วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 23:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 15.31 KiB | เปิดดู 4683 ครั้ง ]
สาดน้ำมันเข้ากองไฟอีก คิกๆๆ :b32:

แต่ใครๆ อย่าเพิ่งโพสต์ข้อความแทรกนะครับ ให้จบหัวข้อก่อน แล้วหลังจากนั้น คอยว่ากัน

ต่อจากหัวข้อนี้ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47801

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวิตกาย: มีกายที่ได้พัฒนาแล้ว



ดัง ได้กล่าวมาแล้วว่า ถึงแม้ในพระไตรปิฎกจะมีพุทธพจน์ที่ตรัสถึงภาวิตกาย เป็นต้น หลายแห่ง แต่ไม่มีคำอธิบาย เหมือนว่าผู้ฟังรู้เข้าใจอยู่แล้ว แต่บางครั้ง มีคนภายนอก โดยเฉพาะพวกเดียรถีย์นิครนถ์ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตามความเข้าใจของเขา จึงเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าตรัสอธิบาย


ในพระสูตรชื่อว่ามหาสัจจกสูตร มีเรื่องที่เป็นเหตุปรารภทำนองนี้ จึงขอ ยกมาเล่าเป็นตัวอย่าง และในพระสูตรนี้ มีเฉพาะภาวิตกาย มากับภาวิตจิต (เพราะฝ่ายที่ยกเรื่องขึ้นมา พูดเฉพาะ ๒ ภาวิตนี้)



เรื่อง มีว่า เช้าวันหนึ่ง สัจจกะนิครนถบุตร ผู้มีชื่อเสียงเด่นดังมาก (เป็นอาจารย์สอนบุตรหลานของเจ้าลิจฉวี แห่งแคว้นวัชชี อรรถกถานิยมเรียก ว่าสัจจกนิครนถ์) เดินมาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้พบและสนทนากับพระพุทธเจ้า เขาเริ่มต้นโดยยกเอาเรื่องกายภาวนา (การพัฒนากาย) และจิตตภาวนา (การพัฒนาจิต) ขึ้นมาพูด และกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ตามความคิดเห็นของเขา เหล่าสาวกของพระองค์เอาแต่ขะมักเขม้นประกอบจิตตภาวนา แต่ไม่ประกอบกาย ภาวนา (เอาแต่พัฒนาจิต ไม่พัฒนากาย)



การที่สัจจกนิครนถ์ แสดงทัศนะขึ้นมาอย่างนี้ อรรกถาบอกภูมิหลังว่า เพราะเขาเห็นพระภิกษุพา กันหลีกเร้นอยู่ในที่สงบ ไม่มีการทรมานร่างกาย เมือเขาแสดงความเห็นออก มาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า แล้วตามที่เขาเรียนรู้มา กายภาวนา (การพัฒนากาย) คืออย่างไร สัจจกนิครนถ์ก็ยกตัวอย่าง การบำเพ็ญตบะถือพรตต่างๆ ในการทรมานร่างกาย (อัตตกิลมถานุโยค) ว่านั่นแหละคือกายภาวนา


พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า แล้วจิตตภาวนาล่ะ เขาเรียนรู้มาว่าเป็นอย่างไร ตรงนี้ สัจจกนิครนถ์ไม่สามารถอธิบายได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้แต่กายภาวนาที่เขาบอกมาก่อนนั้น ก็ไม่ใช่กายภาวนา หรือพัฒนากายในแบบแผนของอารยชน (อริยวินัย) นี่แม้แต่กายภาวนา เขายังไม่รู้ แล้วเขาจะรู้จิตตภาวนาได้จากที่ไหน จากนั้น จึงตรัสบอกให้สัจจกนิครนถ์ฟังคำที่จะทรงอธิบายว่า อย่างไรไม่เป็นภาวิตกาย ไม่เป็นภาวิตจิต และอย่างไรจึงจะเป็นภาวิตกาย อย่างไรจึงจะเป็นภาวิตจิต ดังจะยกความตอนที่เป็นสาระสำคัญมาดู


“แน่ะอัคคิเวสสนะ (ชื่อโคตร/นามสกุลของสัจจกนิครนถ์) อย่างไรจึงจะเป็นภาวิตกาย และเป็นภาวิตจิต ?


อริย สาวกในพระธรรมวินัยนี้ ผู้ได้เรียนสดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น ถึงจะได้สัมผัสกับสุขเวทนา เขาก็ไม่ติดใคร่ใฝ่กระสันในสุข ไม่ถึงความเป็นผู้ติดใคร่ใฝ่กระสันในสุขเวทนา ครั้นสุขเวทนานั้นดับไป เพราะสุขเวทนาดับไป มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เขาสัมผัสกับทุกขเวทนาเข้าแล้ว ก็ไม่เศร้าโศกไม่ฟูมฟาย ไม่รำพัน ไม่คร่ำครวญ ไม่ตีอก ไม่ถึงความฟั่นเฟือนเลือนหลง


“อย่างนี้ แหละ อัคคิเวสสนะ เพราะเหตุที่ได้พัฒนากายแล้ว สุขเวทนานั้น ถึงแม้เกิดขึ้น ก็หาได้ครอบงำจิตตั้งอยู่ไม่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนาจิตแล้ว ทุกขเวทนา ถึงแม้เกิดขึ้น ก็หาได้ครอบงำจิตตั้งอยู่ไม่


“นี่แน่ะอัคคิเวสสนะ สำหรับอริยสาวกผู้หนึ่งผู้ใด สุขเวทนาถึงแม้เกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนากายแล้ว ทุกขเวทนาถึงแม้เกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนาจิตแล้ว ครบทั้งสองข้าง อย่างนี้แล อัคคิเวสสนะ บุคคลจึงเป็นภาวิตกาย และเป็นภาวิตจิต”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ดังได้กล่าวแล้วว่า กายภาวนา (การพัฒนากาย) นี้ ความหมายหลักบอกว่า เป็นการพัฒนาปัญจทวาริกกาย คือกายด้านผัสสทวาร ๕ หรืออินทรีย์ ๕ (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย) พอพูดถึงตรงนี้ การพัฒนากายก็แทบจะเป็นคำเดียวกับการพัฒนาอินทรีย์ หรือว่ากายภาวนาก็น่าจะได้แก่ อินทรีย์ภาวนานั่นเอง


การพัฒนาอินทรีย์ ก็เริ่มด้วยหลักอินทรีย์สังวร ที่พระพุทธเจ้าตรัส เน้นอย่างมากในการศึกษาของผู้เข้ามาบรรพชาในพระธรรมวินัย เรียกว่าเป็นการฝึกขั้นต้น ต่อเนื่องไปกับการฝึกด้านศีล (ในยุคอรรถกถา นิยมเรียกเป็นศีลหมวดหนึ่งว่า อินทรียสังวรศีล) จึงขอให้ดูหลักขั้นเบื้องต้นนี้ก่อน ดังตัวอย่างพุทธพจน์ว่า


"ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจะชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย?

"ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็็นรูปด้วยตาแล้ว ไม่ถือติดนิมิต (ภาพรวม) ไม่ถือติดอนุพยัญชนะ (ส่วนย่อย) เธอปฏิบัติเพื่อสำรวม อินทรีย์คือจักษุ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันทราม คือ อภิชฌา (ความติดใคร่ชอบใจ ) และโทมนัส (ความขัดเคืองเสียใจ) ครอบงำ เธอรักษาจักขุนทรีย์ เธอถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟังเสียงด้วยหู .... ดมกลิ่นด้วยจมูก ...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว... (เช่นเดียวกัน) ภิกษุนั้น ผู้ประกอบด้วยอินทรีย์สังวร อันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันล้วนไร้ระคน (ไม่เจือกิเลส) ในภายใน อย่างนี้แล มหาบพิตร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลาย"


อินทรีย์สังวรนี้ ยังเป็นขั้นของการฝึก หรือเริ่มศึกษา ยังไม่ใช่ขั้นของพระอรหันต์ ซึ่งเป็น "ภาวิตินทรีย์" (ผู้มีอินทรีย์อันได้พัฒนา แล้ว ที่จัดเป็นภาวิกาย) แต่นี่ยกมาให้ดูเพื่อได้รู้เห็นตามลำดับ



ยังมีอินทรีย์สังวรที่ลึกลงไปหรือที่ตรัสอีกแนวหนึ่ง ก็ขอยกมาให้ดูเพื่อเทียบกันด้วย (อินทรีย์สังวรนี้ เมื่อทำให้มากแล้ว จะทำสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ นั้นทำให้มากแล้ว จะทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ นั้น ทำให้มากแล้ว จะทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์และโพชฌงค์๗นั้นทำให้มากแล้ว จะทำให้วิชชาและวิมุตติ ที่เป็นผลานิสงส์สุดท้าย ให้บริบูรณ์)


เรื่องนี้ตรัสแก่กุณฑลีย์ปริพาชก ผู้ได้มาเฝ้าที่อัญชนวัน ในเขตเมืองสาเกต มีความตอนนี้ว่า


“ดูกรกุณฑลีย์ อินทรียสังวร อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร จะยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ ? ดูกรกุณฑลีย์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปที่น่าชอบใจด้วยจักษุแล้ว ไม่ติดใคร่ ไม่เหิมใจ ไม่ก่อราคะให้เกิดขึ้น และกายของเธอก็คงตัว จิตก็คงตัวมั่นคงดี ในภายใน ปลอดพ้นไปด้วยดี อนึ่ง เธอเห็นรูป ที่ไม่น่าชอบใจด้วยจักษุแล้ว ก็ไม่ขัดเขิน ไม่กระด้างใจ ไม่บีบใจ ไม่ขุ่นเคืองแค้นใจ และกายของเธอก็คงตัว จิตก็คงตัวมั่นคงดี ในภายใน ปลอดพ้นไปด้วยดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุฟังเสียงด้วยหู .... ดมกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว...(เช่นเดียวกัน)... ดูกรกุณฑลีย์ อินทรียสังวร อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้มาดูการฝึกยิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้แหละเรียกว่าอินทรียภาวนา เป็นหลักที่ตรัสไว้ในอินทรียภาวนาสูตร ใน พระสูตรนี้ ต่อจากตรัสการปฏิบัติแล้ว ยังตรัสให้เห็นความแตกต่างที่ พึงเทียบกันระหว่าง "เสขปฏิปทา" คือ พระอริยะผู้ยังฝึก กับ "ภาวิตินทรี ย์" คือ พระอรหันต์ผู้ฝึกเสร็จแล้ว ที่เป็นภาวิตกาย ขอยกมาให้ดูพอรู้รูปเค้า


เรื่อง มีว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับที่ป่าไผ่ ในกชัง คลนิคม อุตตรมาณพ ศิษย์ของปาราสิริยพราหมณ์ เข้าไปเฝ้า พระองค์ตรัสถามเขาว่า ปาราสิริยพราหมณ์ สอนการพัฒนาอินทรีย์ภาวนาแก้เหล่าสาวกใช่ไหม เมื่อเขารับว่าใช่ พระองค์ก็ตรัสถามว่า ปาราสิริยพราหมณ์สอนการ พัฒนาอินทรีย์อย่างไร เขาทูลตอบว่า ปาราสิริยพราหมณ์สอนการพัฒนาอินทรีย์โดยไม่ให้เอาตาดูรูป ไม่ให้เอาหูฟังเสียง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าถือตามหลักที่พราหมณ์นี้สอน คนตาบอด คนหู หนวก ก็เป็นภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์) ละสิ


จากนั้น พระองค์ตรัสว่า การพัฒนาอินทรีย์อย่างที่ปาราสิริยพราหมณ์สอนนั้น เป็นคนละอย่างต่างจากอินทรียภาวนาอย่างยอดเยี่ยมในแบบแผนของอารยชน (อริยวินัย) พระอานนท์จึงทูลขอให้ทรงแสดงหลักอินทรียภาวนา อย่างยอดเยี่ยมในอริยวินัยนั้น และได้ตรัสดังรวมใจความมาดังนี้ (ความอุปมายาวๆได้ละเสีย)

๑. อินทรียภาวนา: “ดูกรอานนท์ ก็อินทรียภาวนา อย่างยอดเยี่ยม ในวินัยของอริยชน เป็นอย่างไร? ดูกรอานนท์ เพราะ เห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอรู้ชัด (รู้เท่าทัน) อย่างนี้ว่า สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจ และไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้วแก่เราเช่นนี้ ก็แต่ว่าสภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ เป็นภาวะปรุงแต่งเป็นของหยาบอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น สภาวะนี้จึงสงบ สภาวะนี้จึงประณีต กล่าวคืออุเบกขา (ใจเฉยโดยตระหนักรู้อยู่ในดุล) สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ที่เกิดขึ้นแก่เธอนั้นก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิท ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปหนึ่งรูป ใด ที่สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจ และไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิทโดยเร็ว โดยพลันทันทีโดยไม่ยากลำบาก เหมือนดังบุรุษ มีตาดี ลืมตาแล้วหลับตา หรือหลับตา แล้วลืมตา ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อินทรียภาวนาในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน


“ดูกรอานนท์ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วย ลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ (ทำนองเดียวกับข้อก่อน) ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปหนึ่งรูป ใด ที่สภาพที่น่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับหาย อุเบกขาตั้งได้ที่สนิท โดยเร็ว โดยพลันทันที โดยไม่ยากลำบาก เหมือนดัง บุรุษมีกำลังเอาหยาดน้ำสองหรือสามหยาด หยดลงในกระทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอดทั้งวัน การหยดลงไปแห่งหยาดน้ำนั้น ยังช้า (ไม่ทันที) หยาดน้ำนั้น ก็ถึงความเหือดหายหมดสิ้นไป ฉับพลัน ทันใด โดยแน่แท้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอินทรียภาวนาในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยใจ อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน


“ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล เป็นอินทรียภาวนา อันยอดเยี่ยมในวินัยของอริยชน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พักกินนมก่อน อย่าเพิ่งโพสแทรกนะ ยังมีต่อเบิ่งๆกันไปก่อน :b32:



๒. ก) เสขปาฏิบท (ผู้ยังฝึกศึกษา) “ดูกรอานนท์ ก็พระเสขะ ผู้ยังปฏิบัติอยู่ เป็นอย่างไร ?
ดูกรอานนท์ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจ และไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธออึดอัด เบื่อหน่ายรังเกียจ ด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะ ดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ....เธออึดอัด เบื่อหน่ายรังเกียจด้วยสภาพน่าชอบใจ สภาพที่ไม่น่าชอบใจ สภาพทั้งน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วนั้นๆ ดูกรอานนท์ อย่างนี้แลชื่อว่าพระเสขะ ผู้ยังปฏิบัติอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 พ.ค. 2014, 15:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 12:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion onion

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นไงบ้างสหายกบ กับ เช่นนั้น อ่านเข้าใจมั้ยขอรับ คิกๆ บอกไม่ฟังว่าอย่าเพิ่งโพสต์แทรกมา แต่ก็ดื้อด้านแทรกเข้ามาจนได้ แต่ก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ คิกๆๆ

ดูต่อ

๒.ข) ภาวิตินทรีย์ (ภาวิต+อินทรีย์) (ผู้ศึกษาพัฒนาจบแล้ว) “ดูกรอานนท์ ก็พระอริยะ ผู้ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว) เป็นอย่างไร ?
ดูกรอานนท์ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอนั้น หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้

หาก จำนงว่า เราจะหมายรู้ในสิ่งทั้งไม่ปฏิกูลและปฏิกูล ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็เป็นผู้มีความหมายรู้ในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้

หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่ โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆ อยู่โดยมีสติสัมปชัญญะได้


“ดูกรอานนท์ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...เพราะ ดมกลิ่นด้วยจมูก...เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น...เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...เพราะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ สภาพที่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพที่ไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น สภาพทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจก็เกิดขึ้น แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอนั้น....หากจำนงว่า เราจะเว้นคำนึงทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ทั้งสองอย่าง มีอุเบกขาอยู่โดยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีอุเบกขาในสิ่งนั้นๆ อยู่โดยมีสติสัมปชัญญะได้

“ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระอริยะ ผู้ภาวิตินทรีย์ (ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว)"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า "ปฏิกูล" ไม่พึงมองความหมายแคบๆ อย่างที่มักเข้าใจทำนองว่า สกปรก ยกตัวอย่างตามที่ท่านอธิบายไว้ เช่น คนหน้าตาไม่ดี มีกิริยาอาการไม่งาม เรามองด้วยเมตตา หรือของไม่สวย เรามองตามสภาวะของธาตุ ให้เห็นเป็นน่าชื่นชม หรือสบายตา ก็เรียกว่า หมายรู้ในของปฏิกูล เป็นไม่ปฏิกูล

คนหรือของที่เห็นกันว่าสวยงาม เรามองด้วยอนิจจตา หรือตามสภาวะของธาตุ ก็กลายเป็นไม่สวยงาม อย่างนี้ก็เรียกว่า หมายรู้ในของไม่ปฏิกูล เป็นปฏิกูล

(ดูคำอธิบายใน ขุ.ปฏิ.๓๑/๖๙๐/๕๙๙)

ชื่อคัมภีร์ที่อ้างอิงท่านลงไว้ทุกตอนทุกคาถาแหละ แต่เราเห็นว่ารกรุงรัง จึงไม่ใส่มาทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

เมื่อมองความหมายของกายภาวนา และภาวิตกายขยายออกไปอีกแบบหนึ่ง หรือเหมือนเปลี่ยนจุดกำหนด คือแทนที่จะมองตรงผัสสทวาร หรืออินทรีย์เอง ก็มองที่โลกหรือสิ่งภายนอก ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับอินทรีย์ หรือเป็นอารมณ์ที่อินทรีย์จะรับรู้ แล้วไปจับจุดเน้นที่สิ่งเหล่านั้นแยก เป็นพวกๆ เป็นประเภทๆ ไป ก็จะได้ความหมายทำนองที่บอกไว้อีกอย่างหนึ่งว่า กายภาวนาเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพหรือจำพวกวัตถุ (ตลอดจนแม้แต่ตัวบุคคลในแง่ที่เป็นวัตถุแห่งการรับรู้)


แล้วก็จะเห็นว่า ของจำพวกหนึ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์มาก ก็คือ ปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยาบำบัดโรค ตลอด จนสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุใช้สอย สิ่งที่เสพอาศัยใช้ทำงานทำ การทั้งหลาย ซึ่งเป็นแดนใหญ่ที่ชีวิตเกี่ยวข้อง ที่จะต้องฝึกต้องพัฒนา ชีวิตนั้น ดังที่ท่านจัดเป็นปัจจัยปฏิเสวนศีล หรือปัจจัยสันนิสิต ศีล และก็อาจจัดปัจจัยปฏิเสวนานั้นตามอินทรีย์สังวรเข้าไว้ในกายภาวนานี้ ด้วย


การสัมพันธ์กับวัตถุทั้งหลายที่เป็นปัจจัยยังชีพและหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ ใน พระธรรมวินัยก็ถือเป็นเรื่องสำคัญในการศึกษา ที่จะต้องฝึกฝนพัฒนาตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ดังที่ฝึกกันตั้งแต่เข้ามา บวช ให้เสพปัจจัยสี่โดยพิจารณา หรือให้บริโภคด้วยปัญญา โดยรู้จัก ประมาณ ให้ได้ความพอดี ที่จะเกิดคุณค่าแท้จริงที่ชีวิตต้องการ มิใช่ แค่บริโภคอย่างมืดมัวด้วยโมหะเพียงที่จะสนองความอยากเสพด้วยตัณหา ดัง ความที่ตรัสว่า


"ดูกรจุนทะ เรามิใช่แสดงธรรมแก่เธอทั้ง หลาย เพื่อปิดกั้นบรรดาอาสวะ (ความเสียหายหมักหมม) ที่เป็นไปใน ปัจจุบันอย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งเราก็มิใช่แสดงธรรม เพื่อป้องกัน บรรดาอาสวะ ที่จะเป็นไปในเบื้องหน้าเท่านั้น หากแต่ว่า เราแสดงธรรม ทั้งเพื่อปิดกั้นบรรดาอาสวะ ที่เป็นไปในปัจจุบัน และเพื่อ ป้องกันบรรดาอาสวะ ที่จะเป็นไปในเบื้องหน้าด้วย"


"ดูกรจุนทะ เพราะฉะนั้นแล จีวรใด อัน เราอนุญาตแล้วแก่เธอทั้งหลาย จีวรนั้น ควรแก่พวกเธอ เพียงเพื่อ ป้องกันหนาว ป้องกันร้อน ป้องกันร้อน ป้องกันสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เพียงเพื่อเป็นเครื่องปก ปิดอวัยวะอันยังความละอายให้กำเริบ


"บิณฑบาตใด อันเราอนุญาตแล้วแก่เธอทั้งหลาย บิณฑบาตนั้น ควรแก่พวกเธอ เพียงเพื่อ ความดำรงอยู่แห่งกายนี้ เพื่อยังกายนี้ให้เป็นไป เพื่อระงับความขาด อาหารอันจะเบียดเบียนชีวิต เพื่อเกื้อกูลหนุนพรหมจริยา โดยรู้ว่าการ ปฏิบัติดังนี้ เราจักบรรเทาเวทนาเก่าได้ ทั้งจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิด ขึ้นด้วย และเราก็จักมีชีวิตที่ดำเนินไปราบรื่น พร้อมทั้งความไร้โทษและ ความอยู่สำราญ


"เสนาสนะใด อันเราอนุญาตแล้วแก่เธอทั้งหลาย เสนาสนะนั้น ควรแก่พวกเธอ เพียงเพื่อ เป็นเครื่องป้องกันหนาว ป้องกันร้อน ป้องกันสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เพียงเพื่อเป็นเครื่องบรรเทาอุตุอันตราย เพื่อเป็นที่มีความรื่นรมย์ในการ หลีกเร้น


"คิลานปัจจัยเภสัชบริขารใด อันเราอนุญาตแล้วแก่เธอทั้งหลาย คิลานปัจจัยเภสัชบริขารนั้น ควรแก่ พวกเธอ เพียงเพื่อเป็นเครื่องบำบัดเวทนาทั้งหลาย อันเนื่องจากอาพาธต่างๆ ที่ เกิดขึ้น เพื่อความเป็นผู้ไม่มีทุกข์ยากเป็นอย่างยิ่ง ฉะนี้"

บรรดา ปัจจัย ๔ นี้ ข้อที่ ๒ เสนาสนะ (แปลตามศัพท์ว่าที่นั่ง และ ที่นอน) คือที่อยู่อาศัย เป็นปัจจัยใหญ่ ทั้งเป็นที่ตั้งอาศัย และ ครอบคลุมปัจจัยข้ออื่นๆ จะปรุง จะรับประทาน จะเก็บอาหารเสื้อผ้า จะ นุ่งห่มแต่งตัว ฯลฯ แทบทุกอยางทุกประการ ก็อาศัยเสนาสนะทั้งนั้น จนกระทั่งในการถวาย ทาน พระพุทธเจ้าเคยตรัสแสดงความสำคัญไว้ว่า



"ผู้ให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง ให้เสื้อผ้า ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสะดวกสบาย ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ ส่วนผู้ใด ให้ที่พักอาศัย ผู้นั้น ชื่อว่าให้ทุกอย่าง แลผู้ใด สั่งสอนธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าให้อำมฤต"

(สํ.ส.15/138/44)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 8.13 KiB | เปิดดู 4629 ครั้ง ]
สำหรับพระสงฆ์ เสนาสนะมีความหมายโยงขยายออกไป ตั้งแต่กุฎีที่อยู่ส่วนตน จนถึงที่อยู่อาศัยร่วมกันอันรวมเป็นวัด ที่มีคำเรียกเดิมตามพระพุทธานุญาตว่า "อาราม" (แปลสามัญว่าสวน) และวัดคืออารามนั้น ก็เกิดขึ้นมาจากป่าคือวนะและหรืออุทยาน ดังเห็นได้ชัดจากกำเนิดของวัดแรกในพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าพิมพิสารถวายแด่พระพุทธเจ้า คือ เวฬุวันอุทยาน (เวฬุวนํ อุยฺยานํ) และวัดสำคัญที่ประทับยาวนานที่สุด คือ เชตวันอุทยาน ที่มาเป็นเชตวนาราม ("เชตสฺส ราชกุมารสฺส อุยฺยานํ" มาเป็น "เชตวเน อนาถบิณฺฑิกสฺส อาราเม)



จากอารามคือวัดในวนะ อันเป็นป่าย่อยในถิ่นใกล้บ้านย่านใกล้เมืองและชายป่าใหญ่ ที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ก็ขยายกระจายออกไปสู่ถิ่นห่างไกลในป่าใหญ่ที่เรียก ว่าอรัญ (อรญฺญ) อันรวมทั้งถ้ำ เงื้อมเขา บนบรรพตคีรี และในที่สุด เสนาสนะคือที่อยู่อาศัยนั้น ก็โยงพระสงฆ์เข้ากับป่าดงพงไพร ขุนเขา และถิ่นบ้าน แดนเมืองทั้งหลาย จนถึงโลก อันรวมทั้งสิ่งแวดล้อมทั้งมวล



เสนาสนะที่อยู่อาศัย ถิ่นแดน สิ่งแวดล้อมทั้งหมดนี้ ก็คือสิ่งรอบตัวที่จะรับรู้ ติดต่อ เกี่ยวข้อง สื่อสารสัมพันธ์ ด้วยปัญจทวาร คือผัสสทวาร หรืออินทรีย์ทั้ง ๕ นั้นเอง ดังนั้น โลกรอบตัวที่ว่ามานี้ จึงเป็นแดนแห่งกายภาวนา ที่จะฝึกฝนพัฒนากาย คือพัฒนาความสัมพันธ์ทางอินทรีย์เหล่านั้น



ลักษณะ ความสัมพันธ์ที่ต้องการ ซึ่งมีอยู่ตลอดทุกเวลาในชีวิตของพระภิกษุ หรือผู้ศึกษา ปรากฏตั้งแต่ในถ้อยคำพื้นฐานที่กล่าวมาแล้วนั้น และโยงไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีงามกว้างออกไปๆ โดยก้าวหน้าไปกับการพัฒนา ในการฝึกการศึกษานั้น เริ่มด้วยคำหลักที่เป็นพื้นมาในชีวิตของพระภิกษุ คำแรกที่กล่าวแล้วนั้น คือ อาราม ที่แปลง่ายๆ ว่า "สวน" หรือแปลตามศัพท์อย่างที่นิยมพูดกันมาว่า "ที่มายินดี"

คำว่าอารามหรือที่มายินดีนี้ นอกจากความสัมพันธ์พื้นฐานของผู้ศึกษา เริ่มจากถิ่นที่อยู่อาศัย (คือวัด) ว่าเป็นที่ (มีสภาพธรรมชาติ พืชพรรณ กบไก่นกกา ฯลฯ ) ที่ชวนใจให้มายินดี คำว่า อารามนี้ บอกความสัมพันธ์ทางจิตใจที่พึงประสงค์ ซึ่งภิกษุ หรือผู้ศึกษาพึงมีเป็นพื้นฐานต่อสถานที่อยู่อาศัยอันเหมาะนั้น แล้วขยายออกไปให้ถิ่นแดนที่ตนเกี่ยวข้อง เป็นอารามที่มายินดี



มิใช่แต่เท่านั้น คำว่าอารามโยงภิกษุหรือผู้ศึกษานั้น ลึกเข้าไปทางด้านความเป็นอยู่ และการปฏิบัติธรรมด้วย คือโยงต่อเข้าไปถึงแดนของอินทรีย์ใหญ่ภายใน อันได้แก่ใจ ให้มีอาราม คือ ความยินดีในเรื่องต่างๆ ขยายต่อออกไป อันที่เป็นหลักๆ เช่น ปวิเวการาม (มีความสงัดวิเวกเป็นที่มา ยินดี) ปฏิสัลลาราม (มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี) แล้วก็ลึกลงไปถึงปหานาราม (มีการแก้ไขละเลิกอกุศลธรรมเป็นที่มายินดี) ภาวนาราม (มีการเจริญคือพัฒนากุศลธรรมเป็นที่มายินดี)



อารามเป็น อาการความรู้สึกในจิตใจของภิกษุหรือผู้ศึกษา ที่มีต่อสิ่งอันเหมาะที่จะสื่อสารสัมพันธ์นั้นโดยตรง และเท่ากับว่าผู้ศึกษาเองมีหน้าที่จะพึงทำให้สิ่งที่ตนเกี่ยวข้องสัมพันธ์ นั้น เป็นอารามอันจะเป็นที่มายินดีด้วย ตั้งแต่วัดที่อยู่อาศัยของตนเองที่มีให้เรียกว่าอย่างนั้นอยู่แล้ว และพึงขยายอารามนี้ออกไปให้ทั่วรอบ


ขณะที่คำว่า “อาราม” แสดงความรู้สึกในใจที่สัมพันธ์หรือมีต่อสถานที่ถิ่นฐานสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ก็มีอีกคำหนึ่งที่ปรากฏมากมายเหลือเกินในชีวิตของพระสงฆ์หรือผู้ศึกษา ตลอดถึงท่านผู้จบการศึกษาแล้วในพระธรรมวินัยนี้ (น่าจะมาก น่าจะบ่อยกว่าอารามเสียอีก) คือคำว่า "รมณีย์" ที่แปลว่าน่ารื่นรมย์ คำนี้ชี้บอกไปที่สภาพของบรรยากาศที่ชื่นชูใจ อันพึงประสงค์ยิ่งสำหรับผู้ศึกษา ที่จะเกื้อกูลให้เจริญงอกงามก้าวไปด้วยดีในการศึกษาพัฒนากุศลธรรม และสำหรับท่านผู้จบการพัฒนาแล้ว ก็จะสัมผัสพบสภาพรมณีย์นี้ได้ง่ายหรืออยางพร้อมทันที เพราะมีสัมผัสที่ไม่มีกิเลสแฝงงำหรือกั้นบัง กับทั้งท่านเองนั่นแหละเป็นผู้พร้อมที่จะทำให้ถิ่นฐานสิ่งที่แวดล้อมเป็นรมณีย์ คือเป็นที่รื่นรมย์ ทั้งแก่องค์ท่านเอง และแก่ผู้อื่นทั้งหลายที่เข้ามาใกล้ชิดหรือแวดล้อมด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“รมณีย์” ภาวะที่น่ารื่นรมย์ จึงเป็นที่ปรากฏทั่วไปในพระไตรปิฎก เหมือนเป็นบรรยากาศหนึ่งของพระไตรปิฎกนั้นด้วย เริ่มตั้งแต่ในพุทธประวัติก่อนตรัสรู้ เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวทรงแสวงหาสถานที่อันเหมาะที่จะทรงบำเพ็ญ เพียร ในที่สุดทรงพบที่อันเหมาะเช่นนั้น ณ อุรุเวลาเสนานิคม ดังคำตรัสในวาระนั้นว่า


"ภาคพื้นภูมิสถานถิ่นนี้ เป็นที่รื่นรมย์จริงหนอ (รมณีโย วต) มีไพรสณฑ์ร่มรื่น น่าชื่นบาน ทั้งมีแม่น้ำไหลผ่าน น้ำใส เย็นชื่นใจ ชายฝั่งท่าน้ำก็ราบเรียบ ทั้งโคจรคามก็มีอยู่โดยรอบ เป็นสถานที่เหมาะจริงหนอ ที่จะบำเพ็ญเพียร สำหรับกุลบุตรผู้ต้องการทำความเพียร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแล ได้นั่งลงแล้ว ณ ที่นั้น โดยตกลงใจว่า ที่นี่ล่ะ เหมาะที่จะบำเพ็ญเพียร"


พระพุทธเจ้า และเหล่าพระสาวก เมื่อเสด็จไปประทับหรือไปอยู่ และผ่านไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะตามป่าเขาแดนไพร มีคำบันทึกไว้ว่า ท่านได้กล่าวถึงสถานที่นั้นๆ ว่าเป็นที่รื่นรมย์ บางทีก็พรรณนาไว้ด้วยว่ารื่นรมย์อย่างไร ดังตัวอย่าง พระเอกวิหาริยะเถระกล่าวถึงบรรยากาศในถิ่นที่ท่านไปอยู่วิเวก เป็นคาถาความว่า


"...เมื่อลมเย็นพัดมา พากลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งไป เรานั่งอยู่บนยอดเขา จักทำลายอวิชชา ณ เงื้อมผาที่ดารดาษไปด้วยดอกโกสุม มีภาคพื้นเยือกเย็นในแดนป่า เราผู้เป็นสุขแล้วด้วยวิมุตติสุข จะรื่นรมย์อยู่ในถ้ำแห่งขุนเขาอย่างแน่นอน"

พระมหากัสสปะเกลับจากบิณฑบาต เดินขึ้นภูเขา ก็กล่าวคาถาประพันธ์ชื่นชมความรื่นรมย์ในแดนป่า ดังที่มีบันทึกไว้ยึดยาว เช่นตอนหนึ่งว่า

“ภาคพื้นภูผา เป็นที่ร่าเริงใจ มีต้นกุ่มมากมาย เรียงรายเป็นทิวแถว เสียงข้างร้องก้องกังวาน เป็นรมยสถาน ถิ่นขุนเขาทำใจเราให้รื่นรมย์

ขุนเขาสิทะมีนดุจเมฆ งามเด่น มีธารน้ำเย็นใจสะอาด ดารดาษด้วยผืนหญ้าแผ่คลุม มีสีเหมือนแมลงค่อมทอง ถิ่นขุนเขาทำใจเราให้รื่นรมย์

ยอดภูผาสูงตระหง่านเทียมเมฆ เขียวทะมึน มองเห็นเหมือนเป็นปราสาท กัมปนาทด้วยเสียงช้างคำรนร้อง เป็นที่ร่าเริง ถิ่นขุนเขาทำใจเราให้รื่นรมย์


รวมความ ดังได้กล่าวแล้ว พระอรหันต์ได้พัฒนาอินทรีย์แล้ว เป็นภาวิตินทรีย์ ท่านเองนอกจากพร้อมที่จะสัมผัสบรรยากาศที่รื่นรมย์ได้โดยฉับพลันแล้ว ถึงแม้ถ้าที่นั้นไม่น่ารื่นรมย์ ท่านก็มองหรือวางใจรื่นรมย์ได้ เมื่อไปในที่รื่นรมย์ ก็รื่นรมย์โดยไม่มีอะไรกีดกั้น แม้ไปในที่วุ่นวาย ก็กลายเป็นทำสถานที่นั้นให้รื่นรมย์ คนใดมาใกล้ หรือได้แวดล้อม ก็พลอยรื่นรมย์ใจ ดังคาถามว่า


"ไม่ว่าบ้าน ไม่ว่าป่า ไม่ว่าที่ลุ่ม ไม่ว่าที่ดอน (พระอรหันต์) ท่านผู้ไกลกิเลส อยู่ที่ไหน ที่นั้นไซร้ เป็นภูมิสถาน อ้นรื่นรมย์"


กายภาวนาเป็นการ พัฒนาพื้นฐานขั้นต้น ซึงจะสำเร็จผลสมบูรณ์เป็นจริง ก็ต่อเมื่อได้พัฒนาจบสิ้น คือบรรลุผลของปัญญาภาวนา แต่เมื่อพัฒนาจบสิ้นสมบูรณ์แล้ว ภาวิตกายก็เป็นด้านที่แสดงผลออกมา ซึ่งปรากฏก่อนนำหน้า หรือที่คนทั่วไปจะสัมผัสได้ง่าย แต่พร้อมกันนั้น ก็มีผลสำแดงอย่างอื่นที่เทียบคล้าย ซึ่งคนทั่วไป ผู้ที่ตนเองมิได้พัฒนาจิตปัญญาศีลและกาย อาจเข้าใจผิด เหมือนถูกพาให้หลงไปได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอนภาวิตกาย :b1:

ยังเหลือ ภาวติศีล ภาวิตจิต และภาวิตปัญญา ซึ่งก็เยอะเหมือนกัน ไม่รู้จะมีแรงโพสต์มั้ย คงต้องรอแรงจูงใจจากสหายอีกนั่นแหละ :b32: เอ้าใครมีอะไรก็ว่ามา ท่านเช่นนั้น มีอะไรจะพูดมั้ย :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย
การแสดง ภาษิต เทศนาแก่ใคร เพื่อประโยชน์ใด ภาษิตนั้น มุ่งหมายสิ่งเดียวกันหรือไม่
กรัชกาย พึงพิจารณาให้ดี
ไม่ใช่ เห็น กายภาวนา จิตตภาวนา ใน มหาสัจจกสูตร ก็เหมาเอาว่า
เป็นการแสดง ภาวิตกายใน ตติยอนาคตสูตรที่ ๙ เช่นเดียวกัน

อย่าเอาพระสูตร มหาสัจจกสูตร มาอธิบายมั่วๆ กับ ตติยอนาคตสูตร เลยกรัชกาย

มหาสัจจกสูตร แสดงการแก้ความเห็นผิดเกี่ยวกับ เรื่องการอบรมกายด้วยการทำตนให้ลำบากบ้าง
ถือวัตรปฏิบัติผิดๆ บ้าง โดยเมื่อกระทำแล้วเป็นการอบรมจิต จิตจะถูกอบรมได้เองโดยการกระทำทางกาย

ซึ่งเมื่อถามถึงวิธีการอบรมจิต พระพุทธองค์ก็ไม่ได้รับคำตอบจากอัคคิเสวนะ
พระพุทธองค์จึงยักเยื้องเรื่อง สมถะวิปัสสนา ออกเป็นการปฏิบัติ เพื่อกายภาวนาและจิตตภาวนา
โดยเล่าเหตุการณ์ต่างๆจนกระทั่งตรัสรู้ จึงเป็นอันว่า

กายภาวนาจิตตภาวนา ก็คือสมถะวิปัสสนา นั่นเอง
ผู้ที่ทำกายภาวนาจิตตภาวนาแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นอันเสร็จกิจ ดำรงอยู่ในวิชชาและวิมุตติ ..


ซึ่งใน ตติยอนาคตสูตร ที่ ๙

เน้น การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

ให้ความสำคัญกับภิกษุผู้ที่จะรักษาพระธรรมวินัยนั้น
ต้อง ปฏิบัติให้เห็นให้ประจักษ์ ขึ้นมาจนเป็นแบบอย่างแก่ผู้ที่จะถูกสั่งสอนต่อไปได้
ด้วยการตั้งตนอยู่ในพระวินัย และต้องศึกษาพุทธภาษิต เพื่อความไม่เลอะเลือนและสามารถทราบว่า
ใครก็ตามกำลังกล่าวตู่ สิ่งที่พระองค์ไม่ได้สอนว่าสอน สิ่งที่พระองค์สอนว่าไม่ได้สอน

ซึ่งสรุปง่ายๆ ก็คือ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็น
ผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด


เป็นใจความสำคัญแห่งการอบรมกาย หรือผู้มีกายอันอบรมแล้ว


การศึกษาพระสูตร กรัชกาย ถึงแม้จะมีการเชื่อมโยง
ก็ให้มีการเชื่อมโยงเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ อย่าเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความเวิ่นเว้อสับสน แก่ผู้อ่าน

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 23:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย
พระพรหมคุณากรณ์ แสดงพระธรรมเทศนา หรือเขียนบทความ
เรื่อง "ความสุขจากอิสรภาพทางปัญญา"
ท่านก็มิได้เจตนา
เป็นอรรถกถา แก่ มหาสัจจกสูตร หรือ ตติยอนาคตสูตรที่ ๙
เจตนา การแสดงของท่าน ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น อย่าทำให้ บทความของท่าน เน่าไปโดยการเชื่อมโยงมั่วๆ ของกรัชกายเลย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร