วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 13:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2014, 14:21
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

รูปภาพ
หลวงปู่เพียร วิริโย


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒


จิตใจเวลาจะตายสำคัญ

(กราบเรียน หลวงปู่เพียร มรณภาพแล้วที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น เมื่อคืนนี้เวลาประมาณตี ๑ ๒๘ นาที เนื่องจากท่านมีอาการของโรคหัวใจ เส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ ๓ เส้น แพทย์ได้ทำบอลลูนขยายเส้นเลือดจนอาการอยู่ในขั้นปลอดภัยระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ๔ ชั่วโมง มีโรคปอดแทรกซ้อน ช็อคหัวใจหยุดเต้น แพทย์ได้ปั๊มหัวใจขึ้น และอาการทรุดหนักตามลำดับ คณะสงฆ์ที่ไปเฝ้าท่าน มีความเห็นว่าจะนำท่านกลับวัดป่าหนองกอง แต่ท่านอาการหนักมากและสิ้นที่โรงพยาบาลเวลาตี ๑ ๒๘ นาที ตอนนี้ศพท่านอยู่ที่วัดป่าหนองกอง จะรดน้ำศพและบรรจุศพ แต่ให้กราบเรียนหลวงตาเพื่อรอรับฟังคำสั่งจากหลวงตาครับผม)

วันนี้เราไปหนองกอง เสร็จนี้แล้วไป ท่านเสียเมื่อคืนนี้ ท่านเพียรเรา ที่นั่นที่นี่ตายหดเข้ามาละ หดเข้ามาหาเราทุกคน ไม่เว้น ตายหมด ผู้พูดว้อๆ อยู่นี่ก็ตาย ไม่เว้น ตายด้วยกัน สำคัญที่จิตใจนะตาย จิตใจเวลาจะตายสำคัญตรงนั้นละ เราจะได้ไปวัดหนองกองนะวันนี้ ให้พระจัดการของไปบังสกุลถวายพระ พระวงกรรมญฐานจะมาที่นั่น ท่านเพียรสงบเรียบร้อยมาดั้งเดิม เป็นโรคอะไร (โรคหัวใจ มีโรคปอดแทรกครับ) ตกลงเราก็ได้ไปหนองกอง

ท่านเพียรเป็นลูกศิษย์มานานนะ ท่านเพียร ท่านบุญมี อยู่กับเรามาร่วม ๓๐ ปี เราละไล่ออกไป นี่จะเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้วนะนี่ จะมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม ไป ไล่ไป ให้ท่านเพียรไปนั้น ท่านใหญ่ก็ไปด้วยกัน เลยไปอยู่ที่นั่นละ ท่านใหญ่คือท่านบุญมี วันนี้จะไปหนองกอง ให้ท่านจัดของอะไร ให้พรแล้วไปนะ ท่านเพียร ท่านบุญมีอยู่กับเรามาร่วม ๓๐ ปี ไล่ออกจากนี้ก็ให้ไปอยู่ที่นั่น ไปเสียที่นั่น เป็นลูกศิษย์มาอยู่กับเรานานนะ ท่านเพียรเสียแล้วนะ แล้วเอาศพมาแล้วนะ (เอาศพมาไว้ที่วัดหนองกองแล้วครับ) ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ตกลงเราไปวัดหนองกอง

เป็นโรคอะไร (โรคหัวใจ โรคปอด) เรื่องความตายนี เราได้ติดตามดูถนัดชัดเจน ปี พ.ศ. เท่าไร เราจำพรรษาหนองผือ ถ่ายท้อง ๒๕ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้ง ได้ติดตามดูจิตกับร่างมันจะจากกัน เราไม่มีอะไรกับมัน ไม่วิตกวิจารณ์อะไร ถ่าย ๒๕ ครั้ง แล้วอาเจียน ๒ ครั้ง เศษอาหารพุ่งไปติดฝาส้วม แรงขนาดนั้นละ อาเจียน ๒ หนพุ่งติด พออาเจียน ๒ หนหยุดลง ทีนี้อ่อนเข้าไป อ่อนเข้าไป อ่อนเข้าไปจนถึงที่สุด ยังอีกเปอร์เซ็นต์เดียวจะไป ติดตามดูจะเป็นอย่างไร

เวลามันจะไปจริงๆ ทุกขเวทนาแสนสาหัสดับหมดนะ ยังเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ร่างกายเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ไม่เกิดเวทนาอะไรเลย ถึงเวลาจะไปจริงๆ ดับนะ ความทุกข์ทั้งหลายในร่างกาย อ่อนเพลียทั้งหมดดับเลย ยังเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ร่างกายเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทุกขเวทนาหมดเลย เพราะจิตมันไม่เผลอ ดูมันตลอด พอไปถึงที่สุดแล้วทุกขเวทนาก็ดับ ในร่างกายทุกส่วนดับหมดเลย ยังเหลือแต่ความรู้ ดูความรู้

วิตกว่านี่จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาถ้าจะไปจริงๆ ก็ไป ว่าอย่างนั้นนะ พูดกับเจ้าของนั่นละ พอไปถึงนั้นคือมันปล่อยหมดนะ ทุกขเวทนาทั้งหมดปล่อยหมดเลย ร่างกายเป็นท่อนไม้ ท่อนฟืน ยังเหลือแต่ความรู้อยู่ ดู พอไปถึงจุดนั้นมนปล่อยหมดจริงๆ เอารอตั้งแต่มันจะดีดออก พอไปถึงนั้นหยุดกึ๊ก ไม่เคลื่อนไม่ไหว เราก็ดูอยู่ สักเดี๋ยวก็มียิบแย็บเคลื่อนไหวออกมา แล้วค่อยฟื้นขี้นมา ฟื้นขั้นมา ว่าจะไปแล้วก็หยุดตรงนั้นแล้วฟื้นกลับคื นี่เป็นอยู่ที่ไหนนะ ถ่ายท้อง ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อยู่หนองผือ

ถ้าหากว่าจิตใจหวั่นไปละ ไปเลยในคราวนั่น แต่นี้จิตใจไม่หวั่นคือดูความจริงทุกอย่าง พอถึงจุดของมันแล้วก็มาหยุดที่นั่นแล้วค่อยๆ ถอยออกมา ถอยออกมาก็เริ่มมีเวทนาขึ้นมาอีก เหอ ไม่ไปเหรอ ก็เลยหยุดละ ถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนนี่รุนแรงมากนะ เศษอาหารพุ่งถึงฝา รุนแรงขนาดนั้น นั่นละคือ มันอ่อนมากนะ จะไปจริงๆ แต่จิตมันไม่ได้หวั่นไหว ถ้าหากว่าเป็นธรรมดาแล้วตาย คือจิตจะเสริมเข้าไป ความเสียใจ ความดีดความดิ้นไม่อยากตายจะสุมเข้าไปจะเกิดเรื่อง หนักเข้าก็ตายเลย อันนี้ไม่เป็นอะไร มันเป็นอย่างไรก็ดูตลอดเลย สุดท้ายก็หยุด ไม่ไป

เราได้ดูเรื่องของเราบ่ะมันชัดเจนมาก คือไม่มีอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีหวั่นมีไหว ไม่มีเรื่องมีราวอะไรความเป็นความตาย วิตกวิจารณ์กลัวจะเป็นจะตายไม่มี มีแต่ดูความจริงมัน สุดท้ายไปถึงจุดของมันแล้วก็หยุด ต่อจากนั้นก็ค่อยคลี่คลายออกมา ก็เลยหาย ถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน เกือบไปละ ไปหนองกองวันนี้ เลิกได้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 15:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2014, 14:21
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์เนื่องในโอกาสไปเยี่ยมศพหลวงปู่เพียร วิริโย
ณ วัดป่าหนองกอง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒


ท่านเพียรปฏิบัติเรียบมาก

ท่านเพียร อายุ ๘๒ เหรอ ท่านเพียร ท่านบุญมีที่ติดสอยห้อยตามเรามาแต่ต้นเลย เราละเป็นคนไล่ออกมานี่ มันควรจะเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้วเราว่าอย่างนั้น แล้วเป็นลูกเขยใหม่อยู่อย่างไร ไปเลย ไล่มา ท่านเพียรมาทางนี้ ท่านบุญมีก็มาด้วยกัน อยู่กับเราร่วม ๓๐ ปี ท่านเพียร ท่านบุญมีเรียบร้อยเหมือนกันหมด ไม่มีด่างพร้อย เรียบร้อยการปฏิบัติของท่าน ท่านเพียรกับท่านบุญมีท่านปฏิบัติเอาจริงเอาจังเหมือนกัน

ที่อยู่กับเรานานคือท่านสิงห์ทอง พอดีท่านตายเสีย ท่านสิงห์ทองก็อยู่นานแต่ตายก่อน ท่านเพียรกับท่านบุญมีนี้นานนะ เราจึงให้ออกมา ท่านสิงห์ทองเป็นพระชอบตลก นิสัยชอบเล่น ชอบตลกนะท่านสิงห์ทอง แต่อันนี้เรียบๆ ท่านเพียร ท่านบุญมี เรียบๆ แต่ท่านสิงห์ทองเป็นนิสัยชอบตลก ชอบตลก นิสัยเป็นมาดั้งเดิม ที่เป็นลูกศิษย์มานาน คือท่านสิงห์ทอง ท่านเพียร ท่านบุญมี สามองค์ ท่านเพ็งก็แยกไปอยู่กับหลวงปู่ขาว

ท่านสิงห์ทองเป็นคนขี้เล่นนะ ชอบเล่น ชอบตลก ไปหาปลาอยู่ด้วยกันกับน้า น้าคือน้องแม่ ท่านสิงห์ทองก็ไป ไปหาปลามาด้วยกัน พอมาจะถึงบ้านมาพบกัน ไหนละหมานไหม รวยไหม หมานไหมละ เป็นอย่างไรหมานไหม จับงูแต่งูไม่ใช่งูพิษ งูสิงห์งูธรรมดา พอทางนั้นหันหลังให้ ทางนี้เปิดฝาเอางูสิงห์ใส่ เป็นอย่างไรละท่านสิงห์ทอง บ้านเขาอยู่หลังนั้น ทางนี้ก็อยู่หลังนี้ มองเห็นกัน พอไปถึงบ้านฟังเสียงแอ้ๆ บักห่านี่ เอางูใส่ข้องเขา เปิดในข้อง...หมานไหม ท่านสิงห์ทองเอางูใส่ต่อหน้าหลานสาว พอไปถึงบ้านเปิดออกแตกฮือเลย นิสียตลก พูดเล่นพูดตลก

ท่านสิงห์ทองอัฐิกลายเป็นพระธาตุ ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วก็ตีตราเลยว่านี้คือพระอรหันต์ ถ้าอัฐิไม่บริสุทธิ์ไม่เป็นอรหันต์ อัฐินี้เผาลงไปแล้วจะไม่เป็นพระธาตุ อันนี้ของท่านสิงห์ทองเป็นพระธาตุ ของท่านจวนก็เป็นพระธาตุ มันประกาศอยู่ในตัว ความบริสุทธิ์ของใจมันฟอกธาตุฟอกขันธ์ คือความบริสุทธิ์ของใจมันครองร่าง ยิ่งครองร่างอยู่เท่าไหร่ก็ซักฟอกขันธ์ให้เป็นธาตุที่ละเอียดไปตามส่วนของธาตุ พอมรณภาพแล้วอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุ ท่านสิงห์ทองก็เป็น ท่านจวนก็เป็น

วันนี้คนมากนะ อย่างพระที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีเด่นๆ อยู่หลายองค์นะ ท่านสิงห์ทอง ท่านจวน ท่านอะไรบ้าง มีแต่พวกอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้ว ถ้าอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้ว แสดงชัดเจนเลยว่านี้บริสุทธิ์แล้ว เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วปิดไม่อยู่ อัฐิกลายเป็นพระธาตุ แต่องค์ใดก็ตามที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุ บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านรู้นานแล้วนะ รู้แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่แล้ว อันนี้ประกาศทีหลังเวลาท่านล่วงไปเท่านั้นเอง นอกนั้นธรรมดาลูกศิษย์ทั้งหลายรู้แล้ว ตั้งแต่ท่านยังไม่ตาย เพราะอรรถธรรมแนะนำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนแล้วผลก็เป็นอย่างนั้น

ที่เราได้เปิดเผยปิดกันไม่อยู่ก็คืออัฐิกลายเป็นพระธาตุ นี่คือพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย สำหรับเชื่อ เชื่อกันภายใน เชื่อแน่นอน ท่านเชื่อมั่นแน่นอนอย่างไร พอท่านองค์นั้นตายแล้ว ก็มาเป็นพระธาตุคนอื่นเชื่อทีหลังนะ ลูกศิษย์ลูกหาเชื่อก่อนแล้ว เชื่อก่อน นั่นละการปฏิบัติธรรม ใครปฏิบัติอยู่ที่ไหนเมื่อไรเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติดีเป็นดี ปฏิบัติชั่วเป็นชั่ว

ท่านเพียรก็ได้เสียไปเสียแล้ว อายุ ๘๒ นะ ท่านเพียรปฏิบัติเรียบมาก ท่านบุญมีเป็นลูกศิษย์ของเราตั้งแต่ต้นมา ปฏิบัติเรียบร้อยตลอดมาคือท่านบุญมี ท่านเพียร ท่านสิงห์ทอง ที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับเราตลอดมา นอกนั้นองค์ไหนบ้างลืมๆ แต่สามองค์นี่จำได้ชัด เดินจงกรมจนเป็นเหวนะท่านสิงห์ทอง มาเล่าให้เราฟัง คือไม่รู้เวลาที่กิเสลสิ้นไปกลายเป็นใจดที่บริสุทธิ์ขึ้นมา คือมันละเอียดลงไปๆ ละเอียดจนกระทั่งหมดกิเลส มาเล่าให้เราฟัง เราก็ฟังท่าน ท่านเล่าให้เราฟัง

เราบอกว่าเรายอมรับ การปฏิบัติของท่านก็ยอมรับ แล้วความบริสุทธิ์ของท่าน ตามธรรมดาท่านว่ามีขณะ คือองค์นั้นสำเร็จอยู่ที่นั้นๆ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนในป่าในเขาจะบอกขณะๆ แต่พระอรหันต์มีอยู่ ๔ ประเภท ประเภท ๑ สุกขวิปัสสโก รู้อย่างสงบเงียบ บริสุทธิ์ไปอย่างสงบเงียบ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก เจ้าของเองก็ไม่รูว่าหมดไปเมื่อไร หากหมดไป จนกระทั่งไม่มีกิเสลส ที่จะแก้กิเลสตัวใดไม่มีนี่ประเภท สุกขวิปัสสโก แล้วก็ เตวิชโช อฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต

อรหันต์มี ๔ ประเภท ประเภทสุกขวิปัสสโก แม้เจ้าของก็ไม่ค่อยทราบ คือไม่บอกขณะ สำเร็จขณะไหนเจ้าของไม่รู้ นอกจากนั้นรู้ เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้บอกขณะ ขณะสิ้นกิเลสแต่สุกขวิปัสสโกนี้รู้อย่างสงบเงียบไปเลย มี ๔ ประเภท มาเล่าให้เราฟัง หาที่จะแก้มันก็ไม่มี แต่ไม่สนใจจะหา ท่านพูดมีหลักนะ ละเอียดมากๆ ละเอียดจนสุดเลย เวลานี้ไม่สนใจว่าจะแก้กิเลสตัวใด ท่านว่ามันหมดไปเลยจริงๆ ท่านว่าอย่างนั้นละ แต่ไม่บอกขณะ เอาล่ะไม่บอกก็ช่างเถอะ ความบริสุทธิ์ในประเภทอรหันต์ก็มีอยู่ ๔ ประเภท สุกขวิปัสสโก รู้อย่างเงียบไปเลย เตวิชโช อฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต

พระอรหันต์มี ๔ ประเภทด้วยกัน สำหรับท่านสิงห์ทองเป็นประเภทสุกขวิปัสสโก คือรู้เงียบๆ ไปจนหมดเลย นอกจากนั้นมีขณะ ขณะกิเลสกับธรรมกับจิตขาดจากกัน ขาดจากกันเป็นขณะ รู้ขณะ เช่น องค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในที่นั้น บรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบทยืน อิริยาบทเดิน อิริยาบทนอน ให้มีขณะบอก แต่สุกขวิปัสสโกนี่ไม่บอก คือบริสุทธิ์ไป หมดๆ ไปเลย ท่านสิงห์ทองมาเล่าให้เราฟัง เล่าถึงเรื่องการปฏิบัติมา การปฏิบัติคือละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่ทราบจะแก้กิเลสตัวใด แล้วไม่สนใจจะแก้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ น่ะเป็นอย่างนี้ ไม่บอกขณะหรืออะไร เอาล่ะเอา สนทิฎฐิโก รู้ด้วยตัวเองก็พอว่าเวลานิ้สิ้นแล้วกิเลส ไม่มีในใจแล้วก็สิ้นเท่านั้นแหละ เราก็ว่า เวลาท่านล่วงไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ นั่นออกละ ทีนี้ออกกระจายทั่วประชาชน รู้กันทั่วไปหมด

มาสมัยนี้ทุกวันคนมักกิเลสหนาปัญญามันหยาบที่สุด ไม่ว่าพระว่าฆราวาส จะไม่เชื่อคำสอนของท่านผู้วิเศษ ผู้สิ้นกิเลสแล้วนำมาสอนโลก ผู้ฟังเป็นคลังกิเลส เป็นส้วมเป็นฐาน ไม่ยอมรับธรรมของท่านผู้แนะนำสั่งสอน มรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้ทำบุญ ทำบาปไม่ได้ทำบาป หูหนวกตาบอด เวลานี้เป็นข้าศึกต่อตัวเองและข้าศึกต่อศาสนา จนศาสนาจะไม่มีเพราะข้าศึกอันนี้ละ แต่ผู้ปฏิบัติท่านปฏิบัติอยู่ ท่านก็รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น อย่างพระท่านอยู่ในป่าท่านจะไปตีระฆังปึ้งๆ ข้าเป็นพระอรหันต์แล้วนะ มันได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ ถ้าในวงเดียวกับท่านรู้หมด ไปมาอย่างไร ภาวนาอย่างไร ท่านจะเข้าจุดนั้น เป็นอย่างไร ท่านก็เล่าสูกันฟัง สู่กันฟัง ถ้ายังมีขัดข้องตรงไหนท่านก็แนะกันๆ แล้วผ่านได้ๆ จึงว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว แล้วอกาลิโกไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาในการประกอบความพากเพียร ได้ผลไปตลอด นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ผู้ปฏิบัติมีอยู่มรรถผลนิพพานรอรับสำหรับผู้ปฏิบัติ ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็มีแต่เสื่อกับหมอนรองรับละ เอาหมอนติดคอไว้ เอาเสื่อมัดติดหลังไป พวกนี้แต่เสื่อกับหมอนติดคอ ไปไหนมีแต่เสื่อกับหมอน มรรคผลนิพพานไม่มีพวกนี้ พวกเรานี่ พวกเสื่อกับหมอนมัดติดคอเลย มรรคผลนิพพานไม่มี ปัดออกหมดไม่มี ให้มีแต่เสื่อกับหมอนติดตัวอยู่ทั้งนั้นละ พากันฟังหรือยังพวกนี้

คือใจมันหนาเข้า มันไม่ยอมรับธรรม ใจที่หนาเข้าๆ มันปิดประตูที่จะปฏิบัติธรรม รู้เห็นธรรม มันเปิดโล่งเรื่อยกิเลสตัณหา เปิดโล่งเรื่อย เพราะฉะนั้นจึงสั่งสมแต่กิเลสตัณหา ตายแล้วก็จมลงนรก ผู้ว่านรกไม่มีละผู้ไปจม พระพุทธเจ้าเองก็เป็นผู้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว รู้ทั้งโลกทั้งธรรม ทางโลกทางผีมนุษย์มนารู้หมด นรกอเวจีทำไมท่านไม่รู้ ท่านก็บอกไว้หมด แต่มันไม่ยอมเชื่อ มันก็ไปลงที่ตัวไม่เชื่อนั่นแหละ ใครที่ว่านรกมี บาปมี บุญมี คนนั้นมีขยะแขยงต่อการทำบาป การทำบุญมีความพอใจ การทำบาปไม่มีขยะแขยง ไม่กลัวทำบาป คนไม่มีนิสัย คนหนา การทำบาปไม่กลัว แต่การทำบุญกลัว ขี้เกียจขี้คร้านหาเวล่ำเวลามาลบล้างจนได้นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น มันหนาเข้าๆ มันหนาที่หัวใจของสัตว์โลกนะ คือหนาเป็นพื้นมาเลยพวกนี้ หนาไปตลอดก็มี

อย่างที่ท่านสอนไว้ว่า ตโม ตมปรายโน มันมืดบอดตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งวันตาย หาศีลหาธรรมเข้าติดตัวไม่มีเลย ตโม โชติปรายโน ทีแรกก็มืดไม่รู้จักศีลจักธรรม ไม่รู้จักเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมจำศีล ครั้นเวลาธรรมเฉียดเข้าไปหูหลายครั้งหลายหน หูก็เลยเป็นหูศีลหูธรรมขึ้นมา ใจก็เป็นใจศีลใจธรรมขึ้นมา ทีนี้ก็เสาะแหละ เสาะหาธรรม ธรรมก็เปิดอ้าอยู่แล้วรอที่จะเข้าสู่จิตใจ ทีนี้ก็รู้ไป เห็นไป รู้ไปเห็นไป ต่อจากนั้นก็พ้นได้ เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเสาะแสวงหา ถ้าไม่แสวงหาตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายไม่มีอะไรดีกว่ากัน เลวเท่ากันหมด ตั้งแต่เกิดมาสร้างแต่ความเลวทราม จนกระทั่งถึงวันตาย มีแต่ความเลวทรามติดตัวไป แล้วจมลงในนรกไม่มีวันขั้นเลย

ถ้าคนสร้างความดีรู้ตัวแล้วก็สร้างความดี แสวงหาศีลหาธรรม จิตก็ค่อยเปิดรับธรรม ๆ จิตใจมีความรักใคร่ใกล้ชิดต่ออรรถต่อธรรม ผู้นั้นตายแล้ว ตโม โชติปรายโน ถึงในเบื้องต้นจะมืดบอดก็ตาม แต่ต่อไปแล้วสว่างไสวในกาลต่อไป โชติ โชติ ปรายโน เป็นผู้มีอุปนิสัยปัจจับตั้งแต่เริ่มแรกเกิดมา รักศีลรักธรรม เรื่อยๆ มาจนกระทั่งทะลุถึงวันตาย รักศีลรักธรรมตลอดไป คนนี้เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่ง นี่ ตโม ตมปรายโน มันมืดบอดตั้งแต่วันเกิดมา ไม่สนใจกับศีลธรรม สร้างแต่ความชั่วช้าลามก ตายไปแล้วก็มืดบอดไปเลย

เราจะเอาอะไรให้พากันคัดเลือกเอานะ เทศน์นี่เลือกเฟ้นตามธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วมาสอน แล้วก็สุกเอาเผากิน สุกเอาเผากิน สุกเอาเผากิน ตายแล้วจมนะ อย่าเข้าใจว่าใครจะไปช่วย ติดคุก ติดตะรางก็ยังไม่มีคนช่วยได้ ยิ่งลงนรกแล้วนะไม่มีใครช่วยได้เลย ให้ช่วยตัวเอง ละชั่วทำดีเสียแต่บัดนี้ ต่อไปแล้วจะดีไปเรื่อยๆ พี่น้องทั้งหลายให้จำเอาเสียนะ

นี่เราก็เริ่มบวชมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี กับ ๙ เดือน เป็นชีวิตฆราวาส ความคลุกเคล้าของฆราวาสเป็นทุกเป็นแบบที่ชั่วช้าลามก พลิกเข้ามาบวช ตั้งแต่วันบวชแล้วไม่ฝ่าฝืนธรรมวินัยตลอดมา จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ฝ่าฝืน แล้วก็เย็นใจมาๆ เรื่อย จนกระทั่งเห็นผลแห่งความเย็นใจสุดยอดกระจ่างขึ้นภายในใจ ไม่ถามกัน มรรคผลนิพพานไม่ถาม ถามหาอะไร พระพุทธเจ้าไม่รู้มรรคผลนิพพานมาสอนเราได้หรือ สอนเราให้รู้เมื่อเรารู้ตามแล้วจะถามใครละ นั่น มันประกาศในตัวเองนะ ความดีความชั่วอยู่ในหัวใจนะ นรกไม่เคยเห็นก็เห็น ถ้าสร้างความชั่วมาก สวรรค์ไม่เคยได้ไปบุญพาไปจนกระทั่งถึงนิพพาน บุญพาไปเอง ให้พากันช่วยตัวเองในทางที่ถูกที่ดี

เป็นอย่างไรละ พากันเข้าใจไหม พูดนี้ดังทั่วไปเลยนะ อย่าถือเราเป็นใหญ่กว่าบุญกว่ากรรมนะ บุญกรรมเป็นใหญ่มากทีเดียว นตถิ กมมสม พล ไม่มีอำนาจใดที่จะเหนือการกระทำบุญและบาป เหนือกรรมคือกรรมดีกรรมชั่ว อันนี้มีอำนาจมากท่านว่า ท่านจึงบอกว่า นตถิ กมมสม พล ไม่มีกรรมใดที่จะหนักมากยิ่งกว่าการสร้างกรรมดีกรรมชั่ว กรรมดีมีอำนาจไปทางดี กรรมชั่วมีอำนาจไปทางชั่ว ถ้าละชั่วทำดีกรรมดีก็ยิ่งเพิ่มอำนาจเข้าไป ให้พากันจำเอานะ เอาละเท่านั้นละวันนี้

“ท่านเพียรเพชรน้ำหนึ่ง
ถ้าในครั้งพุทธกาลท่านเรียกว่าเป็นพระอรหันต์”
“พูดชัดเจนเลยว่าเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง...ท่านเพียร”
“ท่านเพียร...ศิษย์ก้นกุฏิของรา”


ท่านเพียรเป็นพระที่สมควรแก่อนุสรณ์ทุกอย่าง จะก่อเจดีย์ก็ได้ อะไรก็ได้ พูดชัดเจนเลยว่าเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง...ท่านเพียร ทุกอย่างรอบตัวบอกหมดเลย มันก็แปลกอยู่นะ เครื่องบริขงบริขารอยู่ในนั้นเลยกลายเป็นพระธาตุไปหมด แปลกอยู่นะ เจ้าของเป็นคนเดียว ของนอกตัวเองออกไปกลายเป็นพระธาตุอะไร...ท่านเพียร อนุญาตแล้วนะ พระผู้ควรแก่การเคารพสักการบูชาก็คือพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระปัจเจกพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิหนึ่ง พระอรหันต์หนึ่ง ท่านบอกไว้ชัดเจน ท่านเพียรสมควรก่อเจดีย์ได้แล้ว ไม่ใช่จะก่อนสุ่มสี่สุ่มห้า หมาตายในวัดก็ไปก่อเจดีย์ พิลึกนะ อย่างนั้นไม่เอา ทำไม่มีหลักเกณฑ์ อันนี้สมควรจะก่อนเจดีย์ไว้กราบไหว้บูชาได้แล้ว ตามที่ท่านอธิบายไว้ในตำรับตำราเป็นประเพณีดีงาม องค์นี้ก็ควร


:b8: จาก...หนังสือ ชีวประวัติหลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี


:b50: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เพียร วิริโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=48847

:b50: ประมวลภาพ “หลวงปู่เพียร วิริโย” วัดป่าหนองกอง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=23315


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2014, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


กราบหลวงตาและหลวงปู่เจ้าค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร