วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

กุศโลบายเพื่อความสำเร็จ
โดย
อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก


มีคนพูดว่า กุศโลบาย ก็คือการโกหกนั่นเอง แต่คำจำกัดความนี้คงจะ “แรง” ไป สำหรับ คำว่า “กุศโลบาย” เพราะตามศัพท์จริงๆ แปลว่า อุบายหรือวิธีที่ฉลาด วิธีที่ฉลาดไม่จำเป็นต้องเป็นวิธีที่โกหกคดโกงเสมอไป

จริงอยู่วิธีการอาจมองเผินๆ ว่า เป็นการพูด หรือทำ “ไม่ตรง” ตามนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องดูที่เจตนาและผลที่ออกมา ว่าพูดหรือทำด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์หรือไม่ ผลที่ออกมานั้นเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือไม่

ยกตัวอย่างที่ผมชอบยกอยู่เสมอคือ มีแม่ทัพท่านหนึ่งนำกองทัพเข้าสู้รบกับข้าศึก กองทัพของตนมีกำลังน้อยกว่ากองทัพของข้าศึก เหล่าทหารหาญทั้งหลายเห็นดังนั้นก็ขวัญไม่ค่อยจะดี แม่ทัพก็ทราบเรื่องนี้

วันหนึ่ง แม่ทัพก็พานายทหารเข้าไปไหว้พระในโบสถ์แห่งหนึ่งล้วงเหรียญขึ้นมา กล่าวอธิษฐานดังๆ ว่า ถ้ากองทัพของข้าพเจ้าจะรบชนะข้าศึก ขอให้เหรียญนี้ออกหัว ว่าแล้วก็เขย่าเหรียญในมือ โยนลงบนพื้น

เหรียญออกหัว

ท่านแม่ทัพหยิบเหรียญขึ้นมาเขย่า พลางอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สองแล้วโยนลง เหรียญออกหัวเช่นเดิม ท่านทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง เหรียญก็ออกหัวทุกครั้ง เหล่านายทหารทั้งหลายต่างก็ขวัญดีมาเป็นกอง ที่รู้ว่ากองทัพของตนจะชนะ เพียงไม่กี่นาทีข่าวว่ากองทัพของตนจะรบชนะข้าศึก ก็แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ ทหารหาญทั้งหลายต่างฮึกเหิม มีกำลังใจ ถึงคราวรบก็รบกันอย่างอุทิศ จนสามารถเอาชนะข้าศึกได้

นายทหารคนสนิทพูดกับท่านแม่ทัพในวันหนึ่งว่า พระเจ้าอวยพรให้เราชนะก็ชนะจริงๆ แม่ทัพล้วงเหรียญขึ้นมาแบให้นายทหารคนสนิทดู พร้อมกล่าวว่า

“ไม่ใช่ดอกคุณ เหรียญนี้ต่างหากที่ช่วยให้พวกเราชนะ”

ปรากฏว่าเหรียญนั้นมีแต่ “หัว” ทั้งสองด้าน ซึ่งแม่ทัพท่านทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อนำมาใช้ในคราวคับขัน

อย่างนี้ก็เรียกว่า “กุศโลบาย” ของแม่ทัพ จะว่าแม่ทัพท่านโกหกหรือไม่ก็แล้วแต่จะคิด แต่เจตนาของแม่ทัพเป็นกุศลต้องการให้เกิดผลดีแก่ส่วนรวม

ในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ปัญญา อย่างน้อยก็ให้รู้จักวิธีแก้ไขปัญหาและวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จ และก้าวหน้าไปด้วยดี คนทำงานอย่างโง่ๆ ไม่ศึกษาหาความก้าวหน้าในทางความรู้และประสบการณ์ ก็คงไม่ต่างกับตาแก่กับลูกชายจูงลา


ตาแก่คนหนึ่งกับลูกชายอายุประมาณไม่เกิน 10 ขวบ จูงลาผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งชาวบ้านพูดว่า “ดูตาแก่กับลูกชายสิ มีลาอยู่ทั้งตัวจูงตั้งสองคน ทำไมไม่ขี่คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งจูง”

ตาแก่ได้ยินดังนั้น จึงให้ลูกชายขึ้นขี่ลา ตัวเองจูงไปได้หน่อยหนึ่งมีคนพูดว่า “ดูเด็กน้อยคนนั้นสิ นั่งลาสบาย ปล่อยให้พ่ออายุมากแล้วจูง ทรมานคนแก่เปล่าๆ”

คราวนี้ตาแก่ไล่ลูกชายลงตัวเองขึ้นนั่งหลังลาให้ลูกชายจูง ผ่านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านพูดว่า “ดูอีตาแก่คนนั้นสิให้เด็กตัวเล็กๆ จูงลา ตัวเองขี่สบายใจเฉิบ เอาเปรียบเด็กเหลือเกิน”

ตาแก่รีบลงจากหลังลา คิดหนักจะทำอย่างไร จูงทั้งสองคนก็ถูกว่า ให้ลูกขี่ตนจูงก็ถูกว่า ตนขี่ให้ลูกจูงก็ถูกว่า อย่ากระนั้นเลยขึ้นขี่มันทั้งสองคนดีกว่า ว่าแล้วก็บอกให้ลูกขึ้นขี่ลาพร้อมกับตน ลาเดินหลังแอ่นด้วยความหนัก

ชาวบ้านเห็นเข้าก็ชี้ให้กันดูว่า “ดูยายแก่กับเด็กคนนั้นสิ ขึ้นขี่ลาจนมันหลังแอ่น ทารุณสัตว์เหลือเกินนะ”

นิทานก็เป็นเพียงนิทานอาจมิใช่เรื่องจริงก็ได้ แต่ “สาระ” ของนิทานก็มีอยู่ เรื่องนี้ต้องการชี้ว่า ปัญญาความรู้เท่านั้นจะเป็นตัวบอกว่าตาแก่ควรจะทำอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม จะขี่ให้ลูกจูง หรือจะให้ลูกขี่ตัวเองจูง หรือผลัดกันขี่ ความเหมาะสมอยู่ที่ไหน อย่างไร คนมีปัญญาจะรู้เอง เพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตจึงต้องการปัญญา คอยชี้แนะแนวทาง นักสู้ชีวิตควรแสวงหาปัญญาและประสบการณ์ไว้ให้มาก อุบายที่จะนำออกใช้จะได้เป็น “กุศโลบาย” (อุบายอย่างฉลาด) มิใช่อุบายโง่ๆ แบบตาแก่

ชนใดไม่มีดนตรีกาล

ผมเป็นคนชอบฟังดนตรี ฟังเพลง จะเรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจก็ว่าได้ ฟังเป็นอย่างเดียว แต่ร้องไม่เป็น ดนตรีก็ฟังอย่างเดียวเล่นไม่เป็น สิ่งหนึ่งที่ทำเป็นนิสัยก็คือ ฟังเพลงไปด้วยเขียนหนังสือหรืออ่านหนังสือไปด้วย เพื่อนบางคนว่าผมจะมีสมาธิแต่ที่ไหน แต่ผมมีสมาธิในการทำงานครับ ขณะเขียนหนังสือ (ที่จริงพิมพ์ดีด) ก็จดจ่ออยู่ที่เรื่องกำลังพิมพ์ พอละจากการพิมพ์ จิตใจก็จับอยู่ที่เสียงเพลง มันทำงานคนละจังหวะไม่ปนกัน

สมาธิ แปลว่า ความที่จิตมีอารมณ์ (Object) เป็นหนึ่ง ขณะพิมพ์หนังสือดีดต้นฉบับ ใจก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งอยู่กับเรื่องที่พิมพ์ขณะฟังเพลงจิตก็เป็นหนึ่งกับเสียงเพลง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตที่พัฒนาแล้วจะต้องมีลักษณะอย่างใหญ่ๆ คือ

1) ลักษณะนุ่มนวล อ่อนโยน ซึ่งมีคุณธรรม เช่น ความเมตตา กรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเห็นใจคนอื่นเป็นเครื่องสนับสนุน

2) ลักษณะแข็งแกร่ง ซึ่งมีคุณธรรม เช่น ขันติ (ความอดทน) สติ (ความยับยั้งใจ) ปัญญา (ความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิต) เป็นเครื่องสนับสนุน

3) ลักษณะผ่อนคลาย ซึ่งมีคุณธรรม เช่น ปีติ (ความปลื้มใจ) สุข (ความสบายใจ) โสมนัส (ความดีใจ) เป็นเครื่องสนับสนุน

ดนตรีและเสียงเพลง นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตใจมีความผ่อนคลาย สุขสบายหายเครียด พูดอีกนัยหนึ่งก็ว่า การฟังดนตรี การฟังเพลงเป็นประจำ ช่วยสร้างสุขภาพจิตให้ดีขึ้นได้ ขูดชำระความกระด้างสกปรกจากจิตใจได้ ดุจเดียวกับผงซักฟอกซักล้างเสื้อผ้าให้สะอาดฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเหตุนี้ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 จึงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์

ดนตรีหรือเพลง ทำให้จิตใจผู้ฟังอ่อนโยน อ่อนหวาน มีอารมณ์สุนทรีย์ คลายเครียด เมื่อไม่เครียดทำงานอะไรก็ทำด้วยใจรัก มีความสุขในขณะที่ทำไม่รู้เบื่อ งานการที่ทำก็มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

อย่าว่าแต่คนเลย แม้สัตว์มันก็ชอบ เคยได้ฟังนิทานโคนันทวิศาล ตอนเด็กๆ ก็ไม่คิดอะไร พอโตมา มานั่งนึกว่าโคมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันได้ฟังคำพูดที่กรรโชกโฮกฮากจากเจ้าของ ถึงมันไม่เข้าใจ “ความหมาย” ของคำที่พูด (ในนิทานว่ามันฟังรู้ แต่คงไม่รู้ดอก) แต่มันก็คงเดาออกว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีแน่นอน มันจึงโกรธไม่ยอมทำตามที่คนเลี้ยงมันต้องการในที่สุดก็แพ้การพนัน แต่เมื่อเจ้าของพูดด้วยสำเนียงอ่อนหวานไพเราะ มันก็เต็มใจทำงานให้เต็มที่จนเจ้าของชนะการพนัน

นี่แค่คำพูดนะครับ ถ้าเป็นเพลงหรือหรือดนตรีเพราะๆ นันทวิศาลมันคงฟังเพลินมีความสุขใจ และเต็มใจทำงานให้เจ้านายมันแน่

ผมได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า เกษตรกรท่านหนึ่งมีความรู้แค่ประถมสี่ แต่แนวคิดในการพัฒนาการเกษตรของท่านผู้นี้ไม่ต่ำเลย คนจบปริญญายังคิดไม่ได้ดีเท่า

ท่านผู้นี้ชื่อ บุญศรี ปลาทอง จังหวัดอะไรข่าวไม่บอก เลี้ยงไก่ตอนแรกๆ ก็ได้ไข่ไม่มากนัก วันหนึ่งขณะที่แกถือวิทยุเดินฟังเพลงไปฝูงไก่ก็เดินตาม เงี่ยหูฟังเพลงไปด้วย แกก็ได้คิดว่า “ไก่มันชอบฟังเพลงเหมือนกันแฮะ” ตั้งแต่นั้นมาจึงเอาวิทยุไปตั้งไว้ที่เล้าไก่ เปิดเพลงให้พวกมันฟังทุกวัน เพลินเลยเชียวแหละครับ

นายบุญศรีแกค้นพบว่า หลังจากได้ฟังเพลงเป็นประจำ ไม่นานนักไก่ออกไข่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นมานายบุญศรีจึงจัดสถานที่ฟังเพลงให้ไก่อย่างดี เลือกเพลงให้พวกมันฟัง บรรดาไก่ทั้งหลายต่างก็เป็นแฟนนักร้องลูกทุ่งลูกกรุงไปตามๆ กัน มีฝูงไก่มารุมล้อมวิทยุซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ดูแล้วน่ารักจัง

ไก่ยังชอบฟังเพลง ฟังแล้วก็มีความสุข กินอาหารอย่างอร่อยกินอาหารดี สุขภาพดี ก็เลยออกไข่ได้มาก ทำให้นายบุญศรีคนเลี้ยงไก่ได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

นักสู้ชีวิตลองทำอย่างนี้ดูสิครับ หัดฟังเพลง ฟังดนตรี สร้างอารมณ์สุนทรีย์ในใจ บางทีอาจช่วยให้ท่านมีฉันทะในการทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ยิ่งก็เป็นได้


ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3056


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2012, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2014, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b20: ขออนุโมทนาสาธุการค่ะ rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron