วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

จิตจะพ้นทุกข์ได้โดยการทำให้รู้ความจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่คงที่ ไม่ใช่ตน

คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

ขอบพระคุณมากครับ

http://pantip.com/topic/35869552

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2016, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทรกบทความนี้จากหนังสือเล่มนี้ หน้า 95 (ตัดแต่สาระมา) ให้พิจารณาดูก่อน

http://upic.me/i/k0/coverjudge_resize.png

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2016, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสังคมไทยนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ชัดเจน ถ้าจะก้าวหน้าเจริญงอกงามได้จริง จะต้องก้าวไปกับความชัดเจน อะไรต่ออะไร เฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในถ้อยคำที่สื่อไปถึงหลักการทั้งหลาย จะต้องชัดเจน แล้วความชัดเจนนี้ก็จะทำให้เกิดปัญญา ทำให้เจริญปัญญา คือความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนมองเห็นชัดแจ้งนั่นแหละ คือ ปัญญา ปัญญาจะเป็นปัญญาแท้ก็ต้องชัด ถ้าไม่ชัดก็ยังไม่เป็นปัญญา


ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน อะไรต่ออะไรคลุมเครือไปหมด รู้ก็รู้กันอย่างพร่าๆ มัวๆ แล้วก็เลยเว้าๆ แหว่งๆ ผิดๆ พลาดๆ เพี้ยนๆ จึงทำให้ปัญญาอ่อนแอ หรือเกิดความอ่อนแอทางปัญญา เป็นอันตราย เป็นตัวกีดกั้นขัดขวางความความเจริญก้าวหน้า

เคยมีฝรั่งคนหนึ่ง เขียนหนังสือเรื่องเมืองไทยและเรื่องนั้นก็สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา เขาเขียนถึงเมืองไทยบอกว่า
พุทธศาสนานี้สอนคนไทยให้เป็นคนดี ให้ทำความดี แล้วทำความดีแบบพุทธศาสนาทำอย่างไร เขาก็ยกตัวอย่างว่า
พุทธศาสนาสอนให้ทำความดี ก็ให้นั่งแผ่เมตตา (ไม่ใช่นั่งแผ่เมตตาอย่างเดียว นอนแผ่ด้วยก็ได้ ทั้งนั่งแผ่และนอนแผ่) ตกลงว่า คนไทยเราชาวพุทธนี่เป็นคนดีได้ง่าย แต่ทำได้อย่างเดียว คือนั่งนอนแผ่เมตตา เท่านี้ก็พอ ฝรั่งคนนี้เป็นนักปราชญ์ใหญ่คนหนึ่งของตะวันตกในยุคสมัยใหม่ ชื่อว่า อัลเบิร์ด ชไวเซอร์ (Albert Schweitzer, 1875-1965)

จำได้ว่า ในตอนที่ตั้งคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นขั้นเตรียมการเพื่อจะมาเป็นนิด้า คือสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในระยะนั้น ก็มีคณะทำงานร่วมประสานกับต่างประเทศ คือฝ่ายไทยกับฝ่ายมหาวิทยาลัยอินเดียน่า ทำนอง consortium ก็มีอาจารย์อเมริกันท่านหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญในงานนี้ คือ Professor Joseph L. Sutton ท่านผู้นี้ ก็เขียนหนังสือขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องรัฐประศาสนศาสตร์ในเมืองไทย มีชื่อทำนองว่า Problems of Politics and Administration in Thailand ท่านก็ยกคำของท่านอัลเบิร์ด ชไวเซอร์ นั้นมาอ้าง เพื่อย้ำว่า พุทธศาสนานี้แหละ เป็นตัวอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาสังคมไทย



ฝรั่งมาเป็นนักวิชาการ พอจะดูพุทธศาสนา เขามักมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือ เขาคุ้นชินมากับศาสนาแบบบังคับความเชื่อในสังคมของเขา ซึ่งเมื่อเห็นคนที่เชื่อปฏิบัติอย่างไร ความเชื่อที่เป็นหลักของศาสนาก็มักจะอย่างนั้น แต่พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแบบนั้น (พวกที่ศึกษาเรื่องศาสนาอย่างจริงจัง จึงมักไม่ยอมเรียกพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาในความหมายของศัพท์ฝรั่งว่า religion)
แต่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ให้ศึกษาปฏิบัติ คนรู้เข้าใจแค่ไหนอย่างไร ก็เชื่อและปฏิบัติไปแค่นั้น

เพราะเหตุที่ไม่ได้บังคับความเชื่อที่จะไปปฏิบัติให้แม่นมั่นลงไป และคำสอนที่จะศึกษาก็กว้างขวางมากมาย คนก็ปฏิบัติไปแค่ที่ตัวรู้เข้าใจ เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าการศึกษาอ่อน ได้แค่ถือตามฟังตามกันไป ไม่นานเลย ประชาชนก็เชื่อถือปฏิบัติพุทธศาสนาผิดเพี้ยนบ้าง ใช้ธรรมผิดทางผิดที่บ้าง ปฏิบัติไม่ครบชุดบ้าง


ฝรั่งมาเห็น ก็จับเอาความเชื่อถือปฏิบัติผิดเพี้ยนพร่องแพร่งของชาวบ้าน มาบอกว่าเป็นพุทธศาสนา ไปอ่านคำสอนก็มากมายนักหนา ไม่สามารถศึกษาให้ทั่วถึง ก็จับเอาบางส่วนบางตอนที่เข้ากันมารับสมอ้าง เรื่องก็มาเป็นอย่างนี้


คำกล่าวว่าของฝรั่งหรือนักวิชาการแบบที่ว่านั้น จึงมักเป็นการสรุปข้ามขั้นตอน จะได้ประโยชน์ก็ตรงที่เอามาดูคนไทยและสังคมไทย และเราก็เอามาใช้ประกอบในการพัฒนาให้การศึกษาแก่คนไทยได้ด้วย


ทีนี้ เราก็มาดูคนไทยและสังคมไทย ซึ่งก็เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละ เราก็จึงต้องใช้วิธีแยกว่า หนึ่ง ตัวหลักธรรมที่แท้สอนว่าอย่างไร สอง คนไทยที่ว่าเป็นชาวพุทธนี้ เข้าใจหลักธรรมนั้นอย่างไร คือธรรมที่แท้ไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่คนไทยเข้าใจ แล้วในสังคมไทยก็เลยมีแต่ปัญหา เรื่องอย่างนี้อยู่เรื่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2016, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ขอแทรกอีกหน่อย วันหนึ่ง โดยบังเอิญได้ยินทางวิทยุ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ยกเอาธรรมะในพุทธศาสนาขึ้นมาอ้าง บอกว่า นี่นะพุทธศาสนาสอน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ก็จึงทำให้คนไทยเอาแต่ตัว ไม่ช่วยกัน มีอะไรก็เป็นเรื่องของตัวเอง คุณก็ช่วยตัวเองไปสิ นี่รายหนึ่งละ

ต่อมาอีกไม่กี่วันไม่ทราบ ก็โดยบังเอิญได้ยินวิทยุอีกแหละ อีกอาจารย์หนึ่งมาพูดบอกว่า พุทธศาสนานี่ สอนให้คนมีเมตตา กรุณา ทำให้คนไทยช่วยเหลือกันมาก คนไทยก็เลยขี้เกียจ ไม่ทำงานทำการ เพราะมัวหวังพึงให้คนอื่นเมตตา คอยรอรับเมตตา

ที่ท่านพูดกันทางวิทยุนั้น ถูกไหม สองท่านนั้นพูดตรงกันข้าม แต่ก็ถูกทั้งนั้นเลย คือคนที่ปฏิบัติผิดอย่างนั้นมีอยู่ แล้วคนที่เอามาพูด ก็ดูถูกตามที่เขาปฏิบัติผิด แต่แล้วทั้งหมดนั้น ทั้งคนปฏิบัติและคนดู ก็มาผิดด้วยกันอีกชั้นหนึ่ง คือมีการศึกษาที่กะพร่องกะแพร่ง รวมตลอดไปถึงคนที่สอนก็กะพร่องกะแพร่ง ไปๆ มาๆ ก็กะพร่องกะแพร่งกันหมดทั้งสังคม เป็นสัญญาณเตือนมานานแล้วว่า ควรจะชำระสะสางยกเครื่องสังคมชาวพุทธไทยทั้งหมด

นี้เป็นเรื่องของการขาดความรู้ความเข้าใจ แล้วปฏิบัติไขว้เขว และมองธรรมะไม่ถูกทิศถูกทาง ไม่ถูกจุดถูกแง่ เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกัน ปัญหาในชุด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นแหละ ที่แยกเอามาพูดเป็นเสี่ยงๆ และไม่พูดให้ตลอด พูดได้แค่เมตตา กรุณา ไม่ถึงอุเบกขา แล้วอุเบกขาก็เข้าใจผิดอีก ก็ยุ่งนุงนัง และเป็นปมเสียหายไปหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2016, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

จิตจะพ้นทุกข์ได้โดยการทำให้รู้ความจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่คงที่ ไม่ใช่ตน


คำถามนี้ อันที่จริงคนไทยก็พูดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วว่า กายใจ แต่ไปคิดสะว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แม้แต่คำว่า รูปธรรม นามธรรม คนไทยก็พูดก็ใช่สื่อกัน แต่ก็ไปคิดไปนึกสะว่าไม่ใช่ขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)


กาย-ใจก็ดี รูปธรรม นามธรรมก็ดี (= ขันธ์ ๕) มันไม่คงที่ เปลี่ยนแปรไปเรื่อย อย่างหยาบๆเห็นง่ายก็จาก กลละ แล้วก็เปลี่ยนเรื่อยเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม ...เป็นทารก ... เป็นเด็ก... เป็นหนุ่ม เป็นสาว ... วัยกลาง ... ปัจฉิมวัย ... แล้วก็ตายไป (อุปาทะ ฐีติ ภังคะ) นี่มันไม่คงที่แล้ว บอกความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตนแล้ว (ถ้าเป็นตนเป็นเรา เราก็ต้องบังคับกายใจ ...ไม่ให้แก่ เป็นต้นได้)

มองให้ละเอียดยิบลึกลงอีก ก็คือกายใจ (ขันธ์ ๕) นี่เกิดดับสืบต่อกันไม่ขาดสาย ภาวะนี้ยากจะมองเห็นด้วยตาเนื้อ ต้องใช้ตาคือปัญญาญาณมองจึงเห็น


หรือท่านอโศก กับ นอกกะลาจะเถียงจะแย้งก็เข้ามาเห็นต่างได้นะ :b13: แต่พยากรณ์ไว้เลยว่า ไม่กล้าเข้ามาหรอก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2016, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

จิตจะพ้นทุกข์ได้โดยการทำให้รู้ความจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่คงที่ ไม่ใช่ตน


คำถามนี้ อันที่จริงคนไทยก็พูดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วว่า กายใจ แต่ไปคิดสะว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แม้แต่คำว่า รูปธรรม นามธรรม คนไทยก็พูดก็ใช่สื่อกัน แต่ก็ไปคิดไปนึกสะว่าไม่ใช่ขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)


กาย-ใจก็ดี รูปธรรม นามธรรมก็ดี (= ขันธ์ ๕) มันไม่คงที่ เปลี่ยนแปรไปเรื่อย อย่างหยาบๆเห็นง่ายก็จาก กลละ แล้วก็เปลี่ยนเรื่อยเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม ...เป็นทารก ... เป็นเด็ก... เป็นหนุ่ม เป็นสาว ... วัยกลาง ... ปัจฉิมวัย ... แล้วก็ตายไป (อุปาทะ ฐีติ ภังคะ) นี่มันไม่คงที่แล้ว บอกความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตนแล้ว (ถ้าเป็นตนเป็นเรา เราก็ต้องบังคับกายใจ ...ไม่ให้แก่ เป็นต้นได้)

มองให้ละเอียดยิบลึกลงอีก ก็คือกายใจ (ขันธ์ ๕) นี่เกิดดับสืบต่อกันไม่ขาดสาย ภาวะนี้ยากจะมองเห็นด้วยตาเนื้อ ต้องใช้ตาคือปัญญาญาณมองจึงเห็น


หรือท่านอโศก กับ นอกกะลาจะเถียงจะแย้งก็เข้ามาเห็นต่างได้นะ :b13: แต่พยากรณ์ไว้เลยว่า ไม่กล้าเข้ามาหรอก :b32:


เรียกว่า"ทุกข์" ครับ
ครบถ้วน

เข้าใจ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2016, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

จิตจะพ้นทุกข์ได้โดยการทำให้รู้ความจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่คงที่ ไม่ใช่ตน

คำว่า ขันธ์ 5 เรียกด้วยภาษาปัจจุบัน จะเรียกว่าอะไร คนรุ่นใหม่ จึงจะเข้าใจ โดยถูกต้อง ครบถ้วน

ขอบพระคุณมากครับ

http://pantip.com/topic/35869552

Kiss
สั้นๆ ตรงๆ มีความหมายเดียว ตรงจริงทุกเวลาที่เข้าถึงความจริงแล้วเป็นปัญญาจริงๆ

ขันธ์ 5 หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดดับ(เป็นอุปาทิคือทรงไว้ซึ่งทุกข์เพราะไม่รู้ความจริง)

เพราะความละเอียดที่ทรงตรัสรู้คือการเข้าถึงความจริงของการเกิดดับทีละ1สภาพปรมัตถ์

การเกิดดับทีละ1สภาพปรมัตถ์คือขันธ์แต่ละขันธ์ต่างมีการเกิดดับได้ทีละ1ขันธ์1คำตรงจริง

การเกิดดับได้ทีละ1ขันธ์1คำตรงจริงคือการรู้ความจริงที่กำลังมีสภาพปรมัตถ์เพียง1อย่างจริง

เป็นรูปหรือนามหรือขันธ์1ใน5หรือรู้เป็นลักษณะ1ธาตุของมหาภูตรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ

หรือรู้ผ่านอายตนะ6แค่1ทางที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีที่กายจิตตนตามความจริง

ความจริงรู้ได้เป็นการรู้สึกได้จริงชัดเจนตรงที่กำลังมีที่จุดเดียวตรง1คำ1อย่างแยกธาตุขันธ์อายตนะ

ไม่ใช่การรู้เป็นตัวตนไปกำหนดคำเพื่อรู้...แต่เป็นสติปัญญาที่อบรมเจริญขึ้นจนเข้าถึงความรู้สึกนั้นจริง

โดยไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรู้สิ่งใดเพราะจิตแต่ละขณะที่ยังไม่เกิดรู้ไม่ได้และต้องเป็นสติตามรู้สึกทันที

เพราะไม่ใช่ตัวตนแต่เป็นธัมมะคือสิ่งที่มีจริงๆแต่ละ1อย่างตรงที่ชัดจริงๆคือประจักษ์ลักษณะที่กำลังมีนั้น

เพราะขันธ์ที่มีการเกิดดับครบทั้ง5ขันธ์แต่การตามระลึกรู้เป็นมรรคที่มีเกิดขึ้นเพื่อเข้าใจจนแทงตลอดธรรม

จิตเกิดดับจริงๆตามพระอภิธรรมทุกขณะจิตที่พระองค์ได้ตรัสรู้และจำแนกไว้ทั้งหมดคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน
onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร