วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับคุณปลีกวิเวก ที่แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ รวมแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ง่ายใช่ไหมครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณครับคุณปลีกวิเวก ที่แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ รวมแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ง่ายใช่ไหมครับ :b1:


เป็นเรื่องยากเลยค่ะ
แค่ศึกษาว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไรบ้าง ก็ยากมากแล้วค่ะ อาศัยแค่ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะทั่วไป ก็ยังไม่พอ(สำหรับปลีกวิเวกเองนะ) เพราะครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็บรรยายไม่เหมือนกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ยกบางเนื้อหาที่ต้องการเขียนหรือจำเพาะหลักธรรมนั้นๆขึ้นมาเขียน ตอนศึกษาใหม่ๆ บอกตรงๆว่างงมากๆ จะเชื่อตำราไหน หรืออาจารย์คนไหนดี ทำให้เราสับสนมากและก็ปฏิบัติไปแบบไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ คือมันมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เราทำ และไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ปฏิบัติเข้ากับหลักธรรมแต่ละอย่างได้...เนื่องจากไม่เข้าใจในหลักการและวิธีการที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์ของหลักธรรมนั้น...

ยิ่งเรื่องการนำหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติ ยิ่งยากใหญ่ ต้องอาศัยความพากเพียร ความมุ่งมั่น
กันจริงๆ จึงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันได้ ยิ่งลงลึกระดับจิตใจยิ่งยากต่อการเข้าใจและนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ตั้งใจกันจริงๆแล้วไปไม่ถึงไหนต้องเลิกรากันไปในที่สุด...เห็นเขาพูดๆกันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความเพียรก็น่าจะถูกโดยส่วนหนึ่ง...

ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้รู้มากมายอะไรนัก แต่อาศัยว่าศึกษาหลักที่จำเป็นเท่าที่จะเอามาปฏิบัติได้...

เห็นท่านที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกชื่นชมในความพากเพียรของท่านมาก
และคุณกรัชกายศึกษาพุทธธรรมมากี่ปีแล้วคะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 20 มิ.ย. 2014, 16:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณครับคุณปลีกวิเวก ที่แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ รวมแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ง่ายใช่ไหมครับ :b1:


เป็นเรื่องยากเลยค่ะ
แค่ศึกษาว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไรบ้าง ก็ยากมากแล้วค่ะ อาศัยแค่ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะทั่วไป ก็ยังไม่พอ(สำหรับปลีกวิเวกเองนะ) เพราะครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็บรรยายไม่เหมือนกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ยกบางเนื้อหาที่ต้องการเขียนหรือจำเพาะหลักธรรมนั้นๆขึ้นมาเขียน ตอนศึกษาใหม่ๆ บอกตรงๆว่างงมากๆ จะเชื่อตำราไหน หรืออาจารย์คนไหนดี ทำให้เราสับสนมากและก็ปฏิบัติไปแบบไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ คือมันมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เราทำ และไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ปฏิบัติเข้ากับหลักธรรมแต่ละอย่างได้...เนื่องจากไม่เข้าใจในหลักการและและวิธีการที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์ของหลักธรรมนั้น...

ยิ่งเรื่องการนำหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติ ยิ่งยากใหญ่ ต้องอาศัยความพากเพียร ความมุ่งมั่น
กันจริงๆ จึงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันได้ ยิ่งลงลึกระดับจิตใจยิ่งยากต่อการเข้าใจและนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ตั้งใจกันจริงๆแล้วไปไม่ถึงไหนต้องเลิกรากันไปในที่สุด...เห็นเขาพูดๆกันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความเพียรก็น่าจะถูกโดยส่วนหนึ่ง...

ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้รู้มากมายอะไรนัก แต่อาศัยว่าศึกษาหลักที่จำเป็นเท่าที่จะเอามาปฏิบัติได้...

เห็นท่านที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกชื่นชมในความพากเพียรของท่านมาก
และคุณกรัชกายศึกษาพุทธธรรมมากี่ปีแล้วคะ



คุณปลีกวิเวกหมายถึงหนังสือพุทธธรรมใช่ไหมครับ ถ้าใช่ก็คงราวๆสมัครสมาชิกลานนี่แหละครับ

พระพุทธศาสนาน่าจะยากตรงที่พูดสอนเรื่องชีวิต โดยเฉพาะเรื่องจิตใจ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของชีวิต

ถ้าคำสอนเกี่ยวกับศรัทธาอย่างเดียวคงง่ายกว่านั้น แต่พระพุทธศาสนาศรัทธาแล้วต้องเลยไปถึงขั้นปัญญา ที่เข้าใจกองสังขารนี่ยากที่นี่

แต่ถึงอย่างนั้นก็ว่ากันไปตามพื้นฐานของแต่ละบุคคล ท่านไม่บังคับ แค่ไหนก็แค่นั้น แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วคำสอนศาสนาที่ไม่บังคับ เหมือนขาดเอกภาพนะต่างคนต่างว่ากันไป เมื่อเทียบกับศาสนาที่เขาบังคับให้เชื่อ ศาสนิกของเขาก็มุ่งดิ่งไปจุดเดียวกัน กรัชกายคิดอย่างนี้ครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2014, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณครับคุณปลีกวิเวก ที่แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ รวมแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ง่ายใช่ไหมครับ :b1:


เป็นเรื่องยากเลยค่ะ
แค่ศึกษาว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไรบ้าง ก็ยากมากแล้วค่ะ อาศัยแค่ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะทั่วไป ก็ยังไม่พอ(สำหรับปลีกวิเวกเองนะ) เพราะครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็บรรยายไม่เหมือนกัน หนังสือแต่ละเล่มก็ยกบางเนื้อหาที่ต้องการเขียนหรือจำเพาะหลักธรรมนั้นๆขึ้นมาเขียน ตอนศึกษาใหม่ๆ บอกตรงๆว่างงมากๆ จะเชื่อตำราไหน หรืออาจารย์คนไหนดี ทำให้เราสับสนมากและก็ปฏิบัติไปแบบไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ คือมันมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เราทำ และไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ปฏิบัติเข้ากับหลักธรรมแต่ละอย่างได้...เนื่องจากไม่เข้าใจในหลักการและและวิธีการที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์ของหลักธรรมนั้น...

ยิ่งเรื่องการนำหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติ ยิ่งยากใหญ่ ต้องอาศัยความพากเพียร ความมุ่งมั่น
กันจริงๆ จึงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันได้ ยิ่งลงลึกระดับจิตใจยิ่งยากต่อการเข้าใจและนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ตั้งใจกันจริงๆแล้วไปไม่ถึงไหนต้องเลิกรากันไปในที่สุด...เห็นเขาพูดๆกันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความเพียรก็น่าจะถูกโดยส่วนหนึ่ง...

ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้รู้มากมายอะไรนัก แต่อาศัยว่าศึกษาหลักที่จำเป็นเท่าที่จะเอามาปฏิบัติได้...

เห็นท่านที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกชื่นชมในความพากเพียรของท่านมาก
และคุณกรัชกายศึกษาพุทธธรรมมากี่ปีแล้วคะ



กรัชกาย เขียน:
คุณปลีกวิเวกหมายถึงหนังสือพุทธธรรมใช่ไหมครับ ถ้าใช่ก็คงราวๆสมัครสมาชิกลานนี่แหละครับ


หมายถึงเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติและศึกษาพุทธศาสนา...ปลีกวิเวกชื่นชมความรู้ทางธรรมและประสบการณ์ความเข้าใจในชีวิตของคุณกรัชกายค่ะ

กรัชกาย เขียน:
พระพุทธศาสนาน่าจะยากตรงที่พูดสอนเรื่องชีวิต โดยเฉพาะเรื่องจิตใจ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของชีวิต
ถ้าคำสอนเกี่ยวกับศรัทธาอย่างเดียวคงง่ายกว่านั้น แต่พระพุทธศาสนาศรัทธาแล้วต้องเลยไปถึงขั้นปัญญา ที่เข้าใจกองสังขารนี่ยากที่นี่


เห็นด้วยค่ะ เรื่องของปัญญาเป็นเรื่องยาก ทั้งหมดทั้งมวลของชีวิตมนุษย์ก็คือการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญามนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่สามารถพัฒนาปัญญาได้ไม่มีขีดจำกัด

กรัชกาย เขียน:
แต่ถึงอย่างนั้นก็ว่ากันไปตามพื้นฐานของแต่ละบุคคล ท่านไม่บังคับ แค่ไหนก็แค่นั้น แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วคำสอนศาสนาที่ไม่บังคับ เหมือนขาดเอกภาพนะต่างคนต่างว่ากันไป เมื่อเทียบกับศาสนาที่เขาบังคับให้เชื่อ ศาสนิกของเขาก็มุ่งดิ่งไปจุดเดียวกัน กรัชกายคิดอย่างนี้ครับ

เห็นด้วยค่ะ แต่ละศาสนาก็คงมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่ปลีกวิเวกคิดว่าศาสนาพุทธมีจุดเด่นตรงด้านความเชื่อ ที่ท่านไม่ได้บังคับใครให้เชื่อหรือเห็นตาม ท่านให้พิสูจน์ความจริงด้วยการพัฒนาปัญญาของตนเองโดยอาศัยวิธีการที่พระบรมศาสดาท่านวางหลักการเอาไว้อย่างชัดเจน...
แต่ก่อนตอนศึกษาใหม่ไม่เข้าใจว่าทำไมพระอาจารย์แต่ละท่านจึงชอบใช้คำอุปมาอุปมัย (คำเปรียบเทียบ) สงสัยว่าทำไมท่านไม่บอกให้ชัดเจนลงไปเลยก็เก็บความสงสัยเอาไว้..พอวันนึงเราปฏิบัติไปด้วยศึกษาธรรมมากขึ้นด้วยก็เข้าใจว่า อ๋อ! การจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจถึงจิตใจมันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นมันเป็นนามธรรมที่ไม่มีรูปร่างมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ..เช่น เราจะอธิบายให้ใครสักคนฟังว่าเรากำลังมีความสุข...อย่างมากก็แค่บอกว่าเรามีความสุขโดยอาศัยบัญญัติและก็สีหน้าท่าทางแววตาประกอบคำว่าความสุขของเราที่คนอื่นจะรู้สึกได้..แต่ลึกลงไปภายในจิตใจมันมากกว่านี้คุณภาพทางจิตใจมันไม่อาจจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้หมด...
...เรื่องของจิตใจมันยากที่จะเข้าใจ..เหมือนที่คุณกรัชกายพูดบ่อยๆนั่นแหละค่ะ..พอลงหลักปฏิบัติการทางจิตใจก็เลยมักจะมีเรื่องให้วิตกวิจารณ์กันออกไปมากมาย..

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2014, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:

หมายถึงเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติและศึกษาพุทธศาสนา...ปลีกวิเวกชื่นชมความรู้ทางธรรมและประสบการณ์ความเข้าใจในชีวิตของคุณกรัชกายค่ะ




ขอบคุณครับ

เริ่มอย่างนี้ครับ พระพุทธศาสนาพูด-สอนเกี่ยวกับชีวิต (ชีวิต คืออะไร? ชีวิต เป็นอย่างไร? ชีวิต เป็นไปอย่างไร ?ฯลฯ...) อยู่แล้ว พูดได้สั้นๆว่า “ธรรมคือชีวิต ชีวิตคือธรรมะ”

เมื่อต้องการเข้าใจธรรมะก็เข้าไปเรียนรู้เอาจากชีวิตจิตใจนี้โตยตรง พระพุทธเจ้าก็ศึกษาธรรมะจากชีวิตชีวิตใจของท่านนี่แหละ ศึกษาจากความรู้สึกนึกคิด ก็สังเกตดูว่า สภาวะนี้เกิดขึ้น เรียกว่าโทสะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปอย่างไร ละมันได้อย่างไร เมื่อเกิดขึ้นมีโทษ (ฝ่ายอกุศล) อย่างไร สภาวะนี้เกิดขี้น เรียกว่าสติ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างนี้ เจริญได้อย่างไร (ฝ่ายกุศล) มีคุณอย่างไร พระองค์เรียนรู้เข้าใจ จนจำแนกแจกแจงบัญญัติชื่อเรียกได้หมดทั้งรูปธรรม นามธรรม

อ้างคำพูด:
หมายถึงเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติและศึกษาพุทธศาสนา.


เข้าคอร์สศึกษาปฏิบัติก็นานนับเป็นเดือนๆครับ ทุกวันนี้ก็ยังทำการศึกษาเรียนรู้อยู่ เพราะชีวิต จะเรียก กาย- ใจ เรียกนามรูป เขาอยู่กับเราอยู่แล้ว ไปไหนไปด้วยกัน เราไปวัดเขาก็ไปด้วย เราเข้าคุกเขาก็เข้ากับเราด้วย ... :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2014, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(บทความชีวิต ไม่รู้หนักไปไหม สังเกตดู บอกเราหมดเลยครับ - จากหนังสือพุทธธรรมหน้า ๓๒๕)


ชีวิตนี้ มีทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของมัน หมายความว่า เป็นธรรมดาตามธรรมชาติของชีวิตนั่นเองที่เป็นสังขาร ซึ่งเกิดมีเป็นไปโดยขึ้นต่อเหตุปัจจัยหลากหลาย ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่คงทน แปรปรวนเรื่อยไป ไม่มี ไม่เป็นตัวตนของมันเองอย่างแท้จริง เช่น จะให้คงอยู่หรือเป็นไปอย่างที่ใจปรารถนาไม่ได้ ต้องว่ากันไปตามเหตุปัจจัย พูดสั้นๆ นี่ก็คือมันเป็นทุกข์


ทุกข์ที่เป็นพื้นฐานตามสภาวะของชีวิต ก็พูดรวบรัดด้วยคำว่า ชรา มรณะ หรือ แก่ และตาย หรือ เสื่อมโทรม และแตกสลาย แล้วจากทุกข์ตามสภาวะนี้ ก็ตามมาด้วยทุกข์ที่เป็นความรู้สึกต่างๆ เช่น ความโศกเศร้า ความคับแค้น ความเสียใจ ความพิไรรำพรรณ


เมื่อตามสภาวะ ชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมันอยู่แล้ว การที่จะแก้ปัญหาดับสลายคลายทุกข์ และการที่จะมีความสุขได้ คนก็ต้องมีจิตใจที่มั่นคงในการอยู่กับความจริง เริ่มด้วยจัดการให้ชีวิตของตนลงตัวกันได้กับความทุกข์พื้นฐานนั้น โดยมีปัญญาที่ทำให้จิตเป็นอิสระจากทุกข์พื้นฐานนั้น หรือให้ใจอยู่กับมันได้สบายๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าทำถึงขั้นนั้นไม่ได้ ก็ให้ใจอยู่กับมันด้วยปัญญาที่รู้เท่าทัน วางใจวางท่าที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ยอมรับความจริง สู้หน้า เผชิญหน้าความจริงได้ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงนั้น


ถ้าคนมีจิตใจที่มั่นคงในการอยู่กับความจริงไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีปัญญาจัดการให้ชีวิตของตนลงตัวกันได้กับความทุกข์พื้นฐานนั้น ก็กลายเป็นว่า เขาปล่อยให้ทุกข์พื้นฐานนั้น กลายเป็นปมปัญหาที่แฝงซ่อนอยู่ในตัวเขาเอง แล้วเขาก็จะมีชีวิตอยู่แบบปิดกลบปัญหา บังตาจากความทุกข์ และหลอกตัวเอง ปล่อยให้ปมที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นก่อปัญหาซ้อนขึ้นมาไม่รู้จบสิ้น


มนุษย์บอกว่า ตนปรารถนาความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ แต่แล้วมนุษย์ก็ประสบปัญหาจากวิธีที่จะเข้าถึงความสุขของเขาเอง แทนที่จะแก้ทุกข์ สร้างสุข เขาหนีทุกข์ หาสุข ทุกข์พื้นฐานที่มีแน่ แต่ไม่แก้ เมื่อปล่อยไว้ ก็เลยกลายเป็นปม แล้วก็ก่อปัญหาซ้อนหลังเรื่อยไป แทนที่จะหมดหรือแม้แต่ลดทุกข์ ก็ยิ่งทวีทุกข์ซับซ้อนทั้งข้างในตัว และออกไปปะทะกระทบข้างนอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2014, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะ

เกิดเป็นคนนี่น่าสงสารจริงๆ มันทุกข์ตั้งแต่การกำเนิดเกิดขึ้นของชีวิต..ดิ้นรนขวนขวายเพื่อความมีอยู่ของชีวิต..ต้องพบกับความพลัดพรากประสบความทุกข์ทางใจ...ต้องเจ็บป่วยทางกาย...ต้องแก่ชราและพบกับความความตายในที่สุด...เมื่อพิจารณาไปจนตลอดสายแล้วมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป...น่าสงสารจริงหนอ! มนุษย์เรานี่

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2014, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมจากคห.ก่อนอีกนิดหนึ่ง

อ้างคำพูด:
บางคราว มนุษย์เองยังคิดหลงไปด้วยซ้ำว่า หากลืมมองปัญหาพื้นฐานของชีวิตนั้นเสียได้ ก็จะสามมารถหลุดพ้นไปจากความทุกข์ และชีวิตก็จะมีความสุข แต่ความจริงยังคงยืนยันอยู่ว่า ตราบใด มนุษย์ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาพื้นฐานแห่งชีวิตของตน ยังวางตัววางใจหาที่ลงไม่ได้กับทุกข์ถึงขั้นตัวสภาวะ ตราบนั้น มนุษย์ก็จะยังแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ยังหลีกไม่พ้นการตามรังควานของทุกข์ ไม่ว่าจะพบสุขขนาดไหน



การแก้ปัญหาพื้นฐานของชีวิต ก็คือ การปฏิบัติธรรม หรือการปฏิบัติกรรมฐาน หรือเรียกในชื่ออื่นๆทำนองนี้ เพราะปัญหาพื้นฐานซึ่งอยู่ลึกถึงก้นบึ้งของจิตใจ ทั้งเก่าทั้งใหม่นอนเนื่องอยู่


ตัวอย่างปัญหาใหม่ฝ่ายอกุศล


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย





ฝายกุศลก็ทำนองเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2014, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนา เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2014, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูอีกมุมหนึ่ง แล้วแต่จะดูมุมไหน

อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!




แต่กรัชกายดูแล้ว นึกถึงคำพูดของนักปาฐกท่านหนึ่งที่ว่า ...ผญ. รัก ช. มักต้องการให้เค้าเป็นคนดี แต่ ช. รัก ญ มักตามใจจนเสียคน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ผญ.จะดูแล ผช.เหมือนลูก คอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีในแบบของตน
แต่คุณ ผช.จะดูแล ผญ. อย่างดีเปรียบประดุจมารดาบังเกิดเกล้ากันเลยทีเดียว... :b9:

ไม่ทราบเป็นจริงไหม

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ผญ.จะดูแล ผช.เหมือนลูก คอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีในแบบของตน
แต่คุณ ผช.จะดูแล ผญ. อย่างดีเปรียบประดุจมารดาบังเกิดเกล้ากันเลยทีเดียว... :b9:

ไม่ทราบเป็นจริงไหม


อาจจริงอย่างคุณปลีกวิเวกได้ยินก็ได้นะ เพราะว่า ผญ. เป็นเพศแม่ อยากเห็นคนรักเห็นสามีเป็นคนดีตามแบบที่ตนชอบ เช่น ผญ.ไม่ชอบคนกินเหล้า สูบบุหรี ก็ไม่อยากเห็นคนรักเห็นสามีกินเหล้าสูบบุหรี (อย่างนี้เรียกว่าคนดีในแบบของตัวไหม) เช่นตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี


แต่ถ้ามองที่ปรารถนาดี ก็ดีนะ อย่างที่ว่า เราจะมองมุมไหน เพราะมีมุมให้มองหลายมุม เพราะดื่มเหล้าสูบบุหรี่เสียสุขภาพอายุสั้น ผญ.กลัวเป็นหม้ายแต่ยังสาวก็ได้

ส่วนประเด็นหลัง ก็เข้าเค้านะ แต่ขอเวลาสังเกตอีกสักหน่อย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2014, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!




ลองมองมุมปัญหานี้ ที่ขอเรียกว่า บุญ ว่าบารมี ดูบ้าง คือ คู่รักคู่นี้ ฝ่ายหญิงพื้นฐานทางจิตใจซึ่งแสดงออกทางกายก็คือชอบทำบุญทำทานสวดมนต์นั่งสมาธิ ฝ่ายชายต้องบังคับถึงทำ แต่ทำแล้วใช้เวลาไม่นานกลับได้ผลกว่า ฝ่ายหญิงซึ่งใช้เวลาทำสมาธินานกว่า แต่ไม่เคยประสบสภาวะอย่างชายเลย

มองเลยไปอีก ก็เห็นว่า การฝึกอบรมพัฒนาจิตเนี่ย ถ้ามันลงล๊อกเข้าที่ของมันแล้ว (เหตุปัจจัยพร้อม) จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเลวร้ายโดยอัตโนมัติ เช่น เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ โดยไม่ต้องมีใครบังคับ ไม่ต้องกินยาหาหมอ มันเลิกของมันเอง กลัวการทำอย่างนั้นๆของมันเอง เรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้


ก็เลยเหมือนได้คำตอบนี้กระมัง

อ้างคำพูด:

การปฏิบัติธรรม รักษาอาการป่วยทางใจได้มั้ยคะ

ช่วงหลังๆ ยิ่งเทคโนโลยีทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะมากมาย ไม่แค่ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนเราพัฒนาขึ้น แต่เหมือนกิเลสก็พัฒนา ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน และสิ่งที่กระทบตามมาหลักๆก็คือปัญหาสุขภาพใจ ซึ่งก่อให้เกิดสุขภาพกายที่ไม่ดี ที่ตามมาเป็นเงาตามตัว

ปัญหาที่เจอกับคนรอบข้าง (และบางเรื่องก็เจอกับตัวเอง)

- ปัญหาเรื่องความจำ ขี้หลง ขี้ลืม.. สังเกตเห็นเด็กอายุน้อยๆ เด็กมัธยม มหาวิทยาลัยสมัยนี้ หลงลืมของต่างๆเยอะมากๆ
- อาการ ใจร้อน อยากได้อะไรไวๆ รอกับอะไรไม่ค่อยได้ พอไม่ได้ก็จะหงุดหงิด (สิ่งอำนวยความสะดวกทำให้เราเคยชินกับการที่ทำอะไรได้ง่ายๆไวๆ)
- อาการ ซึมเศร้า เครียด กดดัน (จากการแข่งขันกันในสังคม)
- ปัญหาบุคคลิกภาพ ส่วนบุคคล (อาจจะไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น) เช่น ความไม่มั่นใจในตัวเอง ขี้กลัวสิ่งต่างๆมากเกินไป และอื่นๆ
- ปัญหาของอาการติดอบายมุข ต่างๆของคนในสังคม เช่น ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดยาเสพติด

http://larndham.org/index.php?/topic/43 ... ntry808069


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2014, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยค่ะ
ยิ่งประเด็นหลังนี่ชี้ให้เห็นว่าในสภาพสังคมเมืองที่เจริญแต่ทางด้านวัตถุ แต่ในขณะเดียวกันมันมีผลร้ายต่อสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก ความเคยชินในวิถีชีวิตของคนเมืองตั้งแต่เช้ายันค่ำ ส่งผลให้สภาพจิตใจของเราอ่อนแอลง เราพึ่งพิงวัตถุ เสพบริโภค กันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตื่นนอนก็ต้องรีบร้อนแข่งกับเวลาเพื่อออกจากบ้านแต่เช้ามืดรถ(ติดน้อย)ถ้าออกสายรถ(ติดมาก) วันไหนมีอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ต้องลุ้นจะไปทำงานทันไหมว้า..พอหลุดมาได้ก็ขับรถปานว่าจะแข่งกันเลยทีเดียวเราก็รีบเขาก็รีบ
จะขอทางสักหน่อยก็ไม่ยอมกัน...ต่างคนต่างว่ากันว่าเห็นแก่ตัว...อาหารเช้าก็แบบต้องง่ายและเร็วเข้าว่าบางทีเคี้ยวไม่กี่ทีก็ต้องรีบกลืนแล้ว...พอไปถึงที่ทำงานก็สารพัดปัญหาทั้งลูกน้องทั้งเจ้านาย...แก้ปัญหาทั้งวันกว่าจะได้กลับบ้านก็ค่ำมืด..กว่าจะฝ่ารถติดกลับถึงบ้านก็ค่ำ..กินข้าวตอนค่ำก็มีปัญหาอีก..บางวันคนที่บ้านบ่นให้หงุดหงิดรำคาญใจเสียอีก...ไหนจะธุระส่วนตัวเราอีก ก็ต้องรีบทำเพื่อจะได้เข้านอนเร็ว เดี๋ยวตีสี่ตีห้าก็ต้องตื่นกันอีกแล้วเพื่อมาพบกับสภาพของปัญหาเดิมๆกันอีก...

คนในเมืองจึงมีภาวะความเครียดสูง เนื่องจากวิถีชีวิตที่ถูกบีบให้ต้องแข่งขัน เร่งรีบ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจึงถูกปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนเมือง เร็วและสำเร็จรูป พร้อมใช้พร้อมกิน มันเลยส่งผลให้รอคอยอะไรไม่ค่อยได้ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เสพบริโภคแต่ของสำเร็จรูปแล้วทั้งนั้น ยิ่งพึ่งพิงวัตถุ สิ่งเสพบริโภคมากเท่าไร จิตใจยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ประมาณว่าวันใดขาดเธอ ฉันจะอยู่ได้อย่างไร :b9: แค่อยู่ห้องแอร์ทั้งวันทั้งคืน พอออกแดดหน่อยเหมือนจะเป็นลม ร้อนรนทนไม่ไหว หงุดหงิดงุ่นง่านอารมณ์เสียแล้ว..

จากภาวะความเครียดของคนในสังคมเมืองจึงทำให้เขาระบายความเครียดออกไปในรูปแบบต่างๆ เช่น
ติดเกมส์..ติดมือถือ..ติดคอม..ติดทีวี..ติดกินจนอ้วน...ติดพูดสารพัดจิปาถะตั้งแต่เรื่องในบ้านจนถึงเรื่องเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน..ติดนอนไม่หลับ...ติดเหล้าบุหรี่...ติดเที่ยวกลางคืน...ฯลฯ ซึ่งผลจากการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องก็เลยทำให้ส่งผลเสียในเรื่องอื่นๆออกไปอีกไม่รู้จักจบสิ้น ล้วนส่งผลต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งนั้น..
คนที่รู้เหตุและแก้ตรงเหตุก็โชคดีไป แต่คนที่ไม่รู้นี่น่าสงสารเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง..
...ปลีกวิเวกชอบทบทวนเรื่องราวความวุ่นวายในแต่ละวันก่อนที่จะหลับตานอน..คิดแล้วเกิดสลดสังเวทในชีวิตเหลือเกินเข้าใจในคำว่าความเกิดเป็นทุกข์อย่างซึ้งใจ..เมื่อหลับตาลงเอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ
ก็รู้สึกสงบและมีความสุขมากแล้ว..ความสุขที่ไม่ต้องดิ้นรนทะยานอยาก..เหมือนโลกหยุดหมุนชั่วคราวจากความวุ่นวายของชีวิต... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณปลีกวิเวกหายไป คงไปปลีกวิเวกที่ไหนสักแห่ง s006

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร