วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 15:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2015, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่จันทา ถาวโร ฝึกกรรมฐานอยู่กับ
“หลวงปูทับ เขมโก” แห่งวัดป่าแพงศรี จนจิตสงบ
เกิดปาฏิหาริย์จนสามารถพูดคุยกับเปรตนานาชนิด


รูปภาพ

ญัตติเป็นธรรมยุต

ครั้นต่อมาปี ๒๔๙๓ ได้ญัตติเป็นธรรมยุต แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ทับ (เขมโก) เจ้าอาวาสวัดป่าแพงศรี อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ วัดนั้นเป็นวัดป่าช้า ปีนั้นก็ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น เพราะอยากรู้ธรรม เห็นธรรม ไปศึกษา หลวงปู่ทับท่านก็ว่า

“ถ้าทำความเพียรอ่อน ก็ไม่เป็นไป เพราะกิเลสกับธาตุขันธ์นั้นมันเหนียวแน่น ผูกมัดรัดรึงดวงจิตไว้ พร้อมทั้งกรรมชั่วช้าลามกนั้น ฉะนั้นจึงต้องทำความเพียรชนิดเอาตายเข้าว่า อย่างอุกฤษฏ์ ไม่ห่วงใยในชีวิตสังขาร เห็นว่าสังขารร่างกายนี้นั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นอสรพิษตัวร้ายกาจ ขบกัดให้เป็นทุกข์อยู่ทุกกาลสมัย นับตั้งแต่วันเกิดเป็นต้นมา”

“อสรพิษใหญ่นั้นคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี่แหละอสรพิษใหญ่ตัวร้ายกาจ ทีนี้จงทำความเพียรเผาจิตให้เร่าร้อนทั้งวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เพื่อว่าจะเผากิเลสให้มันเร่าร้อน จะนำดวงจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้แล้วนั้น แสงสว่างแห่งธรรมจะเกิดขึ้นแล้วจะได้เปลื้องตนออกจากอสรพิษใหญ่ และจิตจะได้บรรลุธรรม นอกนั้นไม่มี ไม่เป็นไป”

เมื่อหลวงปู่ทับว่าอย่างนั้นแล้ว ก็พอใจ เร่งทำความเพียรในปีแรก (๒๔๙๓) ตลอดไตรมาส ๓ เดือนไม่นอน เดิน ยืน นั่ง เอาอิริยาบถ ๓ เท่านั้นแหละ ข้าวก็ ๒-๓ วันฉันครั้งหนึ่ง ฉันก็ฉันน้อย พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น เดินจงกรมบางวันมันเหนื่อยล้า ก็ยืนภาวนา มันจะหลับหรืออย่างไรไม่ทราบ ปัสสาวะไหลออกมาไม่รู้ตัวนะ นี่แหละการทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ไม่หวั่นไหว พอออกเดินไปรู้สึกว่าผ้าเปียก กำผ้ามาดมจึงรู้ว่าเป็นกลิ่นปัสสาวะ นั่นแหละการทำความเพียรเป็นอย่างนั้น เดือนที่ ๑ ผ่านไป เดือนที่ ๒ ก็ผ่านไป พอเดือนที่ ๓ จวนจะผ่านไป จิตจึงสงบเพราะการทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน เผาร่างกายให้เร่าร้อนอ่อนเพลียละเหี่ยใจ อาหารของธาตุขันธ์คือกินกับนอนนั้นไม่มี มีแต่ทำความเพียรอย่างนั้น ทีนี้บางคืนเดินแล้วก็ยืน ยืนนั้น หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้น้อยลง กายสังขารคือลม (เครื่องปรุงกาย) อานาปานสติคือลม (สติกำหนดลม) นั่นแหละ ต่อแต่นั้นมาจิตก็อ่อนลงๆ ละเอียดลงไปทุกที สติกับจิต กับลมหายใจเข้าออกมันละเอียดเข้าทุกที บางทีจิตก็สงบ ก่อนที่จิตจะสงบนั้นจิตก็วงพุทโธ พอวางพับ จิตก็รวมพับลงถึงขั้นขณิกสมาธิ (จิตสงบเล็กน้อย) พอถึงขั้นนั้นความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ หิวโหย เหนื่อยล้าของร่างกายก็หายไปหมด รู้สึกสดชื่นแข็งแรงขึ้น นั่นแหละ อำนาจของความสงบเป็นอย่างนั้น เป็นของอัศจรรย์เลิศประเสริฐสุด แล้วศรัทธาก็เกิดขึ้นพร้อม วิริยะเกิดขึ้นพร้อม สติปัญญาเกิดขึ้นพร้อม เกิดความเห็นชอบว่า

“โอ๋...วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ นั้นจริงแท้ ผู้มีความเพียรจะต้องมีทุกข์ ทุกขะมัจเจติ ความทุกข์นั้นมันเผาธาตุขันธ์แล้วก็เผาใจด้วย นั่นแหละ จะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร เห็นธรรมได้ก็เพราะความเพียร นอกนั้นไม่มี”

นั่นแหละ แน่นอนเป็นของดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น รสชาติของความสงบนั้นแสนอร่อยลึกซึ้ง จึงสมกับนามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบไม่มี”

ต่อแต่นั้นจิตก็ไม่หวั่นไหวในโลก ธาตุขันธ์นี้จะแปรปรวนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว เพราะอาหารของจิตเกิดขึ้นแล้ว ในขณะนั้นก็เพ่ง เพ่งกายนั้น เพ่งอนิจจตา ไม่เที่ยงมันเป็นอย่างไรคือ มันแก่ ทุกขตา เป็นทุกข์มันเป็นอย่างไร คือมันเจ็บ อนัตตตา เป็นอย่างไรคือ มันตาย นี่เพ่งอนุโลมปฏิโลม เดินหน้าถอยหลัง กลับขึ้นกลับลงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละ แต่แล้วก็ยังไม่เห็นมรณะ อสุภะ เพราอินทรีย์อ่อน ก็เร่งกันอยู่อย่างนั้น

ทีนี้ก็ได้ยินเสียงพูดกัน เสียงร้องครางก็มี มองไปข้างหน้าโน้น เห็นผีทั้งหลายยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ บางตัวก็คอขาด หัวไม่มี มีตาอยู่ที่หน้าอก บางตัวก็มีตาแหกขึ้นข้างบน น่ากลัวนะ แต่เห็นแล้วก็ไม่กลัวทั้งนั้น เพราะอำนาจจิตสงบไม่กลัวใครทั้งนั้น ร้อนหิวหนาวไม่มี ไม่กลัวทั้งนั้น อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น เพราะได้เห็นผลของความสงบเยือกเย็นนั้นเกิดจากทุกข์ ถ้าความเพียรมีทุกข์แล้ว ก็ต้องมีผลคือสุขนั้น จะนำธรรมแปลกๆ มาให้รู้ให้เห็น ถ้าความเพียรอ่อน ติดสุขแล้วไม่เห็นไม่เป็นไป นี่ข้อสำคัญนะ


จากนั้นก็กำหนดถามผีเหล่านั้นว่า “พวกท่าน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้?”

“โอ๋...ท่านเอ๋ย พวกข้าพเจ้าสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ถือศาสนาก็ถือตามเพื่อนบ้านลอยลมไปอย่างนั้น หาขอบเขตความจริงไม่ได้ ข้องดเว้นอย่างจริงจังก็ไม่มี รับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ต่อหน้าพระ พอให้หลังก็กินเหล้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไปเลยตามธรรมดา อยู่กินหลับนอนเหมือนกับวัวกับควาย นั่นแหละความดีไม่ห่วงใยอาลัยทั้งนั้น ก็ทำไปตามธรรมดาของโลกที่เขาทำกันอย่างนั้น อ๋อ...โทษที่ไม่มีคอนั้น ก็เพราะไปตัดคอเขา นั่นแหละเป็นเปรต ทั้งหญิงชายก็เป็นอย่างนั้น”


ถามแล้วก็ได้ความว่า เป็นผี เป็นเปรตมาตั้งแต่เริ่มตั้ง อ.กมลาไสย อยากจะพ้นจากเวรกรรมทุกข์ยากนี้แต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร

นั้นแหละ เมื่อเป็นธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดความสังเวชสลดใจ แล้วก็น้อมมาเป็นเรื่องของตน เขาเป็นอย่างไรก็เพราะความไม่ดีด้วยกาย วาจา จิต นั่นแหละจึงได้รับผลเป็นอย่างนั้น

กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ กิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อไป กรรมวัฏฏ์ ก็ได้กระทำกรรมชั่วช้านั้น และวิปากวัฏฏ์ ก็ได้เสวยวิบากแห่งกรรมอย่างนั้น

ก็น้อมมาเป็นเรื่องของเรา เขาเป็นฉันใด เราก็เป็นฉันนั้น เพราะเหตุใด เพราะแต่ชาติปางก่อนโน้นเราก็คงเป็นอย่างนี้ หรือในชาตินี้เราประมาทอยู่อีกต่อไป ภพเบื้องหน้าของเราโน้น ถ้าเรายังตัดกระแสของวัฏฏสงสารไม่ได้เมื่อไรจะต้องเป็นเปรตในวัฏฏสงสารอย่างเขานี่

เปโต แปลว่า เปรต หมายถึง เป็นผู้ต้องเวียนเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ และได้เสวยวิบากอย่างนี้ บางทีก็โชคไม่ดีไปพบพาลสันดานหยาบ ชักพาให้ทำความชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจ ผิดศีลธรรม เป็นเปรตอย่างนี้ไม่ได้ตามใจหวังทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญ สอนตนอย่างนั้นก็เลยเร่งรีบทำความดีอย่างไม่ลดละ


พอรุ่งขึ้นตอนกลางวันก็ไปศึกษากับหลวงปู่ทับ ว่า “ผมจิตสงบเมื่อคืนนี้ ผมทำความเพียรมา ๒ เดือน พอเดือนที่ ๓ นี่จวนจะหมดแล้วจิตจึงสงบ เมื่อจิตสงบแล้วเห็นฝูงเปรตทั้งหลายหญิงชายเต็มไปหมด ผมเองก็ไม่กลัวนะ น้อมมาเป็นพี่เป็นน้องทั้งนั้น แล้วก็ศึกษาเป็นธรรมะสอนผมเองว่า ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ หรือที่ผ่านมาอาจจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว นั่นแหละเห็นอย่างนั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร”

หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “เห็นแล้วก็ให้ซักไซ้ไต่ถามเขา ให้ได้ความสังเวชสลดใจ โอ้...หนอ อนิจจา น่าสังเวชสัตว์บกสัตว์น้ำทุกถ้วนหน้าที่อยู่ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี่แหละ เพราะทำความชั่วช้าลามกใส่ตนแล้ว ก็ลงสู่อบาย หาความสุขความเจริญไม่มี ก็จะเกิดความสังเวชสลดใจแล้วจะได้ไม่ประมาท เร่งรีบสะสมคุณงามความดีใส่ตนให้รอดพ้นไปจากวัฏฏทุกข์เสีย ถึงแม้ไม่ได้ธรรมขั้นสูง ก็ขอให้ได้ตัดกระแสของวัฏฏสงสาร คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตัดได้ ๓ อย่างนี้ก็พอแล้ว แปลว่า ตัดสงสารได้แล้ว ตัดวัฏฏทุกข์ขั้นต้นได้แล้วแน่นอน อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จิตสูง จิตเด่น จิตเลิศประเสริฐแท้ในขั้นนี้” ท่านว่าอย่างนั้น นั่นแหละเป็นเหตุจะได้เป้าหมาย คือ พระนิพพานต่อไปในเบื้องหน้า อบายอย่างเขาไม่มี


จากนั้นท่านก็บอกว่า “จงเมตตาเขา ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ แล้วก็แบ่งส่วนบุญให้เขา เขาจะได้พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต แปลว่า เราเป็นผู้มีเมตตาธรรมสงสารให้ส่วนบุญเขา เราก็จะได้อีก คือ ได้สติปัญญา”

นั่นแหละ ทำความเพียรขยำกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมาจิตใจที่กล้าแข็ง ก็อ่อนโยนลง เพราะเห็นสัตว์อื่น มวลมนุษย์ นาค ครุฑ ที่ประพฤติไม่ดีแล้วได้รับผลอย่างนั้น นั่นแหละ จิตนั้นก็ใฝ่ฝันขยันในการทำความเพียรไม่ลดละจนกระทั่งออกพรรษา



:b8: :b8: :b8: ที่มา...หนังสือธรรมพเนจร
เนื่องในงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย ตำบลวังทรายพูน อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร


:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=48699

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21128


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2015, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2015, 16:02 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ กราบองค์หลวงปู่จันทาเจ้าค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
Kiss :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร