วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 14:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดปรุงแต่ง กับ คิดวิปัสสนา

ในเรื่องโยนิโสมนสิการนี้ สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ เรื่องของความคิด ได้แก่การรู้จักคิด รู้จักพิจารณา

บางทีเราไปสอนกันว่า ในทางพระพุทธศาสนา ในการปฏิบัติธรรม เช่น อย่างวิปัสสนานี้ไม่ให้คิด การพูดอย่างนี้จะต้องระมัดระวัง มิฉะนั้น อาจจะพลาดได้


พระพุทธจ้าที่ตรัสรู้ ก็ด้วยการคิด แต่หมายถึงการรู้จักคิด คือ ต้องคิดเป็น อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้นี้ พระพุทธเจ้าทรงคิดตลอดเลย เช่น ในการพิจารณาสภาพจิตของพระองค์เอง ทรงแยกความคิดเป็นฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ทรงพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มีผลดี หรือผลร้าย และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไรเป็นปัจจัย พระองค์คิดทั้งนั้นเลย แต่คิดคู่ไปกับการตรวจสอบสืบค้นของจริง


เพราะฉะนั้น ต้องแยกว่า ความคิดมี ๒ อย่าง คือ ความคิดปรุงแต่ง กับ ความคิดเชิงปัญญา เช่นที่เรียกว่า สืบสาวหาเหตุปัจจัย


เบื้องต้น ความคิดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแนะนำให้เราคิด ทรงแนะนำให้เราละเสีย ก็คือ ความปรุงแต่ง

ความคิดปรุงแต่ง คือคิดอย่างไร คือความคิดด้วยอำนาจความยินดียินร้าย ไต้อิทธิพลของความชอบชัง

หมาย ความว่า คนเราได้ประสบอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวลาประสบอารมณ์นั้น นอกจากการรับรู้แล้ว ก็จะมีสิ่งหนึ่ง คือความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา สิ่งใดที่เข้ามาแล้วเป็นที่สบาย เรียกว่า เกิดสุขเวทนา อันใดที่ไม่สบาย เรียกว่าเกิดทุกขเวทนา


สิ่งทั้งหลายที่เรารับรู้ทุกอย่าง จะมีความรู้สึกประกอบอยู่ด้วยเวลาเราเห็น ไม่ใช่เฉพาะว่าเห็นรูปร่าง เห็นสีเขียว สีขาว สีดำ สีแดง รูปร่างกลม ยาว เหลี่ยมเท่านั้น ทุกครั้งที่เราได้ดู ได้เห็นนั้น เรามีความรู้สึกด้วย คือมีความรู้สึกสบาย ไม่สบาย อันนี้แหละเป็นตัวสำคัญ


ความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนานี้ จะทำให้เราเกิดปฏิกิริยา ที่เรียกว่า ความชอบ หรือไม่ชอบ หรือที่ภาษาเก่าของพระ เรียกว่า "ยินดียินร้าย" ถ้าเป็นสุขเวทนา สบาย เราก็ชอบใจ หรือยินดี ถ้าเป็นทุกขเวทนา เราก็ไม่ชอบใจ หรือยินร้าย


ผู้ศึกษาต้องแยกให้ได้ ๒ ตอน ที่ว่า สบาย กับยินดี หรือสบายแล้วชอบใจ นี่คนละตอนกัน


ตอนสบายเป็นเวทนา เป็น ฝ่ายรับ ยังไม่ดีไม่ชั่ว ยังไม่เป็นกุศล หรืออกุศล สบาย ไม่สบาย สุข ทุกข์ อันนี้ ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ยังเป็นกลางๆ เป็นเวทนา


แต่เมื่อไรเกิดปฏิกิริยาว่าชอบหรือไม่ชอบ ยินดีหรือยินร้าย อันนี้เรียกว่า เกิดตัณหาแล้ว ตัณหานี้เป็นปฏิกิริยา เป็นสภาพจิตที่เป็นสังขารแล้ว คือ ก้าวจากเวทนาไปเป็นสังขารแล้ว

- สุข-ทุกข์ สบาย ไม่สบาย เป็นเวทนา

- แต่ยินดี - ยินร้าย ชอบใจ - ไม่ชอบใจ เป็นสังขาร


เมื่อเราเกิดความชอบใจ หรือไม่ชอบใจ คือเกิดตัณหาขึ้น มาแล้ว จากนี้เราจะคิด ถ้าชอบใจ เราคิดตามอำนาจความชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจเรา ก็คิดตามอำนาจความไม่ชอบใจ ความคิดอย่างนี้เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง จะเกิดความเอนเอียง จะเกิดปัญหาแก่จิตใจ จะมีตัวตนที่รับกระทบอย่างนั้นอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


แต่ถ้าเราคิดเชิงปัญญา คือ พิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้นจึงเป็นอย่างนี้ อันนี้ เกิดขึ้นเพราะอะไร สืบสาวหาเหตุปัจจัย อันนี้มิใช่คิดปรุงแต่ง อันนี้เป็นการคิดเชิงปัญญา เช่น คิดสืบสาวตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงคิด ในตอนที่ตรัสรู้


เพราะฉะนั้น ต้องแยกให้ถูกว่า ความคิดมี ๒ แบบ เราไม่ควรจะคิดเชิงปรุงแต่ง เพราะจะทำให้

๑. ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นตามเป็นจริง แต่เห็นตามอำนาจความยินดียินร้าย เป็นการสร้างภาพ และเกิดความลำเอียงไปตามความชอบชัง


๒. เกิดโทษต่อชีวิตจิตใจ ทำให้จิตใจขุ่นมัว เศร้าหมอง คับแคบ บีบคั้น เร่าร้อน เครียด เป็นต้น พูดสั้นๆ ว่าเกิดทุกข์ รวมทั้งปัญหานานา ทั้งแค่ตนและกับผู้อื่น ที่เนื่องจากโลภะ โทสะ และโมหะ


อนึ่ง ปัญหาและความสับสนในเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากเหตุอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของถ้อยคำ หรือการใช้ถ้อยคำในความหมายเฉพาะของแต่ละท่าน คืออาจารย์บางท่านใช้คำว่า ความคิดนั้น ในความหมายอย่างเดียวว่า หมายถึงความคิดปรุงแต่งเท่านั้น เมื่อพูดว่าความคิด ก็คือความคิดปรุงแต่งนั่นเอง


ในกรณีอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องของผู้อ่านหรือผู้ศึกษา ที่จะต้องเข้าใจถ้อยคำนั้นไปตามความหมายที่ท่านต้องการ และไม่นำไปสับสนกับความหมายในที่อื่น


ที่นำเรื่องเรื่องนี้มาพูด เพราะว่าเป็นคติที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า


(จาริกบุญ จารึกธรรม หน้า 301)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
พระพุทธจ้าที่ตรัสรู้ ก็ด้วยการคิด แต่หมายถึงการรู้จักคิด คือ ต้องคิดเป็น อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้นี้ พระพุทธเจ้าทรงคิดตลอดเลย เช่น ในการพิจารณาสภาพจิตของพระองค์เอง ทรงแยกความคิดเป็นฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ทรงพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มีผลดี หรือผลร้าย และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไรเป็นปัจจัย พระองค์คิดทั้งนั้นเลย แต่คิดคู่ไปกับการตรวจสอบสืบค้นของจริง
s004
กรัชกายกำลังจะทำสัทธรรมปฏิรูปด้วยความไม่รู้จริง พึงระวังให้มาก

พิจารณาจากข้อความที่คาดสีแดงไว้

ตอนตรัสรู้ ไม่มีความคิด เป็นอสังขตัง อสังขาร จึงพบธรรม

ถ้าตราบใดยังสังขารปรุงแต่งอยู่จะไม่มีโอกาสพบธรรม

หลวงปู่ดุลย์ถึงได้บอกว่า

"หยุดคิด ถึงรู้ (ตรัสรู้) แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

ตีความสัจจวาจาข้อนี้ให้ตกให้ถูกต้อง จึงจะไม่หลงทำผิดบิดเบือนพุทธธรรม

cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_L
พระพุทธจ้าที่ตรัสรู้ ก็ด้วยการคิด แต่หมายถึงการรู้จักคิด คือ ต้องคิดเป็น อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้นี้ พระพุทธเจ้าทรงคิดตลอดเลย เช่น ในการพิจารณาสภาพจิตของพระองค์เอง ทรงแยกความคิดเป็นฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ทรงพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มีผลดี หรือผลร้าย และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไรเป็นปัจจัย พระองค์คิดทั้งนั้นเลย แต่คิดคู่ไปกับการตรวจสอบสืบค้นของจริง
s004
กรัชกายกำลังจะทำสัทธรรมปฏิรูปด้วยความไม่รู้จริง พึงระวังให้มาก

พิจารณาจากข้อความที่คาดสีแดงไว้

ตอนตรัสรู้ ไม่มีความคิด เป็นอสังขตัง อสังขาร จึงพบธรรม

ถ้าตราบใดยังสังขารปรุงแต่งอยู่จะไม่มีโอกาสพบธรรม

หลวงปู่ดุลย์ถึงได้บอกว่า

"หยุดคิด ถึงรู้ (ตรัสรู้) แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

ตีความสัจจวาจาข้อนี้ให้ตกให้ถูกต้อง จึงจะไม่หลงทำผิดบิดเบือนพุทธธรรม

cool


ปู่ดุลย์พูดอีกแระ :b32: แล้วอโศกตีความยังไงล่ะ ไหนบอกสิ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 10:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ศึกษาต้องแยกให้ได้ ๒ ตอน ที่ว่า สบาย กับยินดี หรือสบายแล้วชอบใจ นี่คนละตอนกัน


ตอนสบายเป็นเวทนา เป็น ฝ่ายรับ ยังไม่ดีไม่ชั่ว ยังไม่เป็นกุศล หรืออกุศล สบาย ไม่สบาย สุข ทุกข์ อันนี้ ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ยังเป็นกลางๆ เป็นเวทนา


แต่เมื่อไรเกิดปฏิกิริยาว่าชอบหรือไม่ชอบ ยินดีหรือยินร้าย อันนี้เรียกว่า เกิดตัณหาแล้ว ตัณหานี้เป็นปฏิกิริยา เป็นสภาพจิตที่เป็นสังขารแล้ว คือ ก้าวจากเวทนาไปเป็นสังขารแล้ว

- สุข-ทุกข์ สบาย ไม่สบาย เป็นเวทนา

- แต่ยินดี - ยินร้าย ชอบใจ - ไม่ชอบใจ เป็นสังขาร


เมื่อเราเกิดความชอบใจ หรือไม่ชอบใจ คือเกิดตัณหาขึ้น มาแล้ว จากนี้เราจะคิด ถ้าชอบใจ เราคิดตามอำนาจความชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจเรา ก็คิดตามอำนาจความไม่ชอบใจ ความคิดอย่างนี้เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง จะเกิดความเอนเอียง จะเกิดปัญหาแก่จิตใจ จะมีตัวตนที่รับกระทบอย่างนั้นอย่างนี้

:b1: ...

ตรงส่วนนี้ ... :b6: ... เมื่อหลายวันก่อน น่าจะเป็นความบังเอิญ
คือ เอกอนไม่ได้นั่งสมาธินะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเวลาที่เงียบ ๆ จิตสงบ ๆ
เอกอนมักจะสังเกตเห็นอะไรได้แบบฟลุ๊ค ๆ เสมอ
คือ เอกอนไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เห็น แต่มันสังเกตเห็นไปได้ของมันเอง

การรับรู้ต่าง ๆ ภายใต้ดวงตาที่หลับ กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์อันสงบ
สมมติว่า เดิมทีสภาพบางสิ่งเหมือนจอทีวีที่มึด พอมีกระแสเข้ามาปุ๊บ
มันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างปรากฎขึ้น

ในสิ่งที่เห็น คือ มันไม่เห็นหรอก มันเหมือนพื้นที่ ๆ โล่งไม่มีอะไร
แต่แล้วมันก็รู้สึกถึงความหนาแน่นของพื้นที่ที่แปรปรวนไปจากเดิม
ซึ่งตอนนั้น มันมีการรับรู้ และสิ่งที่เข้าไปรู้นั้นก็ดูจะยังไม่รู้ถึงตัวมันที่เข้าไปรู้ด้วยซ้ำ
คือ ตอนรู้ตอนนั้น เอกอนยังไม่เป็น เอกอนเข้าไปรู้
คือ มันเป็นการรู้แบบว่า เหมือนกับยังไม่มีโลกปรากฎ และยังไม่ปรากฎสิ่งที่ชื่อเอกอนปรากฎ
แต่แค่แว๊บเดียวเท่านั้น การแปรปรวนที่ดำเนินต่อไปจากนั้น
เอกอนเห็นการเป็นผู้รู้เข้าไปตั้งในสิ่งที่รู้นั้น และเมื่อสักพักมันก็ประมวลว่าเป็นเอกอนรับรู้อยู่

:b1:

คือ...ในการเห็น ในช่วงที่การรู้ถึงความแปรปรวนของพื้นที่ปรากฎ
ช่วงนั้น ... ถ้าใครปฏิบัติสมาธิและเข้าถึง อรูปสัญญาระดับหนึ่งอยู่ หรือเป็นอรูปพรหมอยู่
อาจจะไม่ขึ้นสู่วิถี หรือไม่หย่อนลงสู่จิตได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดมาที่การรับรู้มีความชัดขึ้น ผู้ที่ได้อรูปสัญญา หรือเป็นอรูปพรหมระดับหนึ่งอยู่
ถ้าแรงหน่วงนั้นไม่มากพอ จิตก็ยังไม่ขึ้นสู่วิถีได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดจากนั้นมาอีก จิตหย่อนเข้าสู่วิถีแล้ว แต่ถ้ากรรมไม่แรง
สามารถละวางได้ ก็วิถีก็ไม่ล่วงต่อไป วิถีก็สามารถจบลงตรงนั้นได้
แต่ถ้าหากว่าเลยจากนั้น คือ มีการรับมาแล้ว ... เหมือนกับได้หย่อนลงเต็มตัวแล้ว
ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจิตดวงนั้น ๆ จะดับ ....

นั่นคือความเข้าใจจากการเห็นของเอกอนนะ
ทันทีที่พ้นจากสภาวะนั้น เอกอนก็เห็นลักษณะการดึงเอาปฏิจสมุปปบาท
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา มาเทียบลงในพิมพ์เขียวนั้นทันที

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 ปี ที่เข้าไปเห็นอย่างนี้ได้ :b9:
ครั้งแรกก็เห็นประมาณนี้แต่มันไม่เนิบ ไม่ละเอียด และชัดเจนละเมียดเท่านี้
ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน เอกอนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน และหมอก และปรากฎการรับรู้ถึงตัวตน
ซึ่งพอพ้นจากสภาวะนั้นมา มันก็มีการดึงปฏิจจสมุปปบาทออกมาทาบลงพิมพ์เขียว
แต่การทาบลงตอนนั้น ยังมีส่วนคลุมเครือตรง สังขาร วิญญาณ นามรูป
ส่วนครั้งนี้ ชัดเจนขึ้น ...
แต่มันก็ยังไม่ชัดพอที่เอกอนจะบ้าดีเดือดกระโจนออกมาตีแผ่ความรู้หรอก ... :b32:

คือ เอกอนแชร์ประสบการณ์เฉย ๆ เพราะเห็นบทความท่อนนี้ที่ท่านกรัชหยิบยกมานั้น
มันมีนัยยะที่น่าสนใจอยู่
เผื่อว่าเรื่องเล่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ ผู้รู้ที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ออกมาแสดงอะไรดี ๆ เพิ่มเติม

:b1: ...

จริง ๆ นะ เอกอนก็อยากจะมีกำลังรู้ที่ละเอียดเท่าทันให้ได้มากกว่านี้นะ
แต่ความอยากไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของจิตมันเป็นไปอย่างที่คาดหวัง
และ จริง ๆ เอกอนก็เฝ้ารอที่จะมีคนที่จะแสดงทัศนะในเรื่องทำนองนี้ออกมา
คือ ทัศนะที่รับรู้ในในระหว่างการปฏิบัติน่ะ

คือ แบบว่าบางคนเขาปฏิบัติไปแล้วได้เห็นนั่นเห็นนี่ เห็นนรกเห็นสวรรค์
และเขาก็มาแชร์มาบอกเล่า เยอะแยะน่ะ
แต่ เอกอนไม่ได้ไปเห็นเรื่องพวกนั้นน่ะ เอกอนก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องเหล่านั้นอยู่ในความสนใจ
เอกอนเห็นแต่แบบที่เอกอนเห็นน่ะ
แต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีการมาบอกเล่า แชร์ประสบการณ์กันเลย
เอกอนก็ได้แต่เฝ้ารอคนที่จะมีทัศนะที่แจ่มชัด ชัดเจน ได้ออกมาแสดงตัว แสดงความเห็น
...
หรือว่า คนที่เอกอนรอคอยนั้นจะเป็น เอกอน เสียเองหว๋า..

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ตรงส่วนนี้ ... :b6: ... เมื่อหลายวันก่อน น่าจะเป็นความบังเอิญ
คือ เอกอนไม่ได้นั่งสมาธินะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเวลาที่เงียบ ๆ จิตสงบ ๆ
เอกอนมักจะสังเกตเห็นอะไรได้แบบฟลุ๊ค ๆ เสมอ
คือ เอกอนไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เห็น แต่มันสังเกตเห็นไปได้ของมันเอง

การรับรู้ต่าง ๆ ภายใต้ดวงตาที่หลับ กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์อันสงบ
สมมติว่า เดิมทีสภาพบางสิ่งเหมือนจอทีวีที่มึด พอมีกระแสเข้ามาปุ๊บ
มันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างปรากฎขึ้น

ในสิ่งที่เห็น คือ มันไม่เห็นหรอก มันเหมือนพื้นที่ ๆ โล่งไม่มีอะไร
แต่แล้วมันก็รู้สึกถึงความหนาแน่นของพื้นที่ที่แปรปรวนไปจากเดิม
ซึ่งตอนนั้น มันมีการรับรู้ และสิ่งที่เข้าไปรู้นั้นก็ดูจะยังไม่รู้ถึงตัวมันที่เข้าไปรู้ด้วยซ้ำ
คือ ตอนรู้ตอนนั้น เอกอนยังไม่เป็น เอกอนเข้าไปรู้
คือ มันเป็นการรู้แบบว่า เหมือนกับยังไม่มีโลกปรากฎ และยังไม่ปรากฎสิ่งที่ชื่อเอกอนปรากฎ
แต่แค่แว๊บเดียวเท่านั้น การแปรปรวนที่ดำเนินต่อไปจากนั้น
เอกอนเห็นการเป็นผู้รู้เข้าไปตั้งในสิ่งที่รู้นั้น และเมื่อสักพักมันก็ประมวลว่าเป็นเอกอนรับรู้อยู่

:b1:

คือ...ในการเห็น ในช่วงที่การรู้ถึงความแปรปรวนของพื้นที่ปรากฎ
ช่วงนั้น ... ถ้าใครปฏิบัติสมาธิและเข้าถึง อรูปสัญญาระดับหนึ่งอยู่ หรือเป็นอรูปพรหมอยู่
อาจจะไม่ขึ้นสู่วิถี หรือไม่หย่อนลงสู่จิตได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดมาที่การรับรู้มีความชัดขึ้น ผู้ที่ได้อรูปสัญญา หรือเป็นอรูปพรหมระดับหนึ่งอยู่
ถ้าแรงหน่วงนั้นไม่มากพอ จิตก็ยังไม่ขึ้นสู่วิถีได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดจากนั้นมาอีก จิตหย่อนเข้าสู่วิถีแล้ว แต่ถ้ากรรมไม่แรง
สามารถละวางได้ ก็วิถีก็ไม่ล่วงต่อไป วิถีก็สามารถจบลงตรงนั้นได้
แต่ถ้าหากว่าเลยจากนั้น คือ มีการรับมาแล้ว ... เหมือนกับได้หย่อนลงเต็มตัวแล้ว
ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจิตดวงนั้น ๆ จะดับ ....

นั่นคือความเข้าใจจากการเห็นของเอกอนนะ
ทันทีที่พ้นจากสภาวะนั้น เอกอนก็เห็นลักษณะการดึงเอาปฏิจสมุปปบาท
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา มาเทียบลงในพิมพ์เขียวนั้นทันที

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 ปี ที่เข้าไปเห็นอย่างนี้ได้ :b9:
ครั้งแรกก็เห็นประมาณนี้แต่มันไม่เนิบ ไม่ละเอียด และชัดเจนละเมียดเท่านี้
ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน เอกอนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน และหมอก และปรากฎการรับรู้ถึงตัวตน
ซึ่งพอพ้นจากสภาวะนั้นมา มันก็มีการดึงปฏิจจสมุปปบาทออกมาทาบลงพิมพ์เขียว
แต่การทาบลงตอนนั้น ยังมีส่วนคลุมเครือตรง สังขาร วิญญาณ นามรูป
ส่วนครั้งนี้ ชัดเจนขึ้น ...
แต่มันก็ยังไม่ชัดพอที่เอกอนจะบ้าดีเดือดกระโจนออกมาตีแผ่ความรู้หรอก ... :b32:

คือ เอกอนแชร์ประสบการณ์เฉย ๆ เพราะเห็นบทความท่อนนี้ที่ท่านกรัชหยิบยกมานั้น
มันมีนัยยะที่น่าสนใจอยู่
เผื่อว่าเรื่องเล่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ ผู้รู้ที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ออกมาแสดงอะไรดี ๆ เพิ่มเติม

:b1: ...

จริง ๆ นะ เอกอนก็อยากจะมีกำลังรู้ที่ละเอียดเท่าทันให้ได้มากกว่านี้นะ
แต่ความอยากไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของจิตมันเป็นไปอย่างที่คาดหวัง
และ จริง ๆ เอกอนก็เฝ้ารอที่จะมีคนที่จะแสดงทัศนะในเรื่องทำนองนี้ออกมา
คือ ทัศนะที่รับรู้ในในระหว่างการปฏิบัติน่ะ

คือ แบบว่าบางคนเขาปฏิบัติไปแล้วได้เห็นนั่นเห็นนี่ เห็นนรกเห็นสวรรค์
และเขาก็มาแชร์มาบอกเล่า เยอะแยะน่ะ
แต่ เอกอนไม่ได้ไปเห็นเรื่องพวกนั้นน่ะ เอกอนก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องเหล่านั้นอยู่ในความสนใจ
เอกอนเห็นแต่แบบที่เอกอนเห็นน่ะ
แต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีการมาบอกเล่า แชร์ประสบการณ์กันเลย
เอกอนก็ได้แต่เฝ้ารอคนที่จะมีทัศนะที่แจ่มชัด ชัดเจน ได้ออกมาแสดงตัว แสดงความเห็น
...
หรือว่า คนที่เอกอนรอคอยนั้นจะเป็น เอกอน เสียเองหว๋า..

:b6: :b6: :b6:

เมื่อเกิดผัสสะ
สติเอกอน หลงไป ระลึกตามข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า เป็นเพียงจิตไปรู้ อารมณ์เท่านั้น
กลับหลงก่อ อัตตาว่า มีเอกอนเป็นผู้รับรู้

จิตก็จะไหลเลื่อน เรื่อยไป ตริตรึก ปรุงแต่งเรื่อยไป ไม่จบสิ้น

สติหาย ปัญญาหด

มังกรน้อย
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ทุกข์ไม่ได้เป็นอะไรเลย คืออัตตา ของเอกอนทั้งนั้น

ถ้ามีสติกำหนดข้อเท็จจริงนี้ได้ตลอดเวลา
ธัมมารมณ์ใด มากระทบจิต จิตเพียงรับรู้
โดยปราศจากอัตตา
ธัมมารมณ์นั้นก็เป็นเพียงที่รู้ของจิต แล้วก็ดับไปเท่านั้น

แต่หากเอกอน ปราถนารูปพรหม อรูปพรหม
เอกอน ก็ตั้งความปราถนา และพยายาม เข้าสู่ภาวะนั้นให้ได้
เข้า โดยรู้เพียงว่า เป็นอภิญญาจิต ที่เกิดจากความปรุงแต่งเท่านั้น

เอาปฏิจสมุปบาททาบเข้ากับประสบการณ์ ชี้หาอัตตา ก็พอ
อัตตาที่เป็นเอกอน วิ่งไปในภพ ทั้งหลาย จบ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
eragon_joe เขียน:
ตรงส่วนนี้ ... :b6: ... เมื่อหลายวันก่อน น่าจะเป็นความบังเอิญ
คือ เอกอนไม่ได้นั่งสมาธินะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเวลาที่เงียบ ๆ จิตสงบ ๆ
เอกอนมักจะสังเกตเห็นอะไรได้แบบฟลุ๊ค ๆ เสมอ
คือ เอกอนไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เห็น แต่มันสังเกตเห็นไปได้ของมันเอง

การรับรู้ต่าง ๆ ภายใต้ดวงตาที่หลับ กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์อันสงบ
สมมติว่า เดิมทีสภาพบางสิ่งเหมือนจอทีวีที่มึด พอมีกระแสเข้ามาปุ๊บ
มันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างปรากฎขึ้น

ในสิ่งที่เห็น คือ มันไม่เห็นหรอก มันเหมือนพื้นที่ ๆ โล่งไม่มีอะไร
แต่แล้วมันก็รู้สึกถึงความหนาแน่นของพื้นที่ที่แปรปรวนไปจากเดิม
ซึ่งตอนนั้น มันมีการรับรู้ และสิ่งที่เข้าไปรู้นั้นก็ดูจะยังไม่รู้ถึงตัวมันที่เข้าไปรู้ด้วยซ้ำ
คือ ตอนรู้ตอนนั้น เอกอนยังไม่เป็น เอกอนเข้าไปรู้
คือ มันเป็นการรู้แบบว่า เหมือนกับยังไม่มีโลกปรากฎ และยังไม่ปรากฎสิ่งที่ชื่อเอกอนปรากฎ
แต่แค่แว๊บเดียวเท่านั้น การแปรปรวนที่ดำเนินต่อไปจากนั้น
เอกอนเห็นการเป็นผู้รู้เข้าไปตั้งในสิ่งที่รู้นั้น และเมื่อสักพักมันก็ประมวลว่าเป็นเอกอนรับรู้อยู่

:b1:

คือ...ในการเห็น ในช่วงที่การรู้ถึงความแปรปรวนของพื้นที่ปรากฎ
ช่วงนั้น ... ถ้าใครปฏิบัติสมาธิและเข้าถึง อรูปสัญญาระดับหนึ่งอยู่ หรือเป็นอรูปพรหมอยู่
อาจจะไม่ขึ้นสู่วิถี หรือไม่หย่อนลงสู่จิตได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดมาที่การรับรู้มีความชัดขึ้น ผู้ที่ได้อรูปสัญญา หรือเป็นอรูปพรหมระดับหนึ่งอยู่
ถ้าแรงหน่วงนั้นไม่มากพอ จิตก็ยังไม่ขึ้นสู่วิถีได้
ส่วน...ในการเห็นระดับถัดจากนั้นมาอีก จิตหย่อนเข้าสู่วิถีแล้ว แต่ถ้ากรรมไม่แรง
สามารถละวางได้ ก็วิถีก็ไม่ล่วงต่อไป วิถีก็สามารถจบลงตรงนั้นได้
แต่ถ้าหากว่าเลยจากนั้น คือ มีการรับมาแล้ว ... เหมือนกับได้หย่อนลงเต็มตัวแล้ว
ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจิตดวงนั้น ๆ จะดับ ....

นั่นคือความเข้าใจจากการเห็นของเอกอนนะ
ทันทีที่พ้นจากสภาวะนั้น เอกอนก็เห็นลักษณะการดึงเอาปฏิจสมุปปบาท
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา มาเทียบลงในพิมพ์เขียวนั้นทันที

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 ปี ที่เข้าไปเห็นอย่างนี้ได้ :b9:
ครั้งแรกก็เห็นประมาณนี้แต่มันไม่เนิบ ไม่ละเอียด และชัดเจนละเมียดเท่านี้
ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน เอกอนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน และหมอก และปรากฎการรับรู้ถึงตัวตน
ซึ่งพอพ้นจากสภาวะนั้นมา มันก็มีการดึงปฏิจจสมุปปบาทออกมาทาบลงพิมพ์เขียว
แต่การทาบลงตอนนั้น ยังมีส่วนคลุมเครือตรง สังขาร วิญญาณ นามรูป
ส่วนครั้งนี้ ชัดเจนขึ้น ...
แต่มันก็ยังไม่ชัดพอที่เอกอนจะบ้าดีเดือดกระโจนออกมาตีแผ่ความรู้หรอก ... :b32:

คือ เอกอนแชร์ประสบการณ์เฉย ๆ เพราะเห็นบทความท่อนนี้ที่ท่านกรัชหยิบยกมานั้น
มันมีนัยยะที่น่าสนใจอยู่
เผื่อว่าเรื่องเล่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ ผู้รู้ที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ออกมาแสดงอะไรดี ๆ เพิ่มเติม

:b1: ...

จริง ๆ นะ เอกอนก็อยากจะมีกำลังรู้ที่ละเอียดเท่าทันให้ได้มากกว่านี้นะ
แต่ความอยากไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของจิตมันเป็นไปอย่างที่คาดหวัง
และ จริง ๆ เอกอนก็เฝ้ารอที่จะมีคนที่จะแสดงทัศนะในเรื่องทำนองนี้ออกมา
คือ ทัศนะที่รับรู้ในในระหว่างการปฏิบัติน่ะ

คือ แบบว่าบางคนเขาปฏิบัติไปแล้วได้เห็นนั่นเห็นนี่ เห็นนรกเห็นสวรรค์
และเขาก็มาแชร์มาบอกเล่า เยอะแยะน่ะ
แต่ เอกอนไม่ได้ไปเห็นเรื่องพวกนั้นน่ะ เอกอนก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องเหล่านั้นอยู่ในความสนใจ
เอกอนเห็นแต่แบบที่เอกอนเห็นน่ะ
แต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีการมาบอกเล่า แชร์ประสบการณ์กันเลย
เอกอนก็ได้แต่เฝ้ารอคนที่จะมีทัศนะที่แจ่มชัด ชัดเจน ได้ออกมาแสดงตัว แสดงความเห็น
...
หรือว่า คนที่เอกอนรอคอยนั้นจะเป็น เอกอน เสียเองหว๋า..

:b6: :b6: :b6:

เมื่อเกิดผัสสะ
สติเอกอน หลงไป ระลึกตามข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า เป็นเพียงจิตไปรู้ อารมณ์เท่านั้น
กลับหลงก่อ อัตตาว่า มีเอกอนเป็นผู้รับรู้

จิตก็จะไหลเลื่อน เรื่อยไป ตริตรึก ปรุงแต่งเรื่อยไป ไม่จบสิ้น

สติหาย ปัญญาหด

มังกรน้อย
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ทุกข์ไม่ได้เป็นอะไรเลย คืออัตตา ของเอกอนทั้งนั้น

ถ้ามีสติกำหนดข้อเท็จจริงนี้ได้ตลอดเวลา
ธัมมารมณ์ใด มากระทบจิต จิตเพียงรับรู้
โดยปราศจากอัตตา
ธัมมารมณ์นั้นก็เป็นเพียงที่รู้ของจิต แล้วก็ดับไปเท่านั้น

แต่หากเอกอน ปราถนารูปพรหม อรูปพรหม
เอกอน ก็ตั้งความปราถนา และพยายาม เข้าสู่ภาวะนั้นให้ได้
เข้า โดยรู้เพียงว่า เป็นอภิญญาจิต ที่เกิดจากความปรุงแต่งเท่านั้น

เอาปฏิจสมุปบาททาบเข้ากับประสบการณ์ ชี้หาอัตตา ก็พอ
อัตตาที่เป็นเอกอน วิ่งไปในภพ ทั้งหลาย จบ



เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

เพราะรู้จริงไง กรัชกาย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

เพราะรู้จริงไง กรัชกาย


รู้ไรรู้จริง ไหนบอกหน่อยสิ ทำไงถึงรู้จริง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

เพราะรู้จริงไง กรัชกาย


รู้ไรรู้จริง ไหนบอกหน่อยสิ ทำไงถึงรู้จริง :b1:

:b17: :b17:
ถามไปงั้นแหละอีกล่ะกรัชกาย :b9: :b9: :b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

เพราะรู้จริงไง กรัชกาย


รู้ไรรู้จริง ไหนบอกหน่อยสิ ทำไงถึงรู้จริง :b1:

:b17: :b17:
ถามไปงั้นแหละอีกล่ะกรัชกาย :b9: :b9: :b9:



ก็รู้อยู่ตั้งแต่เรื่อง อานาปานสติ อนุสติ อย่างต่างๆแล้ว ไปไม่รอดตั้งแต่นั้นแล้ว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เรื่องพร่ำถนัดนัก :b1: แหมๆๆ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ปาดโธ่ คิกๆ ถามจริงๆไปจำมาแต่ไหน เช่นั้น เห็นความเป็นอย่างนั้นไหม ตอบ ไม่เห็น จำมา :b32:

เพราะรู้จริงไง กรัชกาย


รู้ไรรู้จริง ไหนบอกหน่อยสิ ทำไงถึงรู้จริง :b1:

:b17: :b17:
ถามไปงั้นแหละอีกล่ะกรัชกาย :b9: :b9: :b9:



ก็รู้อยู่ตั้งแต่เรื่อง อานาปานสติ อนุสติ อย่างต่างๆแล้ว ไปไม่รอดตั้งแต่นั้นแล้ว :b1:

ตราบใดที่กรัชกาย พร่ำกอดแนบแน่นต่อสิ่งที่รู้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ถึงบอกไป ก็ไร้ประโยชน์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 15:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อเกิดผัสสะ
สติเอกอน หลงไป ระลึกตามข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า เป็นเพียงจิตไปรู้ อารมณ์เท่านั้น
กลับหลงก่อ อัตตาว่า มีเอกอนเป็นผู้รับรู้


จิตก็จะไหลเลื่อน เรื่อยไป ตริตรึก ปรุงแต่งเรื่อยไป ไม่จบสิ้น

สติหาย ปัญญาหด


ใช่... :b1:

คือ ถ้าหากว่าใครไม่ได้เข้าไปเห็น มองผ่าน ๆ ก็จะคิดว่า
ท่านเช่นนั้น เข้ามาเบรค เข้ามากล่าวสบประมาทเอกอน
...
แต่ในการเข้าไปรู้ในช่วงระหว่างนั้น มันก็เห็นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
...
แค่เพียงชั่วเวลาที่รู้ปรากฎ มันก็มีแรงดึงดูดกระทำให้ประมวลรวมกันเป็นก้อนแล้ว...
แต่จริง ๆ การรู้ในช่วงนั้น ถ้าสติเท่าทัน
มันจะหน่วงอารมณ์ไว้ไม่เข้าไปรวมลงเป็นกองตัวตนได้...ประมาณนั้น
แต่การจะทำอย่างนั้นได้ มัน.... มันพูดง่าย แต่การทำได้มันไม่ง่ายอย่างที่พูด...น่ะ
....

คือกับนักปฏิบัติจริง ๆ อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ทำไมท่านจึงสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนธรรมกันอย่างไม่ได้มีปัญหาต่อกัน
เพราะ เขาเอาธรรมออกมาสนทนากันไง ซึ่งธรรมที่สนทนาก็เพื่อเกื้อหนุน
ให้กำลังใจ ผลักดัน ต่อปัญญาให้แก่กัน
ไม่ใช่ สนทนาเพื่อเอาทิฐิมาโชว์ข่มกัน... :b1:

:b12:

อ้างคำพูด:
มังกรน้อย
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ทุกข์ไม่ได้เป็นอะไรเลย คืออัตตา ของเอกอนทั้งนั้น

ถ้ามีสติกำหนดข้อเท็จจริงนี้ได้ตลอดเวลา
ธัมมารมณ์ใด มากระทบจิต จิตเพียงรับรู้
โดยปราศจากอัตตา
ธัมมารมณ์นั้นก็เป็นเพียงที่รู้ของจิต แล้วก็ดับไปเท่านั้น

.....

เอาปฏิจสมุปบาททาบเข้ากับประสบการณ์ ชี้หาอัตตา ก็พอ
อัตตาที่เป็นเอกอน วิ่งไปในภพ ทั้งหลาย จบ


ตามนั้นเลย... smiley

:b1: ท่านเช่นนั้นพูดเหมือนง่าย :b9:

แต่บทตรงนั้น มันยากจริง ๆ :b2: :b2: :b2:

เอกอนยังไม่เท่าทันจริง ๆ ... :b12:

ก็วางใจ...และกระทำความเพียรต่อไป...

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาครับ มังกรน้อย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การคิดแล้วพูด ซึ่งก็คือพูดตามภาพวาดในใจ แล้วภาพที่วาดขึ้นในใจแต่คนก็ต่างกัน การคุยกันก็ไปกันคนละทิศละทางอย่างนี้แหละ ต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วจะนึกขำ :b1:

หากจะพูดกันง่ายเข้าใจกันดี ทั้งผู้พูดผู้ฟังต้องระดับจิตเดียวกัน อย่างนี้บอกปุ๊บเข้าใจปั๊บไปต่อได้ทันที เหมือนคุยภาษาเดียวกัน

อ้างคำพูด:
คือว่า ยุ้ยฝึกสมาธิเองมาตลอด มีหลายครั้งมากที่เกิดอาการแปลกๆกับตัวเอง เคยนั่งบริกรรม พุธ-โธ ไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่มาก พอทราบไหมคะว่าเกิดจากอะไร และอีกอย่างที่สำคัญ เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากบริกรรม ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกนิ่งมาก ยุ้ยเห็นตัวเองไม่ใช่ตัวเองคะ ยุ้ยเห็นตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัดผมสั้น ใส่ชุดขาวทั้งชุด ภาพมันจะสลับกันไปคะ ระหว่างยุ้ยกับผู้ชายคนนั้น และเห็นหลายวันมาก ทุกวันเป็นคนคนเดิมและคนเดียวกัน พอจะทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ยุ้ยพยายามไม่สนใจคะ แต่ก็เห็นอยู่ดี


อย่างนี้ต่อให้พันเช่นนั้นหมื่นเช่นนั้น จ้างก็ไม่เข้าใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร