตดำยาวคมกริบ เป็นประกายกล้าแข็งมีอำนาจ
แต่ทว่าแฝงไว้ด้วยความเมตตา
พอเข้ามาถึงก็ก้มลงกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ยิ้มแย้มแจ่มใส
" อาตมาภาพขอถวายพระพร พระราชสมภารเจ้า " หลวงปู่ทักทาย
" สาธุ พระผู้เป็นเจ้า " พระเจ้าสายน้ำผึ้งประนมมือรับสนองพระพรและยิ้มละไม
หลวงปู่สีโห ได้ถามว่า " พระราชสมภารเจ้า อยู่สุขสบายดีหรือ "
" สุขและทุกข์ก็มีคละกันไปเหมือนมนุษย์ในโลกนี้แหละพระผู้เป็นเจ้า
แต่ทุกข์ของเทวดานั้น เป็นทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ทางกาย ทุกข์ทางใจได้แก่ตัวโมหะ
เทวดาบางตนก็เพลิดเพลินหลงไหลงมงายอยู่กับกามสุขทั้งหลาย
เทวดาบางตนก็ติดอยู่ในกิเลสตัณหาอุปาทาน
บางตนก็เล็งเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พยายามบำเพ็ญศีลฟอกจิตใจตัวเอง
ออกจากกิเลส เพื่อหวังเลื่อนภูมิเลื่อนชั้นตัวเองให้สูงขึ้น
สวรรค์เทวโลกแดนของพวกกินข้าวทิพย์ อยู่ในวิมานทิพย์นี่นะ
โยมเองก็รู้สึกเบื่อๆ อยู่เหมือนกัน " พระเจ้าสายน้ำผึ้งตอบอย่างอารมณ์ดี
แล้วแลไปสบตายิ้มให้พระนางสร้อยดอกหมาก
หลวงปู่สีโหมีความรู้สึกว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นเทพที่มีบุญบารมีทางสัมมาทิฐิ
แตกฉานข้ออรรถข้อธรรม น่าเลื่อมใส
" พระราชสมภารเจ้า ไปมาหาสู่พระนางสร้อยดอกหมากอยู่เสมอ อาตมาเข้าใจว่า
พระราชสมภารเจ้าคงจะมีความห่วงอาลัยชาติภูมิมนุษย์อยู่ละกระมัง "
" ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องทางถาวรวัตถุในพระศาสนา คือว่าโยมต้องมาคอยดูแล
พระพุทธปฏิมากรที่ตัวเองได้สร้างไว้อยู่เสมอ เพราะเป็นพระที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะ
ด้วยแรงศรัทธาประสาทะอย่างสูงในสมัยนั้น โดยร่วมแรงใจแรงกายกันกับไพร่ฟ้าประชาราษฎร์
เมื่อสร้างแล้วก็กลายเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง มีเทวฤทธิ์สิ่งสู่คุ้มครองรักษา "
" พระพุทธรูปที่ว่านี่เห็นจะใช่หลวงพ่อโตองค์นี้กระมัง "
" ใช่แล้วพระผู้เป็นเจ้า หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงนี่องค์หนึ่ง อีกองค์คือ หลวงพ่อพระมงคลบพิตร
อยู่ในวิหารวังโบราณโน่น เป็นพระโตใหญ่หรือหลวงพ่อโตด้วยกันทั้งคู่ "
" พระราชสมภารเจ้า สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้พร้อมกันหรือ "
" สร้างปีเดียวกัน เมื่อคราวงานสมโภชกรุงอโยธยา ถ้านับเนื่องไปแล้วก็เป็นยุคสมัย
ก่อนพระเจ้าอู่ทอง มาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี " พระเจ้าสายน้ำผึ้งตอบ
พระนางสร้อยดอกหมากได้กล่าวขึ้นบ้างว่า
" มีคนเข้าใจกันมาก ว่าหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง และหลวงพ่อโตมงคลบพิตรนี้
สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บางคนก็ว่าสร้างราวแผ่นดิน สมเด็จ-
พระบรมไตรโลกนาถ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย หลวงพ่อโตทั้งสององค์นี้
เสด็จพี่สายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างเอง พระผู้เป็นเจ้า "
หลวงปู่สีโห ตอบว่า " เรื่องประวัติศาสตร์นี้ อาตมาไม่ค่อยจะมีความรู้นัก
เมื่อรู้ว่าพระราชสมภารเจ้าเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง
ทั้งสององค์นี้ ก็ใคร่ขออนุโมทนาด้วย การที่พระราชสมภารเจ้ามีความเป็นห่วง
เป็นใยพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้ก็สมควรแล้ว
ตามธรรมดาเทพยดาผู้มีความห่วงใยในพระศาสนา มักจะเกรงว่ามนุษย์
ผู้เต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลาย จะบำรุงปฏิสังขรณ์ปูชนียววัตถุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
เสมอต้นเสมอปลาย จึงมีความห่วงใยเข้าพิทักษ์รักษา เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์
ให้พระพุทธรูปเป็นที่มหัศจรรย์เสมอมา "
พระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก ได้ฟังดังนั้นก็ทรงยิ้มละไม
แสดงความพอพระราชหฤทัยมาก พระเจ้าสายน้ำผึ้งกล่าวต่อไปว่า
" โยมสร้างหลวงพ่อโตทั้งสององค์นี้ เจตนาจะให้เป็นพระใหญ่สถิตอยู่กลางแจ้ง
เช่นเดียวกับพระสถูปเจดีย์ แต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาต่อๆ มา
ได้พากันสร้างวิหารครอบไว้เสียหมด เพราะไม่อยากให้ตากแดดตากฝน
จึงทำให้ลดความสง่างามลง เรื่องนี้โยมรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร
เพราะเจตนา ปสาทะของพวกเขาก็เป็นกุศลเหมือนกัน หากแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น "
หลวงปู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อว่า " พระราชสมภารเจ้าและพระนางมาหาอาตมาในคืนนี้
จะให้อาตมาร่วมกุศลอะไรด้วยหรือ "
" หามิได้..... โยมทั้งสองมากราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ก็ด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาในการปฏิบัติ
ดีปฏิบัติชอบของพระผู้เป็นเจ้า และมีปฏิปทาอันพากเพียรมุ่งมั่น รอนแรมมาจากแดนไกล
เพื่อที่จะนมัสการหลวงพ่อโตทั้งสององค์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองกรุงเก่านี้
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทรงศีลสะอาดบริสุทธิ์ เป็นพระอริยะเจ้าควรแก่เทวดาจะกราบไหว้
โยมทั้งสองถือว่าเป็นบุญ ได้อานิสงส์แรงที่ได้กราบไหว้พระผู้เป็นเจ้าในคืนนี้ "
พระนางสร้อยดอกหมากกล่าวขึ้นบ้างว่า
" หม่อมฉันรักษาอุโบสถศีลสม่ำเสมอ วันนี้ใคร่ขออาราธนาศีลจากพระผู้เป็นเจ้าด้วย
เพื่อเพิ่มพูนอานิสงส์ "
หลวงปู่กล่าวตอบว่า " การรักษาอุโบสถศีลมีอานิสงส์มากกว่าการให้ทาน
พระนางประพฤติถูกต้องแล้ว อาตมาขออนุโมทนา "
พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงทรงกล่าวขึ้นบ้างว่า
" พระนางและโยม เมื่อได้มาพบกันอีกในโลกวิญญาณ ต่างก็มีจิตตรงกันที่จะบำเพ็ญเพียรภาวนา
รักษาศีล มีความเหนื่อยหน่ายในโลกียสุขอันไม่จีรังยั่งยืน ไม่ว่ามนุษย์ เทวดา พรหม ต่างก็ต้อง
เวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุดในห้วงวัฏสงสาร พระนางและโยมเบื่อหน่ายการเกิดอีก ต่างก็มุ่งที่จะ
สำเร็จมรรคผลในชาติต่อไป "
" พระราชสมภารเจ้าและพระนางทรงคิดชอบแล้ว อาตมาภาพขออนุโมทนา "
จากนั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ขออาราธนาศีลอุโบสถ หลวงปู่ให้ศีลและเทศน์โปรด
เป็นที่ปิติซาบซึ้งแก่ทั้งสองพระองค์เป็นอันมาก.

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2017, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๒ พุทธปาฏิหาริย์ (ตอนจบ)

ตำนานเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ๒ องค์
คือหลวงพ่อโต วัดมงคลบพิตรและหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
ซึ่งคนทั่วไปคิดว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ความจริง
สร้างขึ้นก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี
โดยพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กษัตริย์กรุงอโยธยา
ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ต้องการสร้างพระใหญ่
สถิตอยู่กลางแจ้งเช่นเดียวกับพระสถูปเจดีย์ เพื่อเป็นพุทธานุสสติ
แก่ผู้ที่มองเห็นซึ่งจะมองเห็นองค์พระได้แต่ไกลๆ
จิตของผู้ที่เห็นก็จะน้อมไปในกุศล ยิ่งผู้ใดได้มีส่วนร่วมในการ
สร้างพระก็จะยิ่งเกิดปิติอิ่มเอมใจ จิตผ่องใส ถ้าใกล้ตายถ้าจิต
นึกถึงพระเขาก็จะไปยังแดนสุคติมีสวรรค์เป็นต้น
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์คืออนิจจัง
ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน กาลเวลาย่อมเปลี่ยนสรรพสิ่ง
ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละยุคสมัย ก็มีการสร้างอาคาร
เพื่อไม่ให้พระตากแดดตากฝน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเจตนาที่เป็นกุศล
พระเจ้าสายน้ำผึ้งพระองค์เป็นผู้ที่เข้าถึงธรรมในขั้นสูง
พระองค์หวังปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ทรงเข้าใจและให้อภัย
กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเป็นบางแห่งที่เจ้าที่แรงและเขาไม่ยอม
ให้สร้างก็จะเกิดเหตุให้ทำให้สร้างไม่ได้ เช่นหลวงพ่อโตที่วัดสะตือ
มีคนดำริที่จะสร้างอาคารเป็นหลังคาคลุมก็เกิดเหตุขึ้นจนสร้างไม่ได้

เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากกราบนมัสการลากลับแล้ว
หลวงปู่ก็ออกจากวิหาร จะกลับไปยังกลดที่ท้ายวัด พระภิกษุลูกวัดชื่อสำเภา
ซึ่งมาเปิดประตูวิหารให้เมื่อตอนหัวค่ำยังนั่งรอยู่ที่ม้าหินขัด ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง
เพื่อรอปิดพระวิหารให้เรียบร้อย
" กระผมเห็นหลวงปู่นั่งพูดอยู่ในวิหาร แล้วก็มีเสียงผู้หญิงกับผู้ชายร่วมสนทนา
อยู่ด้วย แต่มองไม่เห็นตัว หลวงปู่พูดอยู่กับใครขอรับ"
พระสำเภาถามด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น
หลวงปู่หัวเราะหึๆ ชี้มือไปที่ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากที่อยู่ใกล้ๆ แล้วตอบว่า
" ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าแม่สร้อยดอกหมากดูซิ บางทีคุณอาจจะได้พบกับ
พระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วยที่นั่น "
พระสำเภาตลึงพูดไม่ออก มีสีหน้าขาวซีดด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
อย่างเห็นได้ชัด หลวงปู่ได้บอกให้พระสำเภาปิดประตูวิหารเสียให้เรียบร้อย
ป้องกันพวกหัวขโมยจะลอบเข้าไปลักพระพุทธรูปขนาดเล็กและข้าวของ
เครื่องสักการะบูชาอันมีค่ามากมาย

เมื่อพระสำเภาปิดประตูพระวิหารเรียบร้อยแล้วและกลับไปที่กุฏิพัก
หลวงปู่สีโหได้เดินลงมาทางหน้าพระวิหาร แล้วหยุดอยู่ในระยะห่าง
ประมาณ ๒๐ วา มองไปทางพระวิหารหลวงพ่อโต แล้วนั่งพิจารณา
ถึงประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตามที่ได้รับฟังมาจากดวงพระวิญญาณ
ของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก แล้วก็อัศจรรย์ที่
ดวงพระวิญญาณทั้งสองพระองค์ยังวนเวียนผูกพันอยุ่ ณ ที่นี้ ชะรอย
หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงนี้ จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างซ่อนอยู่
ภายในองค์พระเป็นแน่
เพราะตามธรรมดาคนโบราณสร้างพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จะต้องประกอบ
พิธีการใหญ่โต ถูกต้องเคร่งครัด และประจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เสมอ เมื่อดำริ
เช่นนี้แล้ว หลวงปู่ก็นั่งคุกเข่าลงกราบกับพื้นดิน ๓ หน นมัสการหลวงพ่อโต
อีกครั้ง แล้วอธิฐานจิตว่า
" ด้วยข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกของพระตถาคต ได้บำเพ็ญบารมีเจริญรอยตาม
พระบาทของพระบรมศาสดา เพื่อหวังมรรคผลนิพพาน ได้เดินทางรอนแรม
มาไกลด้วยความศรัทธายิ่ง ขอหลวงพ่อโตโปรดได้สำแดงปาฏิหารย์ให้
ปรากฏ เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด "
อธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็เข้าสมาธิแบบลืมตา เพ่งมองอยู่ที่ปลายจมูกจุดเดียว
เพียงชั่ววินาทีก็เข้าถึงจตุถฌาน คือเข้าถึงปุปก็ถึงปั๊ป ในชั่วขณะจิตทันที
เรียกว่าวสี คือมีความชำนาญคล่องแคล่ว จากนั้นก็ถอยจากจตุถฌาน ลงมา
อยู่แค่อุปจารฌาน คือฌานที่มีอารมณ์รู้สึกนึกคิดเห็นอะไรได้
ครั้นแล้วในชั่วอึดใจต่อมา ท่ามกลางความมืดอัน เงียบสงัดวังเวง ที่แผ่คลุม
ไปทั่วอาณาบริเวณวัดราตรีนั้น
ก็ปรากฏแสงรัศมีสว่างจ้าขึ้นในพระวิหารหลวงพ่อโต แสงนั้นคล้ายกับแสง
หลอดฟูออเรสเซนต์นับร้อยนับพันหลอด แต่ทว่ามีแสงนวลกว่าสว่าง
เย็นตากว่า หลวงปู่สีโหลืมตาขึ้นเป็นปกติ ถอนอารมณ์ออกจากอุปจารฌาน
เพื่อที่จะได้มองตามปกติด้วยตาเนื้อ เหมือนคนเรามองดูอะไรตามปกติ
ไม่ได้ดูด้วยฌาน ภาพที่หลวงปู่เห็นนั้นเป็นพระพุทธรูปหลวงพ่อโตในวิหาร
นั่นเอง ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางปริมณฑล สว่างไสวคล้ายสร้างด้วยแก้ว
อันโปร่งใส ตัวพระวิหารหลังใหญ่ได้หายไปหมด ดูๆ ไปคล้ายพระจันทร์
วันเพ็ญสุกสกาวลอยเด่นอยู่ในราตรีกาลอันปราศจากเมฆฉะนั้น
หลวงปู่สีโหบังเกิดอารมณ์ปิติซาบซ่านโสมนัสอินทรีย์ ไม่มีอะไรเปรียบ
ที่ได้ประจักษ์ในพระพุทธบารมี รัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์หลวงพ่อโตนี้
ปรากฏอยู่ประมาณ ๕ นาที ก็ค่อยๆ หลี่ลงจนเกือบดับ ครั้นแล้วก็สว่าง
พราวขึ้นอีกครั้ง เจิดจ้ายิ่งกว่าเก่า เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง แสงสว่างจึง
ค่อยๆ หลี่ลงๆ และดับวูบหายไปในที่สุด เหลืออยู่แต่ความมืดอันสงัด
วังเวงเหมือนเดิม
หลวงปู่สีโห ได้บังเกิดธรรมปิติอิ่มเอิบในพุทธปาฏิหารย์ครั้งนี้ยิ่งนัก
เพิ่มความเชื่อมันว่า ณ ที่ใด ที่พระพุทธบารมีสำแดงปาฏิหารย์ให้ปรากฏ
ณ ที่แห่งนั้นย่อมจักมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่
หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงนี้ มีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ข้างในองค์พระ
ปฏิมากรอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป
จึงสมควรแล้วที่พระวิญญาณของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง จะวนเวียนมานมัสการ
ปกปักรักษาดูแลร่วมกับเทพยาดาทั้งหลายที่สิงสถิตย์อยู่ในพระวิหารนี้
รวมทั้งพระนางสร้อยดอกหมากด้วย

วันต่อมา หลวงปู่สีโหได้ไปนมัสการหลวงพ่อโต พระมงคลบพิตร
ณ พระวิหารในวังโบราณ ในตอนนั้นพระมงคลบพิตรและพระวิหาร
ที่ถูกพม่าข้าศึกทำลาย เอาไฟเผาเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐
ยังคงมีสภาพปรักหักพังก็เฉพาะตัวพระวิหาร ส่วนองค์พระมงคลบพิตร
ได้รับการซ่อมแซมพระเมาลีและพระกรขวา รวมทั้งฐานให้เรียบร้อย
สมบูรณ์ครบองค์แล้ว แต่ก็ยังไม่งามเหมือนปัจจุบัน
พระวิหารและพระมงคลบพิตร ได้รับการซ่อมสร้างใหม่หมดให้เหมือนเดิม
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ดังที่ปรากฏความสวยงามมาจนปัจจุบัน
เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสายน้ำผึ้งยืนยันว่า ได้ทรงสร้างพระมงคลบพิตร
ในปีเดียวกันกับหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง หลวงปู่สีโหก็เชื่อว่าในองค์หลวงพ่อ
พระมงคลบพิตรนี้ จะต้องมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตย์อยู่ข้างในเหมือนกับองค์
หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เช่นเดียวกัน เพราะพระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูป
สำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล มีความศักดิ์สิทธิ์ทรงคุณเป็นอัศจรรย์
น่าเลื่อมใสตลอดมา เป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป มีคนมาสักการะบูชา
ทุกวันไม่เคยขาด
หลังจากนมัสการหลวงพ่อโตพระมงคลบพิตรแล้ว หลวงปู่ได้ไปท่องเที่ยว
นมัสการตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกหลายแห่ง เพราะกรุงศรีอยุธยามากมาย
ไปด้วยวัดวาอารามร้าง มีปรางค์เจดีย์โบราณที่ควรค่าแก่การสนใจ
ตลอดจนสิ่งลี้ลับ วิญญาณที่วนเวียนเฝ้าหวงแหนขุมมหาสมบัติของ
กษัตราธิราชเจ้า ขุมทรัพย์ของพ่อค้าวาณิช และประชาราษฏร์ที่วายชีพ
ไปตามกฏแห่งกรรมเมื่อครั้งกรุงแตก ได้นำข้าวของเงินทองซุกซ่อน
ให้พ้นจากสายตาของพม่าซึ่งมีอยู่ตามใต้ดินมากมายนับไม่ถ้วน เปรียบ
แล้ว อยุธยาก็คือสุสานขุมทรัพย์ในอดีต
จากการท่องธุดงค์ของหลวงปู่สีโห มีเหตุมหัศจรรย์มากมายยิ่งนัก
ไม่แตกต่างไปจากพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์อื่นๆ เลย
ถึงแม้ว่าบัดนี้ หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วก็ตาม แต่คุณธรรม
ต่างๆ ของท่านที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วสมเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เดินตามรอยบาทพระศาสดา
เป็นพระอริยสงส์ที่เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศที่ควรเคารพกราบไหว้บูชา
อย่างแท้จริง...............

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร