วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 23:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ...

ความประมาทนำพาชีวิตไปสู่ความวิบัติได้รวดเร็ว
รุนแรงยิ่งกว่ามะเร็ง...
...
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ฆ่าตัวตายหนีความเจ็บป่วย หนีทุกข์ในชาตินี้ แต่จะไปทุกข์อย่างแสนสาหัสในชาติต่อไปในนรกค่ะ
เพราะนรกนั้นทรมานมาก ความเจ็บป่วย ความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่ได้รับบนโลกมนุษย์นี้เทียบไ่ม่ได้เลย
กับความทรมานที่เกิดขึ้นในนรก ชีวิตหลังความตายไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ทุกข์กายทุกข์ใจในปัจจุบันที่เป็นมนุษย์ค่ะ อย่าได้แม้แต่จะคิดนะคะ เรื่องฆ่าตัวตาย หลังจากตายไปแล้วจะทรมานแสนสาหัสไม่มีว่างเว้นจากความทรมานไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน สัตว์นรกไม่มีเวลาให้นอนหลับ เจ็บป่วยขณะเป็นมนุษย์นั้นยังพองีบหลับพักได้บ้าง

เวลาตกนรกลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่า ไปตกขุมนั้นแล้ว เมื่อพ้นโทษจากขุมนั้นแล้ว หมดแล้วหมดกันนะคะ ไม่ใช่ค่ะ
เมื่อหมดจากขุมใหญ่แล้ว ต้องไปรับโทษจากขุมบริวารให้ครบทุกขุมก่อน แล้วก็เลื่อนระดับไปรับโทษนรกขุมใหญ่ที่รับโทษน้อยกว่า พอพ้นขุมใหญ่นี้ก็ไปขุมบริวารอีกจนครบ แล้วก็ไปรับขุมใหญ่ที่รับโทษน้อยกว่าขุมใหญ่เก่าอีก พอพ้นขุมใหญ่นี้ก็ไปรับโทษขุมบริวารอีก จนกว่าจะเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนพ้นเขตนรก ก็ไปเกิดเป็นเปรต อสุกาย สัตว์เดรัจฉาน ไต่ระดับไปเรื่อยๆ สัตว์เดรัจฉานก็จากสัตว์ป่าดุร้าย เลื่อนๆ ไปเรื่อยจนเป็นสัตว์ที่ใกล้มนุษย์ ใกล้มนุษย์แล้วก็ต้องเลื่อนมาใกล้ธรรมะ เช่นพวกหมาวัด แมววัด พวกนี้ใกล้ได้เป็นมนุษย์แล้วค่ะ(ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นไปโดยส่วนมากค่ะ ที่ส่วนน้อยก็อย่างพระนางมัลลิกาก็ขึ้นจากนรกทันทีได้ค่ะ แต่มีน้อยมากๆ น้อยมากจริงๆ ในกรณีแบบนี้ และอย่างค้างคาว 500 ตัว ที่ยกตัวอย่างมานี้ก็ข้ามขั้นจากมนุษย์ เป็นต้น แล้วไปสวรรค์ทันทีค่ะ)

การไปตกนรกนั้น เหมือนได้ซื้อ 1 แต่ได้โปรโมชั่นเพียบค่ะ บอกชั้นไม่เอาโปรโมชั่นได้มั้ย? ชั้นทำผิดแค่นี้ ตกนรกลงไปรับโทษขุมนี้ พ้นโทษแล้ว จบแล้วจบกัน...ขอบอกว่าไม่ได้ค่ะ ตกนรกแล้วไม่ได้ขึ้นง่ายๆ ไปนรกทั้งที ต้องเที่ยวให้คุ้มค่ะ กว่าจะได้ขึ้นมาจากนรก ก็วนไปเที่ยวทั่วขุมใหญ่ขุมน้อยกว่าจะไต่ระดับขึ้นมาได้ ก็เที่ยวนรกกันชุ่มฉ่ำเลยนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า ทำไมคนจึงนอนเจ็บป่วยทรมาน หรือนอนนิ่งเป็นผักไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากจะตายก็ไม่ตายสักที เป็นเพราะมีกุศล หรือ อกุศล หล่อเลี้ยงให้ยังไม่ตาย ยังนอนทรมานอยู่อย่างนั้น

ขอตอบว่า เป็นผู้มีอกุศลหล่อเลี้ยงให้ยังต้องมีชีวิตอยู่ค่ะ คือให้ได้รับความทรมานอยู่อย่างนั้นต่อไป
จนกว่าอกุศลวิปากจะส่งผลหมด จึงจะตายได้ หรือ อาจจะหายจากโรคนั้นได้ถ้าวิปากดีมาส่งผลต่อทันทีค่ะ

อาแปะคนหนึ่งที่ดิฉันเคยเห็นมากับตา แกเดินไม่ได้มา 9 ปี พอวันหนึ่งแกเจอหมอดีเข้า เดินได้ค่ะ
แกเดินไม่หยุดเลยค่ะ ขณะหมอคุยกับญาติ อาแปะก็เดินไปเดินมาแม้จะเพิ่งเดินเองได้ไม่คล่อง แต่แกก็
เดินด้วยความดีใจ เดินไปพลางก็ยกมือไหว้หมอไปด้วยตลอดค่ะ มือข้างหนึ่งยกเองไม่ได้ก็เอามืออีกข้างหนึ่งจับมือข้างนั้นขึ้นมาไหว้ คนที่หายป่วยได้นี้ ดิฉันว่าดีใจกว่าได้ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าอีกนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโสมฯเขียน

อ้างคำพูด:
เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า ทำไมคนจึงนอนเจ็บป่วยทรมาน หรือนอนนิ่งเป็นผักไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากจะตายก็ไม่ตายสักที เป็นเพราะมีกุศล หรือ อกุศล หล่อเลี้ยงให้ยังไม่ตาย ยังนอนทรมานอยู่อย่างนั้น



เราคิดว่าส่วนหนึ่ง คงจะมาจากการทรมานสัตว์ด้วยค่ะ

ผู้ชายที่อยู่ในหมู่บ้านที่เราอยู่นี่หล่ะค่ะ เค้าเป็นคนมีฐานะ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเห็นเค้าหิ้วไก่เป็นๆ
ออกจากบ้าน พอดีเราเดินผ่านบ้านเค้า
เรายืนคุยกับแฟนเค้า เราก็ถามแฟนเค้าว่า " หิ้วไก่ไปไหนเหรอ"
(เราเห็นไก่มันโดนมัดที่ปีกด้วย)
แฟนเค้าบอก "เอาไปให้พวกคนงาน ซื้อมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว"
(ตอนนั้นเราก็รู้สึกเวทนาไก่ตัวนั้นเลยนะ) จะต้องตายในวันนี้อยู่แล้ว
แต่ต้องนอนทุกข์เวทนา เช้าถึง-เย็น ทั้งน้ำทั้งอาหารไม่ได้กิน เราก็สวดมนต์ให้กับไก่ตัวนั้น
ให้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ช่วยให้ไก่ตัวนั้นได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ

พอผ่านมาได้ซัก1ปีกว่าๆ ผู้ชายคนนั้นก็ป่วยเป็นมะเร็ง เราเห็นแล้วเค้าทรมาน
ถึงจะมีเงินรักษา แต่โรคมะเร็งใครเป็นโรคนี้ก็ต้องทรมาน แต่บางคน
พอรู้ว่าเป็น เค้าก็เสียชีวิตภายในระยะสั้นๆ
แต่ผู้ชายคนนี้ ปีกว่าแล้วค่ะต้องทนทุกข์ทรมาน ทำให้เราเห็นว่าการมีทรัพย์
ไม่ใช่ว่าจะสุขเสมอไป ไม่มีอะไรจะใหญ่ไปกว่ากรรมจริงๆ :b8: :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะเล่าเรื่องความฝันเรื่องหนึ่งให้ฟังค่ะ ต้นเรื่องคือ
มีคนแก่คนหนึ่ง ชอบไปจับไก่ป่าค่ะ(มีฐานะแต่ว่างชอบจับไก่ป่า)
ทีนี้เค้าก็เอาไก่ป่าตัวผู้ตัวหนึ่ง มาให้แฟนเราที่บ้าน พอเค้าไปแล้ว
เราก็บอกให้แฟนเรา เอาไก่ตัวนี้ไปปล่อย แฟนเราก็เอาไก่ไป
เราก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้วค่ะ (ผ่านไป2ปีกว่า แล้วค่ะ)

เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว เราฝันค่ะ ฝันว่าไก่ตัวนี้มาบอกกับเราว่า
"ที่เธอบอกให้แฟนเธอเอาฉันไปปล่อยน่ะ เค้าไม่ได้เอาฉันไปปล่อยนะ
เค้ามีส่วนทำให้ฉันต้องตาย เนี่ยะวิญญานฉันต้องอยู่อย่างทรมานมา2ปีแล้ว
ฉันจะตามอาฆาตเค้า ถึงฉันจะรู้ว่าเธอเป็นคนดี แต่ฉันไม่ปล่อยผู้ชายคนนี้"

พอเราตื่นขึ้นมา เราถามแฟนเรา "ที่เต้บอกให้เอาไก่ป่าไปปล่อย ไม่ได้เอาไก่ไปล่อยใช่มั๊ย"
แฟนเราแปลกใจค่ะ เรารู้ได้ไง แฟนเราอึกๆอักๆ
แฟนเราถาม"เต้รู้ได้ไง" เราก็บอกเราต้องการคำตอบ
แฟนเราบอก เค้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไก่ตัวนั้นถึงตาย เค้าก็เลยโยนทิ้ง
เราถามว่าทำไมลุง...ถึงเอาไก่มาให้ แฟนบอกลุง...บอกว่า เอามาตุ๋นยากินแล้วดี
ก็เลยจะเอามาให้เต้ตุ๋นกิน "

เราฟังแฟนเราพูดแล้วเหนื่อยใจเลยค่ะ สงสารไก่
แฟนเราก็ยังถามอยู่นั่นแหละค่ะ ว่าเรารู้ได้ไง
ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นสัตว์ แต่ในขณะที่เราพูดอะไรกัน
เค้ารู้หมด น่ากลัวนะค่ะ ถึงจะไม่ได้เป็นผู้ฆ่า แต่ก็เป็นผู้สั่ง :b41: :b55: :b47:


แก้ไขล่าสุดโดย bbby เมื่อ 08 ก.พ. 2014, 14:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณโสมฯเขียน

อ้างคำพูด:
เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า ทำไมคนจึงนอนเจ็บป่วยทรมาน หรือนอนนิ่งเป็นผักไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากจะตายก็ไม่ตายสักที เป็นเพราะมีกุศล หรือ อกุศล หล่อเลี้ยงให้ยังไม่ตาย ยังนอนทรมานอยู่อย่างนั้น



เราคิดว่าส่วนหนึ่ง คงจะมาจากการทรมานสัตว์ด้วยค่ะ

ผู้ชายที่อยู่ในหมู่บ้านที่เราอยู่นี่หล่ะค่ะ เค้าเป็นคนมีฐานะ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเห็นเค้าหิ้วไก่เป็นๆ
ออกจากบ้าน พอดีเราเดินผ่านบ้านเค้า
เรายืนคุยกับแฟนเค้า เราก็ถามแฟนเค้าว่า " หิ้วไก่ไปไหนเหรอ"
(เราเห็นไก่มันโดนมัดที่ปีกด้วย)
แฟนเค้าบอก "เอาไปให้พวกคนงาน ซื้อมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว"
(ตอนนั้นเราก็รู้สึกเวทนาไก่ตัวนั้นเลยนะ) จะต้องตายในวันนี้อยู่แล้ว
แต่ต้องนอนทุกข์เวทนา เช้าถึง-เย็น ทั้งน้ำทั้งอาหารไม่ได้กิน เราก็สวดมนต์ให้กับไก่ตัวนั้น
ให้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ช่วยให้ไก่ตัวนั้นได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ

พอผ่านมาได้ซัก1ปีกว่าๆ ผู้ชายคนนั้นก็ป่วยเป็นมะเร็ง เราเห็นแล้วเค้าทรมาน
ถึงจะมีเงินรักษา แต่โรคมะเร็งใครเป็นโรคนี้ก็ต้องทรมาน แต่บางคน
พอรู้ว่าเป็น เค้าก็เสียชีวิตภายในระยะสั้นๆ
แต่ผู้ชายคนนี้ ปีกว่าแล้วค่ะต้องทนทุกข์ทรมาน ทำให้เราเห็นว่าการมีทรัพย์
ไม่ใช่ว่าจะสุขเสมอไป ไม่มีอะไรจะใหญ่ไปกว่ากรรมจริงๆ :b8: :b41: :b55: :b47:


ใช่ค่ะ เนื่องจากการทรมานสัตว์ด้วย
บางคนเจ็บป่วยทรมานมาก แต่ไม่ตาย ที่เห็นว่าคนป่วยทรมานระดับที่เรียกว่าดูแล้วไม่น่าจะรอด แต่รอดคือไม่ตาย แต่ระหว่างเจ็บป่วยนั้นได้รับความทรมานแสนสาหัส ที่เป็นแบบนี้อาจารย์ของดิฉันท่านกล่าวว่า คนๆ นั้นไม่ได้ทำสัตว์ตาย แต่ทรมานสัตว์ วิปากจึงส่งผลให้ตนเองจึงต้องเจ็บป่วยทุกทรมานแต่ไม่ตาย
และวิปากส่งผลให้ทรมานไปเรื่อยๆ แต่ไม่ตาย พออยู่ๆ อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น หายจากเจ็บป่วยก็มีค่ะ

ที่ผู้ชายในหมู่บ้านคุณนั้นเป็นมะเร็ง เพราะเหตุจากอดีตเหตุในชาติก่อนค่ะ ส่วนที่เค้าทรมานมากนั้นเพราะทรมานไก่และฆ่าไก่ในชาตินี้ค่ะ บาปจากที่ทำไก่นี้เป็นอุปถัมภกกรรมค่ะ คือ ช่วยให้เค้าทรมานมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ ที่เค้าเป็นมะเร็งนั้นเป็นอดีตเหตุในชาติก่อนค่ะ แต่ที่ต้องทุกข์ทรมานหนักหนาสาหัสนั้นเป็นเหตุในปัจจุบันชาตินี้ค่ะตามมาส่งผลอุปถัมภ์ให้ทรมานแสนสาหัสมากๆ ก่อนตาย

การทำเหตุไว้ 1 ครั้ง เช่นฆ่าไก่ นั้น ก็จะได้รับผลคือชาตินี้ ชาติหน้า และชาติที่3นับตั้งแต่ชาติที่ทำเหตุจนถึงชาติสุดท้ายที่จะปรินิพพาน

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้เราตื่นเช้าขึ้นมา เจอเหตุการณ์ 2เหตุการณ์ ที่ตรงกันข้ามกัน
เพื่อนอีกคนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อจัดงานวันเกิดให้สามี

เพื่อนอีกคนหนึ่ง ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อพาสามีไปหาหมอ แล้วก็กลับมาจัดงานศพให้สามี
ชีวิตคนเรา วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่เหมือนกันจริงๆ
เหตุการณ์ของชีวิตเปลี่ยนได้ทุกวินาที :b7: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
วันนี้เราตื่นเช้าขึ้นมา เจอเหตุการณ์ 2เหตุการณ์ ที่ตรงกันข้ามกัน
เพื่อนอีกคนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อจัดงานวันเกิดให้สามี

เพื่อนอีกคนหนึ่ง ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อพาสามีไปหาหมอ แล้วก็กลับมาจัดงานศพให้สามี
ชีวิตคนเรา วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่เหมือนกันจริงๆ
เหตุการณ์ของชีวิตเปลี่ยนได้ทุกวินาที :b7: :b41: :b55: :b49:


น่าใจหายเหมือนกันนะคะ เกิดมาเพื่อพบกับความพลัดพราก
แม้แต่ตัวเรา ถ้ารูปชีวิตกับนามชีวิตของเรา พลัดพรากกันเมื่อไหร่ เราเองก็ต้องบ้ายบายเหมือนกันค่ะ :b14:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่กำลังจะตาย พูดถึงแต่แม่น้ำใหญ่ๆ (คิดว่าคงจะหมายถึงทะเล)
เค้าจะไปเกิดเป็นอะไรค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คนที่กำลังจะตาย พูดถึงแต่แม่น้ำใหญ่ๆ (คิดว่าคงจะหมายถึงทะเล)
เค้าจะไปเกิดเป็นอะไรค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


ถ้าเค้าเห็นแม่น้ำ เห็นทะเลกว้างใหญ่ แบบนี้ ไปเกิดเป็นสัตว์น้ำค่ะ

บางคนเห็นทุ่งหญ้า ป่าเขาร่มรื่น เสร็จเลยไปเกิดเป็นสัตว์บกอยู่ในป่า

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2014, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คนที่กำลังจะตาย พูดถึงแต่แม่น้ำใหญ่ๆ (คิดว่าคงจะหมายถึงทะเล)
เค้าจะไปเกิดเป็นอะไรค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:




คาดเดาไม่ได้หรอกคุณเต้

เพราะ ขึ้นอยู่กับเหตุที่เขาได้กระทำไว้


อันนี้เล่าให้ฟังนะ

น้ำเคยไปสถานที่หนึ่ง มีผู้คนมากมาย ที่รอข้ามฟากอยู่

ผู้ที่ยังข้ามไม่ได้ จะมีที่พัก

ที่พัก เป็นตึกสูงสีขาว มีอาการการกิน พร้อมทุกอย่าง เหมือนทางโลก
หน้าตึก มีตัวอะไรหมอบอยู่ข้างหน้าสองตัว(ของคนจีน จำชื่อเรียกไม่ได้)

มีแม่น้ำ มีหาดทรายสีขาว แม่น้ำนั้น มีสีฟ้า เหมือนน้ำทะเล
แต่คิดว่า ไม่ใช่ทะเล เพราะ ไม่มีคลื่น

ผู้ใดที่ได้ไปก่อน( ไปได้ ครั้งละ ๑ คน) จะมีคนพายเรือมารับ
เรือแบบที่มีที่พายอยู่ท้ายเรือ(ยืนพาย)

คนที่ได้ไป จะนั่งข้างหน้า หันหน้าไปด้านหน้า
คนพายเรืออยู่ด้านหลัง

สักพัก เรือจะเหาะพาขึ้นไปข้างบน
คนพายที่อยู่ท้ายเรือ จะหายไป



ตั้งใจทำความเพียรเถอะคุณเต้

เรื่องของคนอื่น ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ หรือ ตายไปแล้ว อย่าเสียเวลาไปคิดแทน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำเขียน

อ้างคำพูด:
คาดเดาไม่ได้หรอกคุณเต้

เพราะ ขึ้นอยู่กับเหตุที่เขาได้กระทำไว้


อันนี้เล่าให้ฟังนะ

น้ำเคยไปสถานที่หนึ่ง มีผู้คนมากมาย ที่รอข้ามฟากอยู่

ผู้ที่ยังข้ามไม่ได้ จะมีที่พัก



สิ่งที่คุณน้ำเจอ คล้ายๆกับที่เราเคยเจอเลยค่ะ
ตอนพ่อแฟนเสียคืนแรกเลย เราก็ฝันว่าเราเห็นพ่อแฟนเรา กับคนอื่นๆหลายคนนะ
เหมือนพวกเค้ายืนรออะไรอยู่ ที่ตรงนั้นก็เป็นแม่น้ำใหญ่มากกกกก

ตอนที่เพื่อนบอก เค้าไม่เข้าใจ ทำไมแฟนเค้าพูดแต่คำว่า " ต้าเหอ ๆๆๆ " (คือแม่น้ำใหญ่)
เราลืม พอคุณน้ำเขียนเราก็เลยนึกได้ เราคิดว่าทุกวิญญาน
คงจะไปคนละแห่ง แล้วแต่เหตุของใครสร้างกันมาอย่างไร

ถ้าอย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านพาเราไปดู วิญญานที่จะได้ไปสวรรค์นั้น
มีแค่ไม่กี่คนค่ะ ถ้าเป็นคนมีอายุ ก็แต่งกายเหมือนที่พวกเค้าแต่งตัวไปวัด
ที่เราจำได้น่ะค่ะ มีพระ1รูป- เณร1รูป มีใส่ชุดข้าราชการ คงจะไม่เกิน2-3คน
แล้วก็คนแก่ ดูๆแล้วไม่น่าจะถึง10คน พวกเค้าไปยืนรอประตูสวรรค์เปิด

หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอกว่า พวกนี้ตอนเป็นมนุษย์ทำบุญ-สวดมนต์-นั่งสมาธิ
ตายไปก็เลยได้ไปสวรรค์ ท่านบอกว่าท่านพาเรามาดู เพื่อที่จะได้รู้ว่า
การทำบุญนั่งสมาธิสวดมนต์นั้น ตายไปได้ไปสวรรค์
เรายังจำได้ ท่านบอกว่าการนั่งสมาธิของเรานั้น ยังไม่ถึงขั้น
ที่ท่านจะพาเราไปเที่ยวในสวรรค์ได้ ท่านบอกว่า ถ้าเรานั่งสมาธิ
ถึงขั้นที่จะไปท่องเที่ยวในสวรรค์ได้นั้น ท่านจะมารับไปเที่ยวในสวรรค์
แต่การนั่งสมาธิของเรายังไม่ถึงขั้นนั้น

ไม่แน่นะ การที่เราคุยๆกันเรื่องแม่น้ำใหญ่ อาจจะมีเทพองค์ใด
เฉลยปริศนาเรื่องนี้ให้รู้ก็ได้ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2014, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องเป็นคนที่กำลังจะตายเห็นค่ะ

ไม่ใช่ความฝันของญาติผู้ตาย หรือ ความฝันของตนเองแต่ก็ยังไม่ได้ตาย

คตินิมิตอารมณ์ต้องเห็นโดยผู้ที่จะตายจริงๆ

จะเห็นภพภูมิใหม่ที่ตนกำลังจะไปเกิดค่ะ

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

ในมหากัมมวิภังคสูตร (๑๔/๖๑๒)

พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกการให้ผลของกรรม แบ่งเป็น ๔ ประเภทคือ

๑. บางคนทำชั่ว ตายแล้วไปอบายก็มี เพราะกรรมชั่วที่ทำไว้ในชาตินี้ให้ผล
ทั้งต้องรับผลในชาติหน้าและชาติต่อๆไปด้วย

๒. บางคนทำชั่ว ตายแล้วไปสุคติก็มี เพราะกรรมดีที่เคยทำไว้ก่อนๆ ให้ผล ส่วนกรรมชั่วในปัจจุบันยังไม่ให้ผล หรือเวลาใกล้ตาย มีความเห็นชอบ จึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

๓. บางคนทำดี ตายแล้วไปสวรรค์ก็มี เพราะกรรมดีที่ทำไว้ชาตินี้ให้ผล
ทั้งจะให้ผลในชาติหน้าและชาติต่อๆ ไปด้วย

๔. บางคนทำดี ตายแล้วไปอบายก็มี เพราะกรรมชั่วที่เคยทำไว้ก่อนๆให้ผล ส่วนกรรมดีในปัจจุบันยังไม่ให้ผล หรือเวลาใกล้ตาย มีความเห็นผิด จึงไปเกิดในอบาย

รูปภาพ


นรกสวรรค์ ๓ ประเภท

พุทธศาสนาสอนว่า นรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง และได้แบ่งแยกนรกสวรรค์ไว้เป็น ๓ ประเภทคือ

๑. สวรรค์ในอกนรกในใจ ได้แก่อารมณ์ทางทวารทั้ง๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าได้เสพอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่พออกพอใจแล้ว ก็เรียกว่า สวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ที่เสพไม่เป็นที่พอใจ ก็ถือว่าเป็นนรก เป็นนรกสวรรค์ที่เห็นกันได้ในปัจจุบันนี้ ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

๒. นรกสวรรค์ในโลกนี้ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ได้แก่ความเป็นอยู่ภายนอกของมนุษย์ในโลกนี้ ที่มีความมั่งมีศรีสุข มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ มีเครื่องใช้สอยประณีตเหนือมนุษย์สามัญ มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ มีเครื่องใช้สอยประณีตเหนือมนุษย์สามัญ มีความเป็นอยู่สะดวกสบายราวกับอยู่ในสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าเกิดมายากจน ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร บ้านก็ไม่มีต้องเที่ยวเร่ร่อนไป มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากแค้น หรือมีโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย เป็นคนพิการตาบอด หูหนวก บ้าใบ้ ง่อยเปลี้ยเสียขา อยู่อย่างทรมานไปวันๆอย่างนี้ก็เรียกว่า นรก

๓. นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลก(โลกอื่น) มองไม่เห็นด้วยตา ได้แก่สวรรค์ที่เป็นโลกจริงๆ มีเทวดาอยู่เป็นตัวเป็นตน เสวยสุขอยู่จริงๆ และนรกที่เป็นโลกจริงๆ มีสัตว์นรกที่กำลังเสวยทุกข์อยู่จริงๆ นรกสวรรค์ประเภทนี้ สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่รับรองว่า โลกเรานี้เป็นสะเก็ดที่แตกออกมาจากดาวพระเคราะห์ดวงมหึมา นอกจากโลกเราแล้ว ยังมีดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆอีก ที่คล้ายคลึงกับโลกเรา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ดังปรากฏอยู่ในท้องฟ้าเวลากลางคืน ดาวพระเคราะห์เหล่านั้นอาจจะมีสิ่งมีชีวิต ที่เป็นอยู่ด้วยความลำบากยากแค้น ยิ่งกว่าคนลำบากที่สุดในโลกของเรา อาหารก็ไม่ดี อุณหภูมิก็ไม่ดี ดินฟ้าอากาศก็ไม่ดี นี่แหละนรกที่เป็นโลกอื่น

:b8: :b8: :b8:
หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

เราคิดว่าทุกวิญญาน คงจะไปคนละแห่ง แล้วแต่เหตุของใครสร้างกันมาอย่างไร




หวังว่า คุณเต้ คงเข้าใจเรื่องของ ความตาย มากขึ้นว่า

ไม่ควรไปคาดเดาเอาเองว่า คนอื่น ตายแล้วไปไหน
ไม่ว่า คนนั้นก่อนตาย เขาเห็นอะไรก็ตาม

อย่าไปคาดเดาเอาเองว่า การเห็นแบบนั้น ก่อนตาย
เมื่อตายไปแล้ว จะต้องเป็นอย่างงั้น อย่างงี้



bbby เขียน:
ไม่แน่นะ การที่เราคุยๆกันเรื่องแม่น้ำใหญ่ อาจจะมีเทพองค์ใด
เฉลยปริศนาเรื่องนี้ให้รู้ก็ได้ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b47:


เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม ถ้ามีเหตุจะให้รู้ เดี๋ยวรู้เอง ไม่ต้องไปถามใคร
สุดท้าย พอรู้แล้ว ก็งั้นๆ เพราะ เป็นเรื่องของคนอื่น

เรื่องการเจ็บป่วย และการดำเนินชีวิต ของคนอื่นด้วย
อย่าไปคาดเดเอาเองว่า จะต้องเกิดจากสิ่งนั้น สิ่งนี้
เพราะเป็นการนำเหตุของคนอื่น มากระทำให้เป็นเหตุ ให้เกิดขึ้นใหม่ ของตัวเอง

สิ่งที่สำคัญ คือ เรื่องของตัวเอง ดูตัวเองให้ทันในเรื่องการสร้างเหตุ
เวลาที่เกิดความคิด และก่อนที่จะก้าวล่วงออกมาทาง วจีกรรม กายกรรม แม้เป็นทางตัวหนังสือก็ตาม


หากคุณเต้ อยากเล่าเรื่องอะไรก็ตาม แค่เล่าปกติ อย่าใส่ความคาดเดาเอาเองว่า
เพราะ ทำแบบนี้ จึงต้องเป็นแบบนี้(เที่ยง)

เป็นการสร้างเหตุ เพราะ สิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ให้เกิดขึ้นทันที
ส่วนผลให้ได้รับ มีเกิดขึ้นแน่นอน(ผัสสะ) เพียงแต่ จะรู้หรือยังเท่านั้นเอง

ทุกสิ่งไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับเหตุที่เคยทำ และ เหตุที่กระทำให้เกิดขึ้นใหม่

กรรมที่ทำแล้วนั้นๆ เมื่อส่งผล
หากรู้เท่าทัน(ผัสสะ) ไม่สานต่อ สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมจบลงเองตามเหตุปัจจัย
หากยังไม่รู้(ผัสสะ) ก็หลงสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นอีก



ชีวิตที่เหลืออยู่ ควรใช้ให้คุ้มค่านะคุณเต้
อย่าเสียเวลากับเรื่องนอกตัว(วิพากย์ วิจารณ์ คาดเดา)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันนี่ชอบจังเลยค่ะ ใครที่ทำกุศลไว้ดีแล้ว เวลาตายมีอะไรมาบ่งบอกให้รู้ว่าเค้าไปภพภูมิไหน
อย่างเช่นท่านธัมมิกอุบาสก และ พระเจ้าทุฏฐคามิณิ เมื่อใกล้ตายมีคตินิมิตดีมาปรากฏ

เป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ และเป็นการยืนยันในคำสอนของพระพุทธองค์เรื่อง กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์ ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย

ใครเป็นไงไม่รู้นะ แต่ดิฉันเป็นอย่างนี้ค่ะ :b16:

:b4: คำถามยามบ่ายค่ะ ถามเองตอบเองค่ะ

อะไรเอ่ย ตัวร้ายที่ขวางการปฏิบัติวิปัสสนาแบบเนียนๆ ?
ตอบ ตัวมานะค่ะ อย่าไปเปรียบเทียบตนว่าเหนือกว่าใครเลยนะคะ ขวางทางวิปัสสนาค่ะ

ยึดแบบไม่ยึค แก้ยาก เหมือนกันนะคะ นักปฏิบัติก็ควรจะระวังไว้ด้วยเช่นกันค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :b3:

ไปเยี่ยมชมกระทู้ความรักความพลัดพรากก่อนนะคะ

เรื่องช่วยชาวบ้านคลายทุกข์ คืองานของเราค่ะ บังเอิญ ได้เป็น จนท.ห้องค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร