วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 17:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อาสาฬหะ เดือน ๘ ทางจันทรคติ

อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ เพื่อรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นการพิเศษ เนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทำให้เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคำรบพระรัตนตรัย


อิสิ, อิสี ผู้แสวงหาคุณความดี, ผู้ถือบวช, ฤษี

อิสิปตนมฤคทายวัน ป่าเป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ ชื่ออิสิปตนะ อยู่ใกล้เมืองพาราณสี เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดพระปัญจวัคคีย์ บัดนี้เรียก สารนาถ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันอาสาฬหบูชา



นับทวนอดีตย้อนกลับไปก่อนพุทธศก ๔๕ ปี เป็นวันที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงบำเพ็ญพุทธกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่พุทธศาสนิกขนถือกันว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้พระพุทธศาสนาเผยแพร่สืบทอดมาถึงทุกวันนี้


นี่คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศคำสอนหรือหลักธรรมที่ได้ตรัสรู้เป็นครั้งแรก เรียกเป็นคำศัพท์ว่า ทรงแสดงปฐมเทศนา แก่กลุ่มนักบวช ๕ รูป ที่เรียกว่าเบญจวัคคีย์ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสีในชมพูทวีปสมัยโบราณ ที่มีชื่อในปัจจุบันว่า ประเทศอินเดีย

ความสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้ อุปมาเหมือนว่า นักปกครองยิ่งใหญ่ผู้เป็นจักรพรรดิ หรือราชาธิราช มีพระบัญชาให้ลั่นกรองเภรี คือ ตีกลองรบประกาศสงคราม ยังล้อรถศึกให้เริ่มหมุนนำทัพเดินหน้าแผ่ขยายราชอาณาจักรออกไป สำแดงกำลังอำนาจ และความยิ่งใหญ่ให้ปรากฏ ฉันใด พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรี ยังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ฉันนั้น


ด้วยเหตุนี้ พระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงครั้งแรกนั้น จึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือ ดินแดนแห่งธรรม


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชมพูทวีปสมัยโบราณ ๒๕๐๐ กว่าปีมานั้น กำลังตื่นตัว ย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า มีความรุ่งเรืองเฟื่องฟูทั้งด้านความคิด และกิจการ ซึ่งแผ่ขยายตัวออกไปทุกๆด้าน บ้านเมืองกำลังเติบโต พลเมืองกำลังเพิ่มทวีคับคั่ง


รัฐต่างๆ กำลังแผ่อำนาจขยายอาณาเขตช่วงชิงดินแดนของกันและกัน มีการคมนาคมติดต่อค้าขายระหว่างแว่นแคว้นต่างๆ อย่างกว้างขวาง การศึกษาศิลปะวิทยาการก็แพร่หลาย

ผู้ที่ประกอบการพาณิชยกรรม และเสี่ยงโชคในการค้าขายประสบความสำเร็จ ก็มั่งคั่งร่ำรวย กลายเป็นเศรษฐีคฤหบดี เป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพล เคียงคู่กับเจ้านาย และชนในฝ่ายปกครอง


ชนผู้มั่งคั่งร่ำรวยด้วยอำนาจ และทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะหันไปใช้ชีวิตในทางฟุ้งเฟ้อ แสวงหาแต่ความสุขสำราญ มัวเมาในอำนาจ และและโภคสมบัติของตน พร้อมทั้งขวนขวายใส่ใจแต่จะแสวงหาอำนาจและเพิ่มพูนโภคสมบัติได้มากยิ่งขึ้นไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ยิ่งกว่านั้น ยังพยายามผูกขาดจำกัดอำนาจและความมั่งคั่งไว้ในหมู่พวกตน ด้วยหลักเกณฑ์ และความเชื่อถือต่างๆ เช่น เรื่องวรรณะ ที่ให้แบ่งชั้นของคนออกไปโดยชาติกำเนิด เป็นต้น


มนุษย์กำลังแยกห่างจากกัน ขาดเมตตากรุณาต่อกัน ทอดทิ้งหลงลืม ไม่เหลียวแล ขาดความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น แต่เพราะเป็นระยะที่กำลังเปลี่ยนแปลงในตอนต้นของยุคสมัย สังคมกำลังขยาย มองไปข้างหน้า คนกำลังสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความหวังใหม่ๆ ชนทั้งหลาย จึงมักมองแต่โอกาสที่เกี่ยวข้องกันตน ไม่คิดล่วงเลยไปถึงการโค่นล้มหักล้างกันในระหว่างฐานะ


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในทางจิตใจ และความเชื่อถือ ชมพูทวีปได้ชื่อว่า เป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งศาสนาและลัทธิต่างๆมาช้านานหลายพันปี ครั้นถึงยุคสมัยแห่งความเจริญเติบโต และความเปลี่ยนแปลงนี้ การคิดค้นและแสวงหาหลักความเชื่อถือและคำตอบเพื่อสนองความต้องการทางปัญญาก็ยิ่งแพร่หลายมากขึ้น เกิดมีศาสดาเจ้าลัทธินักคิดนักปรัชญาต่างๆ อุบัติขึ้นมากมาย


นักบวชบางพวก คิดพัฒนาความเชื่อถือ และข้อปฏิบัติในศาสนาของตน ให้ทันต่อความเป็นไปในสังคม และให้เกิดผลประโยชน์แก่ตนมากยิ่งขึ้น เช่น คิดพัฒนาพิธีบูชายัญ ขยายให้วิจิตรพิสดาร เพื่อให้เจ้านายและเศรษฐีผู้กำลังแสดวงอำนาจและโภคสมบัติได้ประกอบอย่างสนใจ และเพิ่มพูนลาภสักการะแก่คนผู้ประกอบพิธีอย่างเต็มที่

คนอีกพวกหนึ่ง ผู้เบื่อหน่าย มองไม่เห็นสาระของชีวิตที่ว่ายเวียนหมกมุ่นอยู่ด้วยอำนาจและโภคสมบัติในโลก ก็ออกบวช แสวงหาความรอพ้นให้แก่ตน ด้วยหวังผลสำเร็จอันวิเศษที่อยู่เหนือกว่าโลกียสุข ด้วยการประพฤติปฏิบัติสิ่งที่จะทำตนให้เหินห่างหรือไม่ข้องเกี่ยว ตลอดถึงขั้นที่ตรงข้ามกับวิถีชีวิตในโลกนี้ เช่น บำเพ็ญตบะ ประพฤติวัตรทรมานตนด้วยวิธีต่างๆ


ส่วนอีกพวก ก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอดพ้นให้แก่ตน และผู้อื่นด้วยการคิดค้นทางปรัชญา ครุ่นคิดพิจารณาปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัย และไม่อาจพิสูจน์ได้ โดยคิดด้วยตนเอง บ้าง เร่ร่อนไปสอบถามถกเถียงปัญหากับนักคิดในถิ่นต่างๆ บ้าง เกิดมีทิฏฐิหรือทฤษฎีปรัชญาต่างๆ มากมาย เช่นว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด พระผู้เป็นเจ้ามีหรือไม่มี ดังนี้ เป็นต้น ต่างก็สูญเสียเวลา แรงกาย และแรงความคิดกันไปในเรื่องเหล่านี้เป็นอันมาก


ที่กล่าวมานี้ คือสภาพสังคมและความคิดจิตใจของชมพูทวีปเมื่อใกล้จะถึงพุทธกาล เท่าที่พอจะสืบทราบจากหลักฐานทางตำรับตำรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสดาโฮฮับจะว่าเป็นโวหาร โวบวกอีกมั้ยน้า เอาสมมติบัญญัติมาปรุงแต่งอีกมั้ยน้า :b32: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมัยพุทธกาลไม่มีวัน อาสาฬหบูชา ไม่มีวิสาขา ไม่มีมาฆะ พวกนี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิ
พวกปุถุชนที่ยังติดในความเป็นสัสสตทิฐิ อวดอุตริสร้างมันขึ้นมาเอง

ถ้าพระพุทธองค์ยังอยู่ก็ต้องห้ามด้วยคำพูดนี้......

"ดูกรเหล่าโมฆะบุรุษทั้งหลายเอ๋ย การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนหาควรไม่
โมฆะบุรุษจงปล่อยวางมิจฉาเหล่านี้เสียเถอะ เพื่อความเจริญแห่งปัญญา"


ปล.ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่แต่คำพูดของนายโฮฮับเอง
แค่อยากจะเตือนสติโมฆะบุรุษกรัชกายเท่านั้น :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ในสมัยพุทธกาลไม่มีวัน อาสาฬหบูชา ไม่มีวิสาขา ไม่มีมาฆะ พวกนี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิ
พวกปุถุชนที่ยังติดในความเป็นสัสสตทิฐิ อวดอุตริสร้างมันขึ้นมาเอง

ถ้าพระพุทธองค์ยังอยู่ก็ต้องห้ามด้วยคำพูดนี้......

"ดูกรเหล่าโมฆะบุรุษทั้งหลายเอ๋ย การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนหาควรไม่
โมฆะบุรุษจงปล่อยวางมิจฉาเหล่านี้เสียเถอะ เพื่อความเจริญแห่งปัญญา"


ปล.ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่แต่คำพูดของนายโฮฮับเอง
แค่อยากจะเตือนสติโมฆะบุรุษกรัชกายเท่านั้น :b32:



สังคม จะเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า คนไร้วัฒนธรรม คนขวางโลก คนหยาบกระด้าง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

พระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาของพุทธศาสนา ได้เสด็จอุบัติขึ้นทามกลางสภาพเช่นนี้ ได้ทรงดำเนินพระชนม์ชีพตามแบบอย่างของสภาพเช่นนี้ และในที่สุดก็ได้ทรงละเลิกสภาพเช่นนี้เสีย หันไปดำเนินพระชนม์ชีพตามแบบที่ได้ทรงคิดวางขึ้นใหม่ พร้อมทั้งทรงประกาศคำสอนชักนำประชาชนให้ละเลิกวิถีชีวิตที่ผิดพลาดเดิมนั้น และให้หันมาดำเนินชีวิตตามมรรคาที่ได้ทรงประกาศขึ้นใหม่ กล่าวคือ

เบื้องแรก ในฐานะที่ประสูติเป็นโอรสกษัตริย์ พระองค์ทรงดำเนินพระชนม์ชีพในปฐมวัย ท่ามกลางความสุขสำราญ การบำรุงและปรนเปรอ พรั่งพร้อมด้วยอำนาจและโภคสมบัติ

ครั้นแล้ว ก็ทรงเบื่อหน่าย ทรงมองเห็นว่า การดำเนินชีวิตเช่นนั้น ขาดแก่นสาร ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น มีแต่จะทำให้ลุ่มหลงมัวเมา ทำคุณค่าของชีวิตให้ลอดถอยจนต่ำลง ปล่อยกาลเวลาของชีวิตให้ล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างว่างเปล่า ปราศจากสาระ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจเกิดโทษเกิดพิษแก่ชีวิตของตน เหมือนสั่งสมสิ่งหมักหมมทับถมดองเอาไว้ และเป็นการเบียดเบียน ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น โดยตรง บ้าง โดยอ้อม บ้าง

เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ทรงคิดหาวิธีแก้ไข เริ่มด้วยการทดลองวิธีที่นิยมปฏิบัติกันในสมัยนั้นก่อน จึงได้ทรงละทิ้งราชสมบัติและอิสริยยศ เสด็จออกบวช ทรงเพศนักบวช จากริกไปศึกษาทัศนะของนักคิด นักปรัชญา ศาสดาจารย์ เจ้าลัทธิต่างๆ ที่มีชื่อเสียงแหงยุคสมัย

พระองค์ได้ทรงทดลองบำเพ็ญข้อปฏิบัติทั้งหลายของสำนักต่างๆ ทั้งที่เรียกว่าโยคะ ตลอดจนตบะ คือการบำเพ็ญเพียรทรมานตนแบบต่างๆ รวมเป็นเวลานานถึง ๖ ปี จนแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหานำไปสู่ผลที่ทรงมุ่งหมาย

จากนั้น จึงได้ทรงคิดค้นทดลองสืบต่อไป จนได้ทรงค้นพบมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่แก้ปัญหาของมนุษย์ นำคุณค่าที่แท้จริงมาให้แก่ชีวิตได้ อันเรียกว่า อริยสัจจ์ ๔ ประการ

ณ บัดนี้ ทรงตระหนักชัดใจว่าได้ทรงบรรลุผลสำเร็จแห่งความเพียรพยายามในการแสวงหาของพระองค์แล้ว

ความสำเร็จครั้งนี้ เกิดขึ้น ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี เรียกว่า การตรัสรู้ หรือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

ต่อจากนั้น พระองค์ก็ทรงเริ่มงานประกาศพระศาสนา เปิดเผยสิ่งที่ได้ตรัสรู้ ให้ผู้อื่นได้ร่วมรู้ และร่วมได้รับประโยชน์ขยายจากการแก้ปัญหาบุคคล ไปสู่การแก้ปัญหาของปวงชน

ในการเริ่มต้นงานประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าทรงดำริหนทางที่จะให้เกิดผลดีอย่างรวดเร็ว โดยประเดิมที่บุคคลผู้มีพื้นฐานทางปัญญาดี ที่จะรู้แจ้งคำสอนได้อย่างว่องไว และสามารถนำไปชี้แจงอธิบายให้คนอื่นเข้าใจต่อไปได้อีกอย่างกว้างขวาง

ตำนานเล่าว่า ทางพิจารณาเห็นดาบสผู้เปรื่องปราชญ์ ๒ ท่าน ที่พระองค์เคยทรงไปศึกษาหลักลัทธิอยู่ด้วยในระหว่างระยะ ๖ ปี แห่งการคิดค้นแสวงหา ว่าเป็นผู้มีความสามารถเหมาะสม แต่ได้ทรงทราบว่า ดาบส ๒ ท่านนั้นสิ้นชีวิตเสียแล้ว

จากนั้น ทรงระลึกถึงนักบวช ๕ ท่าน ที่เคยไปร่วมประพฤติพรตบำเพ็ญตบะ และปรนนิบัติพระองค์ ในระหว่างเวลา ๖ ปีนั้น ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่าเบญจวัคคีย์ ผู้ได้หนีจากพระองค์ไป เมื่อทรงเลิกบำเพ็ญตบะ และเวลานั้นพำนักอยู่ ณ มฤคทายวัน แห่งตำบลอิสิปตนะ ใกล้เมืองพาราณสี

พระองค์เสด็จจากสถานที่ตรัสรู้ คือ ตำบลอุรุเวลา ในแคว้นมคธ มุ่งไปพบนักบวช ๕ รูปนั้น

ที่อิสิปตนะ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมสำคัญครั้งแรก อันเรียกว่าเป็นปฐมเทศนา ประกาศธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่เบญจวัคคีย์นั้น ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ หรือ เดือน ๘ หลังจากตรัสรู้ได้ ๒ เดือนเต็ม

มัชฌิมาปฏิปทา และจตุราริยสัจจ์ (อริยสัจจ์ ๔) ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วข้างต้นนั่นแหละ คือ สาระสำคัญของปฐมเทศนานี้

เมื่อทราบความเป็นมาของเรื่องที่เป็นต้นกำเนิดของอาสาฬหบูชาเช่นนี้แล้ว ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของเรื่องอาสาฬหบูชาต่อไปอีก ตามคำอธิบายในหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ใจความของปฐมเทศนา

ปฐมเทศนา หรือที่เรียกตามชื่อเฉพาะว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น แสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการ คือ

ก) มัชฌิมาปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ หรือ ทางสายกลาง

ข) อริยสัจจ์ ๔ คือ หลักความจริงของอริยชน ๔ อย่าง หรือสัจธรรม ๔ ข้อ ซึ่งทำให้ผู้ที่รู้ กลายเป็นอารยชน


ก. ที่เรียกว่าทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา ก็เพราะเป็นทางดำเนินชีวิต หรือข้อปฏิบัติ ที่เป็นกลางๆ ถูกต้อง พอเหมาะพอดีที่จะให้บรรลุผลสำเร็จถึงจุดหมาย มิใช่เป็นการปฏิบัติหรือการดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง อย่างหนึ่งอย่างใด คือ


๑. การหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับความสุขทางกาย ลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เพลิดเพลินในการปรนเปรอ ปล่อยใจให้โลดไปตามกระแสกิเลส สยบตัวลงเป็นทาสของโลกและเนื้อหนัง อุทิศชีวิตของตนให้แก่การแสวงหาเชื้อเพลิงมาเติมไฟกิเลส ทุ่มเทพลังงานเพื่อการติดตามกินเหยื่อล่อ


ในวิถีชีวิตอย่างนี้ คนต่างก็เที่ยวไขว่คว้าเก็บเอาสิ่งต่างๆมามายมาพอกพูนห่อหุ้มตัวจนหนาหนักและกินที่ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ ไม่อาจรวมเข้าเป็นเนื้อตัวแท้จริงของตนได้ และผูกมัดตัวติดกับสิ่งเหล่านั้นอย่างเหนี่ยวแน่น จนกลายเป็นก่อความทุกข์ให้แก่ตนเอง หมดความปลอดโปร่ง ไม่เป็นอิสระ เป็นภาระท่วมทับสลัดไม่ออก และยังให้โทษแก่ผู้อื่นด้วย โดยทำให้หลงลืมที่จะเหลียวแลกันเสีย บ้าง ให้เก็บเอาสิ่งเกินจำเป็นมาพอกพูนเต็มล้นเสียทีเดียว จนขาดแคลนแก่ที่อื่น บ้าง ให้แย่งชิงเบียดเบียนข่มเหงวิวาทกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็จะเอา บ้าง

รวมความว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข เรียกเป็นคำศัพท์ว่า กามสุขัลลิกานุโยค

๒. การสร้างความยากลำบากแก่ตน เหนื่อยแรงเสียเปล่าด้วยการเชื่อถือ ประพฤติปฏิบัติตัว ดำเนินชีวิตในทางที่ไขว้เขวเฉไถล เลี่ยงหลบ หรือข้ามเลยไปเสียจากชีวิตจริง ปฏิบัติไปอย่างมืดบอดตามที่สักแต่ว่ายึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ดำเนินไปสู่จดหมายที่เลื่อนลอย นำมาซึ่งผลที่ไม่ตรงกับจุดหมาย และไม่บังเกิดคุณค่าแท้จริงแก่ชีวิต ทำให้หลงเตลิดหนักยิ่งขึ้น ตัวอย่าง เช่น

๑) อย่างหยาบที่สุด ที่มองเห็นง่าย เป็นรูปธรรม เช่น บำเพ็ญตบะ ทรมานตน บีบคั้นร่างกาย้วยประการต่างๆ มีการอดอาหาร ยืนกลางแดด นอนบนหนาม เป็นต้น ด้วยหวังจะให้กิเลสแห้งเหือดหาย และทำให้จิตหลุดพ้นจากพันธนาการของกายอย่างที่ปฏิบัติกันแพร่หลายในประเทศอินเดียสมัยโบราณ และยังมีอยู่มากมายจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยทรงทด่ลองปฏิบัติมาแล้วในระยะ ๖ ปี แห่งการคิดค้นแสวงหา

ตบะนั้น เป็นลัทธิที่หลงเตลิดไป เพราะมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับ จิต อย่างผิดพลาด เป็นการเอียงสุดอีกด้านหนึ่ง โดยเข้าใจผิดไปว่า เมื่อกายขาดการบำรุงแล้ว จิตก็ขาดเครื่องบำรุงกิเลสไปด้วย จึงสามารถบริสุทธิ์หลุดพ้นอิสระ เป็นความเชื่อถือตรงข้าม กับ พวกที่เห็นเอียงสุดไปอีกด้านหนึ่งว่า เมื่อกายได้รับการบำรุงดีแล้ว จิตพลอยได้รับการบำรุงด้วย ก็จะดีไปเอง

สำหรับคนสองพวกนี้ สิ่งที่ดีสำหรับพวกหนึ่ง กลายเป็นชั่วร้ายสำหรับอีกพวกหนึ่ง

สิ่งชั่วร้ายสำหรับอีกพวกหนึ่ง กลายเป็นสิ่งดีที่ต้องการสำหรับอีกพวกหนึ่ง ต่างก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงว่า กาย กับ จิตเป็นสิ่งสัมพันธ์กันก็จริง แต่ความดีงามและชั่วร้ายที่เกิดจากความสัมพันธ์นั้น ก็เป็นสิ่งสัมพันธ์ ต้องอาศัยปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย

จิตใจและชีวิต จะก้าวไปในคุณความดีได้ เบื้องต้น ต้องอาศัยการที่มีปัจจัยสิ่งบำรุงกายส่วนหนึ่งก่อน

แต่ปัจจัยที่บำรุงกายนั้น ก็มีขอบเขตของความจำเป็นที่จัดได้ว่า เป็นความพอดีอยู่ในระดับหนึ่ง

เมื่อมีปัจจัยบำรุงกายพร้อมถึงระดับที่ว่านี้แล้ว วัตถุจะเป็นอุปกรณ์สำหรับชีวิตที่จะก้าวหน้างอกงามสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณ ก็ได้ หรืออาจทำให้จิตใจตกเป็นทาสของวัตถุ พอกพูนความทุกข์ความชั่วร้าย ก็ได้ ทั้งนี้ ต้องอาศัยการชักนำของปัจจัยอย่างอื่นด้วย ทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อม และที่อยู่ภายใน

พวกที่มองความสำคัญเฉพาะแต่ความเพียบพร้อมทางวัตถุเป็นเกณฑ์ตัดสิน ย่อมกลายเป็นพวก เอกันตวาทในฝ่ายวัตถุนิยมทางเศรษฐกิจ

พวกที่มองแต่ความสำคัญของจิต โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอุดหนุนกาย ย่อมกลายเป็นพวกเอกันตวาทในฝ่ายจิตนิยม

ต่างก็เป็นพวกที่มองโลก และชีวิตสุดทางไปคนละซีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

๒) ในทางนามธรรม ซึ่งเป็นขั้นละเอียดลึกซึ้ง มีการขบคิดถกเถียงปัญหาทางอภิปรัชญา พยายามเข้าถึงสิ่งที่เหตุผลหยั่งไม่ถึง ด้วยการถกเถียงหาเหตุผล

พยายามหาคำตอบให้แก่ปัญหา ที่ตนตั้งขึ้น จากความไม่รู้ หรือเข้าใจผิด

พยายามอธิบายสิ่งที่มองไม่เห็น ให้เห็น ด้วยคำพูด

วิธีความคิดแบบนี้ ทำให้ใช้เวลาสิ้นเปลืองไปด้วยการคาดคะเนและตีวาทะเกี่ยวกับปัญหา ที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่เกี่ยวข้อง หรือเป็นคุณประโยชน์อะไรแก่ชีวิต ทำให้หลงใหลเพลิดเพลินอยู่กับความคิดที่เลือนลอยห่างไกลชีวิตจริง ทำให้ทุกข์ยากลำบากจิต เหนื่อยสมอง เหนื่อยความคิดเปล่าๆ ได้แก่ ทฤษฎีที่เรียกว่า อันตคาหิกทิฏฐิ
หรือ
ปัญหาที่เรียกว่า อัพยากติปัญหา เป็น ปัญหาเกี่ยวกับมูลการณ์ (ต้นกำเนิด) และปริโยสาน (ที่สิ้นสุด) ของโลก

๓) อย่างตื้นลงที่เป็นเรื่องใกล้เข้ามาในทางปฏิบัติ คือ การคอยพึ่งอาศัยอำนาจของสิ่งลึกลับศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็นและอยู่พ้นวิสัย โดยหวังการอ้อนวอนหรือความขลังช่วยบันดาลให้ได้สำเร็จผลที่ปรารถนา

ความเชื่อและหวังพึ่งแบบนี้ ถ้าเป็นอย่างรุนแรง ย่อมทำให้มอบตัวมอบความไว้วางใจแก่สิ่งนั้นสิ้นเชิง ไม่คิดและไม่ลงมือทำการแก้ปัญหาด้วยเรี่ยวแรงของความเพียรพยายามของตนเอง จัดว่าเป็นความงมงาย ตัวอย่างในพุทธกาล เช่น ลัทธิบูชาไฟ

อย่างเพลาลงมา ในฐานะที่เป็นปุถุชนผู้อยู่ใต้อำนาจอวิชชา ซึ่งยังระแวงระวังต่อสิ่งที่มองไม่เห็น และยังไม่เข้มแข็งพอ ก็เพียงแค่อาศัยสิ่งลึกลังไว้เสริมกำลังใจ ในการกระทำกิจซึ่งตนลงมือกระทำอยู่แล้ว

แต่ในกรณีใดก็ตาม ก็ยังเป็นการกระทำที่ไม่ดำเนินไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ยังเป็นการแก้ปัญหาอย่างมองไม่เห็นว่า การแก้ดำเนินไปอย่างไร และตนเองเข้าไปจัดการอะไรไม่ได้ จึงจัดเข้าในพวกสร้างความลำบากเสียแรงเปล่า


การดำเนินชีวิตหรือประพฤติในแบบที่ก่อความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนแก่ตน เหนื่อยแรง เหนื่อยสมอง เหนื่อยความคิด เหล่านี้ มีชื่อเรียกเป็นคำศัพท์ว่า อัตตกิลมถานุโยค

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ข้อปฏิบัติทางพุทธศาสนา ละเว้น ห่างจากความประพฤติปฏิบัติที่เอียงสุดเหล่านี้ เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” แปลว่า ข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง หรือทางสายกลาง

ผู้ที่งอกงามในพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งละเว้นข้อปฏิบัติที่เอียงสุดได้มากขึ้นเท่านั้นโดยลำดับ
ถ้าถึงขั้นเป็นบรรพชิต คือบวชในพระธรรมวินัยแล้ว ก็คือว่าไม่ควรข้อแวะทีเดียว ควรดำเนินแน่วแน่มั่นคงในมัชฌิมาปฏิปทา

ประการสำคัญ มัชฌิมาปฏิปทา นี้ เป็นทางแห่งปัญญา ยิ่งเข้าถึงมัชฌิมาปฏิปทาขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการใช้ปัญญา และแก้ปัญหาด้วยปฏิบัติการที่อยู่ในวิสัยของตนมากขึ้นเท่านั้น

มัชฌิมาปฏิปทาเป็นทางดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ก็มีปัญญาเป็นฐาน เป็นมรรคาที่นำไปสู่จุดหมายได้ และก่อให้เกิดคุณค่าแก่ชีวิตอย่างแท้จริง โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ ทำให้ผู้ดำเนินตามเป็นอริยะ หรืออารยะ อย่างแท้จริง จึงเรียกเป็นคำศัพท์ว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ กล่าวคือ

๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง

๒.สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริต ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม

๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต

๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต

๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพ ทำอาชีพที่สุจริต

๖.สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี

๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด

๘.สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตได้แน่วแน่มั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน


องค์ประกอบ ๘ ประการของมรรคนี้ แต่ละข้อมีรายละเอียดพิสดาร เพราะเป็นประมวลข้อปฏิบัติ หรือหลักจริยธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ในที่นี้ มิใช่โอกาสที่จะพรรณนาความพิสดารในเรื่องนี้ จึงกล่าวถึงแต่เพียงความหมายสั้นๆ ไว้ก่อน

ขอย้ำเพียงว่า มรรคานี้ เริ่มต้นด้วยปัญญา และมีปัญญาเป็นรากฐาน องค์ประกอบข้อแรก จึงเป็นเรื่องของปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิ” นี้ อย่างง่ายๆ หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้อง ตามคลองธรรม เช่น เชื่อหลักกรรม เห็นว่า ทำดี เกิดผลดี ทำชั่ว เกิดผลชั่ว เป็นต้น

แต่ในความหมายที่ตรงหลักวิชายิ่งขึ้น ท่านอธิบายว่า สัมมาทิฏฐิ คือ รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค หรือมองเห็นความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายตามความสัมพันธ์สืบทอดของเหตุปัจจัยที่เรียกว่า ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เมื่อประสบสิ่งติดขัดเป็นปัญหา พึงกำหนดรู้ตามความเป็นจริงให้เห็นชัดก่อนว่า อะไร เป็นตัวปัญหา ปัญหานั้นมีขอบเขตแค่ไหนเพียงไร (ทุกข์) แล้วศึกษาให้รู้ต่อไปว่า ปัญหานั้นเกิดจากมูลเหตุอะไร มีอะไรเป็นสมุฏฐาน (สมุทัย) แก้ไขได้หรือไม่ ที่จุดใด จุดหมายคืออะไร (นิโรธ) มีวิธีการแก้ไขให้บรรลุถึงจุดหมายได้อย่างไร ตามรายละเอียดลำดับขั้นตอนอย่างไร (มรรค)




พูดอีกนัยหนึ่งว่า วิเคราะห์ปัญหาตามกระบวนการของเหตุปัจจัยว่า ปัญหานั้นมีองค์ประกอบอะไร องค์ประกอบเหล่านั้น สัมพันธ์กันอย่างไร เป็นเหตุปัจจัยกันอย่างไร จึงก่อให้เกิดปัญหาขึ้น เมื่อจะแก้ไขหรือดับปัญหา จะต้องแก้ที่องค์ประกอบหรือจุดไหนให้ต่อเนื่องกันไปอย่างไร (ปฏิจจสมุปบาท)

การประพฤติปฏิบัติ หรือดำเนินชีวิตตามหลักองค์มรรค ๘ ประการ โดยเริ่มด้วยมีความรู้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานอย่างนี้ ย่อมเป็นการแก้ปัญหา หรือการทำให้ไม่มีปัญหาอยู่ในตัว เป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ หรือดำเนินชีวิตอย่างไม่มีทุกข์ โดยตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับจะตัดต่อพันธุกรรมมั้ยน้า :b32:

เอาน่า

สมุฏฐาน ที่เกิด, ที่ตั้ง, เหตุ

ปัจจัย ๑ เหตุที่ให้ผลเป็นไป, เหตุเครื่องหนุนให้เกิด ๒. ของสำหรับอาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต, สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ อย่าง คือ จีวร (ผ้านุ่ง ห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) คิลานเภสัช (ยาบำบัดโรค)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูต่อ



ถ้าสังเกต จะเห็นได้ว่า มรรคาสายกลางนี้ เป็นเรื่องของการกระทำในชีวิตจริง และอยู่ในวิสัยของมนุษย์ทั้งสิ้น กล่าวคือ องค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เป็นข้อปฏิบัติสำหรับคนทุกคน และทุกคนปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องอ้อนวอน คอยการบันดาล หรือรอใครมาช่วยทำให้ เป็นข้อปฏิบัติที่ทำได้ภายในขอบเขตของชีวิตนี้ วางใจสำหรับชีวิต เป็นเรื่องของชีวิตโดยตรง เป็นระบบการดำเนินชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะมองเห็นความสำคัญทั้งของวัตถุ และของจิตใจ ครอบคลุมทั้งด้านกายและด้านจิต

มรรคานี้ เป็นระบบจริยธรรม และระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ เพราะสอนให้ฝึกฝนอบรมระเบียบวัยทางกาย วาจา และอาชีพ (ศีล = อธิสีลสิกขา) ให้ฝึกฝนระเบียบวินัยทางจิตใจ สร้างความเจริญงอกงาม และความเข้มแข็งมั่นคงทางด้านคุณธรรม (สมาธิ = อธิจิตตสิกขา) และให้ฝึกฝนอบรมปัญญา สร้างความรู้ความเข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่รู้เท่าทันโลก และชีวิต รู้จักร่วมมือกับธรรมชาติ เพื่อดำรงอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ประสานประโยชน์ และรักษาอิสรภาพของทั้งสองฝ่าย (ปัญญา = อธิปัญญาสิกขา)

ทางสายกลางนี้ เป็นระบบที่มีขอบเขตจำกัด แต่ยืดหยุ่นอย่างกว้างขวางมาก คือ อยู่ในวงจำกัดของความดีงาม และแนวทางของ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่อยู่ที่ประพฤติตำเนินชีวิตอยู่ในระบบ สามารถดำรงอยู่ ณ ตำแหน่งต่างๆ ที่ห่างกันได้หลายขั้นหลายระดับ แล้วแต่ความพร้อมของตน

ตัวอย่างเช่นว่า ถ้าจะอยู่ครองเรือนก็ได้ แต่พึงประพฤติธรรมให้ถูกหน้าที่ที่จะเป็นคนครองเรือนที่ดี

ถ้าเบื่อหน่ายชีวิตเหย้าเรือน หรือต้องการแสวงสุขทางจิตอยู่สูง ก็สามารถออกบวชครองเพศบรรพชิน ถ้าเบือหน่ายอีก ก็สามารถสละเพศออกมาเป็นชาวบ้านได้

ถ้ามีคุณสมบัติ มีความสามารถ และพอใจจะเป็นนักปกครอง ก็ดำรงตำแหน่งหน้าที่ปกครองได้ แต่ต้องบริหารอำนาจ และโภคทรัพย์ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน มิใช่บริหารประชาชนให้เป็นไปเพื่ออำนาจ และโภคทรัพย์ของตน ดังนี้เป็นต้น

ระบบแห่งมรรค ประกอบด้วยสภาพการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันหลากหลาย แต่ทั้งหมดรวมอยู่กลมกลืนเข้าในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นับเป็นระบบที่มีความเสมอภาค เพราะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมที่จะอยู่ ณ ที่ต่างๆกัน เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่กัน โดยสวมหน้าที่ที่เหมาะสมกับฐานะนั้น

มรรคานี้ เป็นระบบที่ให้เสรีภาพอย่างสูง เพราะเป็นโอกาสเลือกโดยสมัครใจ แต่มิใช่เลยขอบเขตจนกลายเป็นตามอำเภอใจ เพราะเมื่อสมัครใจเลือกเอาอย่างใดแล้ว ก็มีความผูกพันที่จะทำให้ถูกให้ชอบต่อภาวะอย่างนั้นด้วย

มรรคเป็นระบบที่ไม่มีการบีบบังคับ แต่ก็มิใช่ปล่อยเรื่อยเปื่อยไปตามใจชอบ เพราะเป็นระบบแห่งการฝึกฝน จึงแนะนำกระตุ้นเตือนเร่งเร้าให้ฝึกอบรมแก้ไขปรับปรุงตนให้ก้าวหน้าขึ้นสู่ความดีงามที่ยิ่งขึ้นๆไปอยู่เสมอ จนกว่าจะบรรลุถึงจุดหมายสูงสุดของมรรคา ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทานั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เห็นเป็นประการใดอ่ะ พระพุทธเจ้าสอนมั้ยเนี่ย :b13:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข. อริยสัจจ์ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของอริยะหรือสัจธรรมที่รู้แล้วจะทำให้กลายเป็นอริยะหรืออารยชน ๔ ประการ

อริยะ หรืออารยชน คือบุคคล ที่ห่างไกลจากกิเลส ห่างไกลอวิชชา ห่างไกลวิหิงสา เป็นผู้เจริญแล้วอย่างแท้จริง จะเป็นอริยะหรืออารยชนที่แท้จริงได้ ก็ต้องรู้เข้าใจความจริง และดำรงชีวิตอยู่อย่างสอดคล้องกับความจริงของชีวิต ที่จะทำให้ชีวิตเป็นอิสระหลุดพ้นจากความมืดบอด เป็นไท ไม่ต้องฝากความวางใจไว้กับอำนาจลึกลับพ้นวิสัยอย่างใดๆ อริยสัจจ์ ๔ ประการนั้น คือ


๑) ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์ ในรูปของความบีบคั้น ขัดข้อง ติดขัด อัดอั้นต่างๆ บุคคลจะต้องกำหนดรู้ หรือทำความรู้จักมัน ให้รู้เท่าทันตามความเป็นจริงว่า มันคืออะไร อยู่ที่ไหน และแค่ไหนเพียงไร กล่าวคือ ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง แม้จะเป็นสิ่งที่นึกว่าน่ากลัว ไม่เป็นที่ชอบใจ


เริ่มต้น ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะทั้งของสิ่งทั้งหลาย ที่รวมเรียกว่าโลกและชีวิตนี้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆปรุงแต่งกันเข้า ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงตัว และหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ ตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ไม่มีหยุดนิ่ง

สิ่งทั้งหลายก็ตาม ชีวิตนี้ที่เรียกตัวเองว่า ฉัน ว่าเรา ก็ตาม ไม่มีอำนาจในตัวเองเด็ดขา ไม่เป็นตัวเองโดยสิ้นเชิง ที่จะเรียกร้องสั่งบังคับให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า ตัวเองให้เป็นไปตามปรารถนา

สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ตามเหตุตามปัจจัย ไม่เกี่ยวกับความชอบใจหรือไมชอบใจของเรา เมื่อเหตุปัจจัยมาประจวบให้ปรากฏในรูปที่ตรงกับใจปรารถนา เราก็ชอบใจ เมื่อปรากฏในรูปที่ไม่ตรงกับใจปรารถนา เราก็ไม่ชอบใจ

เมื่อยึดถือติดคาอยู่ว่าจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งมั่นหมายลงไป ครั้นสิ่งต่างๆ นั้นหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ตรงกับที่ยึดอยากมั่นหมาย เราก็ถูกบีบคั้นกดกระชาก บดขยี้ เป็นภาวะที่เรียกว่า ความทุกข์ ซึ่งโดยสาระก็เป็นเพียงความขัดแย้งกระทบฉีกกระชากกัน ระหว่างอาการเปลี่ยนแปลงแปรผ่านไปของสิ่งทั้งหลาย กับเส้นเชือกแห่งความยึดความอยากที่เราสร้างขึ้นเท่านั้นเอง

การที่จะแก้ไขป้องกันปัญหา หรือความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น มิใช่ไปนั่งปั่นเส้นเชือกแห่งความยึดความอยาก แล้วเอาไปผูกรัดเหนี่ยวรั้งสิ่งทั้งหลายไว้ ซึ่งมีแต่ทำให้เหนื่อยเปล่า ซ้ำจะถูกฉุดกระชากเอาไปบดขยี้ ทำให้ทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นอีก

วิธีที่ถูกต้อง คือ รู้เข้าใจเท่าทันความจริงสิ่งทั้งเหล่านั้น รู้เหตุปัจจัยของภาวะที่เป็นไปอย่างนั้น รู้ว่าอะไรจะเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ แค่ไหนเพียงไร แล้วเข้าไปจัดการกับสิ่งเหล่านั้นตรงตัวเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างนี้หรืออย่างนั้น ตามที่รู้เข้าใจชัดแล้วนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒) สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์หรือสาเหตุของปัญหา เมื่อรู้เท่าทันความทุกข์ เข้าใจปัญหาแล้ว ก็สาวหาสาเหตุของทุกข์หรือต้นตอของปัญหาต่อไป ตามหลักแห่งความสัมพันธ์สืบทอดของเหตุปัจจัย หรือตามหลักใหญ่ที่ว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุและจะดับไปเพราะเหตุดับ วิเคราะห์ให้เห็นชัดว่าอะไรบ้าง เป็นปัจจัย ปัจจัยไหนเป็นตัวการสำคัญเจ้าบทบาทใหญ่ ปัจจัยเหล่านั้นสัมพันธ์สืบทอดกันมาอย่างไร จึงปรากฏออกมาเป็นรูปปัญหาอย่างนั้น

เมื่อว่าโดยรวบรัด ตัวการสำคัญแห่งทุกข์ของชีวิต ก็คือ ตัณหา หรือเส้นเชือกแห่งความอยาก ที่มนุษย์เอาไปเกี่ยวเกาะคล้องวัดสิ่งทั้งหลายนั้นเอง

ปัจจัยตัวการนี้ สัมพันธ์สืบทอดกันมากับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะที่สำคัญยิ่ง คือ อวิชชา ความไม่รู้ ความไม่มีปัญญา ไม่ใช้ปัญญา จึงปรากฏเป็นปัญหาในรูปต่างๆ ที่เรียกรวมๆกันว่า ทุกข์

ความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัยที่จะต้องรู้ในข้อนี้ มีชื่อเฉพาะว่า ปฏิจจสมุปบาท

๓) นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ ภาระที่สิ้นปัญหา หรือ ภาวะที่ว่างโล่งปลอดโปร่งจากปัญหา เริ่มด้วยชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ถูกฉุถกระชากลากไปด้วยเส้นเชื่อแห่งความอยาก มีจิตใจเบิกบาน ผ่องใส สะอาด สงบ ด้วยความเป็นอยู่อย่างรู้เท่าทันโลก และชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

๔) มรรค ได้แก่ มรรคาอันนำไปสู่ความดับทุกข์ หรือกระบวนวิธีแห่งการแก้ปัญหา กล่าวคือ มรรคามีองค์ ๘ ประการ หรือมัชฌิมาปฏิปทาที่กล่าวแล้วข้างต้นนั่นเอง



มรรคานี้ เป็นระบบจริยธรรมทั้งหมดของพระพุทธศาสนา หรือทางดำเนินชีวิตของชาวพุทธของชาวพุทธ ซึ่งมีปัญญาคือความรู้ความเข้าใจเท่าทันสภาวะของสิ่งทั้งหลาย เป็นพื้นฐาน และเป็นแก่นนำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร