วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 11:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2015, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




9786169010401.gif
9786169010401.gif [ 109.98 KiB | เปิดดู 5415 ครั้ง ]
:b43: ได้คัดลอกย่อความมาจากหนังสือ พระพุทธประวัติ และพระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา
ซึ่งคุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ ได้รวบรวมเรื่องราวไว้ นับตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี
เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ ตลอดจนปรินิพพานไว้อย่างละเอียด

คือ ประสูติ เรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่ลุมพินีวัน ตรัสรู้ เรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะ
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่แคว้นมคธ ปฐมเทศนา เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกัณฑ์แรก
ที่กรุงพาราณสี ปรินิพพาน เรื่องพระพุทธเจ้าปรินิพพานที่กรุงกุสินารา

:b53: :b53: หนังสือเล่มนี้ จุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่เนื้อหาสาระก็ยังครบถ้วนตามลำดับเหตุการณ์
ทั้งพยายามใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนโดยมิต้องมีคำแปล อาศัยภาพวาดเป็นสื่อ ที่จะช่วยอธิบาย
ให้กระจ่างแจ่มแจ้ง ไว้ในแต่ละขั้นตอนตามลำดับไม่สับสน จะค่อยๆ คัดลอกไปเรื่อยๆ
สำหรับผู้ที่สนใจคอยติดตามอ่านนะครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2015, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11259167_692549650874669_3433430138410873664_n.jpg
11259167_692549650874669_3433430138410873664_n.jpg [ 59.62 KiB | เปิดดู 5354 ครั้ง ]
:b45: :b45: :b45: :b45: :b45:
พระโพธิสัตว์ครั้งเสวยชาติเป็นพระสุเมธดาบส

:b41: ในอดีตกาลที่ผ่านมา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้
บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า สุเมธดาบส อยู่ในนครอมรวดี เจริญวัยแล้วเรียนศิลป
วิทยาคมจนจบไตรเพท คือคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์

:b48: เมื่อพราหมณ์บิดามารดาสิ้นชีวิตลง ผู้จัดการทรัพย์สินของตระกูลได้นำบัญชี
ทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาให้ พร้อมทั้งเปิดคลังที่เต็มด้วยทอง เงิน แก้ว มณี และมุกดา
แจ้งทรัพย์สินตั้งแต่ ๓ ชั่วตระกูล ชี้แจงทรัพย์จำนวนเท่านี้เป็นของบิดามารดา
ปู่ ย่า ตา บาย และทวด แล้วกล่าวว่า สุเมธบัณฑิตจงปกครองทรัพย์สินเหล่านี้เถิด

:b45: สุเมธบัณฑิตเห็นทรัพย์สินมากมายมหาศาลแล้วคิดว่า ญาติเราทั้งหลาย
มีบิดามารดาเป็นต้น สะสมบัติเหล่านี้ไว้มากมาย เมื่อสิ้นชีวิตลงแต่ละท่านก็มิได้เอาทรัพย์ไป
แม้สักอย่างเดียว ควรที่เราจะบริจาคทานซึ่งเป็นผลบุญ ที่จักติดตามเราไปในภพหน้า

:b38: สุเมธจึงกราทูลพระราชาแห่งอมรวดีนคร ให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนคร
เพื่อบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทานแก่มหาชน แล้วออกบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตอยู่
ณ บรรณศาลาที่ภูเขาซื่อ ธรรมิก ใกล้ป่าหิมพานต์เมื่อครบ ๗ วันก็บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘

คำว่า พระโพธิสัตว์ คือท่านที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๑๖๒-๒๒๘

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2015, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11165210_692570230872611_5752581419655497127_n.jpg
11165210_692570230872611_5752581419655497127_n.jpg [ 60.69 KiB | เปิดดู 5354 ครั้ง ]
ในสมัยพระทีปังกรพระพุทธเจ้า

:b45: ในกาลนั้น พระบรมศาสดานามว่า ที่ปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ตรัสรู้รู้แล้วทรงประกาศพระธรรม เสด็จจาริกไปในแว่นแคว้นต่างๆ พร้อมด้วยพระสาวกขีณาสพ
เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้ล่วงพ้นสังสารวัฏฏ์ กำลังเสด็จมายัง รัมมนคร อันเป็นสถานที่ประสูติ
จักไปประทับที่ สุทัสสนมหาวิหาร

:b41: อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองรัมมนคร ทราบข่าวว่าพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา
สู่เมืองของพวกตน ต่างพากันแผ้วถางทาง เพื่อถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เหล่ามหาชน
เตรียมสร้างมณฑป ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้นานาชนิด ปูลาดพระพุทธอาสน์ที่อบร่ำ
ไปด้วยของหอม ยกธงแผ่นผ้าหลากสี ตกแต่งหนทางที่พระทีปังกรเสด็จผ่าน ที่ใดเป็นที่ลุ่ม
ก็นำดินมาถม ให้มีระดับเสมอกันเพื่อสะดวกในการดำเนินแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก

:b55: ครั้งนั้น พระสุเมธดาบสประสงค์จะไปยังป่าหิมพานต์ ผ่านมาเห็นชนทั้งหลาย
กำลังช่วยกันแผ้วถางทาง จึงถามว่าท่านผู้เจริญ ท่านแผ้วทางนี้เพื่อใคร ชนเหล่านั้นตอบว่า
เพื่อถวายการต้อนรับพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา

:b45: สุเมธดาบสได้ยินดังนั้นเกิดโสมนัสยินดี กล่าวว่าหากท่านแผ้วถางทางนี้เพื่อพระพุทธเจ้า
ขอท่านได้ให้โอกาสแก่เราได้ร่วมทำกับท่านเถิด มหาชนพากันคิดว่า สุเมธดาบส
เป็นผู้มีความสามารถมาก จึงเลือกทางที่ไม่ราบเรียบเป็นหลุมเป็นบ่อให้

:b46: ขณะที่สุเมธดาบสแผ้วถางทางนั้นยังไม่เสร็จ พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาถึง
ณ บริเวณนั้น เทวดาและมนุษย์ต่างปรีดาปราโมทย์ แซ่ซ้องสาธุการประคองอัญชุลีตามเสด็จ

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๑๒๖-๒๒๘

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2015, 06:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10985665_692816820847952_9098202686798134524_n.jpg
10985665_692816820847952_9098202686798134524_n.jpg [ 57.24 KiB | เปิดดู 5354 ครั้ง ]
พุทธพยากรณ์ครั้งแรก

:b46: ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ถึง สุเมธดาบสคิดว่า วันนี้เราจักสละชีวิต
เพื่อตถาคตจึงสยายผม ปูลาดแผ่นหนังลงบนเปือกตม ลงนอนทอดตนเป็นสะพาน
เพื่อให้พระพุทธองค์เสด็จผ่านพลางคิดว่า ขอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบหลังเรา
เสด็จผ่านไปพร้อมทั้งหมู่สาวก เหมือนเหยีบสะพานเถิด อย่าได้เหยียบเปือกตมเลย

:b41: เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้เข้ามาโดยตามลำดับ สุเมธดาบสได้เห็นพระรูป
พระทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พร้อมด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐
เปล่งพระพุทธรัศมี ก็ยิ่งมีความปิติเลื่อมใสตั้งความปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้า อธิษฐานว่า
หากเราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าในโลกแล้ว จักยังมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลก
ให้ข้ามพ้นห้วงน้ำใหญ่ คือกิเลสด้วยกุศลอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

:b38: ลำดับนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ณ ที่นั้น ประทับยืนเบื้องศีรษะของสุเมธดาบส
ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พวกเธอจงดูดาบสผู้มีความเพียรเผากิเลสนี้ ในอนาคตจักได้เป็น
พระพุทธเจ้าในโลก เธอจักบังเกิดในตระกูลกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระมารดาจักมีนามว่ามายา
พระบิดาจักมีนามว่าสุทโธทนะ ดาบสนี้จักมีนามว่าโคดม เธอจักได้ตรัสรู้ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์

:b55: สุเมธดาบสได้ยินพระดำรัสพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้ว บังเกิดปิติโสมนัสยิ่งนัก
คิดว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐย่อมเที่ยงแท้ ด้วยพุทธพยากรณ์นี้ความปรารถนา
ของเราจักสำเร็จ เราคงได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

:b45: ฝ่ายมหาชนได้ยินดังนั้น ต่างพากันรื่นเริงยินดี ตั้งความปรารถนาว่าขอพวกเราทั้งหลาย
พึงได้บรรลุธรรมอันเลิศ ในอนาคตกาลที่สุเมธดาบสนี้ได้เป็นพระพุทธเจ้านั้นเถิด

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๒๑๑-๒๑๒

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2015, 07:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ลุงหมานถ่ายภาพมาจากหนังสือของคุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ.jpg
ลุงหมานถ่ายภาพมาจากหนังสือของคุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ.jpg [ 65.01 KiB | เปิดดู 5354 ครั้ง ]
ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า

:b45: หลังจากพระทีปังกรพุทธเจ้า เหล่าพระสาวก หมู่เทวดาและมนุษย์จากไปแล้ว
สุเมธดาบสคิดว่าเราจักค้นหาธรรม อันเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จึงปูอาสนะ
นั่งลงเพื่อพิจารณา ก็ทราบว่าบารมี ๑๐ ประการ เป็นธรรมที่จะต้องบำเพ็ญเพื่อบรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ได้สั่งสมสืบกันมา คือ

ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี
ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐารบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี

:b41: ขณะที่สุเมธดาบสกำลังพิจารณาบารมี ๑๐ ประการดังนี้ แผ่นดินใหญ่ไหว
สะเทือนสะท้าน ชาวเมืองต่างก็ไม่สามารถดำรงกายอยู่ได้ ล้มลงราวกับต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัด
หักโค่นลง มหาชนตกใจพากันเข้าไปกราบทูลถามพระทีปังกรพุทธเจ้าถึงเหตุที่เกิดขึ้น

:b48: พระทีปังกรพุทธเจ้าตรัสว่า ในวันนี้เราได้พยากรณ์ผู้ใดจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
เมื่อผู้นั้นกำลังพิจารณาธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งทุกพระองค์ได้อบรมสั่งสมมา
แผ่นดินในหมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลกจึงไหวด้วยเหตุนั้น

:b53: เหล่าเทวดาทั่วทุกจักวาล ได้มาประชุมกันบูชาสุเมธดาบสด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้น สรรเสริญคุณอันเป็นชัยมงคลด้วยประการต่างๆ

:b43: สุเมธดาบสลุกจากที่ตนนั่ง แล้วไปถวายบังโคมพระพุทธเจ้าทีปังกรลากลับไป
ยังธรรมิกบรรพต ดำรงชีพอยู่ ณ ที่นั้นจนตลอดอายุขัย เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดยังพรหมโลก

ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่าพระโพธิสัตว์

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๒๑๑-๒๑๒

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2015, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11152356_692921737504127_2414204440313550474_n.jpg
11152356_692921737504127_2414204440313550474_n.jpg [ 61.9 KiB | เปิดดู 5354 ครั้ง ]
การบำเพ็ญบารมี ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร

:b45: พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีเรื่อยมา ได้รับพุทธยากรณ์จากพระพุทธเจ้า
พระองค์ต่อมาอีก ๒๓ พระองค์ ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า

:b48: พระชาติสุดท้ายในการบำเพ็ญบารมีในมนุษย์โลก พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพ
ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางผุสดี อัครมเหสีของพระเจ้าสญชัย แห่งแคว้นสีพี
ตามคำทูลเชิญของเหล่าเทวดา ระหว่างทรงพระครรภ์พระนางผุสดีมีความปรารถนาที่จะบริจาคทาน

:b46: พระเจ้าสญชัยจึงรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง
ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์วันละ ๖ แสน
พระนางได้ถวายทานแก่สมถพราหมณ์ บริจาคทานแก่คนชรา คนป่วยไข้
คนเดินทาง และยาจกวณิพก ให้ได้อิ่มหนำสำราญมิได้ขาด

:b53: ครั้นพระครรภ์ใกล้กำหนดคลอด พระนางผุสดีมีพระประสงค์จะเสด็จทอด
พระเนตรบริเวณพระนคร พระราชารับสั่งให้ตกแต่งพระนครเพื่อการรับเสด็จ แล้วทรงพา
พระนางเสด็จทอดพระเนตรรอบพระนคร ขณะที่เสด็จถึงย่านประกอบการค้า
พระนางประสูติพระโอรสในระหว่างถนนย่านการค้า พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี
จึงขนานนามพระโอรสว่า เวสสันดร แปลว่า ระหว่างการค้า

:b55: วันที่ประสูติ มีช้างพักเชือกหนึ่งนำลูกของตนซึ่งเป็นช้างเผือกมาปล่อยไว้
ที่โรงช้างหลวง แล้วเดินเข้าป่าหายไป ชาวเมืองให้ชื่อลูกช้างนี้ว่า ปัจจยนาค

:b41: เวสสันดรกุมารมีพระทัยบริจาคทานตั้งแต่เยาว์ครั้นเจริญวัยครบ ๑๖ พรรษา
ทรงสำเร็จศิลปวิทยาทั้งปวงแล้ว พระราชบิดาจึงได้ส่งฑูตไปสู่ขอพระธิดาของพระเจ้ามัทราช
ชื่อ มัทรี อภิเษกให้เป็นพระชายาของพระเวสสันดร พระนางมัทรีทรงประสูติ
พระโอรสนามว่า ชาลี พระธิดานามว่า กัณหา

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ที่ ๓ หน้า ๑๕๓-๑๗๓

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2015, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11205589_693214924141475_8470514112227717209_n.jpg
11205589_693214924141475_8470514112227717209_n.jpg [ 63.95 KiB | เปิดดู 5338 ครั้ง ]
พระเวสสันดรทรงบริจาคช้างปัจจยนาค

:b48: พระเวสสันดรทรงบริจาคมหาทานอันยิ่งใหญ่ ทุกวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ
กลางเดือน พระองค์ทรงขึ้นคอช้างปัจจยนาคไปทอดพระเนตรทุกโรงทาน

:b38: ครั้งหนึ่ง แคว้นกาลิงคะเกิดฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยาก
ล้มตายเป็นอันมากชนชาวกาลิงคะจึงเข้าไปกราบทูลพระราชาของตนว่า
ในแคว้นสีพีมีช้างเผือกขาวผ่องชื่อ ปัจจยนาค เชื่อกันมาว่า ช้างนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด
สามารถบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลได้ อีกทั้งพระโอรสของพระเจ้าสญชัย
นามว่าเวสสันดร ก็เป็นผู้ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ขอพระองค์ได้ส่งฑูตไปทูลขอช้างเผือกมาเถิด

:b35: พระราชาแคว้นกาลิงคะจึงรับสั่งให้ประชุม เลือเหล่าพราหมณ์ ๘ คน
มีพระราชบัญชาว่า ให้ไปทูลขอช้างเผือกจากพระเวสสันดร แล้วนำมา

:b38: ขณะที่พราหมณ์ทั้ง ๘ คนเดินทางไปถึง เป็นเวลาที่พระเวสสันดรทรงช้างปัจจยนาค
กำลังเสด็จดำเนินมา พราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลขอตามรับสั่งของพระราชาแคว้นกาลิงคะ
พระเวสสันดรทรงทราบความประสงค์ของพราหมณ์แล้วดำริว่า เมื่อพราหมณ์ขอสิ่งใด
เราย่อมให้สิ่งนั้นโดยไม่หวั่นไหวเลย ใจของเรายินดีให้ทานเราจักให้ช้างมงคลนี้แก่พราหมณ์

:b55: พระเวสสันดรจึงเสด็จลงจากคอช้าง พระหตถ์ซ้ายทรงจับงวงช้าง
พระหัตถขวารินน้ำจากพระเต้า หลั่งลงในมือพราหมณ์ พระราชทานปัจจยนาคให้ไป

:b53: พรามณ์ครั้นได้รับพระราชทานช้างมงคลแล้ว นำปัจจยนาคไปยัง
แคว้นกาลิงคะทันที มหาชนเห็นพรามณ์นั่งบนคอปัจจยนาคผ่านมา มีความสงสัย
พากันถามว่า พราหมณ์ผู้เจริญท่านขี่ช้างมงคลของเราจะไปไหน พราหมณ์ตอบว่า
พระเวสสันดรพระราชทานแก่พวกเรา แล้วพากันเดินทางออกจากพระนครไป

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๗๔-๑๗๗

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2015, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11143341_693269970802637_2962189103053370048_n.jpg
11143341_693269970802637_2962189103053370048_n.jpg [ 83.05 KiB | เปิดดู 5325 ครั้ง ]
เนรเทศพระเวสสันดร

:b36: ชาวสีพีไม่พอใจในการกระทำของพระเวสสันดร พากันไปร้องทุกข์
ขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระเวสสันดร ออกไปจากแคว้นสีพี พระเจ้าสัญชัยจำต้อง
ปฏิบัติตามความเห็นของชาวเมือง

:b29: ก่อนที่จะออกจากแคว้นสีพี พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญ สัตตสดกมหาทาน คือ
บริจาคของ ๗ อย่าง มี ช้าง ม้า รถ สตรี โคนม ทาส ทาสี อย่างละ ๗๐๐
แล้วตรัสกับพระนางมัทรีว่า ที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงไม่มีอะไรประเสริฐกว่าทานคือการให้
พระเวสสันดรทรงบริจาคทานอยู่จนถึงเย็น จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

:b43: วันรุ่งขึ้น พระเวสสันดรถวายบังคมลาพระราชชนนี ประทับยืนบนรถพระที่นั่ง
อำลามหาชน ทรงประทานโอวาทว่า พวกท่านอย่าประมาท จงทำบุญให้ทานรับสั่งให้นางมัทรี
ดูแลพระโอรสและพระธิดา แต่ทุกพระองค์ก็ขอเสด็จตามไปด้วย

:b48: พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระโอรสพระธิดา จึงพากันเดินออกจากพระนคร
ระหว่าทางมีพราหมณ์ ๔ คนซึ่งมารับมหาทานไม่ทันได้ติดตามไปทูลขอม้าที่เทียมรถ
พระเวสสันดรก็บริจาคไป ขณะนั้นพราหมณ์อีกคนหนึ่งเข้ามาทูลขอรถพระที่นั่ง
พระองค์ทรงลงจากราชรถ พร้อมด้วยพระนางมัทรี พระโอรสและพระธิดา แล้วมอบรถให้พราหมณ์ไป

:b45: พระเวสสันดรเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาท ทรงจูงพระโอรส
พระนางมัทรีทรงอุ้มพระธิดา พากันเดินทางต่อไปยังเขาวงกต

:b43: ท้าวสักกะ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รับสั่งให้วิสสุกรมเทพบุตรเนรมิตบรรณศาลาสองหลัง
พร้อมด้วยบริขารและเครื่องใช้สอยทั้ง ๔ พระองค์เตรียมไว้ ณ เขาวงกต พระเวสสันดร
ทรงถือเพศดาบส พระนางมัทรีทรงถือเพศเป็นดาบสินี ทรงให้พระโอรสพระธิดาเป็นดาบสกุมาร
พระองค์ประทับอยู่ ณ บรรณศาลานั้นเป็นเวลานานถึง ๗ เดือน

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๗๘-๑๙๐

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2015, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11377188_695430203919947_1694370615290727710_n.jpg
11377188_695430203919947_1694370615290727710_n.jpg [ 66.81 KiB | เปิดดู 5257 ครั้ง ]
พราหมณ์ชูชกทูลขอสองกุมาร

:b38: ต่อมา พราหมณ์ชูชก ชาวเมืองกาลิงคะ ทราบข่าวการบำเพ็ญทาน
ของพระเวสสันดร จึงเข้าไปขอสองกุมาร เพื่อนำไปเป็นทาสนางอมิตตาภรรยสาว

:b37: พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ประเพณีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ท่านทรงบำเพ็ญบารมี และมหาบริจาค ๕ คือ สละทรัพย์ สละอวัยวะ สละชีวิต สละบุตร
สละภรรยาเป็นทาน
เพื่อบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เราควรขวนขวายบำเพ็ญให้บริบูรณ์
เพื่อจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งมวล จึงตัดสินพระทัยประทานสองกุมารให้แก่พรามณ์ไป

:b36: พราหมณ์ชูชกเมื่อได้รับพระราชทานแล้ว ได้พาสองกุมารเดินทางไป
ยังแคว้นกาลิงคะ แต่เมื่อถึงทางแยกพราหมณ์ไม่รู้จักทาง จึงเดินหลงเข้าในแคว้สีพี
วันที่พราหมณ์ชูชกเดินทางถึงกรุงเชตอุดร พระเจ้าสัญชัยประทับบนปราสาท
ทอดพระเนตรเห็นสองกุมารที่หน้าพระลานหลวง จำได้ว่าเป็นพระนัดดาจึงมีรับสั่งให้หา
ทรงทราบความแล้ว พระราชทานทรัพย์ให้แก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่พระนัดดาทั้งสอง

:b55: พระเจ้าสัญชัยทราบเรื่องจากพระกุมาร ทรงสลดพระทัยรีบเสด็จไปยัง
เขาวงกตเพื่อรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับสู่แคว้นสีพี ขณะที่พระองค์ได้พบกัน
ทรงปิติโสมนัสท่วมท้นทรงล้มสลบ ณ บรรณศาลานั้น ท้าวสักกะจึงบันดาลให้
ฝนโบกขรพรรษตกลง ผู้ใดประสงค์จะเปียกก็เปียก ดุจฝนตกลงบนใบบัวแล้วไหลไป
ทำให้พระองค์ทรงฟื้นจากสลบ ด้วยกำลังทานบารมีของพระโพธิสัตว์

:b45: พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีเป็นชาติสุดท้าย ครั้นสิ้นพระชนม์
ไปเกิดสวรรค์ชั้นดุสิตทรงพระนามว่า เสตเกตุเทพบุตร รอเวลาที่จะเสด็จที่ลงมา
บังเกิดในมนุษย์โลก เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๙๐-๒๑๕

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2015, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10406629_693944197401881_6618694913110405090_n.jpg
10406629_693944197401881_6618694913110405090_n.jpg [ 65.27 KiB | เปิดดู 5271 ครั้ง ]
พระโพธิสัตว์ ปฏิสนธิในมนุษย์โลก

:b46: ขณะที่พระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในภพดุสิต เหล่าเทวดาทราบว่าบัดนี้ถึงเวลา
ที่พระองค์จะต้องไปเกิดยังโลกมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมทั้งท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมารนรดี
ท้าวปรนิมมิตตวสวัตตี และท้าวมหาพรหม ได้พากันไปยังสำนักของ เสตเกตุเทพบุตร

:b38: ทูลเชิญว่า พระองค์บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน ด้วยปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ
ประสงค์จะช่วยสัตว์โลก บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญให้ลงไปปฏิสนธิ
ยังมนุษย์โลก เพื่อยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นจากกิเลสทั้งปวงเถิด

:b51: พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้รับคำเชิญของเทวดาในขณะนั้น เนื่องจากจะต้องพิจารณาถึง
สิ่งสำคัญที่จะต้องตรวจสอบก่อน ๕ ประการ คือ กาลอันสมควร ๑ สถานที่กำเหนิด ๑
ถิ่นกำเหนิด ๑ ตระกูล ๑ และพระมารดาผู้ให้กำเหนิด ๑

:b53: พระโพธิสัตว์พิจารณาแล้วเห็นว่า บัดนี้เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จักเกิดในชมภูทวีป
ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในตระกูลกษัตริย์ พระนางมหามายาจักเป็นพระราชมารดา ทรงพิจารณา
พร้อมทั้ง ๕ ประการแล้ว จึงรับคำร้องขอของเทวดาทั้งหลาย จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ
ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในวันเพ็ญเดือน ๘

:b54: ขณะที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระชนนีโลกธาตุทั้งสิ้นสะเทือนเลื่อนลั่น
แผ่นดินไหวพร้อมกันทันที นับแต่ปฏิสนธิ เทวบุตร ๔ องค์ ถือพระขันธ์ถวายอารักขา
พระโพธิสัตว์และพระมารดา พระวรกายของพระมารดามิลำบาก ทอดพระเนตรเห็น
พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในพระครรภ์ ประดุจเห็นเส้นสีเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีอันใส ฉะนั้น

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๖๙๒-๖๙๖

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2015, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10428480_693945667401734_4018264233473405238_n.jpg
10428480_693945667401734_4018264233473405238_n.jpg [ 71.45 KiB | เปิดดู 5268 ครั้ง ]
พระโพธิสัตว์ประสูติ

:b35: พระนางมหามายาทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน มีพระประสงค์จะเสด็จ
ไปคลอดที่เทวทหนคร อันเป็นถิ่นกำเหนิด ซึ่งเป็นประเพณีของชาว
ชมภูทวีป พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้เจ้าพนักงานตกแต่งทางกรุงกบิพัสดุ์
จนถึงเทวทหนครให้ราบเรียบ ให้พระนางประทับวอทอง ส่งพระนางไป
พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก

:b37: ระหว่างทางเสด็จผ่านอุทยานชื่อ ลุมพินี ขณะนั้นต้นสาละกำลังออกดอก
บานสะพรั่ง หมู่ภมรและมวลวิหคนานาชนิด ส่งเสียงร้องอยู่ด้วยความ
ไพเราะ ในระหว่างกิ่งระหว่างดอกทั้งหลายเป็นที่น่ารื่นรมณ์ พระนางทอด
พระเนตรเห็นดังนั้นประสงค์จะเข้าไปชมใกล้ๆ เสด็จลงจากวอทอง ประทับ
ยืนเหนี่ยวกิ่งสาละลงมา เมื่อประสงค์กิ่งใด กิ่งนั้นก็จะโน้มลงมาจนถึงพระหัตถ์

:b39: ขณะนั้น พระนางรู้สึกปั่นป่วนในพระครรภ์ เหล่าข้าราชบริพารจึงกั้น
พระวิสูตรให้พระนางแล้วหลีกไป พระประสูติราชโอรสในขณะที่ประทับยืน
จับกิ่งสาละอยู่เช่นนั้น ท้าวมหาพรหมรับพระโพธิสัตว์ด้วยข่ายทอง
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์รับพระโพธิสัตว์จากพระหัตถ์ของท้าว
มหาพรหม ด้วยเครื่องลาดอันเป็นมงคล ต่อมาพวกข้าราชบริพารที่ตาม
เสด็จ นำเบาะผ้าเนื้อดีรับจากพระหัตถ์ท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทูลเชิญ
พระนางมหามายาและพระโอรส เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ในวันนั้น

สหชาติชาติทั้ง ๗
กาลที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ณ ลุมพินีวัน มีสิ่งสำคัญบังเกิดขึ้นพร้อมกัน ๗
อย่างคือ พระนางยโสธรา ๑ เจ้าชายอานนท์ ๑ นายฉันนะ ๑ กาฬุทายี ๑
ม้ากัณฑกะ ๑ ต้นมหาโพธิ ๑ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุม ๑
การเกิดขึ้นพร้อมกันเหล่านี้ ชื่อว่า สหชาตชาติทั้ง ๗

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศื เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๖๙๖-๖๙๙

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2015, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10405344_694195077376793_3158347840165355764_n.jpg
10405344_694195077376793_3158347840165355764_n.jpg [ 62.61 KiB | เปิดดู 5259 ครั้ง ]
กาฬเทวิล ทำนายพระลักษณะ

:b41: ชนชาวนครทั้งสองคือกบิลพัสดุ์ และเทวทหะ ได้อัญเชิญพระโพธิสัตว์
และพระมารดากลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ในวันนั้น หมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์
ร่าเริงยินดีว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะอุบัติแล้ว พระราชกุมารนี้จะประทับนั่ง
ณ ควงโพธิพฤก แล้วจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

:b55: ครั้งนั้น กาฬเทวิลดาบส เป็นผู้คุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ กระทำภัตรกิจแล้วขึ้นไป
ยังชั้นดาวดึงส์พิภพเพื่อพักกลางวัน ได้ทราบข่าวจากชั้นดาวดึงส์ว่าพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ
ประสูติแล้ว เหล่าเทพป่าวประกาศอีกว่า พระโอรสของพระองค์นั้น จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

:b53: ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่ชาวโลก กาฬเทวิลดาบสจึงลงจากเทวโลก
เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ ทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า มหาบพิตร อาตมาภาพทราบข่าวว่า
พระโอรสของพระองค์ประสูติแล้ว อาตมาภาพใคร่เห็นพระราชบุตรนั้น

:b51: พระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้นำพระโอรสมา เพื่อให้นมัสการพระดาบส
แต่พระบาทของพระโพธิสัตว์กลับไปประดิษฐานอยู่บนชฎาของพระดาบส
กาฬเทวิลเห็นพระลักษณะของพระโอรสแล้ว ทราบด้วย อนาคตังสญาณ
คือ ปัญญาที่หยั่งรู้อนาคตว่า พระราชโอรสนี้เป็นอัจฉริยะบุรุษ

:b48: จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย พระดาบสจึงลุกจากอาสนะ
ประคองอัญชลีถวายบังโคมพระโอรสด้วยความปิติ พระราชาเห็นพระดาบสกระทำดังนั้น
ทรงไหว้ตามด้วยความมหัศจรรย์พระทัยยิ่งนัก

:b54: ฝ่ายพระมหามายา หลังจากประสูติโอรสได้ ๗ วัน ก็สิ้นพระชนม์
(เป็นธรรมดาของพระมารดาพระโพธิสัตว์) ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต พระนามว่า
มายาเทพบุตร พระราชาทรงมอบให้พระนางปชาบดีโคตมี (พระน้านาง) อภิบาลต่อ

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย อปทาน เล่มที่ ๘ ภาค ๑ หน้า ๑๑๓-๑๑๔

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2015, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11391742_695861630543471_2025508968472155035_n.jpg
11391742_695861630543471_2025508968472155035_n.jpg [ 73.81 KiB | เปิดดู 5249 ครั้ง ]
เฉลิมพระนามพระโอรส

:b41: วันที่ ๕ หลังจากประสูติ บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายดำริว่าจะเฉลิม พระนามโอรส
เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาบริโภคอาหารในพระราชนิเวศน์ เลือกพราหมณ์บัณฑิต ๘ คน
ให้ทำนายพระลักษณะ พราหมณ์ ๗ คน พยากรณ์เป็นสองนัยว่าพระโอรสเจริญวัยแล้ว
ถ้าเป็นคฤหัสถ์จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

:b48: ส่วนพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ ซึ่งมีอายุน้อยกว่าทุกคน พยากรณ์นัยเดียวว่า
พระโอรสนี้ได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระราชาตรัสถามว่า ก็บุตรของเราเห็นอะไร
จึงออกบวช พราหมณ์โกญฑัญญะกราบทูลว่า จะเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
และนักบวช พระเจ้าสุทโธทนะตรัสว่า เราต้องการให้โอรสของเราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
ไม่ต้องการให้เป็นพระพุทธเจ้า พร้อมกันขนานนามพระโอรสว่า สิทธัตถะ แปลว่า สมประสงค์

:b53: :b53: พราหมณ์เหล่านั้นเมื่อกลับถึงเรือน ต่างเรียกบุตรของตนมาสั่งว่า
พวกเราแก่แล้ว คงจะไม่ทันเห็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงบรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณ ฉะนั้น ในอนาคตเมื่อพระราชกุมารนี้ทรงผนวช ตรัสรู้เป็พระพุทธเจ้าแล้ว
พวกเจ้าพึงบวชในพระศาสนาของพระองค์เถิด พราหมณ์ทั้ง ๗ คนดำรงค์อยู่ตราบเท่าอายุขัย
ต่างก็สิ้นชีวิตไป เหลือแต่โกณฑัญญะที่มีอายุน้อยที่สุด

ปราสาท ๓ ฤดู

:b46: เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัย มีพระชนม์ ๑๖ พรรษาทรงสำเร็จการศึกษา
ศิลปวิทยาต่างๆ แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะสร้างประสาท ๓ หลัง ให้เป็นที่ประทับ
ของพระโอรส เปลี่ยนไปตามฤดู ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งรัชทายาท
ทรงอภิเษก พระนางยโสธรา ธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงเทวหะเป็นอัครชายา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2015, 06:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10411060_695890280540606_5028844218854028723_n.jpg
10411060_695890280540606_5028844218854028723_n.jpg [ 67.64 KiB | เปิดดู 5235 ครั้ง ]
เหตุแหงการณ์ออกผนวช

:b41: วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะมีพระประสงค์จะประพาสอุทยาน
สารถีจัดเตรียมรถพระที่นั่ง เทียมม้าสินธพอันเป็นมงคล ๔ ตัว เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน

:b41: เทวดาทั้งหลายดำริกันว่า กาลที่ตรัสรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะใกล้เข้ามาแล้ว
พวกเราจะแสดงนิมิตแก่พระองค์ จึงแปลงกายเป็นคนแก่ มีผมหงอก ฟันหัก หลังโกง
กายค้อมลง เดินถือไม้เท้า งกๆ เงิ่นๆ อยู่ข้างทางที่เสด็จ เจ้าชายไม่เคยเห็น
จึงตรัสถามสารถี สารถีทูลว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ต้องประสบกับความแก่ เช่นนี้
เจ้าชายสดับคำของสารถีแล้วสลดพระทัย รับสั่งให้กลับพระราชวัง

:b38: วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะมีความประสงค์จะประพาสอุทยานอีก
ครั้งนี้เทวดาแสดงนิมิต แปลงตนเป็นคนเจ็บ นอนร้องครวญครางอยู่ เจ้าชายตรัสถามสารถี
ก็ได้รับคำตอบว่ามนุษย์ที่เกิดมาทุกคน ต้องประสบกับความป่วยเช่นนี้
ทรงทราบสลดพระทัย รับสั่งให้กลับพระราชวัง

:b53: วันที่สาม เทวดาแปลงนิมิตให้เห็น คนตาย บรรดาญาติหามมาบนแคร่
เดินร้องให้มาในระหว่างทาง ตรัสถามสารถี ทราบว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย
สดับคำสารถีแล้ว ทรงเห็นโทษการเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลาย ยิ่งมีความสลดพระทัย
บังเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมากทุกที จึงรับสั่งให้กลับพระราชวัง

:b43: วันที่สี่ พระโพธิสัตว์เสด็จออกประพาสอุทยานอีก ครั้งนี้ทอดพระเนตรเห็น
นักบวช ที่เทวดานิมิต นุ่งห่มเรียบร้อย ด้วยกิริยาที่สำรวม ทรงพอพระทัยยิ่งตรัสถามสารถี
สารถีแม้ไม่รู้จักนักบวช เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้นก็จริงอยู่ แต่ก็ทูลด้วยอำนาจ
ของเทวดา เจ้าชายสิทธัตถะทราบว่าผู้นี้คือนักบวช ออกบวชเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์
พระองค์มีความพอพระทัยยิ่งในการบรรพชา เสด็จประพาสอยู่ในอุทยาน จนเย็นจึงกลับพระราชวัง

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๐๖-๗๑๐

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2015, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11391216_698038590325775_8880310353554749066_n.jpg
11391216_698038590325775_8880310353554749066_n.jpg [ 57.72 KiB | เปิดดู 5205 ครั้ง ]
มหาภิเนษกรมณ์

:b48: ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังเสด็จกลับ พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่า
พระนางยโสธราประสูติพระโอรส เสด็จมาแสดงความยินดี รับสั่งว่าหลานจงชื่อ ราหุล

:b41: ระหว่างที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จดำเนินไปยังปราสาท ได้สดับอุทานของเจ้าหญิง
กีสาโคตมี ซึ่งประทับอยู่ ณ ปราสาทอีกหลังหนึ่งว่า บุรุษมีความสง่างามเช่นนี้
เป็นบุตรของมารดาใด มารดานั้นก็ดับร้อนได้ เป็นบุตรของบิดาใด บิดานั้นก็ดับร้อนได้
เป็นสามีของสตรีใด สตรีนั้นก็ดับร้อนได้ เจ้าชายทรงดำริว่าเจ้าหญิงองค์นี้ให้คติเตือนใจ
เราเป็นอย่างดี ในวันนี้เราจะต้องออกบวชเพื่อแสวงหาความดับให้จงได้

:b35: ครั้นเสด็จถึงปราสาท ทรงบรรทมบนพระแท่นไสยาสน์ เหล่าสตรีนักฟ้อนรำขับร้อง
พากันมาแวดล้อมขับร้องบรรเลง เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระทัยเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย
ไม่ทรงสนพระทัย ครู่เดียวก็สู่เข้านิทรา ตื่่นบรรทมในตอนดึกประทับนั่งขัดสมาธิบนพระแท่น
ทอดพระเนตรเห็นอาการต่างๆ ของเหล่าสตรีในขณะนั้นก็ยิ่งบังเกิดความเบื่อหน่ายสุดประมาณ
ทรงพระดำริว่าเราจะออก มหาวิเนษกรมณ์จึงลุกออกจากพระแท่นบรรทม เสด็จไปหานายฉันนะ
ซึ่งนอนเฝ้าประตู รับสั่งให้เตรียมม้ากัณฐกะ ซึ่งเป็นม้าทรง พร้อมที่จะออกเดินทางทันที

:b37: พระองค์ทรงดำริว่าก่อนไปควรจะไปดูราหุลก่อน แต่กลับคิดได้ว่าหากทำเช่นนั้น
จะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้เราออกบวช รอไว้ตรัสรู้ก่อนจึงจะกลับมาเยี่ยมพระโอรส
และพระนางยโสธราภายหลัง แล้วจึงเสด็จออกจากปราสาทไป

:b53: เจ้าชายสิทธัตถะเข้าไปใกล้ม้าแล้วตรัสว่า กัณฐกพ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่ง
เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะช่วยสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามด้วย
จากนั้นเสด็จขึ้นประทับบนหลังม้า โปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องหลัง
ถึงประตูเมืองในเวลาเที่ยงคืน เทวดาที่รักษาประตูบันดาลให้ประตูเมืองเปิด
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากพระนครไป โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุทกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๑-๗๑๗

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร