วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2015, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3856.0

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

อสัญญีสัตว์ สัตว์จำพวกไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา(ข้อ ๕ ในสัตตาวาส ๙)

สัตตาวาส ๙ (ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ )

๑. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ เทพบางเหล่า วินิปาติกะ (เปรต) บางเหล่า

๒. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน

๓. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภัสสระ

๔. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหะ

๕. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่น เหล่าเทพจำพวกอสัญญีสัตว์

๕. สัตว์บางพวก ผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ

๖. สัตว์บางพวก ผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ

๗. สัตว์บางพวก ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ

๙. สัตว์บางพวก ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

อรูปพรหม พรหมผู้เข้าถึงอรูปฌาน, พรหมไม่มีรูป, พรหมในอรูปภพ มี ๔;
ดู อรูป

อรูป ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ได้แก่ อรูปฌาน, ภพของสัตว์ผู้เข้าถืออรูปฌาน,

ภพของอรูปพรหม มี ๔ คือ
๑. อากาสานัญจายตนะ (กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์)
๒. วิญญาณัญจายตนะ (กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์)
๓. อากิญจัญญายตนะ (กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์)
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)

--------------------------------------------------------------------------------
รูปภาพ



จตุตถฌานภูมิ มี ๗ ภูมิ
ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานจนบรรลุปัญจมฌาน มีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา มี ๗ ภูมิ คือ

๑.เวหัปผลาภูมิ
๒.อสัญญสัตตภูมิ
๓.อวิหาภูมิ
๔.อตัปปาภูมิ
๕.สุทัสสาภูมิ
๖.สุทัสสีภูมิ
๗.อกนิฎฐาภูมิ

รวมเฉพาะภูมิที่ ๓ – ๗ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สุทธาวาสภูมิ ๕

เวหัปผลาภูมิ และ อสัญญสัตตภูมิ

๑. เวหัปผลา แปลว่า มีผลไพบูลย์ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจของฌาน พ้นจากการถูกทำลายทั้งปวง ผู้ที่เกิดในภูมินี้ได้ชื่อว่า พรหมเวหัปผลา พรหมในภูมินี้เกิดด้วยกาลังของปัญจมฌาน พรหมชั้นนี้ไม่ได้แบ่งเป็น ๓ ชื่อสาหรับผู้ได้อย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีตแต่อย่างใด กล่าวไว้ชื่อเดียวรวมๆ กันไป

๒. อสัญญี แปลว่า ไม่มีสัญญาเสียเลย พรหมชั้นนี้เป็นที่เกิดของผู้ได้ปัญจมฌานแบบเพ่งอยู่เป็นนิตย์ว่าจิตไม่มี เห็นโทษของจิตว่าจิตเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ได้รับอารมณ์แล้วก็เป็นทุกข์ก็เพราะมีจิต ราคะ โทสะ โมหะ ล้วนอาศัยจิตเกิดขึ้น มีความเห็นว่าไม่มีจิตเป็นของดีเป็นนิพพานในปัจจุบัน จึงเพ่งอยู่เป็นนิตย์ว่าจิตไม่มีๆ สำรอก ดับนามขันธ์ และเวลาตายจากมนุษย์

ถ้ายืนตายก็ไปเกิดเป็นพรหมในท่ายืน ถ้านั่งก็ไปเกิดเป็นพรหมในท่านั่ง และก็อยู่ในอิริยาบถนั้นจนถึงจุติ หรือเรียกว่า พรหมลูกฟัก ซึ่งมีเพียงรูปขันธ์อย่างเดียวไม่มีนามขันธ์ เมื่อหมดอายุขัยนามขันธ์ก็จะเกิดขึ้นเพื่อนำไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป เป็นพรหมภายนอกพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ปฏิบัติเพื่อไปเกิดเป็นพรหมพวกนี้

ที่ตั้งของเวหัปผลาภูมิ และอสัญญสัตตภูมิ
ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ ทั้ง ๒ ภูมิ อยู่ในระนาบเดียวกัน ห่างจากตติยฌานภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ มีวิมาน สวนดอกไม้ สระโบกขรณี ล้วนด้วยรัตนะทั้ง ๗ มีรัศมีแวววาวสวยงามยิ่ง มีต้นกัลปพฤกษ์ ทุกสิ่งสวยงามประณีตยิ่งกว่าพรหมชั้นตติยฌาน

อรูปาวจรภูมิ

เป็นภูมิที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูปมีแต่นาม เพราะเห็นโทษของการมีอัตภาพร่างกายว่าเป็นไปด้วยทุกข์โทษนานาประการ จากการถูกทำร้าย ถูกประหาร มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เป็นต้น จึงขวนขวายในการเจริญสมถภาวนาเพื่อปรารถนาที่จะไม่มีรูปร่างกาย เมื่อบรรลุถึงอรูปฌานและสิ้นชีพแล้วจึงได้มาบังเกิดในอรูปภูมิ ผู้ที่จะเจริญอรูปฌานได้ต้องผ่านการเจริญรูปฌานมาจนถึงฌานสุดท้าย คือ ปัญจมฌาน (หรือถ้ากล่าวตามสุตตันตนัย คือ จตุตถฌาน) จึงจะเจริญอรูปฌานต่อไปได้

อรูปาวจรภูมิ มี ๔ ภูมิ คือ

๑. อากาสานัญจายตนภูมิ
ผู้ที่เกิดในภูมินี้จะต้องเจริญสมถกรรมฐานจนได้ปัญจมฌานมาก่อน แล้วมาเจริญอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน กาหนดอากาศที่อยู่ในปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า “อากาศไม่มีสิ้นสุดๆๆ” จนสาเร็จอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน เมื่อสิ้นชีวิตและฌานยังไม่เสื่อมจะมาเกิดในอากาสานัญจายตนภูมิ มีอายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป

๒. วิญญาณัญจายนตนภูมิ
เป็นภูมิที่อยู่ของวิญญาณัญจายตนพรหมผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๒ คือ วิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยการพิจารณาจิตที่เข้าไปรู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุดในอากาสานัญจายตนฌาน ตั้งอยู่ห่างจากอากาสา- นัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่าอากาสานัญจายตนภูมิ มีอายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป

๓. อากิญจัญญายตนภูมิ
เป็นภูมิที่อยู่ของอากิญจัญญายตนพรหมผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนฌาน ด้วยการพิจารณาความไม่มีอะไร คือไม่มีทั้งอากาศและวิญญาณ ซึ่งเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่ ๑ และอรูปฌานที่ ๒ ตั้งอยู่ห่างจากวิญญาณัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่าวิญญาณัญจายตนภูมิ มีอายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป

ผู้ที่ไปเกิดอยู่ในภูมินี้ ได้แก่ อาฬารดาบส (อ่านว่า อา-ลา-ระ-ดา-บด) เป็นครูที่สอนการทาฌานสมาบัติให้แก่พระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วก็จะเสด็จไปโปรดอาจารย์ผู้นี้ แต่รู้ด้วยทิพยจักขุว่าอาฬารดาบสตายไปแล้วเมื่อ ๗ วันก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ อาฬารดาบสได้เข้าสู่ความเป็นอรูปพรหมในอากิญจัญญายตนภูมิ

๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
เป็นภูมิที่อยู่ของเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ได้อรูปฌานที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญา- ยตนฌาน ด้วยการพิจารณาสัญญาที่เข้าไปรู้ในบัญญัติอารมณ์ว่า “มีก็ใช่ ไม่มีก็ใช่” อุปมาเสมือนกับน้ามันที่ทาบาตร จะว่าบาตรนั้นมีน้ามันอยู่ก็ไม่ใช่ หรือไม่มีน้ามันอยู่ก็ไม่ใช่เพราะเทออกมาไม่ได้ ภูมินี้เป็นภูมิที่สูงสุด ตั้งอยู่ห่างจากอากิญจัญญายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ มีความสุขประณีตละเอียดกว่าอากิญจัญญายตนภูมิ มีอายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป

ผู้ที่ไปเกิดอยู่ในภูมินี้ ได้แก่ อุทกดาบส (อุ-ทะ-กะ-ดา-บด) เป็นครูสอนฌานสมาบัติให้แก่พระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับอาฬา-รดาบส เมื่อพระองค์จะเสด็จไปโปรด ก็ทราบด้วยทิพยจักขุว่าได้สิ้นชีพไปแล้วเมื่อพลบค่านี้เอง ได้เข้าสู่ความเป็นอรูปพรหมในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ


จากหนังสือ บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลั�
--------------------------------------------------------------------------------

ชีวิตในสังสารวัฏนี้ เมื่อจำแนกออกอย่างหยาบ ๆ แล้วจะมีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ

1. สัตว์ประเภทที่มีร่างกายอย่างหยาบ ๆ สามารถจับต้องได้ เป็นอยู่ได้ด้วยการบริโภคอาหาร ลมหายใจ อุณหภูมิเป็นต้นได้แก่มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น หรือประเภทที่ต้องเกิดเพราะอาศัยบิดามารดาทำให้เกิด พวกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ขันธ์ 5 ครบบริบูรณ์

2. สัตว์ประเภทที่มีร่างกายละเอียดกว่าพวกแรก เป็นสัตว์ที่เกิดด้วยอาศัยผลบุญกรรมที่ตนทำสั่งสมไว้ทำให้เกิด ไม่มีใครเป็นบิดามารดา เกิดผุดขึ้นเองเหมือนความฝัน มีร่างกายโตเต็มที่ มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ไม่บกพร่อง เป็นอยู่ได้ด้วยอาหารทิพย์หรืออาหารที่เกิดจากผลกรรม เรียกว่า พวกโอปปาติกะ ได้แก่ พวกเทวดา พวกรูปพรหม และพวกสัตว์นรก พวกนี้ก็มีขันธ์ 5 ครบเหมือนกัน

3. สัตว์ประเภทที่มีร่างกายละเอียดมาก จนไม่มีรูปร่างปรากฏให้เห็น มีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวนานมาก มีชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยสัญญาเป็นสำคัญ ได้แก่พวกอรูปพรหม 4 ชั้นพวกนี้มีขันธ์ เพียง 4 เท่านั้น คือ ไม่มีรูปขันธ์ คือ ปราศจากร่างกาย

นอกจากสัตว์เหล่านี้ แล้ว ก็ยังอีกพวกหนึ่งที่พิเศษกว่าพวกอื่น คือ เกิดขึ้นมีร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีความทรงจำใด ๆไม่มีการรับรู้ใด ๆ ได้แก่พวกอสัญญีพรหม หรือที่เรียกติดปากชาวบ้านว่า พรหมลูกฟัก เหตุที่เรียกว่า พรหมลูกฟัก ก็เพราะว่าเป็นสัตว์ที่ปราศจากแสดงอาการใด ๆ อยู่นิ่งเฉยไม่ต่างจากลูกฟักแฟงหรือลูกฟักทอง ดังนั้นจึงนิยมเรียกว่า พรหมลูกฟัก

พรหมพวกนี้มีเพียงรูปขันธ์ คือ ร่างกายอย่างเดียวเท่านั้นจิตใจความคิดไม่มี ความทรงจำไม่มี ความรู้สึกไม่มี ถ้าเมื่อใดที่เกิดความรู้สึกขึ้น เขาก็จะจุติจากอสัญญีพรหมทันที แล้วไปเกิดในภพใหม่ต่อไป

มีข้อ ที่ควรสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในบรรดาสถานที่เกิดทั้งหมดนั้น สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาจะไม่ไปเกิดเลย มีอยู่แห่งเดียว คือ อสัญญีพรหม ทั้งนี้ก็เพราะหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่มุ่งตรงไปสู่ความดับ (นิพพาน) ไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติหลงติดอยู่ในภาวะปราศจากสัญญาได้

.:: เบญจขันธ์ พระธรรมเทศนาหลวงพ่อวัดปากน้ำ ::. คัดมาเฉพาะพรหมลูกฟัก ดังนี้

กำเนิด นี้แหละล้วนแล้วด้วยขันธ์ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดในมนุษย์หมดทั้งกามภพนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดในเทวดา ๖ ชั้น ก็ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้แหละ จะเกิดในรูปพรหม ก็ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดในอรูปพรหม ก็ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

แต่ว่าต่างอยู่อีกพวกหนึ่ง คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ชั้นเบื้องบนสูงขึ้นไป เกิดแล้วก็สัญญาละเอียดเต็มที่ รู้ก็ใช่ ไม่รู้ก็ใช่ สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ไปเกิดในชั้นนั้นได้รับความสุขในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ๘๔,๐๐๐ กัป มหากัป ๘๔,๐๐๐ มหากัป อยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั่น อ้ายนั่นแปลก ไม่นับเข้าในวิญญาณฐิติ แต่ว่ายังอยู่ในสัตตาวาส ๙ นั่นพวกหนึ่งเกิดแปลก

อีกพวกหนึ่งเกิดแปลกอีก ในชั้นพรหมที่ ๑๑ อสัญญีสัตว์ เบื่อนามติดรูป อ้ายนี่เบื่อนามติดรูป เบื่อว่าอ้ายความรู้นี่แหละ มันได้รับทุกข์ร้อนลำบากนัก พอได้จตุตถฌานแล้ว ปล่อยรู้เสีย นั่งหัวโด่อยู่นั่น ปล่อยรู้เสีย เป็นมนุษย์ก็นั่งหัวโด่ ไปเขย่าตัวก็ไม่รู้เรื่องกัน นานๆ แล้วรู้เสียทีหนึ่ง ฌานนั้นแหละไม่เสื่อม แตกกายทำลายขันธ์ เบื่อนามติดรูป

ไปเกิดในชั้นพรหมที่ ๑๑ ไปนอนอืดอยู่ ที่เขาเรียกว่าพรหมลูกฟักก็เรียก ถ้าว่านั่งตายก็ไปนั่งโด่อยู่นั่น นั่งโด่อยู่นั่น ๕๐๐ มหากัป ไม่ครบ ๕๐๐ มหากัป มาไม่ได้ ติดคุกรูปพรหมแท้ๆ ไม่ได้เป็นไรเลย สุขทุกข์ไม่เอาเรื่องกัน นอนอยู่นั่นแหละไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันล่ะ พระพุทธเจ้ามาตรัสสักกี่ร้อยองค์ ก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ติดอยู่นั่น ๕๐๐ มหากัป อยู่นั่น นี่อีกพวกหนึ่ง นี่พวกเบญจขันธ์ทั้งนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ที่มา http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=41.0

--------------------------------------------------------------------------------

พรหมลูกฟัก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

รูปภาพ

ท่านว่า พรหมลูกฟักเทวดานั้น มีจำนวนมากมาย ล่องลอยอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหม
เป็นพรหมที่เคยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ปรากฎว่าด้วยกรรมใด
จึงลงท้ายด้วยการเปลี่ยนแปลง

ไม่ปฏิบัติพระพุทธศาสนาอย่างดีงาม
แต่ปฏิบัติไปตามความพอใจของตน ที่คิดว่าถูกต้อง
เป็นการปฏิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก
มีผลประการหนึ่งให้ต้องได้เป็นพรหมลูกฟัก

ท่านผู้รู้ผู้เห็นเล่าว่า เทพพรหมที่เป็นมนุษย์เคยปฏิบัติผิด
ต่อพระพุทธศาสนา จะมีโทษหนักประเภทหนึ่ง
คือต้องเปลี่ยนสภาพจากเทวดาชั้นพรหมไปเป็นเทวดาชั้นพรหมลูกฟัก

ท่านอธิบายว่าพรหมลูกฟักมีลักษณะเป็นพรหมเช่นที่ได้เกิดในสวรรค์ชั้นพรหม
ตามกรรมที่ได้ทำ เป็นกรรมดีจึงได้ภพชาติเป็นพรหม
แต่หลังจากเริ่มต้นด้วยการทำดีต่อพระพุทธศาสนา ได้ละเลยในการปฏิบัติกรรมดี

ไปพอใจความคิดความเห็นและการปฏิบัติของตนมีความสำคัญ มีความถูกต้อง
สมควรกว่าการปฎิบัติในพระพุทธศาสนาที่ตนเคยทำมา
จึงเปลี่ยนความคิดเห็นไปตามกรรมตามอำนาจความคิดเห็นความพอใจของตน
ซึ่งเมื่อเป็นการผิดต่อพระพุทธศาสนา ผลร้ายของกรรมประการหนึ่ง
คือต้องเปลี่ยนภพชาติ จากเป็นพรหม ไปเป็นพรหมลูกฟัก
เมื่ออำนาจของกรรมที่ปฎิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาส่งถึง

พรหมลูกฟักนั้น ท่านผู้รู้เล่าว่า จะมีสภาพเป็นพรหมที่กรรมดีนำให้ไปเกิดนั้นเอง
แต่เมื่อกรรมไม่ดีตามมาทัน พรหมลูกฟักยังมีคุณลักษณะเป็นพรหมอยู่เช่นเดิม
แต้จะมีกรรมไม่ดีเป็นผลเข้าห่อหุ้มพรหมเหล่านั้นไว้

ซึ่งท่านว่ามีมากมายนักในสวรรค์ชั้นพรหมแม้จะเป็นเทวดาชั้นพรหมที่งดงาม
แต่เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล จะมีโทษของกรรมเข้าห่อหุ้ม พระพรพมซึ่งเป็นหนึ่งในเทวดา ก็จะถูก
กรรมห่อไว้หุ้มไว้ทั้งร่าง ไม่อาจเคลื่อนไหว ออกพ้นเครื่องห่อหุ้มได้ เห็นใครเห็นอะไรก็ไม่ได้
ปิดมิดอยู่ในเครื่องห่อหุ้มนั้นทั้งองค์ ไม่อาจใช้ปากใช้เท้าใช้มือที่มีอยู่พร้อมบริบรูณ์ได้

ต้องเป็นพรหมที่ถูกห้อมล้อมอยู่แน่นหนาภายในเครื่องแวดล้อม
ที่มีลักษณะของ “ลูกฟัก” ที่ทำให้เกิดคำว่า “พรหมลูกฟัก” ขึ้น
เป็นคำเรียกขานผู้เริ่มทำดีต่อพระพุทธศาสนา เป็นบุญเป็นกุศล แต่ลงท้าย
ด้วยการทำผิดทำบาปเป็นอกุศลต่อพระพุทธศาสนา.

: แสงส่องใจ ส.ค.ศ. ๒๕๕๒
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ที่มา http://www.dhammakid.com/board/ocoaaaad ... 3encai%29/

--------------------------------------------------------------------------------

พรหมลูกฟัก เป็นพรหมไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา อยู่ชั้นที่ ๑๑ คือ อสัญญสัตตภูมิ

เป็นพรหมภายนอกพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ปฏิบัติเพื่อไปเกิดเป็นพรหมพวกนี้

..............................

ไม่รู้เป็นของลุงหมาน...อะป้าวนะ..อิอิ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมจักรแก่ปัญจวัคคีในครั้งนั้น
เสียงพระธรรมจักรได้บันลือขึ้นไปยังเทวโลกและพรหมโลกนับได้ ๒๒ ภพภูมิ
ตามเครื่องหมายรูปดาวสีน้ำเงิน (ดูภาพที่แสดงไว้)

ส่วนที่เป็นเป็นสีแดงนั้น คือ ๑ รูปพรหมที่ชั้นอสัญญสัตตพหรมนั้น
ไม่สามารถที่ฟังได้เพราะเป็นพรหมที่แต่รูปไม่มีจิต ที่เราเรียกกันว่าพรหมลูกฟัก

และอรูปพรหม ๔ ก็ไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงพระธรรมจักรนั้นได้
ก็เพราะอรูปพรหมพวกนี้ไม่มีกาย ก็คือไม่มีหูที่จะฟังนั่นเอง

อาจมีข้อสังสัยว่า อบายภูมิ ๔ ไม่ได้ยินหรือ
ขอตอบว่า เพราะเสียงพระธรรมจักรจะบันลือขึ้นไปเฉพาะข้างบน


มีข้อสงสัยอยู่ เช่น ทำไม สัตว์ไม่ได้ยินเสียงพระธรรมจักร

ถ้าไม่ได้ยินเสียง ทำไมช้าง หรือสัตว์หลายชนิด เคารพพระพุทธเจ้าด้วยชีวิต

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

พรหมลูกฟัก เป็นพรหมไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา อยู่ชั้นที่ ๑๑ คือ อสัญญสัตตภูมิ

เป็นพรหมภายนอกพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ปฏิบัติเพื่อไปเกิดเป็นพรหมพวกนี้

..............................

ไม่รู้เป็นของลุงหมาน...อะป้าวนะ..อิอิ :b32: :b32:


ท่านจะชี้หนทางที่ผิดพร้อมกับชี้หนทางที่ถูก
ท่านสอนให้รู้ว่าปฏิบัติแบบนี้เป็นการที่ปฏิบัติเป็นไปในหนทางที่ผิด
แม้แต่อรูปพรหม ๔ ก็เป็นหนทางที่ผิด ถ้าปุถุชนไปอยู่ก็หมดโอกาสที่บรรลุธรรม

แม้ว่าในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าใครคิดว่าอรูปฌาน ๔ เป็นของที่ประเสริฐสุดหลงไหลติดใจ
ในอรูปฌาน ๔ เมื่อถึงคราวจะต้องจุติหรือมีความพอใจ หรือจะต้องจุติในฌานใดฌานหนึ่งในอรูปฌาน
เหล่านี้ ผู้นั้นก็จะไปเกิดในอรูปฌานที่ตนต้องการ

ไม่ใช่ของลุงหมานหรอก ..... ลุงหมานคิดได้เองก็เก่งน่ะซิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
มีข้อสงสัยอยู่ เช่น ทำไม สัตว์ไม่ได้ยินเสียงพระธรรมจักร

ถ้าไม่ได้ยินเสียง ทำไมช้าง หรือสัตว์หลายชนิด เคารพพระพุทธเจ้าด้วยชีวิต


อืม...ก็เป็นคำถามที่น่าคิดอยู่นะ.... ชักจะเป็นคำถามที่เกินกำลังที่จะตอบแล้วซิ
ความสงสัยนี่มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน

อาณาเขต ที่พระองค์แสดงธรรมแผ่ไป ภายในแสนโกฏิจักรวาล
ในการแสดงธรรมสูตรต่างๆ มี อาณาของอาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร ธชัคคปริตร
และรัตนปริตร เป็นต้น ย่อมเป็นไปในแสนโกฏิจักรวาล.

ที่นี้เรามาพูดถึงคำถามว่า สัตว์ที่ว่าไม่ได้ยินนั้น ก็คงอาจจะเหมือนเราได้ยิน แต่เรียกสัตว์ร้อง
พูดคุยกันในภาษาของสัตว์ เพราะเราไม่รู้เรื่องก็เลยไม่สนใจ ตรงนี้อาจจะเป็นใบไม้นอกกำมือ
จึงไม่ได้เอามาแสดงไว้

อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่มนุษย์ใน อุตรกุรุทวีป. บุพพวิเทหทวีป. อมรโคยานทวีป.
ที่กล่าวโดยตรงว่าจะได้ยิน แล้วรู้เรื่องหรือเปล่า แต่เคยอ่านเจอว่าในมนุษย์ในอุตรกุรุทวีป
ก็ไม่บรรลุธรรมทั้งๆที่มีศีล ๕ บริสุทธิ ตายแล้วขึ้นสวรรค์ทั้งหมด นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดกว่า

ตกลงเป็นอันว่าเกินกำลังที่ลุงหมานจะตอบก็แล้วกัน...ขอให้เก็บความสงสัยนี้ไปถามผู้รู้
หรือมีผู้รู้ในที่นี้ช่วยตอบคำถามนี้ด้วยครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มีใครเคยไปอรูปพรหม...มัยคับ?

พบพรหมที่นั้น..บางป้าว

:b22: :b22: :b22:


ถ้าบอกว่าเคยไป..จะเชื่อไหม?


ก็ต้องบอกมาด้วยซิว่า...เจออรูปพรหม..อะป้าว..นะ :b12: :b12:


ปกติปลีกวิเวกจะไม่ค่อยคุยเรื่องแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อ และคิดว่าเราเพ้อเจ้อเหลวไหล
นอกจากคุณพ่อแล้วไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ท่านเองยังบอกว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากท่านไม่เคยได้ยิน
ได้ฟังเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิตเหมือนกัน...

จะไม่เล่ารายละเอียดแต่จะตอบคุณกบว่า จากประสบการณ์ที่สัมผัสมาท่านไม่มีรูปร่างเหมือนอย่างเราๆ ถ้าคุณใช้ตาเนื้อจะไม่สามารถสัมผัสหรือติดต่อกับท่านได้ ท่านไม่ได้ใช้ภาษาบัญญัติเหมือนอย่างเราๆ
ท่านใช้ใจสื่อสารออกมาเป็นความรู้สึกหรือจะเรียกว่าอารมณ์ก็ได้ ไม่มีภาษา โดยส่วนตัวแล้วเข้าใจว่า
พรหมจะบรรลุธรรมได้ยากเนื่องจากท่านอยู่ในสภาพที่เป็นสุข แค่คุณก้าวย่างเข้าไปในดินแดนนี้คุณ
ก็จะรู้สึกได้ถึงความสุขเป็นความสุขที่ไม่มีวัตถุปรุงแต่ง...ทั้งๆที่ สถานที่แห่งนั้นไม่มีอะไรเลยมีแต่ความว่างเปล่า....มันเป็นความสุขที่ในโลกมนุษย์นี้ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย...

เล่าเพื่อเป็นกรณีศึกษาค่ะ ไม่ต้องเชื่่อ...ลองพิสูจน์เอง

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 08:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

คุณปลีกรู้ป่าวววว ว่าเอกอนเชื่อคุณปลีกกกกกก

:b20: :b20: :b20:

อยากฟ้ง อยากฟ้ง เล่าต่อ เล่าต่อ

Kiss Kiss Kiss

:b12: :b4: :b4: :b12:

คุณปลี่กพอจะเล่าได้ ก็เล่าเลยค่ะ
แค่พอเบาะ ๆ เบา ๆ ชิล ชิล ให้พอเป็นแง่ที่จะให้เกิดปัญญาค่ะ

เพราะเอกอนเชื่อว่า พรหมจิตงาม ๆ มีเยอะค่ะ

ถ้าใครแอบมาปาด เด๋วเอกอนจะรีบช่วย ... :b5: :b14: :b32:

ช่วยเข้ามาให้กำลังใจนะ ไม่ใช่ช่วยยำ... :b32: :b32: :b32:

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แน่ะ...แน่ะ...ให้ถาม..ไม่ถาม...แต่อยากรู้เอา...อยากรู้เอา..
:b32:

คุณปลีกเล่าได้..ก็เล่านะครับ...อยากฟังเหมือนกัน..

อิอิ s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 11:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องรูปนี้...ปกติ..เรา..เราก็ไม่ใช่รูปนี้อยู่แล้ว...รูปนี้มันเป็นรูปที่ถูกสร้าง...

เรื่อง.

.รูป..ที่ปรากฎนี้...ไม่ว่าจะปรากฎเห็นได้ด้วยตาเนื้อ..หรือเห็นได้ด้วยตาใจ...ก็ล้วนถูกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น...ครับ

ถ้าอรูปพรหมจะแสดงเป็นรูปได้...กระผมก็ไม่แปลกใจอะไรคับ...เล่ามาได้ครับ...ผมรับได้หมด..

:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ไม่มีอะไรมากค่ะคุณเอกอน คุณกบ..เนื้อหาสาระก็อย่างที่บอกไป แต่ถ้าเล่ารายละเอียดก็จะ
เชื่อมโยงไปเรื่องของที่มาว่าปลีกวิเวกไปที่แห่งนั้นได้อย่างไร ซึ่งซับซ้อนและเห็นว่าจะไม่เป็น
ประโยชน์กับผู้ใดขออนุญาตไม่กล่าวถึง...

ปลีกวิเวกเพียงแต่อยากแชร์จากประสบการณ์ว่าภพภูมิ อดีตชาติ นั้นมีอยู่ ดังที่พระศาสดาทรงตรัสสอนไว้
แต่พระองค์ก็มิทรงสรรเสริญเพราะไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ กว่าที่เราจะเข้าใจคำนี้ก็ใช้เวลานานมาก
และกว่าจะถอดถอนความเห็นผิดที่เราเคยเป็น...เคยสั่งสมไว้ในอดีตนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย..เราต้องใช้เวลาและสั่งสมความรู้ที่ถูกต้องเพื่อถอดถอนความเห็นผิดอันนั้นออกไปเสีย...

ว่าแต่คุณเอกอน คุณกบ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้างก็ได้ค่ะ..

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 13:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ตาเอก่อน..แล้วละ...

อิอิ... :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
ก็ไม่มีอะไรมากค่ะคุณเอกอน คุณกบ..เนื้อหาสาระก็อย่างที่บอกไป แต่ถ้าเล่ารายละเอียดก็จะ
เชื่อมโยงไปเรื่องของที่มาว่าปลีกวิเวกไปที่แห่งนั้นได้อย่างไร ซึ่งซับซ้อนและเห็นว่าจะไม่เป็น
ประโยชน์กับผู้ใดขออนุญาตไม่กล่าวถึง...

ปลีกวิเวกเพียงแต่อยากแชร์จากประสบการณ์ว่าภพภูมิ อดีตชาติ นั้นมีอยู่ ดังที่พระศาสดาทรงตรัสสอนไว้
แต่พระองค์ก็มิทรงสรรเสริญเพราะไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ กว่าที่เราจะเข้าใจคำนี้ก็ใช้เวลานานมาก
และกว่าจะถอดถอนความเห็นผิดที่เราเคยเป็น...เคยสั่งสมไว้ในอดีตนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย..เราต้องใช้เวลาและสั่งสมความรู้ที่ถูกต้องเพื่อถอดถอนความเห็นผิดอันนั้นออกไปเสีย...

ว่าแต่คุณเอกอน คุณกบ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้างก็ได้ค่ะ..


:b1: ... :b12:

กบนอกกะลา เขียน:
ตาเอก่อน..แล้วละ...

อิอิ... :b22: :b22:


:b6: :b6: :b6:

:b32: :b32: :b32:

เอกอนไม่รู้หรอก เอกอนลืมกำพืดตัวเอง

... :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2015, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2015, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.madchima.org/forum/index.php ... 078.0;wap2

อ้างคำพูด:
พระปิ่นโฑลภารทวาชเถระ
เอตทัคคะในทางผู้บันลือสีหนาท


พระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ตระกูลภารทวาชะ ผู้เป็น
ปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน เดิมชื่อว่า “ภารทวาชมาณพ” ศึกษาจบไตรเพท คือ คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
ของลัทธิพราหมณ์ มีความเชี่ยวชาญในวิชา ไตรเพท

• โทษของการไม่รู้ประมาณในอาหาร
ภารทวาชมาณพ ได้ตั้งสำนักเป็นอาจารย์ใหญ่สอนไตรเพท มีศิษย์มาขอศึกษามากมาย
แต่เนื่องจากเป็นคนมีความโลภในอาหาร แสวงหาอาหารด้วยอาการอันไม่เหมาะสม ไม่รู้
ประมาณในการบริโภค จึงถูกศิษย์พากันทอดทิ้ง มีความเป็นอยู่ลำบาก ต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานไป
อยู่ที่เมืองราชคฤห์ ตั้งสำนักสั่งสอนไตรเพทอีก แต่ก็ไม่ค่อยมีคนนับถือเพราะเป็นคนต่างถิ่น
และเมืองราชคฤห์ก็มีสำนักอาจารย์ใหญ่ ๆ มากอยู่แล้ว จึงประสบกับชีวิตที่ฝืดเคืองยิ่งขึ้น

เมื่อพระบรมศาสดา ประกาศพระพุทธศาสนามาจนถึงเมืองราชคฤห์ มีประชาชนเคารพ
นับถือเป็นจำนวนมาก ลาภสักการะก็เกิดขึ้นอุดมสมบูรณ์ ปิณโฑลภารทวาชะ คิดที่จะอาศัยพระ
พุทธศาสนาเลี้ยงชีวิต อีกทั้งได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็เกิด
ศรัทธาเลื่อมใส

จึงกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย แล้ว
อุตสาห์บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานไม่ช้าก็บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคลใน
พระพุทธศาสนา

ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๓ คือ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ และยังเป็นผู้ที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้เทียบเท่าพระมหาโมคคัลลานเถระ
ท่านเคยแสดงฤทธิ์จนเป็นสาเหตุให้พระบรมศาสดาแสดงยมกปาฏิหาริย์ ดังมีเรื่องเล่าว่า....

• เศรษฐีอยากรู้จักพระอรหันต์
สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน มหาวิหาร กรุงราชคฤห์ มี
เศรษฐีผู้หนึ่งใคร่จะลงเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา จึงให้บริวารขึงตาข่ายเป็นรั้วล้อมในท่าที่ตนอาบน้ำ
อยู่นั้น เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์น้ำต่าง ๆ

ขณะนั้นมีไม้จันทน์แดงต้นหนึ่งเกิดที่ริมฝั่งเหนือน้ำขึ้นไป ถูกน้ำเซาะรากโค่นลงไหลมาตามน้ำ
ถูกกระแสน้ำพัดกระทบกับของแข็งหักเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่กระจัดกระจายไปตามน้ำ
มีอยู่ก้อนหนึ่งเป็นปุ่มซึ่งแตกออกมา กลิ้งกระทบหินและ
กรวดทรายกลายเป็นก้อนกลมอย่างดี และมีตะใคร่น้ำเกาะอยู่โดยรอบไหลมาติดที่ตาข่ายนั้น
เศรษฐีให้คนตรวจดูรู้ว่าเป็นไม้จันทน์แดงแล้วคิดว่า “ไม้จันทน์แดง ในบ้านของเรามีอยู่
มากมาย เราควรจะทำอะไรดีกับไม้จันทน์แดงก้อนนี้” พลางก็คิดขึ้นได้ว่า “ชนเป็นจำนวนมาก

ต่างก็พูดอวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ เรายังไม่รู้ชัดว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์กันแน่ เราควรให้ช่าง
กลึงปุ่มไม้จันทน์แดงนี้ ทำเป็นบาตรแล้วแขวนไว้ที่ปลายไม้ผ่าต่อกันให้สูง ๑๕ วา ประกาศว่า
ผู้ใดสามารถเหาะมาเอาบาตรไปได้ จึงจะเชื่อถือผู้นั้นว่าเป็นพระอรหันต์ เราพร้อมด้วยภรรยา
และบุตรจะขอถึงผู้นั้นเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต” เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็สั่งให้ทำตามที่คิดนั้นทุก
ประการ

• เดียรถีย์แสดงท่าเหาะ
ครั้งนั้น เจ้าสำนักครูทั้ง ๖ คือ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล
สัญชัยเวลัฎฐบุตร ปกุทธกัจจายนะ และ นิครนถ์นาฎบุตร ต่างก็มีความประสงค์อยากจะได้
บาตรไม้จันทน์แดงด้วยกันทั้งนั้น จึงได้ไปพูดกับท่านเศรษฐีว่า:-

“ท่านเศรษฐี บาตรนี้สมควรแก่เรา ท่านจงยกให้แก่เราเถิด”
“ถ้าท่านต้องการอยากจะได้ ก็จงเหาะขึ้นไปเอาด้วยตนเอง” เศรษฐีกล่าวยืนยัน
ครั้นถึงวันที่ ๖ นิครนถ์นาฎบุตร ได้ใช้ให้ศิษย์ไปบอกแก่เศรษฐีว่า:-
“บาตรนี้ สมควรแก่อาจารย์ของเรา ท่านอย่าให้ถึงกับต้องแสดงฤทธิ์เหาะมาเพราะเหตุ
เพียงบาตรใบเดียว ซึ่งเป็นวัตถุเล็กน้อยนี้เลย จงมอบให้แก่อาจารย์ของเราเถิด”

ท่านเศรษฐี ก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิม นิครนถ์นาฏบุตรจึงวางแผนกับลูกศิษย์ว่า
“เมื่อเราทำท่ายกมือ ยกเท้า แสดงอาการจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร พวกเจ้าจงเข้ายึดมือและเท้า
ของเราไว้แล้วกล่าวห้ามว่า ไฉนท่านอาจารย์จึงทำอย่างนี้ท่านอย่าได้แสดงคุณความเป็นพระ
อรหันต์ที่ปกปิดไว้เพราะเหตุเพียงบาตรใบนี้เลย”

เมื่อตกลงวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไป
พูดขอบาตรกับเศรษฐี เมื่อได้รับคำปฏิเสธเช่นเดิม จึงแสดงท่าจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร บรรดาศิษย์
ทั้งหลายก็พากันเข้าห้ามฉุดรั้งไว้แล้ว กล่าวตามที่ตกลงกันไว้นั้น นิครนถ์นาฏบุตรจึงพูดกับ
เศรษฐีว่า “เราจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร แต่บรรดาศิษย์ทั้งหลายพากันห้ามฉุดรั้งไว้อย่างที่เห็นนี้
ดังนั้น ขอท่านจงให้บาตรแก่เราเถิด” เศรษฐีก็ยังไม่ยอมให้เช่นเดิม

• พระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปเอาบาตร
ในวันที่ ๗ เวลาเช้า พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ จะเข้าไป
บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ยืนห่มจีวรอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ได้ยินเสียงนักเลงทั้งหลาย
พูดกันว่า “ครูทั้ง ๖ ต่างกล่าวอวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์ จนถึง ๗ วันเข้าวันนี้แล้ว ก็ไม่เห็น
มีใครสักคนเดียวเหาะขึ้นไปเอาบาตรที่ท่านเศรษฐีแขวนไว้ พวกเราก็เพิ่งจะรู้กันในวันนี้เองว่า
พระอรหันต์ไม่มีในโลก


พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกล่าวว่า “ท่านภารทวาชะ ท่านได้ยินหรือไม่ถ้อยคำของ
นักเลงเหล่านั้นพูดหมิ่นประมาทพระพุทธศาสนา ท่านก็มีฤทธิ์อานุภาพมาก จงเหาะไปเอาบาตร
ใบนั้นมาให้ได้”


พระผู้เป็นเจ้าภารทวาชะ รับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระแล้วเข้าจตุถฌานสมาบัติ
อันเป็นฐานแห่งอภิญญา กระทำอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนอากาศพร้อมทั้งแผ่นศิลาที่ยืนอยู่นั้น
เหาะเวียนรองกรุงราชคฤห์แล้ว เหาะลอยเลื่อนมาอยู่ตรงหลังคาเรือนของเศรษฐี ท่านเศรษฐีเห็น
ดังนั้นแล้วทั้งดีใจที่ได้เห็นพระอรหันต์ที่แท้จริง และตกใจกลัวว่าก้อนหินจะล่วงลงมาทับบ้าน
ของตน

จึงกราบหมอบลงจนอกติดพื้นดินแล้ว กล่าวละล่ำละลักว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้า ลงมา
เถิด” พระเถระจึงสลัดก้อนหินไปประดิษฐานในที่เดิมแล้วเหาะลงมาจากอากาศ เมื่อพระเถระ
ลงมาแล้ว ท่านเศรษฐีจึงนิมนต์ให้นั่ง ณ อาสนะที่จัดถวาย ให้คนนำบาตรลงมาจากที่แขวนไว้
บรรจุอาหารอันประณีตจนเต็มแล้วถวายพระเถระพระผู้เป็นเจ้าภารทวาชะ รับแล้วก็กลับสู่วิหาร

ฝ่ายประชาชนเป็นจำนวนมากที่ไปทำธุระนอกบ้านมิได้เห็นปาฏิหาริย์จึงพากันชุมนุมติดตามพระเถระไปอ้อนวอนนิมนต์ให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง พระเถระก็แสดงให้ชมตามที่
นิมนต์นั้น พระบรมศาสดาทรงสดับเสียงอื้ออึง
จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า

“นั่นเสียงอะไร ?” เมื่อทรงทราบความทั้งหมดแล้ว มีรับสั่งให้พระภารทวาชเถระเข้าเฝ้า
ทรงตำหนิการกระทำนั้นแล้วมีพระบัญชาให้ทำลายบาตรนั้น บดให้เป็นผงทำเป็นเภสัชสำหรับ
หยอดตา จากนั้นทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามพระสาวกทั้งหลายทำปาฏิหาริยิ์อีกต่อไป


• ได้ยกย่องในทางบันลือสีหนาท
โดยปกติ ท่านปิณโฑลภารทวาชเถระ มักจะบันลือสีหนาทด้วยวาจาอันองอาจว่า
“ยสฺส มคฺเค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ โส มํ ปุจฺฉตุ แปลว่า ผู้ใด มีความสงสัยในมรรคหรือใน
ผล ผู้นั้น ก็จงถามเราเถิด” แม้แต่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระบรมศาสดา ท่านก็บันลือสีหนาท
เช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายพากันกล่าวขวัญถึงท่านว่าเป็นผู้มีความองอาจประกาศ
ความเป็นพระอรหันต์ของตนในที่เฉพาะพระพักตร์ พระบรมศาสดาและยังได้กระทำ
อิทธิปาฏิหาริยิ์ เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์แดง จนทำให้เศรษฐีพร้อมด้วยบุตรและภรรยาพา
กันประกาศตนเป็นพุทธมามกะ คือ ประกาศตนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา

พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นพากันกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณของพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงถือเอาคุณความดีของพระเถระนี้ตรัส
สรรเสริญว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านภารทวาชะได้ประกาศความเป็นพระอรหันต์ ของตนเช่นนั้น
ก็พราะท่านอบรมอินทรีย์ ๓ ประการ คือ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ ไว้มาก ครั้น
ตรัสดังนี้แล้ว ทรงประกาศยกย่อง พระปิณโฑลภารทวาชะ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุทั้งหลายในฝ่าย ผู้บันลือสีหนาท

ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับ
ขันธปรินิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2015, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒


เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์


[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี
ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้
แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน หลัง
จากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรก
แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ

[๓๐] ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า
ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่
อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และ
มีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ
ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระ
อรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด ฯ
เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ

[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภาร
ทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ
จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
ของท่าน จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไป
รอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ

[๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ในเรือน
ของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า
ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตร
จากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยวมีค่ามาก ถวายท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี
ไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว
ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร
ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้
คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า ฯ

[๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่าภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น
ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน
เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์
เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะ
เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิ-
*ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร
ไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่
พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

.........................

ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุ...เป็นการลงโทษที่แสบสันต์ดี... :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2015, 21:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


ผมหาไม่เจอที่Bigtoo อ้างว่า..พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า..ความดีสิ้นแล้ว....หลังจากที่ภารทวาชเถระแสดงฤทธิ

ในฐานะที่ Bigtoo เป็นศิษย์ พุทธพจน์..กล่าวลอย ๆ ไม่มีหลักฐาน...ไม่ดีแน่...ช่วยหามายืนยันหน่อยนะครับ....เดียวเสียยี่ห้อหมด...

Thank you ล่วงหน้า..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร