วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2016, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาสวะ <= => อวิชชา => สังขาร => วิญญาณ => นามรูป => สฬายตนะ => ผัสสะ => เวทนา => ตัณหา => อุปาทาน => ภพ => ชาติ => ชรามรณะ + โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 16 พ.ย. 2016, 17:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2016, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างกรณีปลีกย่อยในชีวิตประจำวัน

ก. กับ ข. เป็นเพื่อนนักเรียนที่รักและสนิทสนมกัน ทุกวันมาโรงเรียน พบกันก็ยิ้มแย้มทักทายกัน วันหนึ่ง ก. เห็น ข. ก็ยิ้มแย้ม เข้าไปทักทายตามปกติ แต่ ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มด้วย ไม่พูดตอบ ก. จึงโกรธ ไม่พูดกับ ข. บ้าง ในกรณีนี้ กระบวนธรรมจะดำเนินไปในรูป ต่อไปนี้

๑. อวิชชา: เมื่อเห็น ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มตอบ ไม่พูดตอบ ก. ไม่รู้ความจริงว่าเหตุผลต้นปลายเป็นอย่างไร และไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ มีอารมณ์ค้างอะไรมาจากที่อื่น


๒. สังขาร: ก. จึงคิดนึกปรุงแต่งสร้างภาพในใจไปต่างๆ ตามพื้นนิสัย ตามทัศนคติ หรือตามกระแสความคิดที่เคยชินของตนว่า ข. จะต้องรู้สึกนึกคิดต่อตนอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเกิดความฟุ้งซ่าน โกรธ มีมานะ เป็นต้น ตามพื้นกิเลสของตน


๓. วิญญาณ: จิตของ ก. ขุ่นมัวไปตามกิเลสที่ฟุ้งขึ้นมาปรุงแต่งเหล่านั้น คอยรับรู้การกระทำและอากัปกิริยาของ ข. ในแง่ในความหมายที่จะมาป้อนความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่ในเวลานั้น เหมือนอย่างที่พูดกันว่า ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็น ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น สีหน้ากิริยาท่าทางของ ข. ดูจะเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่ง ไม่เสียทั้งนั้น


๔. นามรูป: ความรู้สึก ภาพที่คิด ภาวะต่างๆ ของจิตใจ สีหน้า กิริยาท่าทาง คือทั้งกายและใจทั้งหมดของ ก. คล้อยไปด้วยกันในทางที่จะแสดงออกมาเป็นผลรวม คือ ภาวะอาการของคนโกรธ คนปั้นปึ่ง คนงอน เป็นต้น (สุดแต่สังขาร) พร้อมที่จะทำงานร่วมไปกับวิญญาณนั้น


๕. สฬายตนะ: อายตนะต่างๆ มีตา หู เป็นต้น ของ ก. เฉพาะที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับรู้เรื่องราวในกรณีนี้ ตื่นตัว พร้อมที่จะทำหน้าที่รับความรู้กันเต็มที่


๖. ผัสสะ: สัมผัส กับ ลักษณะอาการแสดงออกต่างๆ ของ ข. ที่เด่นน่าสนใจ เกี่ยวข้องกับกรณีนั้น เช่น ความบูดบึ้ง ความกระด้าง ท่าทางดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ หรือเหยียดศักดิ์ศรี เป็นต้น


๗. เวทนา: รู้สึกไม่สบายใจ บีบคั้นใจ เจ็บปวดรวดร้าว หรือเหี่ยวแห้งใจ


๘. ตัณหา: เกิดวิภวตัณหา อยากให้ภาพที่บีบคั้น ทำให้ไม่สบายใจนั้น พ้นหายอันตรธาน ถูกกด ถูกปราบ ถูกทำลายให้พินาศไปเสีย


๙. อุปาทาน: เกิดความยึดติดผูกใจต่อพฤติกรรมของ ข. ว่าเป็นสิ่งเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับตน กระทบต่อตน เป็นคู่กรณีกับตน ซึ่งจะต้องจัดการเอากันอย่างใดอย่างหนึ่ง


๑๐. ภพ: พฤติกรรมที่สืบเนื่องต่อไปของ ก. ตกอยู่ใต้อิทธิพลของอุปาทาน เกิดเป็นกระบวนพฤติกรรมจำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งที่สนองอุปาทานนั้น คือพฤติกรรมปฏิปักษ์กับ ข. (กรรมภพ) ภาวะชีวิตทั้งทางกายทางใจที่รองรับกระบวนพฤติกรรมนั้น ก็สอดคล้องกันด้วย คือเป็นภาวะแห่งความเป็นปฏิปักษ์ กับ ข. (อุปปัตติภพ)


๑๑. ชาติ: ก. เข้าสวมรับเอาภาวะชีวิตที่เป็นปฏิปักษ์นั้น โดยมองเห็นความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างตนกับ ข. ชัดเจนลงไป แยกออกเป็นเรา - เขา มีตัวตนที่จะเข้าไปกระทำและถูกกระทบกระแทกกับ ข.


๑๒. ชรามรณะ: ตัวตนที่เกิดขึ้นในภาวะปฏิปักษ์นั้น จะดำรงอยู่และเติบโตขึ้นได้ ต้องอาศัยความหมายต่างๆ ที่พ่วงติดมา เช่น ความเก่ง ความสามารถ ความมีเกียรติ ความมีศักดิ์ศรี และความเป็นผู้ชนะ เป็นต้น ซึ่งมีภาวะฝ่ายตรงข้ามขัดแย้งอยู่ในตัว คือ ความด้อย ความไร้ค่า ไร้เกียรติ ความแพ้ เป็นต้น

ทันทีที่ตัวตนนั้น เกิดขึ้น ก็ต้องถูกคุกคามด้วยภาวะขาดหลักประกัน ว่าตนจะได้เป็นอย่างอย่างที่ต้องการ และหากได้เป็น ภาวะนั้น จะยั่งยืนหรือทรงคุณค่าอยู่ได้ยาวนานเท่าใด คือ อาจไม่ได้เป็น ก. ในฐานะปฏิปักษ์ที่เก่ง ที่มีศักดิ์ศรี ที่ชนะแต่เป็นปฏิปักษ์ที่แพ้ ที่อ่อนแอ หรือที่ไม่สามารถรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี และความชนะไว้ได้ เป็นต้น

ความทุกข์ในรูปต่างๆ จึงเกิดแทรกอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ทุกข์จากความหวั่นกลัวว่าอาจจะไม่สมหวัง ความเครียด และกระวนกระวายในการดิ้นรนเพื่อให้ตัวตนอยู่ในภาวะที่ต้องการ ตลอดจนความผิดหวัง หรือแม้สมหวังถึงที่แล้ว แต่คุณค่าของมันก็ต้องจืดจางไปจากความชื่นชม


ความทุกข์ในรูปต่างๆ เหล่านี้ ปกคลุมห่อหุ้มจิตใจให้หม่นหมองมืดมัว เป็นปัจจัยแก่อวิชชาที่จะเริ่มต้นวงจรต่อไปอีก


นอกจากนั้น ทุกข์เหล่านี้ ยังเป็นเหมือนของเสียที่ระบายออกไปหมด คั่งค้างหมักหมมอยู่ในวงจรคอยระบายพิษออกไปรูปต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาต่อๆไป แก่ชีวิตทั้งของตนเอง และผู้อื่น มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมครั้งต่อๆไป และการดำเนินชีวิตทั้งหมดของเขา


ดังในกรณีของ ก. อาจใจไม่สบายขุ่นมัวไปทั้งวัน เรียนหนังสือ และใช้ความคิดในวันนั้นทั้งหมดไม่ได้ผลดี พลอยให้แสดงกิริยาอาการไม่งาม วาจาไม่สุภาพต่อคนอื่นๆ เกิดความขัดแย้งกับคนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน เป็นต้น

(พิมพ์ตกไปข้อหนึ่งเต็มๆ ยกความดีให้กบนอกกะลาที่ค้านทำให้กลับมาทวน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 16 พ.ย. 2016, 17:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2016, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ถ้า ก. ปฏิบัติถูกต้องตั้งแต่ต้น วงจรปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น คือ ก. เห็น ข. ไม่ยิ้มตอบ ไม่ทักตอบแล้ว ใช้ปัญญา จึงคิดว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ เช่น ถูกผู้ปกครองดุมา ไม่มีเงินใช้ หรือมีเรื่องกลุ้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ค้างอยู่ พอคิดอย่าง ก็ไม่อะไรกระทบกระทั่งตัว จิตใจยังกว้างขวางเป็นอิสระ และกลับเกิดความกรุณา รู้สึกสงสารคิดช่วยเหลือ ข. อาจเข้าไปสอบถาม ปลอบโยน ช่วยหาทางแก้ปัญหา หรือให้โอกาสเขาที่จะอยู่สงบ เป็นต้น


แม้แต่เมื่อวงจรร้ายเริ่มขึ้นแล้ว ก็ยังอาจแก้ไขได้ เช่น

วงจรหมุนไปถึงผัสสะ ได้รับรู้อาการกิริยาที่ไม่น่าพอใจของ ข. ทำให้ ก. เกิดทุกข์บีบคั้นใจขึ้นแล้ว แต่ ก. มีสติเกิดขึ้น แทนที่จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิภวตัณหาที่จะตามมาต่อไป ก็ตัดวงจรเสียโดยใช้ปัญญา พิจารณาข้อเท็จจริง และเกิดความรู้รับอย่างใหม่เกี่ยวกับการแสดงออกของ ข. คิดเหตุผลทั้งที่เกี่ยวกับการกระทำของ ข. และข้อควรปฏิบัติของตนเอง จิตใจก็จะหายบีบคั้นขุ่นมัว กลับปลอดโปร่ง และคิดช่วยเหลือแก้ไขทุกข์ของ ข. ได้อีก


ดังนั้น เมื่อปัญญาหรือวิชชาเกิดขึ้น จึงทำให้จิตใจเป็นอิสระ ไม่เกิดตัวตนขึ้นมาให้ถูกกระทบกระแทก นอกจากจะไม่เกิดปัญหาสร้างทุกข์แก่ตนแล้ว ยังทำให้เกิดกรุณาที่จะไปช่วยแก้ปัญหาคลายทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วย
ตรงข้ามกับอวิชชา ซึ่งเป็นตัวชักนำเข้าสู่สังสารวัฏ ทำให้เกิดตัณหาอุปาทาน สร้างตัวตนขึ้นมาจำกัดตัวเองสำหรับให้ถูกกระทบกระแทกเกิดทุกข์เป็นปัญหาแก่ ตนเอง และมักขยายทุกข์ปัญหาให้แก่ผู้อื่นกว้างขวางออกไปด้วย


ก่อนจะผ่านตัวอย่างนี้ไป เห็นควรย้ำข้อควรระลึกบางอย่างไว้ เพื่อให้มองเห็นหลักปฏิจจสมุปบาทรอบด้านมากขึ้น

- ในสถานการณ์จริง วงจรหรือกระบวนธรรมทั้งหมดที่กล่าวถึงในตัวอย่างข้างต้น เป็นไปได้อย่างรวดเร็วตลอดสายเพียงชั่วแวบเดียว เช่น

นักเรียนบางคนรู้ข่าวสอบตก คนรู้ข่าวการสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รัก หญิงเห็นชายคนรักอยู่กับหญิงอื่น เป็นต้น เสียใจมาก ตกใจมาก อาจเข่าอ่อนทรงตัวไม่อยู่ อาจร้องกรี๊ด หรืออาจเป็นลมล้มพับไปทันที ยิ่งความยึดติดถือมั่นเทิดค่าให้ราคารุนแรงเท่าใด ผลก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น


- ขอย้ำอีกว่า ความเป็นปัจจัยในกระบวนธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปอย่างเรียงลำดับ

- การอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาทมุ่งให้เข้าใจกฎธรรมดา หรือกระบวนธรรมรวมที่เป็นไปอยู่ตามธรรมชาติเป็นสำคัญ เพื่อให้มองเห็นสาเหตุและจุดที่จะต้องแก้ไข

ส่วนรายละเอียดของการแก้ไข หรือวิธีปฏิบัติไม่ใช่เรื่องของปฏิจจสมุปบาทโดยตรง แต่เป็นเรื่องของมรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทา


อย่างไรก็ดี ตัวอย่างที่กล่าวมานี้ มุ่งความเข้าใจง่ายเป็นสำคัญ บางตอนจึงมีความหมายผิวเผิน ไม่ให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งลึกซึ้งเพียงพอ โดยเฉพาะหัวข้อที่ยากๆ เช่น

อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร และโสกะ ปริเทวะ ทำให้วงจรเริ่มต้นใหม่ เป็นต้น ตัวอย่างข้างบนที่แสดงในข้ออวิชชา เป็นเรื่องที่มิได้เกิดขึ้นเป็นสามัญ ในทุกช่วงขณะของชีวิต ชวนให้เห็นไปได้ว่า มนุษย์ปุถุชนสามารถเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่มีอวิชชาเกิดขึ้นเลย หรือเห็นว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่หลักธรรมที่แสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิตอย่างแท้จริง จึงเห็นว่า ควรอธิบายความหมายลึกซึ้งของบางหัวข้อที่ยากให้ละเอียดชัดเจนออกไปอีก


ต่อที่

viewtopic.php?f=1&t=53380

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2016, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างสถานการณ์จริง



สวัสดีเพื่อนๆ ค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเรา อยากฝากไว้สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัข ให้ระแวดระวังจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบเรา

เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงปีใหม่เรากลับไปบ้านที่ ตจว. (ที่บ้านเลี้ยงหมา 3 ตัว ปอม 1 ชิสุห์ 2) เพราะกลัวว่ารถจะติดก็เลยรีบกลับกรุงเทพก่อนตั้งแต่วันเสาร์
อยู่ได้คืนเดียวตอนเช้า พ่อก็โทรมาบอกว่า ไม่สบายมาก ไม่ไหวแล้ว ซึ่งไม่มีใครอยู่บ้านกับพ่อเลยนอกจากน้องหมากับนก เรากับแม่ก็เลยรีบกลับ
เพื่อที่จะพาพ่อไปหาหมอ กลับบ้านก็จอดรถปกติ หน้าบ้านจะเป็นที่จอดรถได้สองคัน เตรียมตัวเสร็จเราก็ขึ้นรถ พ่อก็ขึ้นรถเรียบร้อย เหลือแม่กำลังปิดบ้าน

ก่อนจะถอยออก เห็นแม่มองหาน้องหมา ชิสุอีกตัวอยู่บ้าน อีกตัวนอนใต้รถพ่อ ส่วนปอม ไม่เห็น (ปกติเค้าจะออกไปวิ่งเล่นในหมู่บ้าน แล้วก็กลับบ้านทุกเช้าเป็นปกติ) เราก็บอกแม่ ดูใต้รถด้วยจ้ะ แม่ก็ก้มดู บอกไม่มี ถอยได้เลย พอถอยได้แป๊ปเดียว ได้ยินเสียงดัง "ป๊อก" ดังมาก ขนาดเราอยู่ในรถปิดกระจกหมดยังได้ยินชัด
ตอนนั้น
ใจตกไปอยู่ที่ส้น (teen) เลย เลยตาตุ่มลงไปอีก ถามแม่อะไรๆ แม่วิ่งมาดูตะโกนเสียงดัง เฉาก๊วย (น้องปอม เลี้ยงมา 12 ปี) ตอนนั้นขาสั่น มือสั่น

เรียกได้ว่าสิ้นสติเลย ลงมาจากรถ เห็นน้องนอน เลือดออก แม่เอามือกุมตรงหน้าไว้แน่นไม่ให้เราเห็น เหยียบตรงบริเวณปาก/ดั้ง นิดเดียว แต่เป็นจุดสำคัญ

เรานี้แทบจะตายตามเลย ลงไปนอนดิ้นที่พื้น พ่อที่ไม่สบายมาก ต้องมายึดเราบอกพอแล้วลูก เราวิ่งเข้าไปกอด รู้สึกเหมือนน้องกระตุก

เลยบอกแม่ว่ายังไม่ตาย แต่แม่บอก ตายแล้วลูก เฉาก๊วยไปแล้ว น้องไปแบบคาที่เลย ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่เอ๋งเดียว ไม่มีเลย

ตอนนั้น
สติหลุดเลย ร้องไห้ เสียใจ กอดอยู่แบบนั้น ได้แต่พูดว่าแม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ด้วย เราเสียใจมาก ที่สุดในชีวิตจริงๆ ตอนนี้นอนไม่ได้เลย พอหลับตา ได้ยินเสียงดังป๊อก อยู่ในหัวตลอด ร้องไห้เป็นร้อยหน สงสารแม่ด้วย เราไม่พูดสักคำเลยว่าทำไมถึงไม่เห็น เรารู้ว่าทุกคนเสียใจ และไม่อยากให้ใครรู้สึกผิด (แต่เรารู้สึกผิดตลอดเวลา)

แม่บอกเป็นความผิดของแม่ที่ไม่เห็น แต่เราไม่เคยคิดว่าผิด แม่ดูดีแล้ว ตอนแรกเราคิดว่าแม่คงไม่เห็นจริงๆ เพราะน้องตัวสีดำ อาจนอนอยู่ใกล้ล้อรถ เลยมองไม่เห็น

แต่พอดูตรงจุดเกิดเหตุแล้ว มันเป็นช่วงระหว่างกลางรถ เลยคิดว่าน้องน่าจะเดินมาตอนเราถอยพอดี แล้วล้มลงแล้วลุกไม่ขึ้น เพราะน้องแก่มากแล้วและมีปัญหาขาไม่มีแรง พอนอนหรือล้ม จะใช้เวลาลุกสักพัก ระหว่างนั้นเราคงถอยพอดี

ทุกคนปลอบว่าเฉาก๊วยไปดีแล้ว หมดเวรหมดกรรมแล้ว หมดอายุไขแล้ว ถึงคาดแล้ว เพราะเรากลับมากรุงเทพแล้ว ยังมีเรื่องต้องกลับไปบ้านอีกรอบ ไปทำให้น้องตายจนได้

แต่เราไม่รู้สึกดีขึ้นเลย เสียใจที่สุด หลังจากเกิดเรื่อง ก็ไปฝังน้อง แล้วก็ไปถวายสังฆทาน พอหลวงตา บอก ตั้งนะโม ก็ปล่อยโฮเลย

ทั้งน้ำตา น้ำมูก ไหลรวมกันหมด เพื่อนที่ไปด้วยคงจะอายบอก พอแล้วๆ (พอออกจากวัดมันบอก พระเค้าคงคิดว่าผัวเมิงตาย 555+)

กรวดน้ำไปให้บอก อโหสิกรรมให้แม่ด้วย ให้เฉาก๊วยไปเกิดในภพภูมิที่ดี ให้เกิดมาเป็นลูกของแม่จริงๆ เราหวังแบบนั้นจริงๆ

ตอนนี้กำลังเตรียมตัวทำกิฟท์ หวังว่าเฉาก๊วย จะหมดเวรหมดกรรมแล้วมาเกิดเป็นลูกเราจริงๆ ตอนนี้จิตใจแย่มากถึงมากที่สุด ร้องไห้เป็นพักๆ
แม่บอกว่า ร้องแบบนี้ เฉาก๊วยจะไปเกิด ก็ไม่ไปสักที จะไปๆ ก็เรียกกลับมา

เมื่อคืนก็สวดมนต์ อุทิศให้ ไม่รู้ว่าเป็นสุนัขจะได้รับมั้ย แต่เราก็จะทำ อย่างเดียวที่ไม่เสียใจคือ 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เราดูแลให้ความรักน้องอย่างดี
ทุกคนที่บ้านช๊อกมากก พ่อเราไข้กระเจิงเลย (จริงๆ) ก่อนหน้านี้ตัวร้อนเป็นไฟเลย พอหลังเกิดเรื่องเราพาไปหาหมอ หมอบอกไม่มีไข้ (?)

ที่บ้านพยายามปลอบใจบอก เฉาก๊วย รักลูกมากรักทุกคนที่บ้านมาก มารับเคราะห์แทน รับทุกอย่างไปหมด หมดเวรหมดกรรมแล้ว

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากเตือนเพื่อนๆที่เลี้ยงสัตว์ น้องหมา น้องแมว หรืออะไรก็ตาม ให้ระแวดระวัง ให้เห็นตัวเลยว่าน้องอยู่กับเรา
ไม่อยากให้ใครเจอเรื่องแบบนี้เลยค่ะ มันทั้งรู้สึก เศร้า เสียใจ หดหู่ รู้สึกผิด รู้สึกบาป เราคิดไม่ออกเลย ว่าตัวเองจะดีขึ้นได้เมื่อไร

- ใครรู้วิธีทำบุญให้น้องหมาได้รับ (เรารู้ว่าขนาดคนยังไม่รู้เลยว่าได้รับมั้ย นับประสาอะไรกับหมา) แต่เราก็อยากจะทำทุกอย่าง

- ใครพอจะรู้วิธีจัดการกับความเศร้าเวลาสัตว์เลี้ยงแสนรักไม่อยู่แล้ว ช่วยแนะนำเราหน่อยนะคะ (ยังเหลือไข่ตุ๋น อายุ 12 ปีแล้วเหมือนกัน คงไม่นาน)

ปล.ผลจากที่ลงไปนอนดิ้น ทำให้โทรศัพท์พัง หน้าจอแตกไปเลย ถือว่าเป็นวันที่ซวยมากกจริงๆ

http://pantip.com/topic/33073166

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2016, 19:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างกรณีปลีกย่อยในชีวิตประจำวัน


ก. กับ ข. เป็นเพื่อนนักเรียนที่รักและสนิทสนมกัน ทุกวันมาโรงเรียน พบกันก็ยิ้มแย้มทักทายกัน วันหนึ่ง ก. เห็น ข. ก็ยิ้มแย้ม เข้าไปทักทายตามปกติ แต่ ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มด้วย ไม่พูดตอบ ก. จึงโกรธ ไม่พูดกับ ข. บ้าง ในกรณีนี้ กระบวนธรรมจะดำเนินไปในรูป ต่อไปนี้


๑. อวิชชา: เมื่อเห็น ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มตอบ ไม่พูดตอบ ก. ไม่รู้ความจริงว่าเหตุผลต้นปลายเป็นอย่างไร และไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ มีอารมณ์ค้างอะไรมาจากที่อื่น


๒. สังขาร: ก. จึงคิดนึกปรุงแต่งสร้างภาพในใจไปต่างๆ ตามพื้นนิสัย ตามทัศนคติ หรือตามกระแสความคิดที่เคยชินของตนว่า ข. จะต้องรู้สึกนึกคิดต่อตนอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเกิดความฟุ้งซ่าน โกรธ มีมานะ เป็นต้น ตามพื้นกิเลสของตน


๓. วิญญาณ: จิตของ ก. ขุ่นมัวไปตามกิเลสที่ฟุ้งขึ้นมาปรุงแต่งเหล่านั้น คอยรับรู้การกระทำและอากัปกิริยาของ ข. ในแง่ในความหมายที่จะมาป้อนความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่ในเวลานั้น เหมือนอย่างที่พูดกันว่า ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็น ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น สีหน้ากิริยาท่าทางของ ข. ดูจะเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่ง ไม่เสียทั้งนั้น


๔. นามรูป: ความรู้สึก ภาพที่คิด ภาวะต่างๆ ของจิตใจ สีหน้า กิริยาท่าทาง คือทั้งกายและใจทั้งหมดของ ก. คล้อยไปด้วยกันในทางที่จะแสดงออกมาเป็นผลรวม คือ ภาวะอาการของคนโกรธ คนปั้นปึ่ง คนงอน เป็นต้น (สุดแต่สังขาร) พร้อมที่จะทำงานร่วมไปกับวิญญาณนั้น


๕. สฬายตนะ: อายตนะต่างๆ ของ ข. ที่เด่น น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับกรณีนั้น เช่น ความบูดบึ้ง ความกระด้าง ท่าทางดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ หรือเหยียดศักดิ์ศรี เป็นต้น


เหนื่อยมั้ย....คิด..คิด...นี้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างกรณีปลีกย่อยในชีวิตประจำวัน


ก. กับ ข. เป็นเพื่อนนักเรียนที่รักและสนิทสนมกัน ทุกวันมาโรงเรียน พบกันก็ยิ้มแย้มทักทายกัน วันหนึ่ง ก. เห็น ข. ก็ยิ้มแย้ม เข้าไปทักทายตามปกติ แต่ ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มด้วย ไม่พูดตอบ ก. จึงโกรธ ไม่พูดกับ ข. บ้าง ในกรณีนี้ กระบวนธรรมจะดำเนินไปในรูป ต่อไปนี้


๑. อวิชชา: เมื่อเห็น ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มตอบ ไม่พูดตอบ ก. ไม่รู้ความจริงว่าเหตุผลต้นปลายเป็นอย่างไร และไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ มีอารมณ์ค้างอะไรมาจากที่อื่น


๒. สังขาร: ก. จึงคิดนึกปรุงแต่งสร้างภาพในใจไปต่างๆ ตามพื้นนิสัย ตามทัศนคติ หรือตามกระแสความคิดที่เคยชินของตนว่า ข. จะต้องรู้สึกนึกคิดต่อตนอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเกิดความฟุ้งซ่าน โกรธ มีมานะ เป็นต้น ตามพื้นกิเลสของตน


๓. วิญญาณ: จิตของ ก. ขุ่นมัวไปตามกิเลสที่ฟุ้งขึ้นมาปรุงแต่งเหล่านั้น คอยรับรู้การกระทำและอากัปกิริยาของ ข. ในแง่ในความหมายที่จะมาป้อนความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่ในเวลานั้น เหมือนอย่างที่พูดกันว่า ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็น ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น สีหน้ากิริยาท่าทางของ ข. ดูจะเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่ง ไม่เสียทั้งนั้น


๔. นามรูป: ความรู้สึก ภาพที่คิด ภาวะต่างๆ ของจิตใจ สีหน้า กิริยาท่าทาง คือทั้งกายและใจทั้งหมดของ ก. คล้อยไปด้วยกันในทางที่จะแสดงออกมาเป็นผลรวม คือ ภาวะอาการของคนโกรธ คนปั้นปึ่ง คนงอน เป็นต้น (สุดแต่สังขาร) พร้อมที่จะทำงานร่วมไปกับวิญญาณนั้น


๕. สฬายตนะ: อายตนะต่างๆ ของ ข. ที่เด่น น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับกรณีนั้น เช่น ความบูดบึ้ง ความกระด้าง ท่าทางดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ หรือเหยียดศักดิ์ศรี เป็นต้น


เหนื่อยมั้ย....คิด..คิด...นี้นะ


เหนื่อยไหม? ไม่เหนื่อย เราไม่เหนื่อย หิวไหม ไม่หิว เราไม่หิว :b32:

กบในกะโหลกกะลาเอ้ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สฬายตน ข. บูดบึ้ง..

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สฬายตน ข. บูดบึ้ง..

:b32: :b32: :b32:



สฬายตนะ กบว่าหมายถึงอะไร :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกแล้วว่าเสียเวลาเปล่า ไม่เชื่อ :b32: ปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สฬายตน ข. บูดบึ้ง..

:b32: :b32: :b32:


สฬายตนะ กบว่าหมายถึงอะไร :b10: :b14:


สฬายตน...มันบูดบึ้ง...รึ..อะไรไปตีความว่า..หน้ายังงี้คือบูดบึ้ง...
ละ..กักกาย

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สฬายตน ข. บูดบึ้ง..

:b32: :b32: :b32:


สฬายตนะ กบว่าหมายถึงอะไร :b10: :b14:


สฬายตน...มันบูดบึ้ง...รึ..อะไรไปตีความว่า..หน้ายังงี้คือบูดบึ้ง...
ละ..กักกาย




ที่ถามไม่ตอบ ถามว่า สฬายตนะ คือ อะไร ตอบมาก่อนดิ :b1: เอาตามที่กบเข้าใจ ว่าไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2016, 06:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หมายความว่ายังงัย....ก็ว่าไปดิ...ไม่เห็นต้องรอให้ใครว่าเลย..

ว่ามาดิ..กักกาย..

สฬายตนะ..บูดบึ้ง...

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2016, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หมายความว่ายังงัย....ก็ว่าไปดิ...ไม่เห็นต้องรอให้ใครว่าเลย..

ว่ามาดิ..กักกาย..

สฬายตนะ..บูดบึ้ง...

:b9: :b9:



กบจะต้องทำความเข้าใจในภาษาเขาก่อน สฬายตนะ ว่าเขาหมายถึงอะไร

ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องภาษาของเขา พอไม่ตรงกับความที่ตนมั่วก็เตลิดไปตามความเห็นของตัว :b32:

ไปแยกไปศึกษาสฬายตนะมา :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2016, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เมื่อว่าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมาย....กักกายจะมาถามข้าพเจ้าทำไม.. :b9: :b9:

ก็บอกมา...ซี้... :b32: :b32: :b32:

สฬายตน..หมายถึงอะไร..ทำไมมันถึงบูดบึ้งได้..

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
กรัชกายกำลังมาทำของง่ายให้เป็นของยาก ของน้อยให้เป็นของมากอีกแล้ว

ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ธรรมเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องสืบต่อของธรรมจนเห็นช่องทางที่จะยุติวัฏฏะธรรม ไม่ใช่นำมาประยุกต์อธิบายเรื่องโลกย์ ให้คนยุ่งยากสับสนใจเข้าใจยากเช่นนี้

จะเอาธรรมมาเป็นโลกย์ หรือกรัชกาย?
huh
ปฏิจจสมุปบาทเขาจะชัดและทราบซึ้งเองเมื่อเข้าถึงโสดาปัตติผล
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 110 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร