วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2011, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้ง ๔ ต้น
ณ พุทธคยา แดนตรัสรู้
ต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ


:b47: :b50: :b47:

“พุทธคยา” มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดมหาโพธิ์ (Mahabodhi Temple) เป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมี “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นโพธิญาณพฤกษาหรือพันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกด้านหลังของพระมหาเจดีย์พุทธคยา และมีพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ประดิษฐานคั่นอยู่ระหว่างกลาง รวมทั้งหมดมี ๔ ต้น และทั้ง ๔ ต้นนี้ได้เจริญเติบโตทดแทนกันมาเรื่อยๆ จากที่เดิมและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่าของชาวพุทธและมวลมนุษยชาติทั่วโลก ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พุทธคยา ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลก” ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก (UNESCO)

(๑) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑

เป็นต้นไม้คู่พระบารมีและเป็นสหชาติของพระโพธิสัตว์ เกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติมี ๗ ประการ (สัตตสหชาติ) คือ พระนางพิมพา, พระอานนท์พุทธอนุชา, นายฉันนะ, อำมาตย์กาฬุทายี, ม้ากัณฐกะ, ขุมทรัพย์ ๔ มุมเมือง และต้นอัสสัตถพฤกษ์หรือต้นพระศรีมหาโพธิ์

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑ เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับการถวายหญ้ากุสะจำนวน ๘ กำจากโสตถิยพราหมณ์ เพื่อปูเป็นที่ประทับเมื่อใกล้รุ่งของวันเพ็ญ เดือน ๖ จึงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์ หากใครได้ไหว้ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธองค์ และหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวนมาก

ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เช่น ทรงสร้างพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ฯลฯ ซึ่งทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สนพระทัยในความสุขส่วนพระองค์เหมือนเช่นเคย ว่างเว้นจากราชกิจก็มาปฏิบัติธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่กลับวังที่ประทับ ทรงเคารพรักต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จไปนมัสการอยู่ตลอดเช้าเย็น จึงเป็นเหตุให้เหล่าพระมเหสีนางสนมทั้งหลายไม่พอพระทัยที่พระองค์ทรงเอาใจใส่ต้นพระศรีมหาโพธิ์มากเกินไป ต่างพากันโกรธแค้นอิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าอโศกมหาราช พระนามว่า มหิสุนทรี (พระนางติษยรักษิต) ได้รับสั่งให้นางข้าหลวงนำยาพิษและน้ำร้อนแอบไปรดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อทำลาย บางแห่งบอกว่า พระนางเอาเงี่ยงกระเบนมีพิษมาทิ่มรากต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายไปในที่สุด รวมอายุของต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกประมาณ
๓๕๒ ปี

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ ก็ทรงวิสัญญีภาพ (สลบ) ล้มลงในที่นั้น ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กเอาน้ำนมโค ๑๐๐ หม้อไปรดที่บริเวณรากของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มตายลงไปนั้นทุกวัน และทรงตั้งสัตยาธิษฐานพร้อมกับการสักการะก้มกราบ พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า หากแม้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่แตกหน่อขึ้นมาแล้วไซ้ร์จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด ด้วยพุทธานุภาพและพระราชศรัทธาอันแรงกล้าแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นที่อัศจรรย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายหลังก็แตกหน่องอกขึ้นมาใหม่ จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๒ และมีอายุยืนต่อมาอีกหลายร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงดีพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงมีรับสั่งให้ก่อกำแพงล้อมรอบไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อีก

(๒) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒

ถือเป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นแรก การที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงมีการนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ ด้วย เช่น คณะของพระโสณเถระ-พระอุตตรเถระ เดินทางไปยังดินแดนสุวรรณภูมิ และคณะของพระมหินทเถระ-พระนางสังฆมิตตาเถรี เดินทางไปยังประเทศศรีลังกา เป็นต้น โดยพระภิกษุและพระภิกษุณีเหล่านี้ได้นำต้นหรือกิ่งของต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปด้วย

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒ ถูกทำลายจนล้มตายอีกครั้งในรัชสมัยพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธแห่งแคว้นมคธ เนื่องจากแคว้นมคธได้ถูกรุกรานโดยพระเจ้าสาสังการ กษัตริย์ชาวฮินดูแห่งแคว้นเบงกอล ซึ่งเมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงมีนโยบายทำลายพระพุทธศาสนา ครั้นเมื่อได้ยกกองทัพมาถึงบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็ไม่พอพระทัยด้วยเพราะพระองค์นับถือฮินดู จึงทรงรับสั่งให้ตัดต้นและขุดราก ใช้ฟางอ้อยสุม ใช้น้ำมันราด และเผาต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีอายุประมาณ
๘๗๑-๘๙๑ ปี จนล้มตาย รวมทั้ง รับสั่งให้ทำลายพระพุทธรูปในพระมหาเจดีย์พุทธคยาทั้งหมด มีเพียงพระพุทธรูป “พระพุทธเมตตา” เท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกทำลายในคราวนั้น เนื่องจากนายทหารผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปทำลายพระพุทธรูปไม่กล้าทำลายเพราะเป็นชาวพุทธ จึงได้ใช้วิธีเอาแผ่นอิฐมาก่อเป็นกำแพงปิดทางเข้าห้องบูชาเพื่อไม่ให้ใครเห็น เป็นการกำบังพระพุทธรูปไว้อย่างมิดชิด

๗ วันหลังจากนั้น พระเจ้าสาสังการทรงได้รับผลกรรมจากการสั่งให้ทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯลฯ ทั่วพระวรกายเกิดแผลพุพอง เน่าเปื่อยเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ อาเจียนเป็นพระโลหิต และสิ้นพระชนม์อย่างอนาถที่พุทธคยา ในตอนนั้น พระเจ้าปูรณวรมา ได้เสด็จมาพอดี จึงตีทัพของแคว้นเบงกอลแตกพ่ายไป ต่อมาได้มาพบเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มตายเช่นนั้น ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงรับสั่งให้ทหารพร้อมด้วยชาวบ้านร่วมกันไปรีดน้ำนมโค ๑,๐๐๐ ตัว แล้วกลั่นให้ข้นเหลือ ๘ ตัว เอาน้ำนมที่ได้เทราดตรงบริเวณหลุมต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเก่าที่ถูกเผา พระองค์ทรงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น พร้อมตั้งสัตยาธิษฐานตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช โดยทรงมีพระราชปรารภว่า ถ้ามาตรแม้นหน่อแห่งต้นโพธิ์ยังไม่งอกขึ้นตราบใด ข้าพเจ้าก็จักไม่ยอมจากไปจากสถานที่นี้โดยตราบนั้น ข้าพเจ้าขอยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาอุทิศต่อพระศรีมหาโพธิ์ตลอดชั่วลมปราณ ด้วยสัจจวาจากิริยาธิษฐานของพระองค์นี้นี่แล หน่อน้อยที่ ๓ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็งอกขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ พระองค์เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นหน่อน้อยงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดปีติโสมนัส จึงจัดการสร้างกำแพงล้อมต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูเข้ามาทำลายได้อีกต่อไป จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๓


(๓) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๘ นายพลโทเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ หัวหน้าคณะสำรวจพุทธสถานในช่วงอังกฤษปกครองประเทศอินเดีย เป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมากเนื่องจากเป็นผู้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง รวมทั้ง สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของชาวอินเดียหลังจากลืมเลือนไปแล้วกว่า ๘๐๐ ปี ท่านได้เดินทางไปที่เมืองพุทธคยาเป็นครั้งที่สอง พบว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรุดโทรมมาก ประชาชนชาวฮินดูในบริเวณนั้นได้ตัดกิ่งก้านไปทำเชื้อเพลิง ครั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๒๓ ได้เกิดพายุใหญ่ เป็นเหตุให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบียดกับพระมหาเจดีย์พุทธคยา กระทั่งหักโค่นล้มลงไปทางทิศตะวันตกและล้มตายไปเอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ นี้มีอายุยืนนานมากประมาณ ๑,๒๕๘-๑,๒๗๘ ปี

(๔) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔ เป็นต้นที่ยังคงยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ที่พุทธคยาในปัจจุบัน เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป และได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ได้เดินทางไปที่พุทธคยาอีกครั้ง พบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มอยู่ และได้พบหน่อโพธิ์งอกอยู่ที่ใต้ต้นเดิม จำนวน ๒ หน่อ หน่อหนึ่งสูง ๖ นิ้ว ได้บำรุงดูแลปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งสูง ๔ นิ้ว แยกนำไปปลูกไว้ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต

ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม เข้าใจว่าสถานที่ท่านนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นหลังไปปลูกนั้น เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จประทับยืนทอดพระเนตรพิจารณาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ประทับตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่เรียกว่า “อนิมิสเจดีย์” แต่ความเห็นนี้ไม่ตรงตามพระบาลีและคนส่วนมากเข้าใจกัน เพราะตามพระบาลีนั้นกล่าวไว้ว่า อนิมิสเจดีย์อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์


ปัจจุบัน “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔ ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงทุกวันนี้กว่า ๑๓๗ ปี (นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐)

ท่านสาธุชนชาวพุทธผู้มีกุศลศรัทธาสามารถเดินทางไปกราบสักการะได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันมีสายการบินไทยบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงพุทธคยา โดยใช้เวลาบินเพียง ๓ ชั่วโมง ๑๕ นาทีเท่านั้น ท่านก็จะได้กราบสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่แดนตรัสรู้แล้ว

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี


⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

:b39: สหชาติทั้ง ๗ ที่บังเกิดขึ้นพร้อมกับ
การประสูติของพระโพธิสัตว์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48425

:b39: “พระพุทธเมตตา”
องค์พระประธานในพระมหาเจดีย์พุทธคยา

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=34195

:b39: สัตตมหาสถาน
สถานที่เสวยวิมุตติสุขที่ยิ่งใหญ่ ๗ แห่ง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39332

⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2011, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย
ในปัจจุบันนี้นับเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ หน่อหรือต้นที่ ๔


:b44: “ต้นพระศรีมหาโพธิ์”
ที่สำคัญที่ยังคงยืนต้นอยู่ในปัจจุบันนี้ มี ๓ ต้น คือ


(๑) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย

อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์
ในปัจจุบันนี้นับเป็น “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔

เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป
โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ
ได้บำรุงดูแลปลูกหน่อหนึ่่งไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งแยกนำไปปลูกไว้
ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต
ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงปัจจุบันนี้
กว่า
๑๓๗ ปี (นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐)
ได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์
จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้
ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ
และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี


(๒) ต้นอานันทโพธิ์ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย

เป็นต้นดั้งเดิม โดยเป็นต้นโพธิ์ที่ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล
ที่ประตูหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน)
(ปลูกจากเมล็ดของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้)
โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
จึงเรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก
ที่ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐)
มีอายุกว่า
๒,๕๖๐ ปี (มีอายุมากกว่าพุทธศักราช)
และชาวพุทธนับถือว่ามีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสอง
รองจาก “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้


พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
และประทับเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธเจ้าแล้ว
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ แต่อย่างใด
มีกล่าวถึงในอรรถกถา แต่เมื่อคราวพระอานนท์ได้มายังพุทธคยา
เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้
กลับไปปลูก ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน)
ตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปประทับที่อื่น


ประวัติความเป็นมาของ “ต้นอานันทโพธิ์” จากหนังสือปูชาวัลลิยะ
ของสมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย

ได้กล่าวไว้พอสรุปใจความได้ว่า...

“แม้ว่าพระเชตวันมหาวิหาร จะเป็นที่ยังความสะดวกและความสงบให้เกิดได้
ยิ่งกว่าสถานที่แห่งใดๆ อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า
แต่พระองค์ได้ประทับพักตลอดปีไม่ แต่ละปีพระพุทธองค์ทรงประทับพัก
เพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙ เดือนของปีนอกฤดูฝน
พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น

เมื่อพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปสู่ที่อื่นประมาณปีละ ๙ เดือน
ชาวนครสาวัตถีผู้เลื่อมใสในพระธรรม ใคร่จะทูลเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ
ไม่ปรารถนาให้พระองค์เสด็จไปประทับแห่งใดๆ จึงพากันเกิดความเดือดร้อนใจ
ปรึกษากันว่า จะทำไฉนหนอ จึงจะทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่ตลอดปีได้
เมื่อพระองค์ต้องเสด็จไป ก็ทำให้เกิดความอ้างว้างใจ
จะหาสิ่งใดของพระองค์ให้ปรากฏอยู่เป็นเครื่องระลึกแทนองค์พระพุทธเจ้าได้

ความนั้นทราบถึงพระอานนท์เถระ พุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น
จึงนำกราบทูลให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา เพื่อจะยังมหาชนให้สมปรารถนา
จึงรับสั่งให้นำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด)
ที่ตำบลพุทธคยา มาปลูกไว้ที่หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ จักได้เป็นที่บูชากราบไหว้ของคนทั้งปวง

ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย
ทราบความประสงค์ของพระพุทธเจ้า จึงทูลอาสาแสดงฤทธิ์
โดยเหาะไปในอากาศถึงตำบลพุทธคยา
นำเอาผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด)
กลับมายังพระเชตวันมหาวิหารได้ในวันเดียวกันนั้น

ครั้นนำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) มาแล้ว
ก็มีการปรึกษากันว่า ผู้ใดจักสมควรเป็นผู้ปลูก
เบื้องต้นชาวเมืองและพระสงฆ์พร้อมใจกันถวายพระเกียรติ
แด่พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ครองกรุงสาวัตถี
ให้ทรงเป็นผู้ปลูก แต่ทรงปฏิเสธ
โดยบอกว่าฐานะกษัตริย์ย่อมไม่มั่นคงถาวร
ทายาทที่จะมาภายหลังจะให้ความคุ้มครอง
บารุงรักษาต้นโพธิ์ต่อไปนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้
จึงควรยกเกียรตินี้ให้แก่คนอื่น

ในที่สุดก็ได้ตกลงให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ปลูก
เพราะด้วยคิดกันว่า ต้นโพธิ์จะอยู่ภายในที่สาคัญของท่านอย่างหนึ่ง
และท่านมีบริวารข้าทาสหญิงชายมาก คงสืบตระกูลช่วยกันรักษาต้นโพธิ์
ต่อๆ กันไปได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปลูกเสร็จก็ได้มีการฉลองต้นโพธิ์
และพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ ๑ ราตรี
ตั้งแต่นั้นมา ชาวเมืองก็พากันกราบไว้ต้นโพธิ์เสมือนเครื่องระลึกแทนพระพุทธเจ้า
ที่เรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ นั้นเป็นเพราะว่าพระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแล
เรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง”


อานันทโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่
ณ ภายในวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) เมืองสาวัตถี
รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้


อานันทโพธิ์ คือต้นโพธิ์ที่มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์
พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้
ชาวพุทธทั่วโลกจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาถูกทำลายมาแล้ว ๓ ครั้ง
แต่ที่วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) นี้ยังคงอยู่
ชาวพุทธเราจึงเชื่อว่า ต้นอานันทโพธิ์
มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา


(๓) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
(เมืองอนุราธปุระ เป็นเมืองมรดกโลกและเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศศรีลังกา)

หลังพุทธกาลในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓
พระนางสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช
พระภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

ขณะทรงอัญเชิญพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาเผยแผ่ในประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก
ได้ทรงนำกิ่งด้านขวาของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย
อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพร้อมกันด้วย
โดยทรงเดินทางลงเรือมามอบให้แด่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
เพื่อให้ประดิษฐาน (ทรงปลูก) ไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
(ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า
๒,๓๐๕ ปี
อันเนื่องมาจากชาวศรีลังกาได้ทำนุบำรุงรักษาดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตลอดมา
มีการค้ำด้วยไม้ที่หุ้มด้วยทองคำ และทำรั้วกำแพงทองคำล้อมรอบไว้
ผู้ที่จะเข้าไปกราบสักการะต้องผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
ปี พ.ศ. ๒๓๕๗ พระสมณทูตไทยได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระ
มาด้วยจำนวน ๖ ต้น โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำไปปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น
นอกนั้นให้ปลูกไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสุทัศนเทพวราราม,
วัดสระเกศฯ และที่เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แห่งละ ๑ ต้น

อนึ่ง ครั้งที่ ศ.ดร.นรนิติ เศรษฐบุตร เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้มีโอกาสไปสักการะ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
และได้อัญเชิญหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ไปสักการะในครั้งนั้น
มาปลูกไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นที่ร่มเย็นอยู่จนถึงทุกวันนี้



:b8: :b8: :b8: รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก ::
(๑) บทความ โพธิญาณพฤกษา : ต้นโพธิ์ (ต้นอัสสัตถะ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=19553
(๒) บทความของพระมหา ดร.คมสรณ์ คุตฺตธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
บางตอนในหนังสือ...คู่มือเส้นทางบุญสู่สังเวชนียสถาน
http://www.oknation.net/blog/mylifeandw ... 07/entry-1
(๓) หนังสือปูชาวัลลิยะ สมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย
เว็บไซต์เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมกวย http://www.kuay.org

:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ ::
ซึ่งบันทึกและเอื้อเฟื้อโดย คุณ Venfaa Aungsumalin


⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

:b39: พุทธสังเวชนียสถาน
: สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377

:b39: สุทัตตะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อุบาสกผู้มีอุปการคุณต่อพระศาสนา

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50333

:b39: พระสังฆมิตตาเถรี
ภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์เถรวาท

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=57241

⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์
ในปัจจุบันนี้นับเป็น “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔

เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป
โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ
ได้บำรุงดูแลปลูกหน่อหนึ่่งไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งแยกนำไปปลูกไว้
ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต
ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงทุกวันนี้กว่า
๑๓๗ ปี
(นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐)
ได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์
จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้
ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ
และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

“ต้นอานันทโพธิ์” ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน)
เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ชมพูทวีป
เป็นต้นดั้งเดิม โดยเป็นต้นโพธิ์ที่ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล
ที่ประตูหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน)
(ปลูกจากเมล็ดของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้)
โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
จึงเรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก
ที่ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐)
มีอายุกว่า ๒,๕๖๐ ปี
(มีอายุมากกว่าพุทธศักราช)
และชาวพุทธนับถือว่ามีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสอง
รองจาก “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้


พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
และประทับเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธเจ้าแล้ว
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ แต่อย่างใด
มีกล่าวถึงในอรรถกถา แต่เมื่อคราวพระอานนท์ได้มายังพุทธคยา
เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้
กลับไปปลูก ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน)
ตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปประทับที่อื่น


ประวัติความเป็นมาของ “ต้นอานันทโพธิ์” จากหนังสือปูชาวัลลิยะ
ของสมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย

ได้กล่าวไว้พอสรุปใจความได้ว่า...

“แม้ว่าพระเชตวันมหาวิหาร จะเป็นที่ยังความสะดวกและความสงบให้เกิดได้
ยิ่งกว่าสถานที่แห่งใดๆ อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า
แต่พระองค์ได้ประทับพักตลอดปีไม่ แต่ละปีพระพุทธองค์ทรงประทับพัก
เพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙ เดือนของปีนอกฤดูฝน
พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น

เมื่อพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปสู่ที่อื่นประมาณปีละ ๙ เดือน
ชาวนครสาวัตถีผู้เลื่อมใสในพระธรรม ใคร่จะทูลเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ
ไม่ปรารถนาให้พระองค์เสด็จไปประทับแห่งใดๆ จึงพากันเกิดความเดือดร้อนใจ
ปรึกษากันว่า จะทำไฉนหนอ จึงจะทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่ตลอดปีได้
เมื่อพระองค์ต้องเสด็จไป ก็ทำให้เกิดความอ้างว้างใจ
จะหาสิ่งใดของพระองค์ให้ปรากฏอยู่เป็นเครื่องระลึกแทนองค์พระพุทธเจ้าได้

ความนั้นทราบถึงพระอานนท์เถระ พุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น
จึงนำกราบทูลให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา เพื่อจะยังมหาชนให้สมปรารถนา
จึงรับสั่งให้นำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด)
ที่ตำบลพุทธคยา มาปลูกไว้ที่หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ จักได้เป็นที่บูชากราบไหว้ของคนทั้งปวง

ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย
ทราบความประสงค์ของพระพุทธเจ้า จึงทูลอาสาแสดงฤทธิ์
โดยเหาะไปในอากาศถึงตำบลพุทธคยา
นำเอาผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด)
กลับมายังพระเชตวันมหาวิหารได้ในวันเดียวกันนั้น

ครั้นนำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) มาแล้ว
ก็มีการปรึกษากันว่า ผู้ใดจักสมควรเป็นผู้ปลูก
เบื้องต้นชาวเมืองและพระสงฆ์พร้อมใจกันถวายพระเกียรติ
แด่พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ครองกรุงสาวัตถี
ให้ทรงเป็นผู้ปลูก แต่ทรงปฏิเสธ
โดยบอกว่าฐานะกษัตริย์ย่อมไม่มั่นคงถาวร
ทายาทที่จะมาภายหลังจะให้ความคุ้มครอง
บารุงรักษาต้นโพธิ์ต่อไปนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้
จึงควรยกเกียรตินี้ให้แก่คนอื่น

ในที่สุดก็ได้ตกลงให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ปลูก
เพราะด้วยคิดกันว่า ต้นโพธิ์จะอยู่ภายในที่สาคัญของท่านอย่างหนึ่ง
และท่านมีบริวารข้าทาสหญิงชายมาก คงสืบตระกูลช่วยกันรักษาต้นโพธิ์
ต่อๆ กันไปได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปลูกเสร็จก็ได้มีการฉลองต้นโพธิ์
และพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ ๑ ราตรี
ตั้งแต่นั้นมา ชาวเมืองก็พากันกราบไว้ต้นโพธิ์เสมือนเครื่องระลึกแทนพระพุทธเจ้า
ที่เรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ นั้นเป็นเพราะว่าพระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแล
เรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง”


อานันทโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่
ณ ภายในวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) เมืองสาวัตถี
รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้


อานันทโพธิ์ คือต้นโพธิ์ที่มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์
พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้
ชาวพุทธทั่วโลกจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาถูกทำลายมาแล้ว ๓ ครั้ง
แต่ที่วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) นี้ยังคงอยู่
ชาวพุทธเราจึงเชื่อว่า ต้นอานันทโพธิ์
มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
บริเวณโคนต้นอานันทโพธิ์ จะมีชาวพุทธนำกลีบดอกไม้
หลากสีสดสวยมาสักการะโดยรอบ แลดูงดงาม
นอกจากนี้ก็ยังมีเสาเหล็กมาช่วยค้ำยัน
เพื่อช่วยพยุงกิ่งของต้นอานันทโพธิ์มิให้ทรุดพังลงมา

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
(เมืองอนุราธปุระ เป็นเมืองมรดกโลกและเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศศรีลังกา)

หลังพุทธกาลในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓
พระนางสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช
พระภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

ขณะทรงอัญเชิญพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาเผยแผ่ในประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก
ได้ทรงนำกิ่งด้านขวาของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย
อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพร้อมกันด้วย
โดยทรงเดินทางลงเรือมามอบให้แด่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
เพื่อให้ประดิษฐาน (ทรงปลูก) ไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
(ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า
๒,๓๐๕ ปี
อันเนื่องมาจากชาวศรีลังกาได้ทำนุบำรุงรักษาดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตลอดมา
มีการค้ำด้วยไม้ที่หุ้มด้วยทองคำ และทำรั้วกำแพงทองคำล้อมรอบไว้
ผู้ที่จะเข้าไปกราบสักการะต้องผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
ปี พ.ศ. ๒๓๕๗ พระสมณทูตไทยได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระ
มาด้วยจำนวน ๖ ต้น โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำไปปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น
นอกนั้นให้ปลูกไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสุทัศนเทพวราราม,
วัดสระเกศฯ และที่เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แห่งละ ๑ ต้น

อนึ่ง ครั้งที่ ศ.ดร.นรนิติ เศรษฐบุตร เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้มีโอกาสไปสักการะ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
และได้อัญเชิญหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ไปสักการะในครั้งนั้น
มาปลูกไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นที่ร่มเย็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 13:08 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร