นี่แหละพวกที่กล่าวตู่คำสอน เอาความนึกคิดของตัวเองมากล่าว
แล้วยกว่าเป็นคำสอนขงพระพุทธเจ้า เพื่อนำมารับรองคำสอนของตัวเอง
ให้คนอื่นเข้าใจผิด จัดอยู่ในจำพวกที่ทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว

ในอรูปพรหม ๔ มีบุคคลอาศัยอยู่ด้วยกัน ๘ บุคคล คือ
ปุถุชน ๑ โสดาปัตตผล ๑ สกทาคามิมรรค ๑ สกทาคามิผล ๑
อนาคามีมรรค ๑ อนาคามีผล ๑ อรหันตมรรค ๑ อรหันตผล ๑

ควรสังเกตให้ดีว่าเมื่อปุถุชนไปเกิดในอรูปภพ ๔ นี้ จะเปลี่ยนเป็นพระอริยะบุคคลไม่ได้เลย
อันเนื่องมาจากเขาไม่มีหูที่สามารถจะฟังธรรมได้เลยนั่นเอง ฉะนั้น โสดาปัตติมรรค จึงเกิดขึ้นไม่ได้ในภพอยู่นี้
แต่สำหรับผู้ที่เกิดในอรูปภูมิชั้นที่ต่ำ คือ ชั้นอากาสานัญจายตนะภูมินั้นเมื่อหมดอายุแล้ว เมื่อพอใจในชั้น
ของตนที่อาศัยอยู่ก็สามารถที่จะเกิดซ้ำภูมิได้จนกว่าจะสิ้นอายุไข หรือ ถ้าไปพอใจในภูมิที่ตนอาศัยอยู่
ก็สามารถที่จะทำฌานให้สูงขึ้นไปในภูมิที่เหนือกว่าได้

แต่ถ้าเมื่อไปเกิดในชั้นเนวสัญญายตนะภูมิแล้วเมื่อสิ้นอายุก็จะไม่กลับลงมาในภูมิที่ต่ำกว่า
เพราะเขาเห็นว่าภพภูมิที่ต่ำกว่าเป็นของที่หยาบ เมื่อเขาไม่พอใจในภพภูมิที่ต่ำกว่าก็ย่อมต้องพอใจ
ในภพภูมิเดิมของตน เมื่อหมดอายุไขยก็จะเกิดซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น และอีกอย่างหนึ่งเขามีความเห็นว่า
การเกิดเป็นชั้นที่สิ้นสุดของการเกิดแล้วจะไม่มีภพภูมิไหนที่ดีไปกว่านี้
ตรงนี้แหละที่ทำให้เขาไม่พบพระนิพพาน ดังที่พระพุทธเจ้าถึงกับอุทานว่าฉิบหายเสียแล้ว

อาจจะมีผู้สงสัยว่าในอรูปภูมิ ๔ มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
ในเมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มี จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาพิจารณาในการเจริญวิปัสสนา

วิสัชนา ว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จะใช้อารมณ์ของกรรมฐาน
ที่เคยได้มาในอดีตมาเป็นอารมณ์พิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ คือ ให้เห็นความไม่เที่ยง

และอาจสงสัยอีกว่า บุคคลที่ไปเกิดอยู่ในอรูปภูมิ ๔ นั้นในเมื่อไม่มีรูปแล้ว
จะเอานามไปตั้งที่ไหน หรือจิตไปอาศัยอะไรจึงเกิดขึ้นได้ ก็ในเมื่อจิตจะเกิดขึ้นได้นั้น
ต้องอาศัยวัตถุ หรืออารมณ์จึงจะเกิดขึ้นได้ จะมิใช่จิตจะตั้งอยู่ลอยๆหรือ

วิสัสนา ว่า จิตของบุคคลในอรูปภูมิ ๔ อาศัยกรรม กับอารมณ์ที่ในอดีตเกิดขึ้น

อนุโมทนาค่ะ คุณลุง

Bigtoo ไม่โผล่มากระทู้นี้เลย..เน๊าะ..