วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 18:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2016, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามนุษย์จะเข้าถึงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง (เข้าใจตัวเอง) ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว (ถ้าเข้าใจตัวเองแล้ว) กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลกและในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้

เมื่อใด เข้าถึงความจริงนี้แล้ว ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก ถ้าปฏิบัติต่อชีวิตจิตใจของตัวเองยังไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น

ปัญหาทุกอย่างนั้น มันโยงกันไปหมด มีเหตุปัจจัยถึงกัน ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน

คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกายและใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
พระพุทธเจ้าได้จับจุดของความจริงนี้ คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม

เพราะฉะนั้น โพธิญาณของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ให้ถึงสัจจะ ไม่มีการเคลื่อนคลาดเปลี่ยนแปลง


(จาริกบุญ จารึกธรรม หน้า 168)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1469689962999.jpg
FB_IMG_1469689962999.jpg [ 31.18 KiB | เปิดดู 2566 ครั้ง ]
:b38:
[/size]
:b4:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศก ก่อนหน้าโหนหลวงพ่อธีร์ ตอนนี้โหนหลวงพ่อชาอีก :b1:

ก่อนโน้น โหนหลวงพ่อพุทธทาส อัตตา ตัวกู คิกๆๆ ฟังแล้วเลยค้นหาอัตตาตัวกูใหญ่เลย หาไปหามา หามา หาไป อุตริคิดไปว่า ตัวที่สั่งให้ใจทำยังงั้นยังงี้นี่แหละอัตตา ตัวกูว่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ตรัสรู้ธรรม คือ รู้เรื่องธรรมดา

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ การค้นพบสัจธรรมความจริง และความจริงที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดา ตามพุทธพจน์ที่ว่า

ตถาคตทั้งหลาย จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ตาม หลักความจริงก็ดำรงอยู่ตามธรรมดาของมันอยู่แล้ว ว่าดังนี้ๆ

ตถาคตทั้งหลาย ได้ค้นพบความจริงนั้นแล้ว จึงนำมาเปิดเผย แสดง ชี้แจงให้เข้าใจง่าย และวางเป็นหลักลงว่า ดังนี้ๆ” (องฺ.ติก.20/576)


นี่คือพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่าเป็นเรื่องของธรรมดาแห่งธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงเปล่งอุทานว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา เป็นต้น ซึ่งมีคำแปลเริ่มต้นว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ คำว่า “พราหมณ์” ในที่นี้ หมายถึง ท่านผู้บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงามสูงสุด คือ เป็นคำเก่าที่เขาใช้กันสืบมา พระองค์ก็นำมาใช้ด้วย

เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป
เพราะมารู้ทั่วถึงธรรมพร้อมทั้งเหตุ
(ขุ.อุ.25/38)

อันนี้เป็นพุทธพจน์ที่แสดงหลักความจริงที่ตรัสรู้ส่วนหนึ่ง คือ แสดงถึงกฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ความจริงที่บอกว่ามีอยู่ตามธรรมดา ที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี้ คืออะไร ก็คือมาค้นพบความจริงของกฎธรรมชาติ แห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัยคือ การที่ผลเกิดจากเหตุและเหตุก่อให้เกิดผล ที่เรียกกันง่ายๆว่า กฎปฏิจจสมุปบาท หรือเรียกเต็มว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง

ต่อจากนั้น พระองค์ก็ตรัสต่อไปเป็นคาถาที่สอง มีข้อความคล้ายๆกันว่า

เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย
(ขุ.อุ.25/39)

อันนี้ก็คือการที่พระองค์ตรัสอ้างอิงไปถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นเหตุปัจจัย ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ได้แก่ พระนิพพาน

ท่อนที่หนึ่ง แสดงถึงหลักปฏิจจสมุปบาทอันว่าด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย

ท่อนที่สอง แสดงถึงพระนิพพานที่เป็นธรรมพ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง

ท่อนที่สาม คือต่อจากนั้น เมื่อได้ตรัสรู้อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท พร้อมทั้งพระนิพพานแล้ว

คาถาสุดท้าย ก็แสดงถึงผลของการตรัสรู้ว่า พระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ทำลายความมืดแห่งอวิชชาให้หมดไป เหมือนอย่างดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมาทอแสง ทำให้เห็นสิ่งทั้งหลายในโลกนี้สว่างกระจ่างชัดเจน

เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้
ดุจอาทิตย์กำจัดมืดส่องฟ้าให้สว่างเจิดจ้า ฉะนั้น”
(ขุ.อุ.25/40)


สามคาถานี้ คือ พุทธพจน์ที่เรียกว่า ปฐมพุทธพจน์ ตามที่อรรถกถาอธิบายไว้

เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา คือ กฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย พร้อมทั้งธรรมที่พ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพาน

นี่แหละเป็นเรื่องที่พูดดูคล้ายๆง่ายๆ เพราะถ้าเราจะตอบชาวบ้านเวลาเขาถามว่า พระพุทธศาสนาสอนอะไร หรือพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เราตอบในความหมายหนึ่งง่ายๆก็บอกว่าตรัสรู้ธรรมดานี่เอง เพราะว่าตรัสรู้ธรรมก็คือตรัสรู้ธรรมดา แต่ว่าตรัสรู้ธรรมดานี่แหละ เป็นเรื่องที่ยากที่สุด

ความจริงนั้นมีอยู่ เป็นของธรรมดา มันมีอยู่ตลอดกาล ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ ใครจะเห็นหรือไม่เห็น ความจริงก็มีอยู่อย่างนั้น

แต่เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริงที่เป็นธรรมดานี่แหละ เขาจึงดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาในชีวิตของตนเอง ปัญหาในสังคม และปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ทุกอย่างทุกประการ

แต่ถ้ามนุษย์รู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี้เมื่อใด เมื่อนั้น เขาก็ปฏิบัติถูกต้องต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติถูกต้อง ก็ไม่เกิดปัญหา ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี เรียบร้อย ชีวิตก็ดีงาม ประเสริฐ มีความสุข

ฉะนั้น ปัญหาของมนุษย์ ในที่สุด เมื่อสืบสาวลึกลงไป ก็อยู่ที่การไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นเอง แล้วจึงมาถึงขั้นปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้วก็เกิดปัญหา

ดังนั้น เมื่อมองในแง่หนึ่ง เรื่องของการตรัสรู้นี้ก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไรมาก ก็คือการเข้าถึงธรรมดา หรือความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา


แต่ตัวความจริง ตัวธรรม หรือธรรมดาอันนี้แหละ ที่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ถ้าเราเข้าถึงความจริงเมื่อใด ทุกอย่างก็ลงตัวเรียบร้อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้แต่วิทยาศาสตร์ อย่างที่เรารู้จักกันนี่ ก็ไม่ได้ทำการพิเศษอะไร วิทยาศาสตร์ค้นพบธรรมดานี่แหละ คือค้นพบความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ

พูดสั้นๆ ว่าค้นพบธรรม และเป็นธรรมเพียงด้านเดียว คือ วุ่นอยู่แค่รูปธรรม แต่ก็เพียรพยายามทำกันมาเป็นกิจการใหญ่โต ลงทุนลงแรงไปไม่รู้เท่าไร เพื่อจะหาความจริงตามธรรมดานี่แหละ แล้วก็ค้นพบกันมาทีละน้อยๆ

ไปๆมาๆ วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบความจริงทางด้านวัตถุด้านเดียวและก็ยังไม่ทั่วตลอด ไม่ถึงที่สุด

แม้แต่ความจริงเพียงวัตถุด้านเดียว ก็ยังใช้เวลาและแรงงานกันไม่รู้ว่าเท่าไร และบัดนี้ ก็ยังหาได้ถึงความจริงนั้นไม่

สิ่งที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์สมัยหนึ่งว่าอย่างนี้ๆ นึกว่าค้นพบความจริงแท้แล้ว แต่เวลาผ่านไปอีก ๒๐ ปี ๕๐ปี ๑๐๐ ปี นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง ที่มีเครื่องมือทันสมัยยิ่งขึ้น และมีประสบการณ์จากคนรุ่นก่อนทำไว้ให้มากกว่า ก็ค้นพบว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนค้นพบไว้นั้นไม่จริงแท้เสียแล้ว เพราะว่ามองความจริงไม่ทั่วถึง มองเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์โยงกันไม่รอบด้าน ก็กลายเป็นว่า สิ่งที่ค้นพบเก่านั้น เป็นเท็จไป

เมื่อค้นพบความจริงใหม่ ก็ประกาศว่า อันนี้ถึงจะจริง ต่อไปก็ค้นพบอีกว่า อันนั้นก็อาจจะไม่จริงอีก ก็เป็นอย่างนี้กันเรื่อยมา

จุดยอดปรารถนาหรือความต้องการสูงสุด ก็อันเดียว คือ ต้องการเข้าถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี่เอง แต่มนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับแง่มุมต่างๆของมัน

สำหรับธรรมที่เปิดเผยไว้ด้วยปัญญาตรัสรู้ในพระพุทธศาสนานั้น เรามองเห็นกันว่า เป็นความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้น เป็นหลักการใหญ่ที่ไม่จำกัดเฉพาะด้านวัตถุอย่างเดียว และไม่จำกัดเฉพาะนามธรรม แต่ท่านมองครอบทุกอย่าง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่เราเรียกกันว่า นามรูป

เราถือกันว่า ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก ถ้าเราไปค้นพบแต่เพียงวัตถุ เราก็ได้เพียงด้านเดียวของธรรม และเข้ามาถึงตัวเราก็แค่ด้านร่างกายเท่านั้นเอง

ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อรูปธรรมและนามธรรมมันอิงอาศัยกันอยู่ การรู้เพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว ก็ไม่ทำให้เข้าใจแม้แต่อย่างเดียวนั้นได้ถูกต้องถ่องแท้

ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสิ่งที่มีทุกอย่างรวมอยู่พร้อมในตัว จะว่าทางด้านวัตถุ ก็คือส่วนที่เรียกกันง่ายๆว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งกลั่นกรองมาสุดยอด จึงมาเป็นร่างกายของเรา

นอกจากร่างกายแล้ว เรายังมีส่วนจิตใจอีก ซึ่งเป็นนามธรรม รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ ทั้ง ๕ อย่างนี้ละ เป็นชีวิตของมนุษย์

พระพุทธเจ้าค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติ ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานี้ การค้นคว้าทางวิชาการต่างๆ ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามามาก แต่ไปเน้นเพียงด้านวัตถุ ก็จึงจำกัดตัวเองให้ค้นพบความจริงไม่ทั่วถึง ยังจะต้องพิสูจน์ค้นคว้ากันต่อๆไป

จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตใจ เปลี่ยนจากแต่ก่อนนี้ที่ถือว่าจิตใจ เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน เป็นเรื่องที่ขึ้นต่อความรู้สึก ไม่เกี่ยวกับความจริงในธรรมชาติ แล้วยังแถมแยกคนออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากธรรมชาติอีกด้วย เป็นกันมาตลอดประวัติศาสตร์อารยะธรรมตะวันตก จนกระทั่งเวลานี้จึงกลับหันมาสนใจเรื่องนามธรรม และถามเอาจริงเอาจังมาว่า จิตใจ คืออะไร


ถ้ามนุษย์จะเข้าถึงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลกและในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้

เมื่อใด เข้าถึงความจริงนี้แล้ว ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก ถ้าปฏิบัติต่อชีวิตจิตใจของตัวเองยังไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น

ปัญหาทุกอย่างนั้น มันโยงกันไปหมด มีเหตุปัจจัยถึงกัน ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน

คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกายและใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม

พระพุทธเจ้าได้จับจุดของความจริงนี้ คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม

เพราะฉะนั้น โพธิญาณของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ให้ถึงสัจจะ ไม่มีการเคลื่อนคลาดเปลี่ยนแปลง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 05:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1473058893144-600x600.jpg
1473058893144-600x600.jpg [ 131.82 KiB | เปิดดู 2539 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศก ก่อนหน้าโหนหลวงพ่อธีร์ ตอนนี้โหนหลวงพ่อชาอีก :b1:

ก่อนโน้น โหนหลวงพ่อพุทธทาส อัตตา ตัวกู คิกๆๆ ฟังแล้วเลยค้นหาอัตตาตัวกูใหญ่เลย หาไปหามา หามา หาไป อุตริคิดไปว่า ตัวที่สั่งให้ใจทำยังงั้นยังงี้นี่แหละอัตตา ตัวกูว่า :b32:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศก ก่อนหน้าโหนหลวงพ่อธีร์ ตอนนี้โหนหลวงพ่อชาอีก :b1:

ก่อนโน้น โหนหลวงพ่อพุทธทาส อัตตา ตัวกู คิกๆๆ ฟังแล้วเลยค้นหาอัตตาตัวกูใหญ่เลย หาไปหามา หามา หาไป อุตริคิดไปว่า ตัวที่สั่งให้ใจทำยังงั้นยังงี้นี่แหละอัตตา ตัวกูว่า :b32:




โหนธรรมตลอด แต่ไม่รู้สิ่งที่ตนโหนมันคืออะไร :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ธรรมะ คือชีวิต อาจจะใช่ ถ้าตีความว่าธรรมะคือธรรมชาติ

แต่

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน......สังเกตคำพูดนี้ให้ดี

"ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"

เป็นสิ่งที่ชี้ตรง เจาะจงลงไปเฉพาะเรื่อง ไม่ครอบคลุมเรื่องของชีวิตทั้งหมดอย่างที่กรัชกายเห็นและเข้าใจ

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

นี่ทุกข์

นี่เหตุเกิดทุกข์

นี่ความดับทุกข์

นี่วิธีดับเหตุทุกข์หรือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์

พระพุทธองค์ทรงสอนและชี้ชัดลงไปเฉพาะในเรื่องทั้ง 4 เรื่องนี้เป็นสำคัญ เรื่องอื่นนอกจากนี้ที่มีแสดงไว้เป็นเพียงเรื่องประกอบหรือเรื่องที่จะเอามาชี้นำให้ผู้คนเข้าถึงประเด็นธรรมทั้ง 4 ข้อ คืออริยสัจทั้ง 4 ประการนี้

ใครมีความเห็น ศึกษา ค้นคว้า ลงมือปฏิบัติ คิด พูด ทำอยู่ใน 4 เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ

ใครทำนอกไปจากสี่เรื่องนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด

ใครเจริญการกระทำไปในอริยสัจ 4 ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติตรง
เป็นอุชุปฏิปันโน เป็นสุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน บุคคล ย่อมมีที่สุดอยู่ในกลุ่มของจัตตาริปุริสสะ ยุคานิ อัฐปุริสสะบุคคลา คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ
นั่นแหละสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พึงสำเหนียกจดจำใส่ใจไว้ใหดีนะกรัชกาย อย่ามาเอาความเห็นผิด ความอวดรู้อวดใหญ่ที่ไม่ตรงประเด็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงคัดเลือกไว้ดีแล้วมาสอน ให้บิดเบือนไป ขยายประเด็นจนทำให้ผู้ใหม่ ผู้ยังไม่รู้ หลงทางไปในเรื่องที่ไม่รู้จบอย่างเรื่องของ ชีวิต ที่ยกมานั้น มันจะเป็นบาปมหันต์ที่มาทำให้ผู้คนหลงทางหลงประเด็นศึกษาปฏิบัติในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง เปลืองสมองเปลืองชีวิตไปกับคำแนะนำที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของกรัชกาย ดังจะพิจารณาได้จักพฤติกรรมการเขียนการโพสต์เรื่องราวความรู้ต่างๆตามกระทู้ของกรัชกายซึ่งสะเปะสะปะ กินความกว้างขวางไปหมดจนไม่รู้ว่าจะชี้ชัดลงตรงไหนกันแน่ จะเอายังไงกัน เดี๋ยวธรรมหลุด เดี๋ยวธรรมโลกย์ มั่วกันไปหมด ไม่เป็นอุชุปัญญา อุชุวาจา อุชุกัมมะ อุชุปฏิปันโน

ปรับจิตปรับใจปรับทิศทางความเห็นเสียใหม่ให้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิโดยแท้เสียนะกรัชกาย จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมเป็นครุกรรมหรืออนันตริยกรรมกับชีวิตของกรัชกายอีกต่อไป

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ธรรมะ คือชีวิต อาจจะใช่ ถ้าตีความว่าธรรมะคือธรรมชาติ

แต่

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน......สังเกตคำพูดนี้ให้ดี

"ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"

เป็นสิ่งที่ชี้ตรง เจาะจงลงไปเฉพาะเรื่อง ไม่ครอบคลุมเรื่องของชีวิตทั้งหมดอย่างที่กรัชกายเห็นและเข้าใจ

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

นี่ทุกข์

นี่เหตุเกิดทุกข์

นี่ความดับทุกข์

นี่วิธีดับเหตุทุกข์หรือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์

พระพุทธองค์ทรงสอนและชี้ชัดลงไปเฉพาะในเรื่องทั้ง 4 เรื่องนี้เป็นสำคัญ เรื่องอื่นนอกจากนี้ที่มีแสดงไว้เป็นเพียงเรื่องประกอบหรือเรื่องที่จะเอามาชี้นำให้ผู้คนเข้าถึงประเด็นธรรมทั้ง 4 ข้อ คืออริยสัจทั้ง 4 ประการนี้

ใครมีความเห็น ศึกษา ค้นคว้า ลงมือปฏิบัติ คิด พูด ทำอยู่ใน 4 เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ

ใครทำนอกไปจากสี่เรื่องนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด

ใครเจริญการกระทำไปในอริยสัจ 4 ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติตรง
เป็นอุชุปฏิปันโน เป็นสุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน บุคคล ย่อมมีที่สุดอยู่ในกลุ่มของจัตตาริปุริสสะ ยุคานิ อัฐปุริสสะบุคคลา คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ
นั่นแหละสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พึงสำเหนียกจดจำใส่ใจไว้ใหดีนะกรัชกาย อย่ามาเอาความเห็นผิด ความอวดรู้อวดใหญ่ที่ไม่ตรงประเด็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงคัดเลือกไว้ดีแล้วมาสอน ให้บิดเบือนไป ขยายประเด็นจนทำให้ผู้ใหม่ ผู้ยังไม่รู้ หลงทางไปในเรื่องที่ไม่รู้จบอย่างเรื่องของ ชีวิต ที่ยกมานั้น มันจะเป็นบาปมหันต์ที่มาทำให้ผู้คนหลงทางหลงประเด็นศึกษาปฏิบัติในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง เปลืองสมองเปลืองชีวิตไปกับคำแนะนำที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของกรัชกาย ดังจะพิจารณาได้จักพฤติกรรมการเขียนการโพสต์เรื่องราวความรู้ต่างๆตามกระทู้ของกรัชกายซึ่งสะเปะสะปะ กินความกว้างขวางไปหมดจนไม่รู้ว่าจะชี้ชัดลงตรงไหนกันแน่ จะเอายังไงกัน เดี๋ยวธรรมหลุด เดี๋ยวธรรมโลกย์ มั่วกันไปหมด ไม่เป็นอุชุปัญญา อุชุวาจา อุชุกัมมะ อุชุปฏิปันโน

ปรับจิตปรับใจปรับทิศทางความเห็นเสียใหม่ให้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิโดยแท้เสียนะกรัชกาย จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมเป็นครุกรรมหรืออนันตริยกรรมกับชีวิตของกรัชกายอีกต่อไป


ท่านอโศกเข้าซอยตันแระ เลยย้ำคิดย้ำทำข้อความเดียวกันในหลายกระทู้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1464338127665-240x312.jpg
1464338127665-240x312.jpg [ 33.89 KiB | เปิดดู 2522 ครั้ง ]
:b12:
กรัชกายยังไม่รู้และไม่ยอมเข้าใจเลยต้องย้ำถี่ๆและบ่อยครั้งจนกว่ากรัชกายจะเข้าใจ
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
กรัชกายยังไม่รู้และไม่ยอมเข้าใจเลยต้องย้ำถี่ๆและบ่อยครั้งจนกว่ากรัชกายจะเข้าใจ
onion


ท่านอโศกขอรับ กลับมาเริ่มต้นใหม่เถอะ เอาง่ายๆเห็นๆก่อนนะ เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญตักบาตรตอนเช้า ไหว้พระปิดทอง ๙ วัด ปิดทองฝังลูกนิมิต ปล่อยนก ปล่อยกบ ปล่อยปลา ปล่อยเต่า เป็นต้นเถอะ จะได้ไม่หลงผิดไปมากกว่านี้ เชื่อดิ :b1: ตกนรกไม่รู้ตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ตรัสรู้แล้ว จะประกาศธรรมแสนยาก คนเปิดปากปิดหู ไม่อยากฟังตัวต้องทำอะไร

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาง่ายๆนี่แหละ แต่สำหรับคนทั่วไปผู้อยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม มีความคิดความเชื่อถือที่ถ่ายทอดกันมาจนกระทั่งมีการติดยึดถือมั่นเป็นวัฒนธรรม เป็นศาสนา และเป็นอะไรต่างๆ แล้ว พอมีการการติดยึดถือมั่นขึ้นมา ก็ทำให้เข้าถึงความจริงได้ยากมาก

บางที สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรายึดนี่แหละ ก็กลับมาปิดบังตาหรือกีดกั้นตนเองไม่ให้ยอมรับยอมฟัง ไม่ยอมศึกษา และไม่สามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นการยากที่จะนำธรรมมาแสดง

จะเห็นได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ทรงมารำพึงถึงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ แล้วพระองค์ก็โน้มพระทัยไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม ตามที่เราเรียนในพุทธประวัติ

พระพุทธเจ้า น้อมไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม ทำไมจึงน้อมใจที่จะไม่แสดง ก็เพราะพิจารณาเห็นว่า ธรรมที่ตรัสรู้นั้น คนทั้งหลายที่วุ่นวายอยู่ในความลุ่มหลงมัวเมา เพลิดเพลินติดอยู่ในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะทางวัตถุ จะรู้ตามและเข้าใจตามได้ยาก

ธรรมที่รู้เข้าใจตามได้ยากนี้ พระองค์ตรัสสั้นๆ ว่าคือ อิทัปปัจจยตาสปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน ดังระบุในคาถาที่ทรงอุทานข้างต้นนั้น

หลักทั้งสองนี้ แสดงความจริงในธรรมชาติซึ่งยากที่คนทั้งหลาย จะเข้าใจ เพราะมีสิ่งหุ้มห่อเคลือบคลุมปิดบังอย่างที่กล่าวเมื่อกี้นี้ คือ ความลุ่มหลง ความเพลิดเพลิน ความมัวเมาต่างๆ ตลอดจนความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณีที่ยึดติดถือมั่น จึงยากที่จะมองทะลุออกไปและเข้าใจได้ พระองค์จึงน้อมใจไปในการไม่แสดงธรรม

มีเรื่องต่อมาว่า พระพรหมชื่อสหัมบดี ได้มาอาราธนาคือนิมนต์พระพุทธเจ้า ว่ายังมีสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย หวังว่าสัตว์เหล่านั้นคงพอเข้าใจได้บ้าง

หมายความว่า ถ้าพูดถึงคนส่วนใหญ่ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่คนที่มีสติ ปัญญา และไม่มีความลุ่มหลงเพลิดเพลินมัวเมาติดในอามิสวัตถุทั้งหลายมากมายนัก ก็พอมีอยู่บ้าง ท่านเหล่านั้น คงจะพอสามารถรับการแนะนำสั่งสอนให้เกิดความเข้าใจได้บ้าง

คำอาราธนาหรือนิมนต์นี้ทำให้พระพุทธเจ้า ตัดสินใจที่จะเสด็จออกมาแสดงธรรมสั่งสอน



ในเรื่องนี้ มีจุดสังเกตที่พึงระลึกไว้เป็นข้อสำคัญ คือ

๑. พุทธพจน์ที่ตรัสว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ เป็นสิ่งที่รู้เข้าใจตามได้ยาก สัตว์ทั้งหลายที่ลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่จะมองเห็นได้ยาก (ตรัสด้วยว่าเป็นธรรมทวนกระแส คือ ปฏิโสตคามี)

๒. พระองค์น้อมใจไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม แต่ได้เสด็จออกสั่งสอนต่อเมื่อพรหมอาราธนา เพื่อเห็นแก่คนที่มีธุลีในดวงตาน้อยพอที่จะปฏิบัติตามได้บ้าง

พุทธพจน์และเหตุการณ์ตอนนี้ เป็นเครื่องเตือนใจให้สำนึกตระหนักไว้ว่า ธรรมนี้มิใช่สิ่งง่ายๆและการที่มีการถ่ายทอดสืบต่อมาถึงเรานี้ก็เป็นมาโดยยาก เราจะได้ไม่ประมาท เอาใจใส่ศึกษาด้วยความตั้งใจจริง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพุทธพจน์นี้จะเป็นเครื่องเตือนใจเรา ให้สำนึกตระหนักว่า การที่จะเข้าใจธรรมแท้ๆนี้ ถ้าจะเอาให้ถึงที่สุดแล้ว ก็จะได้เพียงคนส่วนน้อย แต่พุทธศาสนาก็มองมนุษย์ในแง่ที่ว่าเป็นสัตว์ที่ต้องฝึกต้องพัฒนากันไป ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะยังไม่ถึงที่สุด คือไม่ถึงความจริงสูงสุด แต่ก็จะช่วยให้เขาดีขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ค่อยพัฒนากันต่อๆไป

เพราะฉะนั้น เมื่อได้เสด็จออกสั่งสอน จึงวางจุดหมายเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่สอนจำกัดเพียงเพื่อประโยชน์ของคนส่วนน้อย ดังที่ได้เป็นอุดมคติของพระพุทธศาสนาว่า “พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย(เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน เพื่อเห็นแก่ชาวโลก)

เมื่อมองในแง่นี้ เราก็สามารถให้พระพุทธศาสนาเกิดผลเป็นประโยชน์แก่มนุษย์จำนวนมากได้

ถ้าหันไปมองดูสภาพของอินเดียในสมัยพุทธกาล ก็จะเห็นความจริงที่ทำให้พระพุทธเจ้าน้อมใจที่จะไม่สั่งสอน


อินเดียในสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร ? ชมพูทวีปนั้น เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้จิตใจของคนเหินห่างจากความจริง ห่างจากตัวธรรม

มองดูอย่างง่ายๆ คนในสมัยพุทธกาล คือก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ตกอยู่ใต้อำนาจคำสอนตามหลักลัทธิของศาสนาพราหมณ์ ให้มีความเชื่อในเรื่องพระพรหม ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้สร้างสรรค์บันดาลโลก

พระผู้เป็นเจ้าหรือพระพรหมนี้ สร้างสรรค์บันดาลทุกอย่าง นอกจากสร้างโลกและสร้างชีวิตมนุษย์ขึ้นมาแล้ว ยังแถมกำหนดมาเสร็จว่า ให้ชีวิตมนุษย์แบ่งกันเป็นวรรณะ ๔ คือ เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร เกิดมาอย่างไรก็ต้องอยู่อย่างนั้นตลอดชาติ


อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เช่นเรื่องวรรณะนี้ มีความแน่นหนัก ฝังลึกเหลือเกิน


วรรณะ ๔ นี้ จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องที่ยึดถือกันจริงจังอย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เวลานี้ การถือวรรณะ ๔ ก็ยังครอบงำคนอินเดียอยู่


ไปแค่ตโปทาราม ก็ได้เห็นคนอินเดียมาอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อน แล้วแบ่งกันเป็นเขตๆ คนที่เป็นวรรณะสูง ก็อาบตอนบน ส่วนคนวรรณะต่ำลงมาก็ยอมรับสถานะของตัวเอง อยู่ชั้นล่าง ยอมอาบน้ำที่คนวรรณะสูงเขาใช้อาบแล้วมาอาบตัวเอง

สภาพความยึดติดถือมั่นนี้ฝังลึกมาก เพราะเชื่อว่า พระพรหมท่านสร้างมาอย่างนั้นจึงแก้ไขไม่ได้ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเจริญรุ่งเรือง พระพุทธเจ้าแสดงธรรมประกาศความจริง บอกให้เลิกถือวรรณะ แต่ในที่สุด พระพุทธศาสนาเองก็อยู่ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็ปลาสนาการไปจากอินเดีย คนอินเดียก็นับถือวรรณะ ๔ กันต่อไป

อังกฤษเข้ามาปกครองตั้งนานก็แก้ไม่ตก อินเดียได้เอกราชปกครองแบบประชาธิปไตย มีกฎหมายรัฐธรรมนูญห้าม ก็ไม่สำเร็จ เวลานี้ก็ยังอยู่กันในสภาพนั้น นี่คือ ความฝังลึก

จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาด้วยความยากลำบากขนาดไหน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแห่งความเป็นจริงอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


พร้อมกันนั้น อีกด้านหนึ่งที่สัมพันธ์กับเรื่องเดียวกัน มาจากเหตุเดียวกัน ก็คือ ความเชื่อในเทพเจ้าสูงสุดที่สร้างสรรค์บันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมทั้งเทพเจ้าใหญ่น้อยอีกเยอะแยะมากมาย เป็นหมื่น เป็นแสน เทพเจ้าเหล่านั้นล้วนมีอำนาจ มีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ เป็นผู้ที่จะดลบันดาลสิ่งต่างๆ

มนุษย์อยากได้อะไร ก็ไปอ้อนวอนขอกับเทพเจ้าเหล่านั้น กลัวภัยอันตรายต่างๆ ก็ไปเอาอกเอาใจขอให้ช่วยบำบัดปัดเป่า

เมื่อเชื่อถืออย่างนี้ คนอินเดียก็ได้ประดิดประดอยวิธีเอาอกเอาใจเทพเจ้า จนเกิดเป็นการบวงสรวงอ้อนวอนต่างๆ

การบวงสรวงอ้อนวอนเหล่านั้น ได้ถูกทำให้ใหญ่โตมากขึ้นวิจิตรพิสดารมากขึ้น จนกระทั่งซับซ้อนมากมาย เป็นพิธีที่เรียกรวมๆว่า การบูชายัญ

การบูชายัญ ก็คือวิธีการเอาอกเอาใจเทพเจ้านั่นเอง แต่ในการเอาอกเอาใจนั้น เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเทพเจ้าท่านจะพอใจแค่ไหน เราทำพิธีไปแค่นี้ เห็นว่าเหตุร้ายยังไม่หมดไป เราก็นึกว่าเทพเจ้าท่านยังไม่พอใจ เราก็เอาใจมากขึ้นอีก หรืออยากจะได้สิ่งที่ปรารถนา คราวนี้อ้อนวอนไปแล้ว ทำพิธีบูชายัญบวงสรวงไปเท่านี้ยังไม่ได้ แทนที่จะคิดถึงเหตุผล แทนที่จะคิดสงสัยต่อเทพเจ้า ก็ไปคิดว่าตนเองคงยังเอาใจไม่พอ

เมื่อเอาใจไม่พอ ก็พยายามเอาใจให้มากขึ้นอีก พิธีบูชายัญบวงสรวงจึงวิจิตรพิสดารขึ้นทุกที จนกระทั่งพิธีบูชายัญขนาดใหญ่ ที่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย อย่างละห้าร้อยๆ โดยเฉพาะวัว ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ จนในที่สุดก็ถึงขั้นเอาคนบูชายัญ

ต่อมาประเทศชาติเจริญมากขึ้น สังคมเจริญมากขึ้นก็มีการออกกฎหมายห้า ในสมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองก็มีการออกกฎหมายห้าม และเมื่อประเทศอินเดียได้เอาราชเป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็มีกฎหมายขึ้นมา ไม่ให้เอาคนไปฆ่าบูชายัญ เพราะการฆ่าคนก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว แม้กระนั้น ความเชื่อทางศาสนาก็ยังเป็นเหตุให้คนพยายามทำเพราะอยากจะได้ผลประโยชน์จากการบูชายัญ

ที่เมืองกัลกัตตา พระที่นั่นเล่าว่า ยังมีคนพยายามบูชายัญด้วยการฆ่ามนุษย์อยู่ คือจะมีการลักพาหญิงสาวพรหมจารี เอาไปฆ่าสังเวยเจ้าแม่กาลี ที่เทวาลัยเจ้าแม่กาลี ที่เมืองกัลกัตตา เป็นครั้งเป็นคราวอยู่ๆ หญิงสาวพรหมจารีก็หายไปจากบ้าน กว่าจะสืบหาได้ก็ปรากฏว่าถูกนำไปฆ่าสังเวยเจ้าแม่กาลีเสียแล้ว

นี่แหละ เป็นกันมาจนกระทั่งบัดนี้ แม้แต่กฎหมายลงโทษรุนแรง เขาก็ยังกล้า ยังพยายามหาทางหลีเลี่ยง นี่คือสภาพแวดล้อมในสังคมอินเดียที่สืบมาสู่ปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แม้เวลานี้คนก็ยังลุ่มหลงอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ยังชอบอ้อนวอนขออำนาจดลบันดาลจากเทพเจ้า

.......

จะต่อด้วยหัวข้อ "จากเทพสู่ธรรม ธรรมกำหนดกรรม กรรมเรียกร้องสิกขา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร