วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2015, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรามาปฏิบัติธรรมกันทำไม อยากรู้ความคิดของแต่ละท่านครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิริพงศ์ เมื่อ 11 ก.ย. 2015, 11:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2015, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อความพ้นจากทุกข์..แบบ..ถาวร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2015, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เพื่อความพ้นจากทุกข์..แบบ..ถาวร

เป็นอย่างไรครับพ้นทุกข์แบบถาวร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2015, 10:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติเพื่อรู้ทันตนคิดจิตจะได้ไม่เดือดร้อน จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2015, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรม
ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา

ให้ทาน เพื่อขัดเกลาความตระหนี่
รักษาศีล เพื่อเจริญเมตตา เพื่อความอยู่ปรกติของความเป็นมนุษย์ทั้งต่อตนเอง และต่อภายนอก เพื่อความไม่นำพาตัวเองไปในทางเสื่อม
เจริญสมาธิ เพื่อความสงบ เพื่อเป็นบาทฐานของปัญญา
เจริญปัญญา เพื่อความรู้ถูกต้อง เพื่อความรู้แจ้ง เพื่อความคลาย เพื่อความสลัด เพื่อความละ เพื่อความหลุดพ้นจากเหตุแห่งความทุกข์ เพื่อความสิ้นทุกข์

จะกล่าวการปฏิบัติธรรม
บางท่านเพื่อสุคติโลกสวรรค์
บางท่านเพื่อความหลุดพ้น เพื่อบรรลุนิพพาน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อตอบปัญหาโจทย์ให้กับตนเองที่เป็นข้อที่ถามกันทุกๆคนทุกลัทธิในโลกใบนี้ รวมทั้งคนที่ไม่มีลัทธิทั้งหลายให้แจ้งว่า

"คนเราเกิดมาทำไม"

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์พึงถามพวกเธออย่างนี้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดมเพื่อประสงค์อะไร
พวกเธอเมื่อถูกถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์แก่พวกเขาอย่างนี้ว่า พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ใน
สำนักพระผู้มีพระภาค เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ ก็ถ้าพวกเขาถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็ทุกข์ที่
ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดมเพื่อกำหนดรู้นั้น เป็นไฉน พวกเธอพึงพยากรณ์แก่พวกเขาอย่างนี้ว่า พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาค
เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ คือ จักษุ ทุกข์ คือ รูป ทุกข์ คือ จักษุวิญญาณทุกข์ คือ จักษุสัมผัส
ทุกข์ คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
ฯลฯ พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาค เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ คือ ใจ ทุกข์
คือธรรมารมณ์ทุกข์ คือมโนวิญญาณ ทุกข์ คือมโนสัมผัส ทุกข์ คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย พวกเธอเมื่อ
ถูกถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์แก่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๗


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ ศิริพงษ์ ไม่ใช่เดียรถีย์นิ แต่เป็นพุทธบริษัท4ที่มีความศรัทธาแล้ว

คำตอบของหลายๆท่านจึงมุ่งตอบตรงประเด็นที่ว่าเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อถึงพร้อมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เพราะรู้ว่าคุณ ศิริพงษ์มีความเข้าใจในความเป็นพุทธดีอยู่แล้ว

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
คุณ ศิริพงษ์ ไม่ใช่เดียรถีย์นิ แต่เป็นพุทธบริษัท4ที่มีความศรัทธาแล้ว

คำตอบของหลายๆท่านจึงมุ่งตอบตรงประเด็นที่ว่าเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อถึงพร้อมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เพราะรู้ว่าคุณ ศิริพงษ์มีความเข้าใจในความเป็นพุทธดีอยู่แล้ว

ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ. พระองค์บอกว่าถ้าคนต่างศาสนาเราเขาถามว่าสาวกพระองค์ปฎิบัติธรรมไปทำไม. พระองค์ก็ให้บอกไปอย่างนั้นนั่นเอง. ส่วนเราจะะเข้าใจอย่างไรก็ไม่ว่ากันไม่มีถูกผิดครับ. แค่บอกเล่าเก้าสิบคุยกันสนุกๆครับ. หามุมมองเพิ่มความรู้กันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
student เขียน:
คุณ ศิริพงษ์ ไม่ใช่เดียรถีย์นิ แต่เป็นพุทธบริษัท4ที่มีความศรัทธาแล้ว

คำตอบของหลายๆท่านจึงมุ่งตอบตรงประเด็นที่ว่าเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อถึงพร้อมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เพราะรู้ว่าคุณ ศิริพงษ์มีความเข้าใจในความเป็นพุทธดีอยู่แล้ว

ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ. พระองค์บอกว่าถ้าคนต่างศาสนาเราเขาถามว่าสาวกพระองค์ปฎิบัติธรรมไปทำไม. พระองค์ก็ให้บอกไปอย่างนั้นนั่นเอง. ส่วนเราจะะเข้าใจอย่างไรก็ไม่ว่ากันไม่มีถูกผิดครับ. แค่บอกเล่าเก้าสิบคุยกันสนุกๆครับ. หามุมมองเพิ่มความรู้กันครับ


พระพุทธองค์ ทรงตรัสแก่ภิกษุเท่านั้นในพระศาสนานี้ครับ
ไม่ได้ตรัสแก่ฆราวาสเป็นการทั่วไป

เจตนาแสดงแก่ สาวกของพระพุทธองค์ในการออกบวช ออกเรือน บวชเป็นภิกษุสงฆ์
เพื่อตอบแก่นักบวชด้วยกันต่างศาสนาอื่นครับ

เพราะการปฏิบัติธรรม มีความหมายรวมไปถึงผู้ที่ยังต้องการสุคติโลกสวรรค์ อยู่

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
student เขียน:
คุณ ศิริพงษ์ ไม่ใช่เดียรถีย์นิ แต่เป็นพุทธบริษัท4ที่มีความศรัทธาแล้ว

คำตอบของหลายๆท่านจึงมุ่งตอบตรงประเด็นที่ว่าเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อถึงพร้อมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เพราะรู้ว่าคุณ ศิริพงษ์มีความเข้าใจในความเป็นพุทธดีอยู่แล้ว

ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ. พระองค์บอกว่าถ้าคนต่างศาสนาเราเขาถามว่าสาวกพระองค์ปฎิบัติธรรมไปทำไม. พระองค์ก็ให้บอกไปอย่างนั้นนั่นเอง. ส่วนเราจะะเข้าใจอย่างไรก็ไม่ว่ากันไม่มีถูกผิดครับ. แค่บอกเล่าเก้าสิบคุยกันสนุกๆครับ. หามุมมองเพิ่มความรู้กันครับ


พระพุทธองค์ ทรงตรัสแก่ภิกษุเท่านั้นในพระศาสนานี้ครับ
ไม่ได้ตรัสแก่ฆราวาสเป็นการทั่วไป

เจตนาแสดงแก่ สาวกของพระพุทธองค์ในการออกบวช ออกเรือน บวชเป็นภิกษุสงฆ์
เพื่อตอบแก่นักบวชด้วยกันต่างศาสนาอื่นครับ

เพราะการปฏิบัติธรรม มีความหมายรวมไปถึงผู้ที่ยังต้องการสุคติโลกสวรรค์ อยู่

นี่ท่านก็บอกภิกษุนะครับ. ถ้ามีพวกนอกศาสนสมาถามภิกษุให้ตอบไปแบบนี้ว่า


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์พึงถามพวกเธออย่างนี้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดมเพื่อประสงค์อะไร
พวกเธอเมื่อถูกถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์แก่พวกเขาอย่างนี้ว่า พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ใน
สำนักพระผู้มีพระภาค เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ ก็ถ้าพวกเขาถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็ทุกข์ที่
ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดมเพื่อกำหนดรู้นั้น เป็นไฉน พวกเธอพึงพยากรณ์แก่พวกเขาอย่างนี้ว่า พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาค
เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ คือ จักษุ ทุกข์ คือ รูป ทุกข์ คือ จักษุวิญญาณทุกข์ คือ จักษุสัมผัส
ทุกข์ คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
ฯลฯ พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาค เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ คือ ใจ ทุกข์
คือธรรมารมณ์ทุกข์ คือมโนวิญญาณ ทุกข์ คือมโนสัมผัส ทุกข์ คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย พวกเธอเมื่อ
ถูกถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์แก่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๗


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
เรามาปฏิบัติธรรมกันทำไม อยากรู้ความคิดของแต่ละท่านครับ

s004
พื่อให้รู้จักธรรมและวิธีที่จะทำให้ชีวิตหรือกายใจกลับคืนไปสู่ธรรม เพราะสัตว์โลกทั้งหลาย ปุถุชนทั้งหลายได้ทำตนเองให้สูญเสียธรรมเสียความสมดุลย์ของชีวิตไปด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อัตตา ความเห็นผิดยึดผิด

ตัวธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น มิได้หมายถึงเรื่องของธรรมชาติหมดทั้งโลกหรือจักรวาล แต่เป็นธรรมะที่จำเพาะเจาะจงลงไปเฉพาะในเรื่องของ
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์

ซึ่งเมื่อใครก็ตามมาเดินตามวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนจะได้เห็นและรู้ซึ้งถึง
ความทนตั้งอยู่ไม่ได้
ความเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
และความบังคับบัญชาไม่ได้ ไร้ตัวตนแก่นสาร

ที่รวมแห่งธรรมนั้นพระพุทธองค์ตรัสสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสารตัวตน

ใครเห็นอนัตตา ก็เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ใครซาบซึ้งจนใจยอมรับอนัตตาก็หมดความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตาตัวตน เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ธรรมหรือธรรมชาติเดิมแท้ กลับคืนสู่สมดุลย์ เป็นชีวิตที่ปกติตลอดกาล ถึงความดับทุกข์เพราะอัตตาอันเป็นเหตุทุกข์ได้หมดสิ้นไป

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
เรามาปฏิบัติธรรมกันทำไม อยากรู้ความคิดของแต่ละท่านครับ

s004
พื่อให้รู้จักธรรมและวิธีที่จะทำให้ชีวิตหรือกายใจกลับคืนไปสู่ธรรม เพราะสัตว์โลกทั้งหลาย ปุถุชนทั้งหลายได้ทำตนเองให้สูญเสียธรรมเสียความสมดุลย์ของชีวิตไปด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อัตตา ความเห็นผิดยึดผิด

ตัวธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น มิได้หมายถึงเรื่องของธรรมชาติหมดทั้งโลกหรือจักรวาล แต่เป็นธรรมะที่จำเพาะเจาะจงลงไปเฉพาะในเรื่องของ
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์

ซึ่งเมื่อใครก็ตามมาเดินตามวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนจะได้เห็นและรู้ซึ้งถึง
ความทนตั้งอยู่ไม่ได้
ความเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
และความบังคับบัญชาไม่ได้ ไร้ตัวตนแก่นสาร

ที่รวมแห่งธรรมนั้นพระพุทธองค์ตรัสสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสารตัวตน

ใครเห็นอนัตตา ก็เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ใครซาบซึ้งจนใจยอมรับอนัตตาก็หมดความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตาตัวตน เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ธรรมหรือธรรมชาติเดิมแท้ กลับคืนสู่สมดุลย์ เป็นชีวิตที่ปกติตลอดกาล ถึงความดับทุกข์เพราะอัตตาอันเป็นเหตุทุกข์ได้หมดสิ้นไป

onion

แล้วอนัตตาจริงๆมันเป็นอย่างไรครับท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 09:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่คงทนอยู่ในสภาพเดิม อยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทัน จึงทำให้เกิดการปรุงแต่ง เพราะการปรุงแต่งจึงทำให้เกิดความรู้สึก พอเกิดความรู้สึกเพื่อรู้ไม่ทันชอบ ชัง เฉย พอรู้ไม่ทันชอบ ชัง เฉย จึงไม่มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่ จึงหาความเป็นตัวเป็นตนตรงไหนไม่ได้ เพราะจิตดวงเก่าดับไปและจิตดวงใหม่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไวกว่าแสง จึงควรรู้ทัน ไม่ควรยึดถือว่านั่นเป็นตัวเป็นตน

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่คงทนอยู่ในสภาพเดิม อยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทัน จึงทำให้เกิดการปรุงแต่ง เพราะการปรุงแต่งจึงทำให้เกิดความรู้สึก พอเกิดความรู้สึกเพื่อรู้ไม่ทันชอบ ชัง เฉย พอรู้ไม่ทันชอบ ชัง เฉย จึงไม่มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่ จึงหาความเป็นตัวเป็นตนตรงไหนไม่ได้ เพราะจิตดวงเก่าดับไปและจิตดวงใหม่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไวกว่าแสง จึงควรรู้ทัน ไม่ควรยึดถือว่านั่นเป็นตัวเป็นตน

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์
ความเป็นอนัตตาของผมคือถ้าร่างกายเป็นเพียงสะสารเล็กรวมตัวกันไม่เป็นก้อนทึบคงทนส่วนจิตใจเป็นพลังงาน. และทั้งสองอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยควบคุมไม่ได้ดังใจแท้จริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร