วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ช้อย เขียน:
งั้น รบกวนสอบถาม ทั่น จขกท. และผู้รู้ ในห้องนี้
เกี่ยวกับเรื่อง ศีล 5 ของโสดาบัน ที่ อ่านแล้ว คาใจ มานานแล้ว หน่อยค่ะ
ก็ ไอ้เรื่อง โสดาบัน เมียนายพราน ที่ยื่นธนู ให้ผัว เอาไปล่าสัตว์ อ่ะค่ะ s006

ตกลง ไอ้ที่ เจ้าหล่อนทำอยู่ นั้น
มันเป็นการสนับสนุน การฆ่าการเบียดเบียน ชีวิตอื่นไหมคะ ?
แล้ว การกระทำเช่นนี้ จัดเป็น สัมมาฯ หรือคะ ?
แล้วงี้ ศีลของ โสดาบัน นางนี้ จะไม่ ถลอก หรอคะ

คือ ถ้า ไม่รู้ว่า เอาไป ล่าสัตว์ แล้ว ยื่นให้ ก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่ ดูจาก อายุสมองแล้ว เจ้าหล่อน ก็ คงไม่ ไร้เดียงสา
จนไม่รู้ว่า ผัวตัวเอง จะเอาอาวุธไปทำอะไร หรอกนะ
และ หากเอา หลัก สัมมัปปทาน 4 มาจับ มันก็ แม้ง ๆ อยู่นะ

เนี่ย ขนาดอิฉัน ภูมิศีล น่าจะ ต่ำกว่ายายโสดาบัน คนนั้น มากมาย
แต่ แค่คิดจะซื้อ หุ้นเกี่ยวกับการทำธุรกิจเบางประเภท
ที่เกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงสัตว์แล้วฆ่ามาขายเป็นอาหาร
หรือ เดินเหยียบหญ้า เบียดเบียนชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย
อิฉันยังตะขิดตะขวงใจที่จะทำเลย

แล้วทำไมยัยโสดาบันนั่น ถึง ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยล่ะ
(หรือว่า เค้า สะกดคำว่า หิริโอตตัปปะ ไม่เป็น คะ ? :b21: )

รูปภาพ


ยัยเปรต....

รู้เรื่องนี้ได้.....ก็ต้องรู้เรื่องที่พระพุทธองค์...วิสัชนาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน...
เมื่อรู้แล้ว....ยังไม่เชื่อ....
และ...ไม่เชื่อ..ไม่พอ....ยังไม่พิจารณา..ไม่ทำให้ถึงด้วยตัวเอง...กลับมาแสดงทางกาย..วาจา..ของเปรต..ซะเนี้ย

ภพของเปรต....เป็นของสากล...เป้นได้ทุกศาสนา....อย่าคิดว่าอยู่ศาสนาอื่นแล้ว..จะรอดนะ...

นางเปรต....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ช้อย เขียน:
งั้น รบกวนสอบถาม ทั่น จขกท. และผู้รู้ ในห้องนี้
เกี่ยวกับเรื่อง ศีล 5 ของโสดาบัน ที่ อ่านแล้ว คาใจ มานานแล้ว หน่อยค่ะ
ก็ ไอ้เรื่อง โสดาบัน เมียนายพราน ที่ยื่นธนู ให้ผัว เอาไปล่าสัตว์ อ่ะค่ะ s006

ตกลง ไอ้ที่ เจ้าหล่อนทำอยู่ นั้น
มันเป็นการสนับสนุน การฆ่าการเบียดเบียน ชีวิตอื่นไหมคะ ?
แล้ว การกระทำเช่นนี้ จัดเป็น สัมมาฯ หรือคะ ?
แล้วงี้ ศีลของ โสดาบัน นางนี้ จะไม่ ถลอก หรอคะ


ศีล๕เป็นข้อห้าม นั้นหมายความว่า ห้ามไม่ให้เกิดการกระทำทาง...กายและวาจา
พระโสดาบันท่านไม่ได้รักษาศีล๕หรือสมาทานศีล๕ ศีลของท่านเรียกว่า...ศีลพรหมจรรย์
ศีลพรหมจรรย์ เป็นหลักในการปฏิบัติของเหล่าอริยชน ในศีลพรหมจรรย์ยังมีส่วยย่อยอีก
นั้นก็คือ สัมมัปปทาน๔

ถ้าเราเอาพุทธพจน์ที่ว่าด้วย"ศีล" มาอธิบายความ ศีลหมายถึงความปกติของกายและวาจา
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนในเรื่องของศีลข้อห้าม แต่พระพุทธองค์สอนแต่ศีลที่เป็นการปฏิบัติ

เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงสอน ล้วนเป็นเรื่องของจิตใจ
การกระทางกายและวาจา มันเกิดจากใจ ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเน้นก็คือ
การปฏิบัติเพื่อละอกุศลและกุศลให้เกิด กุศลและอกุศลเป็นเรื่องของจิตใจ

การทำให้จิตใจให้เป็นกุศล การกระทำทางกายและวาจา
ย่อมต้องเป็นกุศลไม่ว่าจะเกิดในลักษณะใด
จิตใจที่เป็นอกุศลก็เช่นกัน เมื่อจิตเป็นอกุศลกายและวาจาย่อมเป็นอกุศล
นี่แหล่ะจึงเรียกศีลว่า..."ความปกติ" ทางจิตอกุศล กายและใจก็อกุศล
ถ้าจิตเป็นกุศลกายและใจก็เป็นกุศล ท่านเรียกว่าความปกติของเหตุปัจจัย
:b13:

การเอาเรื่องของเมียนายพรานที่เป็นโสดาบัน ไปพิจารณาว่าผิดศีลในข้อปาณาฯหรือไม่
มันเป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงระดับความเข้าใจธรรม
นั้นหมายความว่า.....มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ย ยิ่งถ้าใครบอกว่า....เมียนายพรานผิดศีลข้อห้าม
ได้ยินแล้วอยากเอาพระไตรปิฎกฟาดกระบาลจริงๆ

โสดาบันจะกระทำใดๆ การกระทำย่อมต้องเกิดจาก จิตที่เป็นกุศล
เพราะท่านยึดความเพียรในเรื่องสัมมัปปทาน๔
ถ้ายังไม่เข้าใจว่า จิตของเมียนายพรานเป็นกุศลอย่างไร ก็ดูจากการที่นาง
หยิบธธนูหน้าไม้ส่งให้สามี ในฐานะที่เป็นภรรยา ภรรยามีหน้าที่ช่วยเหลือสามี
จิตของนางเป็นเพียงการทำหน้าที่ของภรรยา คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่นายพรานแต่เป็นสามี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ช้อย เขียน:
เนี่ย ขนาดอิฉัน ภูมิศีล น่าจะ ต่ำกว่ายายโสดาบัน คนนั้น มากมาย
แต่ แค่คิดจะซื้อ หุ้นเกี่ยวกับการทำธุรกิจเบางประเภท
ที่เกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงสัตว์แล้วฆ่ามาขายเป็นอาหาร
หรือ เดินเหยียบหญ้า เบียดเบียนชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย
อิฉันยังตะขิดตะขวงใจที่จะทำเลย

แล้วทำไมยัยโสดาบันนั่น ถึง ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยล่ะ
(หรือว่า เค้า สะกดคำว่า หิริโอตตัปปะ ไม่เป็น คะ ? :b21: )


มันเป็นคนล่ะเรื่องว่อย! ผัวเมียมันเป็นคนล่ะคนกัน การกระทำที่เกิดจากจิตมันก็เป็นคนล่ะจิต
การกระทำของผัวเป็นปุถุชน นั้นคือการฆ่า มันผิดศีล
แต่การกระทำของเมียเป็นโสดาบัน นั้นคือการปรนนิบัติสามี
เป็นสัมมาศีล(สัมมาอาชีวะและสัมมากัมมันตะ)

มองในมุมกลับกัน ถ้าสามีที่เป็นปุถุชนยื่นหน้าไม้ ให้ใครก็ได้เพื่อให้เขาไปล่าสัตว์
สามีก็ผิดศีลในข้อปาณาฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ช้อย เขียน:
งั้น รบกวนสอบถาม ทั่น จขกท. และผู้รู้ ในห้องนี้
เกี่ยวกับเรื่อง ศีล 5 ของโสดาบัน ที่ อ่านแล้ว คาใจ มานานแล้ว หน่อยค่ะ
ก็ ไอ้เรื่อง โสดาบัน เมียนายพราน ที่ยื่นธนู ให้ผัว เอาไปล่าสัตว์ อ่ะค่ะ s006

ตกลง ไอ้ที่ เจ้าหล่อนทำอยู่ นั้น
มันเป็นการสนับสนุน การฆ่าการเบียดเบียน ชีวิตอื่นไหมคะ ?
แล้ว การกระทำเช่นนี้ จัดเป็น สัมมาฯ หรือคะ ?
แล้วงี้ ศีลของ โสดาบัน นางนี้ จะไม่ ถลอก หรอคะ


คือ ถ้า ไม่รู้ว่า เอาไป ล่าสัตว์ แล้ว ยื่นให้ ก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่ ดูจาก อายุสมองแล้ว เจ้าหล่อน ก็ คงไม่ ไร้เดียงสา
จนไม่รู้ว่า ผัวตัวเอง จะเอาอาวุธไปทำอะไร หรอกนะ
และ หากเอา หลัก สัมมัปปทาน 4 มาจับ มันก็ แม้ง ๆ อยู่นะ

เนี่ย ขนาดอิฉัน ภูมิศีล น่าจะ ต่ำกว่ายายโสดาบัน คนนั้น มากมาย
แต่ แค่คิดจะซื้อ หุ้นเกี่ยวกับการทำธุรกิจเบางประเภท
ที่เกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงสัตว์แล้วฆ่ามาขายเป็นอาหาร
หรือ เดินเหยียบหญ้า เบียดเบียนชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย
อิฉันยังตะขิดตะขวงใจที่จะทำเลย

แล้วทำไมยัยโสดาบันนั่น ถึง ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยล่ะ
(หรือว่า เค้า สะกดคำว่า หิริโอตตัปปะ ไม่เป็น คะ ? :b21: )

รูปภาพ


เหมือนแม่ให้เงินลูก ..

รู้อยู่ว่าลูกเอาไปซื้อเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ถามว่า
แม่เป็นใจสนับสนุนลูก ให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ..

แม่คงหวังว่า วันหนึ่งลูกจะกลับตัวกลับใจ
เป็นคนดีได้ ฉันนั้นก็เหมือนกัน ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
หลายท่านที่เมื่อได้มาศึกษา สนทนาธรรมในลานธรรมอันมากหลากหลายไปด้วยความเห็น(ทิฏฐิ)นี้ บางทีก็อาจมึนงง บางทีก็อาจจะหลงกลัว เห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสิ่งที่ยากเกินไปจนพ้นวิสัยของคนปัจจุบันที่จะะเข้าถึงได้ ยิ่งมาเจอภาษาบาลีที่ไม่คุ้น เจอพระไตรปิฎกที่บอกว่ามีตั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ เลยอาจพาลท้อแท้ไม่อยากเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ

ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องการบรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ยิ่งมีความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เสียเลยสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้บวชเป็นพระ

แต่ท่านทั้งหลายเคยได้ทราบไหมว่า....."ศีล 5 โสดาบัน"

เพียงประพฤติศีล 5 ให้ดี ไม่มีด่างพร้อยก็อาจน้อมนำให้ท่านสามารถบรรลุถึงธรรม บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน เป็นอริยบุคคลชั้นต้น จนเป็นเหตุปัจจัยส่งต่อขึ้นไปให้ถึงความเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุดได้

มีตัวอย่างบุคคลที่ได้บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้นต้นไปจนถึงชั้นสูงสุดได้ ในเครื่องแต่งกายเสื้อสองแขน ผมยาว กินข้าว 3 มื้อ เหมือนคนธรรมดาทั่วไปดังเช่น

นางวิสาขา อนาบิณฑกะเศรษฐี สันตติอำมาตย์ องคุลีมาล พระเจ้าสุทโธทนะ....พาหิยะชีเปลือย และอีกมากมายหลายท่านที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์พระสูตร ลองไปค้นหามาอ่านกันดูนะครับ

เพียงแค่รักษาศีล 5 ให้ดี แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เราจะได้สนทนา วิจารณ์ วิจัยกันต่อไปในกระทู้นี้ครับ

วัตถุประสงค์ของกระทู้นี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่ได้โชคดี

มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์

ได้พบพระพุทธศาสนา

ได้ศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เข้าใจแล้ว ได้น้อมนำเอามาปฏิบัติ ฝึกหัด ขัดเกลา ชำระกาย ใจ เพื่อให้ถึงความขาวรอบ อันเป็นข้อที่ 3 ในโอวาทปาติโมกข์ หรือสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าให้ ละชั่ว ทำดี เพียรชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา


ให้ทุกคนได้รู้ว่า ใครก็ตามที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีอาการครบ 32 มีสติปัญญาดีสมบูรณ์ ย่อมมีสิทธิ์และสามารถที่จะพัฒนาตนจากปุถุชนคนธรรมดาไปสู่ความเป็นอริยชน พ้นทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิดได้ในชาตินี้เหมือนกับเกิดมาแล้วได้บัตรผ่านประตู หรือพาสปอร์ตเพื่อเข้าสู่นิพพานทุกคน มีแต่ว่าใครจะใช้บัตรผ่านประตูหรือพาสปอร์ตนั้นหรือไม่อย่างไรเท่านั้นเอง

onion onion onion onion



พูดมาซ่ะยืดยาว ถามหน่อยเถอะ ตอนพิมพ์ชื่อ...องคุลีมาล
ไม่รู้สึกเลยหรือว่า ไอที่เราพิมพ์มาทั้งหมดน่ะ.......
มันมั่วตั้งแต่เริ่มแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณสมบัติของบุคคลโสดาบัน


คุณสมบัติของบุคคลโสดาบัน เท่าที่รู้กันดีโดยทั่วไป ก็คือ การละสังโยชน์ ๓ ข้อต้น (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส) ได้ ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติฝ่ายลบ หรือฝ่ายหมดไป แต่ความจริง มีคุณสมบัติฝ่ายบวกหรือฝ่ายมีด้วย และตามหลักฐานปรากฏว่า ท่านเน้นคุณสมบัติฝ่ายมีเป็นอย่างมาก

คุณสมบัติฝ่ายมีนั้น มีหลายอย่าง แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป ก็รวมอยู่ในหลักธรรมสำคัญสำหรับตั้งเป็นเกณฑ์ได้ ๕ อย่าง คือ ด้านศรัทธา ด้านศีล ด้านสุตะ ด้านจาคะ ด้านปัญญา

แต่ที่นี้ จะนำคุณสมบัติฝ่ายบวก หรือ ฝ่ายมี คือศรัทธา ศีล ปัญญา ที่ได้ยินได้ฟังก่อนบ่อย เฉพาะสาระสำคัญ ดังนี้


๑. ด้านศรัทธา: เชื่อมีเหตุผล เชื่อมั่นในความจริง ความดีงาม และกฎธรรมดาแห่งเหตุและผล มั่นใจในปัญญาของมนุษย์ที่จะดับทุกข์หรือแก้ไขปัญหาได้ตามทางแหลุผล และเชื่อในสังคมที่ดีงามของมนุษย์ซึ่งจะเจริญงอกงามขึ้นได้ตามแนวทางเช่นนั้น ความเชื่อมันนี้แสดงออกด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นด้วยปัญญาในพระรัตนตรัย เป็นศรัทธาซึ่งแน่วแน่ มั่นคง ไม่มีทางผันแปร เพราะเกิดจากญาณ คือความรู้ ความเข้าใจ


๒. ด้านศีล: มีความประพฤติ ทั้งทางกาย วาจา และการเลี้ยงชีพ สุจริต เป็นที่พอใจของอริยชน มีศีลที่เป็นไท* คือเป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของตัณหา ประพฤติตรงตามหลักการ ตามความหมายที่แท้ เพื่อความดี ความงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความขัดเกลาลดกิเลส ความสงบใจ เป็นไปเพื่อสมาธิ โดยทั่วไปหมายถึงศีล ๕ ที่ประพฤติอย่างถูกต้อง จัดเป็นขั้นที่บำเพ็ญศีลได้บริบูรณ์


(* ศีลที่เป็นไท ไม่เป็นทาสของตัณหา คือมิได้ประพฤติเพื่อหวังผลตอบแทน เช่น โลกิยสุข การเกิดในสวรรค์ เป็นต้น อนึ่ง พึงระลึกว่า ศีลรวมถึงสัมมาชีพด้วยเสมอ

บรรดาคำบาลีแสดงลักษณะศีลของพระโสดาบันนั้น มีอยู่ ๒ คำ ที่นิยมนำมาใช้เรียกในภาษาไทย คือ อริยกันตศีล แปลว่า ศีลที่พระอริยะใคร่หรอชื่นชม คือ เป็นที่ยอมรับของอริยชน และอปรามัฏฐศีล แปลว่า ศีลที่ไม่ถูกจับฉวย ท่านให้แปลว่า ศีลที่ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิจับฉวย คือ ไม่เปรอะเปื้อนหรือมีราคีด้วยตัณหาและทิฏฐิ (= บริสุทธิ์) ( ศีลที่ไม่ถูกถือมั่น หรือศีลที่ไม่ต้องยึดมั่น หมายความว่าเป็นศีลที่เกิดจากคุณธรรมภายใน ไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้ละเมิด จึงเป็นไปเองเป็นปกติธรรมดา โดยไม่ต้องคอยยึดถือเอาไว้)


๕. ด้านปัญญา มีปัญญาอย่างเสขะ คือรู้ชัดในอริยสัจ ๔ มองเห็นปฏิจจสมุปบาท เข้าใจไตรลักษณ์ คือ อนิจจตา ทุกขตา และอนัตตตา เป็นอย่างดี จนสลัดมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายในรูปแบบต่างๆ ได้สิ้นเชิง หมดความสงสัยในอริยสัจทั้ง ๔ นั้น เรียกตามสำนวนธรรมว่า เป็นผู้รู้จักโลกแท้จริง


๖. ด้านสังคม* พระโสดาบันเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับสร้างความสามัคคี และเอกภาพของหมู่ชน ที่เรียกว่า "สาราณียธรรม" ได้ครบถ้วยบริบูรณ์ เพราะสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักข้อสุดท้ายที่ท่านถือว่าเป็นดุจยอดที่ยึดคุมหลักข้ออื่นๆเข้าไว้ทั้งหมด กล่าวคือ ข้อว่าด้วยทิฏฐิสามัญญตา

สาราณียธรรมมี ๖ ข้อ คือ

๑) เมตตากายกรรม: แสดงออกทางกายด้วยเมตตา เช่น ช่วยเหลือกัน และแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน

๒) เมตตาวจีกรรม: แสดงออกทางวาจาด้วยเมตตา เช่น บอกแจ้งแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพต่อกัน

๓) เมตตามโนกรรม: คิดต่อกันด้วยเมตตา เช่น มองกันในแง่ดี คิดทำประโยชน์แก่กัน ยิ้มแย้มแจ่มใส

๔) สาธารณโภคี: แบ่งปันลาภอันชอบธรรม เฉลี่ยเจือจานให้ได้มีส่วนร่วมทั่วกัน

๕) สีลสามัญญตา: มีความประพฤติสุจริตเสมอกับผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจของหมู่

๖) ทิฏฐิสามัญญตา: มีความเห็นขอบร่วมกับเพื่อนร่วมหมู่ ในอารยทฤษฎี ซึ่งนำไปสู่การกำจัดทุกข์


ในข้อที่ชี้แจงความหมายของอารยทฤษฎี หรือทิฏฐิที่เป็นอริยะ ในข้อ ๖ นั้น มีลักษณะที่เป็นธรรมดาของพระโสดาบัน ซึ่งควรนำมากล่าวในที่นี้ ๒ อย่าง คือ

๑. เป็นธรรมดาของบุคคลโสดาบันที่ว่า เมื่อต้องอาบัติ (ละเมิดวินัย) ซึ่งแก้ไขได้ ก็จะรีบเปิดเผยแสดงให้พระศาสดาหรือเพื่อนร่วมหมู่คณะที่เป็นวิญญูได้ทราบทันที แล้วสังวรต่อไป เปรียบเหมือนเด็กอ่อนแบเบาะเหยียดมือหรือเท้าไปถูกถ่านไฟเข้าจะรีบชักกลับทันที

๒. เป็นธรรมดาของบุคคลโสดาบันที่ว่า ทั้งที่เป็นผู้เอาใจใส่คอยขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระทั้งหลาย ทั้งงานสูงงานต่ำ ทั้งเรื่องใหญ่เรื่องย่อย ของเพื่อร่วมหมู่คณะ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีความใฝ่ใจอย่างแรงกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาไปด้วย เหมือนแม่โคลูกอ่อน เล็มหญ้ากินไป ก็คอยแลระวังลูกน้อยไปด้วย คือ ทั้งช่วยส่วนรวม ทั้งคอยฝึกตนให้ก้าวหน้าต่อไปในมรรค

(* ความจริงคุณสมบัติที่เป็นส่วนพิเศษนี้ เป็นเรื่องของ (สัมมา) ทิฏฐิ ซึ่งจัดเข้าในข้อปัญญานั่นเอง แต่ในที่นี้เห็นว่ามีความยาว จึงแยกออกมาเป็นอีกข้อหนึ่ง สูตรนี้ เรื่องเดิมพระพุทธเจ้าตรัสสำหรับพระโสดาบันที่เป็นพระภิกษุ แต่ก็พึงยักใช้กับคฤหัสถ์ได้, ข้อความของสูตรนี้ยาวมาก จึงไม่คัดมาลง (เกี่ยวกับการต้องอาบัติ พระพุทธเจ้าแสดงว่า แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังต้องอาบัติเล็กๆน้อยๆ ได้ แต่พระอริยะทั้งหลายจะไม่ต้องอาบัติที่เป็นหลักพื้นฐานของพรหมจรรย์เลย และแม้สิกขาบทเล็กน้อยเหล่านั้น ก็จะไม่ละเมิดด้วยความจงใจ)


๗) ด้านความสุข: เริ่มรู้จักโลกุตรสุข ที่ประณีตลึกซึ้ง ซึ่งไม่ต้องอาศัยอามิส (เพราะได้บรรลุอริยวิมุตติแล้ว)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มองความหมาย ศรัทธา กับ ศีลให้กว้างอีก



ศรัทธา แยกออกได้เป็น ๓ ด้านคือ

ก. ความเชื่อ ความมั่นใจในพระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นบุคคลต้นแบบ ซึ่งยืนยันถึงวิสัยความสามารถของมนุษย์ว่า มนุษย์สามารถหยั่งรู้สัจธรรม เข้าถึงความจริงและความดีงามสูงสุดได้ ด้วยสติปัญญา และความเพียรพยายามของมนุษย์เอง


มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เจริญงอกงามขึ้นได้ ทั้งในด้านระเบียบชีวิต ที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางกายวาจา ทั้งในด้านคุณธรรม ที่พึงอบรมให้แก่กล้าขึ้นในจิตใจ ทั้งในด้านปัญญาความรู้คิดเหตุผล จนสามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัดบีบคั้น ที่เรียกว่ากิเลสและกองทุกข์ ทำทุกข์ในสิ้นไป ประสบความเป็นอิสระดีงามเลิศล้ำสมบูรณ์ได้ และในการที่จะเข้าถึงภาวะเช่นนี้ ย่อมไม่มีสัตว์วิเศษใดๆ ไม่ว่าจะโดยชื่อว่า เทพ มาร หรือพรหม ที่จะเป็นผู้ประเสริฐ มีความสามารถเกินกว่ามนุษย์ ซึ่งมนุษย์จะต้องหันไปหา หรือรีรอเพื่อขอฤทธานุภาพดลบันดาล


อนึ่ง บุคคลผู้ฝึกตนจนลุถึงภาวะนี้แล้ว ย่อมมีคุณความดีพิเศษมากมาย ซึ่งสมควรดำเนินตาม และเมื่อมนุษย์มั่นใจในความสามารถที่จะทำเช่นนี้นั้นได้ ก็ควรพยายามปฏิบัติสร้างคุณความมีดีพิเศษนั้นให้มีขึ้นในตน หรือปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมที่บุคคลต้นแบบนั้นได้ค้นพบและนำมาแสดงไว้แล้ว


ข. ความเชื่อ ความมั่นใจในธรรม ทั้งความจริงและความดีงาม ที่บุคคลต้นแบบซึ่งเรียกว่า พระพุทธเจ้า ได้แสดงไว้นั้น ว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ปฏิบัติเห็นผลประจักษ์กับตนเองมาก่อน เรียกว่าค้นพบแล้ว จึงนำมาประกาศเปิดเผยไว้


ธรรมนั้น เป็นสภาวะดำรงอยู่ หรือเป็นไปตามธรรมดาของมันเอง เป็นกฎเกณฑ์อันแน่นอน คือนิยามแหงเหตุและผล อย่างทีเรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับการอุบัติของตถาคต คือ ไม่ว่าจะมีใครค้นพบหรือไม่ เป็นกลาง เที่ยงธรรมต่อทุกคน ท้าทายต่อปัญญาและการเพียรพยายามฝึกอบรมตนของมนุษย์ บุคคลทุกคน เมื่อพัฒนาตนให้พร้อม มีปัญญาแก่กล้าพอแล้ว ก็รู้และลุได้ประจักษ์กับตน เมื่อรู้หรือบรรลุแล้ว ก็สามารถแก้ปัญหา ดับทุกข์ หลุดพ้นเป็นอิสระได้จริง


ค. ความเชื่อ ความมั่นใจในสงฆ์ คือ ชุมชน หรือสังคมแบบอย่าง ซึ่งเป็นพยานยืนยันว่า มนุษย์ทั่วไปมีความสามารถที่จะบรรลุความจริงความดีงามสูงสุดได้อย่างบุคคลต้นแบบ แต่ชุมชนหรือสังคมนั้นจะมีขึ้นได้ เป็นไปได้ ก็ด้วยการยอมให้ธรรม คือความจริงความดีงาม ปรากฏผลประจักษ์ออกมาทางบุคคล ด้วยการปฏิบัติ


ชุมชนหรือสังคมนี้ ย่อมประกอบด้วยบุคคลทั้งหลาย ผู้ฝึกปรือ ศึกษา ซึ่งมีความสุกงอมแก่กล้าไม่เท่ากัน ก้าวหน้างอกงามอยู่ระดับแห่งพัฒนาการต่างๆ กัน แต่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะมีหลักการร่วมกัน คือมีธรรมเป็นแกนร่วม มีธรรมเป็นเครื่องวัด เป็นที่รองรับผลประจักษ์ และเป็นที่แสดงออกของธรรม จึงเป็นชุมชนที่มีความดีงามน่าชื่นชม ควรเชิดชูรักษาและเข้าร่วม เพราะเป็นสังคมที่มีสภาพเอื้ออำนวยมากที่สุดแก่การที่จะดำรงธรรมให้สืบต่อไว้ในโลก เป็นแหล่งแพร่ขยายความดีงามและประโยชน์สุขแก่โลก


รวมความหมายของศรัทธา ๓ อย่างนั้น ได้แก่ ความมั่นใจว่า ความจริงความดีงาม และกฎเกณฑ์แห่งเหตุและผล มีอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ มนุษย์มีความสามารถที่จะเข้าถึงและหยั่งรู้ความจริงความดีงามและกฎธรรมชาตินั้นได้ และได้มีบุคคลผู้ประเสริฐซึ่งได้ค้นพบ เข้าถึง และนำความจริงนั้นมาเปิดเผย เป็นเครื่องยืนยันและนำทางไว้แล้ว ผู้ที่มีความมั่นใจในกฎธรรมดาแห่งเหตุผล และมั่นใจในความสามารถของมนุษย์แล้ว ย่อมเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดจากเหตุคือการกระทำ เชื่อการกระทำ และผลของการกระทำที่เป็นไปตามนิยามแห่งเหตุและผล จนมีหลักประกันความเข้มแข็งทางจริยธรรม พยายามศึกษาให้รู้เข้าใจและกระทำการไปตามทางแห่งเหตุปัจจัยอย่างมั่นคง ไม่หวังพึ่งอำนาจดลบันดาลจากภายนอก และจะมั่นใจว่า สังคมที่ดีงาม หรือสังคมอุดมคตินั้น มนุษย์สามารถช่วยกันสร้างขึ้นได้ และประกอบด้วยมนุษย์ผู้ดำเนินชีวิตดีงามตามเหตุผลนี้เอง ซึ่งได้ฝึกอบรมตนเพื่อเข้าถึงธรรม หรือเพื่อบรรลุคุณความดีพิเศษอย่างพระพุทธเจ้า


สรุปคุมอีกชั้นหนึ่งว่า เมื่อตรองเห็นเหตุผลแล้ว มั่นใจว่าพระพุทธเจ้ารู้จริงดีจริง จึงเชื่อว่าธรรมที่พระองค์ตรัสเป็นจริงดีจริง แล้วเชื่อว่า หมู่ชนที่เป็นอยู่ด้วยธรรมนั้น มีได้จริง ได้มีจริง ควรให้มี และควรเข้าร่วมจริง

........................

ศีล คือ ระเบียบความประพฤติ หรือถ้าจะพูดให้เต็มความหมายแท้จริง คือระเบียบความเป็นอยู่ ทั้งส่วนตัว และที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางกายวาจา ตลอดถึงการทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งได้กำหนดวางไว้ เพื่อทำให้ความเป็นอยู่นั้น กลายเป็นสภาพอันเอื้ออำนวย แก่การปฏิบัติกิจต่างๆ ที่เป็นไปเพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงามซึ่งเป็นอุดมคติของคนในสังคมหรือชุมชนนั้น


โดยทั่วไป ระเบียบความประพฤตินี้ มีลักษณะเป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะทำความชั่ว และส่งเสริมโอกาสสำหรับทำความดี โดยฝึกตนให้รู้จักสร้างความสัมพันธ์ด้านกายวาจาที่ดีงาม กับสภาพแวดล้อม อันจะก่อผลเอื้ออำนวยแก่การดำรงอยู่ ทั้งของตน และชุมชนหรือสังคมของตน และเอื้ออำนวยแก่การทำกิจต่างๆ ที่ยิ่งๆขึ้นไป พร้อมกันนั้น ก็เป็นการฝึกอบรมชีวิต้านกายวาจาและบุคคล ให้มีความพร้อมยิ่งขึ้น ในอันที่จะเสวยผลและที่จะทำกิจเช่นนั้นด้วย


เฉพาะอย่างยิ่ง เน้นความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางสังคม คือการอยู่ร่วมกันด้วยดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เพื่อว่า ในสภาพที่เกื้อกูลเช่นนั้น สมาชิกแต่ละคน นอกจากจะสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดีแล้ว ก็จะมีโอกาสกระทำสิ่งที่ดีงาม และพัฒนาตนให้เข้าถึงสิ่งที่มีคุณค่าสูงขึ้นไปอีกด้วย


สำหรับสังคมมนุษย์ในวงกว้าง ระเบียบความประพฤติขั้นต้นอย่างน้อยที่สุด หรือศีลขั้นพื้นฐานที่จะสร้างสภาพเกื้อกูลให้เกิดขึ้น ก็คือหลักที่เรียกว่าศีล ๕ ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ การไม่ละเมิดต่อชีวิต ต่อทรัพย์สิน ต่อของรักของกันและกัน การไม่ใช้วาจาละเมิดความจริงเพราะเห็นแก่ตนและมุ่งทำลายผู้อื่น และการไม่ยอมทำลายสติสัมปชัญญะหรือความสำนึกผิดชอบชั่วดีของตนด้วยการไปในอำนาจของสิ่งเสพติด

ส่วนระเบียบความประพฤติที่ซับซ้อนไปกว่านี้ ย่อมรวมไปถึงข้อกำหนดกฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียม และข้อปฏิบัติปลีกย่อยต่างๆ ที่วางไว้เพื่อความเรียบร้อยดีงาม และเพื่อให้เกิดสภาพการดำรงชีวิตอันเกื้อกูลแก่การที่จะเข้าถึงจุดมุ่งหมายจำเพาะของชุมชนนั้น สังคมนั้น หรือระบบการนั้นๆ ศีลจึงมีความเข้มงวดกวดขั้น เคร่งครัด หยาบ ประณีต และรายละเอียดต่างๆ กัน ดังมีศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นตัวอย่าง


เมื่อว่าโดยสรุป ศีลตามความหมายของพระพุทธศาสนา มีลักษณะสำคัญ คือ

๑) ทำให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ ที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติกิจต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาคน เพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงามโดยลำดับ จนถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต

๒) ทำให้สมาชิกของสังคมหรือชุมชนนั้นอยู่ร่วมกันด้วยดี สังคมสงบเรียบร้อย สมาชิกต่างดำรงอยู่ด้วยดี และมุ่งหน้าปฏิบัติกิจของตนๆ โดยสะดวก

๓) ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ทำให้กิเลสเบาบางลง ด้วยการควบคุมยับยั้งสังวร ปรับการแสดงอกทางกายวาจา ให้เอื้อแก่สภาพความเป็นอยู่ที่เกื้อกูลและการอยู่ร่วมกันด้วยดีนั้น อันเป็นขั้นต้นของการพัฒนาชีวิตของตน ให้พร้อมที่จะเป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นพื้นฐานของสมาธิ หรือการฝึกปรือคุณธรรมทางจิตใจที่สูงขึ้นไป


แม้ว่าจะมีศีลที่สูงกว่าศีล ๕ อีกหลายระดับ หลายประเภท แต่ศีล หรือระเบียบความประพฤติทุกอย่าง ซึ่งเป็นที่ต้องการในการปฏิบัติธรรม ดังที่เรียกว่า ศีลซึ่งอริยชื่นชม (อริยกันตศีล) นั้น ก็มีสาระสำคัญอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ เป็นศีลที่ประพฤติปฏิบัติถูกต้องตามหลักการ ไม่เขวไปเพราะตัณหา ที่มุ่งแสวงหาอิฏฐารมณ์เป็นผลตอบแทน หรือเพราะทิฏฐิ ที่นำเอาความยึดถือเกี่ยวกับตัวตนมาปิดบังวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของศีล ปฏิบัติโดยเข้าใจความมุ่งหมาย มิใช่สักว่ายึดถือ ทำตามๆกันไปโดยงมงาย


สำหรับชาวบ้านทั่วไป เมื่อปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้แล้ว แม้เพียงศีล ๕ ก็เป็นปฏิปทาของพระโสดาบัน



(พึงสังเกตว่า ศีลขั้นพื้นฐานที่สุด (เช่น ศีล ๕) จะมีสาระที่มุ่งเพื่อการไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นขั้นต้นที่สุดของการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อกูล ศีลต่อจากนั้นขึ้นไป จะหันไปเน้นการสร้างสภาพเกื้อกูล ทั้งของสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ส่วนตัว และการฝึกหัดขัดเกลาตนเอง เพื่อจุดหมายที่จำเพาะมากยิ่งขึ้น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ว่า คุณสมบัติของบุคคลโสดาบันว่า มีทั้งฝ่ายหมด และฝ่ายมี ที่นำมานำข้างต้น คือ ฝ่ายมี แต่ทั้งฝ่ายมี และฝ่ายหมดนั้น เมื่อว่าโดยสาระสำคัญ ก็เป็นอย่างเดียวกัน อย่างเดียวกันยังไง ลองพิจารณาดู


ความจริง คุณสมบัิติฝ่ายหมด และฝ่ายมี ว่าโดยสาระสำคัญ ก็เป็นอย่างเดียวกัน กล่าวคือ จะละสักกายทิฏฐิได้ ก็เพราะมีปัญญาหยั่งรู้สภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยพอสมควร เมื่อเกิดปัญญาเข้าใจชัดขึ้นอย่างนี้ วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยคลางแคลงใจก็หมดไป ศรัทธาที่อาศัยปัญญาก็แน่นแฟ้น

พร้อมนั้น ก็จะรักษาศีลได้ถูกต้องตามหลักการ ตามความมุ่งหมาย กลายเป็นอริยกันตศีล คือ ศีลที่อริยชนชื่นชมยอมรับ สีลัพพตปรามาสก็พลอยสิ้นไป เมื่อจาคะเจริญขึ้น มัจฉริยะก็หมดไป เมื่อราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็ไม่ตกไปในอำนาจของอคติ และราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง ก็เพราะปัญญาที่มองเห็นความจริงของโลกและชีวิต ทำให้คลายความยึดติด เมื่อสิ้นยึดติด ถือมั่นน้อยลง ความทุกข์ก็ผ่อนคลาย และรู้จักความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
หลายท่านที่เมื่อได้มาศึกษา สนทนาธรรมในลานธรรมอันมากหลากหลายไปด้วยความเห็น(ทิฏฐิ)นี้ บางทีก็อาจมึนงง บางทีก็อาจจะหลงกลัว เห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสิ่งที่ยากเกินไปจนพ้นวิสัยของคนปัจจุบันที่จะะเข้าถึงได้ ยิ่งมาเจอภาษาบาลีที่ไม่คุ้น เจอพระไตรปิฎกที่บอกว่ามีตั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ เลยอาจพาลท้อแท้ไม่อยากเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ

ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องการบรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ยิ่งมีความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เสียเลยสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้บวชเป็นพระ

แต่ท่านทั้งหลายเคยได้ทราบไหมว่า....."ศีล 5 โสดาบัน"

เพียงประพฤติศีล 5 ให้ดี ไม่มีด่างพร้อยก็อาจน้อมนำให้ท่านสามารถบรรลุถึงธรรม บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน เป็นอริยบุคคลชั้นต้น จนเป็นเหตุปัจจัยส่งต่อขึ้นไปให้ถึงความเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุดได้

มีตัวอย่างบุคคลที่ได้บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้นต้นไปจนถึงชั้นสูงสุดได้ ในเครื่องแต่งกายเสื้อสองแขน ผมยาว กินข้าว 3 มื้อ เหมือนคนธรรมดาทั่วไปดังเช่น

นางวิสาขา อนาบิณฑกะเศรษฐี สันตติอำมาตย์ องคุลีมาล พระเจ้าสุทโธทนะ....พาหิยะชีเปลือย และอีกมากมายหลายท่านที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์พระสูตร ลองไปค้นหามาอ่านกันดูนะครับ

เพียงแค่รักษาศีล 5 ให้ดี แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เราจะได้สนทนา วิจารณ์ วิจัยกันต่อไปในกระทู้นี้ครับ

วัตถุประสงค์ของกระทู้นี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่ได้โชคดี

มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์

ได้พบพระพุทธศาสนา

ได้ศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เข้าใจแล้ว ได้น้อมนำเอามาปฏิบัติ ฝึกหัด ขัดเกลา ชำระกาย ใจ เพื่อให้ถึงความขาวรอบ อันเป็นข้อที่ 3 ในโอวาทปาติโมกข์ หรือสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าให้ ละชั่ว ทำดี เพียรชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา


ให้ทุกคนได้รู้ว่า ใครก็ตามที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีอาการครบ 32 มีสติปัญญาดีสมบูรณ์ ย่อมมีสิทธิ์และสามารถที่จะพัฒนาตนจากปุถุชนคนธรรมดาไปสู่ความเป็นอริยชน พ้นทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิดได้ในชาตินี้เหมือนกับเกิดมาแล้วได้บัตรผ่านประตู หรือพาสปอร์ตเพื่อเข้าสู่นิพพานทุกคน มีแต่ว่าใครจะใช้บัตรผ่านประตูหรือพาสปอร์ตนั้นหรือไม่อย่างไรเท่านั้นเอง

onion onion onion onion


พูดมาซ่ะยืดยาว ถามหน่อยเถอะ ตอนพิมพ์ชื่อ...องคุลีมาล
ไม่รู้สึกเลยหรือว่า ไอที่เราพิมพ์มาทั้งหมดน่ะ.......
มันมั่วตั้งแต่เริ่มแล้ว

:b7: :b7:
ธรรมเขาแสดงมาดีโดยลำดับอยู่แล้ว แต่โฮฮับกำลังจะมาทำให้มั่วอยู่ขณะนี้ไง

ผมว่าความที่เรามีจุดยืนแห่งความเชื่อและความเห็นคนละอย่าง

โฮฮับเห็นว่า มรรค 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้น

แต่อโศกะเห็นว่า มรรค 8 อันย่อลงมาคือ ปัญญา ศีล สมาธิเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้กับสัตว์โลก อันมีมนุษย์ เทวดา พรหม ทุกตัวตนซึ่งฟังธรรมรู้เรื่องได้นำมาใช้พัฒนากายใจของตนให้พ้นจากภาวะปุถุชนสู่ความเป็นอริยะ

ดังนั้นโฮฮับกับอโศกะมันเหมือนกับคนพูดกันคนละภาษาแล้วมาคุยกัน เหมือนฝรั่งที่ไม่รู้ภาษาไทย มาคุยกับคนไทยที่ไม่รู้ภาษาฝรั่ง จะตะโกนเสียงดังเพียงไรก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกนะโฮฮับ

เราเลิกคุยกันดีกว่า เดินไปเส้นทางของใครของมันดีกว่าอย่ามาขวางทางกันเลย อยากจะพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ไปทำกับคนที่เขาคุยกับโฮฮับรู้เรื่องเถิดนะจะดีกว่า ไม่เสียเวลา ไม่เป็นการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น นะโฮฮับ

ไม่ต้องมาห่วงอโศกะ จะทำผู้คนหลงทางจากคำสอนที่ถูกต้องของพระบรมศาสดา พึงห่วงตนเองให้มากเพราะบิดเบือนคำสอนของพุทธบิดา มาสนับสนุนความเห็นผิดของตนเองนี่ร้ายกาาาจยิ่งกว่า ไม่จำเพาะว่าจะทำให้ผู้คนที่หลงเชื่อเดินทางผิด ซ้ำยังมาปิดกั้นคนดีที่กำลังจะเกิดใหม่ไม่ให้ได้ใช้วิชาของพระพุทธเจ้าอันถูกต้อง บาปหนาสาหัสนะโยม......แล้วถ้าอโศกะไม่ดีอย่างที่โฮฮับสรุปเอาเอง

ก็คงไม่ยืนหยัดอยู่ในลานธรรมหลายๆลาน มีผู้ติดตามอ่านกระทู้เป็น เจ็ดแปดแสนราย ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ท่านผู้รักษากฎคงจัดการไปนานแล้ว หรือถูกปรับระดับ 1-2-3 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง 100 2ร้อย จนกว่าจะเกิดสำนึกรู้ตัว ปรับปรุงตัวให้เข้าสู่มาตรฐานที่สังคมธรรมะยอมรับได้


อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ตอบเดี๋ยวโฮฮับจะอารมณ์ค้าง

ท่านองคุลีมาลบรรลุธรรมอย่างไร คนศึกษาธรรมอยู่น่าจะรู้กันทุกคน มีผิดสังเกตตรงไหนก็ว่ามาชัดๆ อย่าคลุมเครือ ตีขรุมเอาแบบไม่รู้เหตุผล แล้วพาลสรุปเอาเองว่าคนอื่นมั่ว ทั้งๆที่ตนเองนั่นแหละกำลังมั่ว แถมมัวเมาในอัตตทิฏฐิและมานะทิฏฐิอีกต่างหาก....โปรดพิจารณาปรับปรุงตนเอง
:b34: :b34: :b34:
เชิญเปลี่ยนบรรยากาศไปที่สงบร่มเย็นกันดูนะครับ

http://larndham.org/index.php?/forum/24 ... %E0%B8%B0/
onion onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 07:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ธรรมเขาแสดงมาดีโดยลำดับอยู่แล้ว แต่โฮฮับกำลังจะมาทำให้มั่วอยู่ขณะนี้ไง

ผมว่าความที่เรามีจุดยืนแห่งความเชื่อและความเห็นคนละอย่าง

โฮฮับเห็นว่า มรรค 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้น

แต่อโศกะเห็นว่า มรรค 8 อันย่อลงมาคือ ปัญญา ศีล สมาธิเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้กับสัตว์โลก อันมีมนุษย์ เทวดา พรหม ทุกตัวตนซึ่งฟังธรรมรู้เรื่องได้นำมาใช้พัฒนากายใจของตนให้พ้นจากภาวะปุถุชนสู่ความเป็นอริยะ

ดังนั้นโฮฮับกับอโศกะมันเหมือนกับคนพูดกันคนละภาษาแล้วมาคุยกัน เหมือนฝรั่งที่ไม่รู้ภาษาไทย มาคุยกับคนไทยที่ไม่รู้ภาษาฝรั่ง จะตะโกนเสียงดังเพียงไรก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกนะโฮฮับ

เราเลิกคุยกันดีกว่า เดินไปเส้นทางของใครของมันดีกว่าอย่ามาขวางทางกันเลย อยากจะพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ไปทำกับคนที่เขาคุยกับโฮฮับรู้เรื่องเถิดนะจะดีกว่า ไม่เสียเวลา ไม่เป็นการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น นะโฮฮับ


บอกแล้วไง จะบังคับให้ผมเชื่อต้องถือ M16มาด้วย
หรือไม่อยากให้ใครยุ่งด้วย ก็เลือกห้องส้วมที่สำนักตัวเองสักห้อง
แล้วจ้อให้เต็มที่ไปเลย :b32:

อุ้ยครับ อุ้ยก็รู้ว่ามีเว็บอีกเว็บที่สงบร่มเย็น
ทำไมไม่ไปจะมาโวยวายให้เป็นตัวตลกทำไม


asoka เขียน:

อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ตอบเดี๋ยวโฮฮับจะอารมณ์ค้าง

ท่านองคุลีมาลบรรลุธรรมอย่างไร คนศึกษาธรรมอยู่น่าจะรู้กันทุกคน มีผิดสังเกตตรงไหนก็ว่ามาชัดๆ อย่าคลุมเครือ ตีขรุมเอาแบบไม่รู้เหตุผล แล้วพาลสรุปเอาเองว่าคนอื่นมั่ว ทั้งๆที่ตนเองนั่นแหละกำลังมั่ว แถมมัวเมาในอัตตทิฏฐิและมานะทิฏฐิอีกต่างหาก....โปรดพิจารณาปรับปรุงตนเอง


ที่พูดไปสั้นๆ ก็เพื่อให้อุ้ยได้หัดใช้วิจารณญาน หัดใช้การพิจารณาหาเหตุ
ไม่ใช่สักแต่จะเอาคำที่เสกสรรปั้นแต่ง ขอแค่ฟังดูเพราะหู แต่หาสาระและความเป็นจริงไม่ได้

เรื่องง่ายๆ องคุลีมาลท่านทำอะไรมาก่อนพบพระพุทธองค์
และที่ท่านบวชเป็นเพราะอะไร
เมื่อรู้แล้วก็เอาไปสรุปกับคำพูดตัวเองว่า ที่พูดมาทั้งหมดมันมั่วหรือเปล่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 19:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มองแต่ดี มีสุข.jpg
มองแต่ดี มีสุข.jpg [ 13.29 KiB | เปิดดู 5487 ครั้ง ]
น้องพลอย เขียน:
:b8: ขอโมทนาสาธุค่ะ ท่านasoka

Kiss Kiss
เจริญสุข เจริญธรรมนะครับน้องพลอย ค่อยๆดูไปสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆนะครับ เพราะพอเห็นชื่อกระทู้ ก็มีใครต่อใครมาร่วมแสดงความเห็นกันเยอะแยะมากมาย หลายนัยยะ น่าจะสนุกและมีประโยชน์ต่อการศึกษาธรรมเจริญธรรมของน้องพลอยและหลายๆท่านที่รู้จัก เลือกเฟ้นเอาธรรมที่เหมาะสมกับจริต นิสัย บุญวาสนาของตนเองมายึดถือเป็นหลักปฏิบัติ
:b8:
:b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


huh
:b7:
อ้างคำพูด:
โฮฮับบอกแล้วไง จะบังคับให้ผมเชื่อต้องถือ M16มาด้วย
หรือไม่อยากให้ใครยุ่งด้วย ก็เลือกห้องส้วมที่สำนักตัวเองสักห้อง
แล้วจ้อให้เต็มที่ไปเลย :b32:

อุ้ยครับ อุ้ยก็รู้ว่ามีเว็บอีกเว็บที่สงบร่มเย็น
ทำไมไม่ไปจะมาโวยวายให้เป็นตัวตลกทำไม

:b16: :b16: :b16:
อโศกะไม่ได้มาบีบบังคับให้ใครเชื่ออะไร ในลานธรรมแห่งนี้ แต่มาเพื่อ แบ่งปัน ธรรมะและสิ่งที่ดีๆ ที่อโศกะได้พิสูจน์และรับผลมาพอสมควรแล้ว ให้แก่เพื่อนมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นธรรมทัศนะแลกเปลี่ยนกัน

ไม่ได้มาทำงานเหมือนผู้ขวางโลกขวางธรรมอย่างโฮฮัุบ ที่เที่ยวขัดคอ ขัดธรรม ขัดใจเขาไปทั่วทั้งลาน ไม่ว่า พี่เก่า น้องใหม่ ไม่เว้นหน้าใครทั้งนั้นถ้าแหลมเขามาในลานธรรมจักรนี้ ไม่ยอมซูฮกกับโฮฮับแล้วเป็นได้เห็นดี ลองพากันไปเปิดดูแทบทุกกระทู้ที่โฮฮับเข้าไปเกี่ยวข้องมักมีเรื่องถกเถียงขัดธรรมกับผู้คนเขาไปทั่ว ยกเว้นกับน้องคิงคอง น้องวไลพร 2 คนเท่านั้นละมั่ง

กับอโศกะนี่ขวางมาตั้งแต่ต้นจนทุกวันนี้ เหมือนกับจะพยายามเอาชนะคะคานให้ได้ พยายามจะตีรวนกวนน้ำให้ขุ่นบอกผู้คนว่าธรรมะที่อโศกะนำมาแสดงนั้นมั่ว แต่ธรรมะที่ตัวเองแสดงนั้นวิเศษ เพราะไปคัดลอกเอามาจากพระไตรปิฎก เป็นพุทธวัจจนะ ใครไม่เชื่อก็ผิดแล้ว

พุทธวัจนะนั้นถูกต้องเป็นสัจจะน่าเคารพเชื่อถือดีอยู่แล้ว แต่ที่โฮฮับไปตีความแปลความหมายพุทธวัจนะมาบอกต่อแบบผิดๆนี่ซิมันเลวร้าย มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเป็นอันตรายต่อชาวโลก ต้องเถียงและค้านกันจนถึงที่สุด และไม่มีวันที่อโศกะจะยอมลงให้

มีอย่างที่ไหนกันธรรมะไม่ใช่ธรรมชาติ ....มีอย่างที่ไหนกัน มรรค 8 หรืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมที่ปฏิบัติได้เฉพาะพระอริยเจ้า ปุถุชนคนธรรมดาเอามาปฏิบัติไม่ได้

อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นหมายความว่า ทางเดินไปสู่ความเป็นอริยบุคคล 8 ประการ

ไม่ใช่ทางเดินของพระอริยเจ้าอย่างที่โฮฮับสำคัญผิด แปลความหมายมาผิดๆ แล้วเที่ยวประกาศแสดงธรรมะแบบผิดๆอย่างนี้ไปทั่ว ใครขวางก็ขัดใจไล่ราวี จะมิให้อยู่ในลานธรรมจักร อย่างที่พูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยมาในตอนต้น

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ใช่ธรรมชาติ นี่ยิ่งแสดงความวิปริตในธรรมไปใหญ่ แล้วเรื่องอื่นๆทั้งหลายจะไม่มั่วไปยิ่งกว่านี้หรือ ลองไปอ่านธรรมของโฮฮับกันดูซิ มันรู้เรื่องง่ายหรือรู้เรื่องยาก เพราะมีศัพท์แปลกๆที่ไม่ค่อยคุ้น ไม่ค่อยนิยมพูดกันในวงสนทนาธรรมมากมาย

เพราะฉะนั้น การให้สติ ชี้แนะตักเตือนที่เกิดจากความปารถนาดีเพื่อให้โฮฮับปล่อยวางความรู้ผิดเเห็นผิดแต่โฮฮับเห็นว่าเป็นการโวยวายนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะโฮฮับมีปัญญารู้เห็นได้แค่ระดับนี้

อโศกะท่องไปทั่วทุกลานธรรม รวมทั้งลานธรรมจักรแห่งนี้ไม่หนีไปไหนหรอกโฮฮับ มาลานนี้ดีมีโฮฮับเป็นดาราชูโรงในด้านขัดคอขัดใจคนอยู่ จึงชอบและเห็นประโยชน์ที่จะได้แปลงวิกฤติเป็นโอกาส ใช้คนอย่างโฮฮับนี้เป็นเครื่องมือ กระทบคุ้ยเอา อัตตะ มานะทิฏฐิ กิเลสอนุสัยที่เหลือค้างอยู่ในจิตใจออกมาชำระให้ถึงความขาวรอบได้เร็วยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงไม่ต้องผลักใสโฮฮับ โฮฮับขัดธรรม แต่อโศกะจะขัดใจ จะช่วยขัดใจ(เข้าใจไหม?)ให้โฮฮับไปจนกว่า จะรู้ตัวตื่นจากความรู้ผิดเห็นผิด แปลธรรมมาผิดๆ กลับจิตกลับใจเป็นคนดีที่ไม่ขวางโลก ไม่ขวางธรรม ไม่สร้างบาปสร้างกรรมอันหนักให้กับตนเองและเพื่อนมนุษย์

:b12: :b12: :b12:
:b34: :b34: :b34:
่ต้องขออภัยท่านกรัชกาย และหลายท่าน ที่รอฟังตอนต่อไปของศีล 5 โสดาบัน เพราะคงต้องยุ่งทำงานกับเด็กดื้อชอบขัดธรรมอย่างโฮฮับอีกต่อไปหนีไม่พ้น ก็ถือว่าเป็นการสลับฉากเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกันนะครับเดี๋ยวเด็กซนไปหลับก็ค่อยกลับมาสนทนาธรรมกันต่อนะครับ
:b12: :b12: :b12:
:b4: :b4: :b4:
:b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อโศกะไม่ได้มาบีบบังคับให้ใครเชื่ออะไร ในลานธรรมแห่งนี้ แต่มาเพื่อ แบ่งปัน ธรรมะและสิ่งที่ดีๆ ที่อโศกะได้พิสูจน์และรับผลมาพอสมควรแล้ว ให้แก่เพื่อนมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นธรรมทัศนะแลกเปลี่ยนกัน


ไอ้วิธีการที่เอาพุทธพจน์ มาสาปแช่งคนอื่นที่เขาไม่เห็นด้วย
แบบนี้หรือไม่เรียกว่าบังคับ

จะพูดอะไรควรการกระทำของตนมาพิจารณาด้วย
อย่าสักแต่จะเสกสรรปั่นแต่งคำเพื่อให้ตัวเองดูดี มันไม่ได้เรื่องควรจะละอายไว้บ้าง

แล้วไอ้การที่อ้างตัวเองแบบนี้ ผมว่าคุณเป็นเอามากน่ะครับ
อยากถามสั้นๆครับว่า......คุณเป็นใคร :b32:
asoka เขียน:
ไม่ได้มาทำงานเหมือนผู้ขวางโลกขวางธรรมอย่างโฮฮัุบ[/color] ที่เที่ยวขัดคอ ขัดธรรม ขัดใจเขาไปทั่วทั้งลาน ไม่ว่า พี่เก่า น้องใหม่ ไม่เว้นหน้าใครทั้งนั้นถ้าแหลมเขามาในลานธรรมจักรนี้ ไม่ยอมซูฮกกับโฮฮับแล้วเป็นได้เห็นดี ลองพากันไปเปิดดูแทบทุกกระทู้ที่โฮฮับเข้าไปเกี่ยวข้องมักมีเรื่องถกเถียงขัดธรรมกับผู้คนเขาไปทั่ว ยกเว้นกับน้องคิงคอง น้องวไลพร 2 คนเท่านั้นละมั่ง


อุ้ยโสกะครับ ผมถามอุ้ยตรงๆ ถ้ามีคนชั่วมาหลอกลวงลูกหลานอุ้ย ให้ติดยาเสพติด
แต่มีคนที่หวังดี เข้าไปต่อว่าคนชั่วที่กำลังจะชักจูงลูกหลานอุ้ยโสกะ......

แบบนี้อุ้ยโสกะจะว่าเขาเป็นผู้ขวางโลกขวางธรรมมั้ยครับ :b13:

ที่อ้างน้องคิงคองกับคุณวไลพรน่ะ ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า
สองคนนั้นเขาไม่คิดแบบคุณ ก่อนจะอ้างอะไรควรเอาสิ่งที่อ้างมาสอนใจตนเองก่อนครับ :b13:

asoka เขียน:
กับอโศกะนี่ขวางมาตั้งแต่ต้นจนทุกวันนี้ เหมือนกับจะพยายามเอาชนะคะคานให้ได้ พยายามจะตีรวนกวนน้ำให้ขุ่นบอกผู้คนว่าธรรมะที่อโศกะนำมาแสดงนั้นมั่ว แต่ธรรมะที่ตัวเองแสดงนั้นวิเศษ เพราะไปคัดลอกเอามาจากพระไตรปิฎก เป็นพุทธวัจจนะ ใครไม่เชื่อก็ผิดแล้ว


คนเอามั่วเมาตัณหาก็คิดได้แค่นี้ พอใครเขาเห็นด้วยก็ก้นกระดก พอใครเขาแย้งก็สาปแช่ง
ถ้าจะลืมเมื่อก่อนตอนที่โสกะเถียงกับคุณกะลา ผมเข้าไปสนับสนุนความเห็นของโสกะ
โอ่โฮ! พูดจาหวานหยดย้อยกับผม แหม่! คุณโฮฮับอย่างโน้น คุณโฮฮับอย่างนี้
คงคิดว่าผมคงหลงไหลได้ปลื้มมั้ง.....อยากอ้วก :b32:

ไอ้เรื่องเอาชนะคะคาน บอกไปหลายหนแล้ว มันไร้สาระ เพราะผมใช้นามแฝงในเว็บนี้
ผมจะแสดงความเห็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้จัก
ผิดกับโสกะ โพสทั้งรูปโพสทั้งที่อยู่....อัตตาเต็มหัวยังไม่รู้ตัว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พุทธวัจนะนั้นถูกต้องเป็นสัจจะน่าเคารพเชื่อถือดีอยู่แล้ว แต่ที่โฮฮับไปตีความแปลความหมายพุทธวัจนะมาบอกต่อแบบผิดๆนี่ซิมันเลวร้าย มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเป็นอันตรายต่อชาวโลก ต้องเถียงและค้านกันจนถึงที่สุด และไม่มีวันที่อโศกะจะยอมลงให้

มีอย่างที่ไหนกันธรรมะไม่ใช่ธรรมชาติ ....มีอย่างที่ไหนกัน มรรค 8 หรืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมที่ปฏิบัติได้เฉพาะพระอริยเจ้า ปุถุชนคนธรรมดาเอามาปฏิบัติไม่ได้

อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นหมายความว่า ทางเดินไปสู่ความเป็นอริยบุคคล 8 ประการ

ไม่ใช่ทางเดินของพระอริยเจ้าอย่างที่โฮฮับสำคัญผิด แปลความหมายมาผิดๆ แล้วเที่ยวประกาศแสดงธรรมะแบบผิดๆอย่างนี้ไปทั่ว ใครขวางก็ขัดใจไล่ราวี จะมิให้อยู่ในลานธรรมจักร อย่างที่พูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยมาในตอนต้น

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ใช่ธรรมชาติ นี่ยิ่งแสดงความวิปริตในธรรมไปใหญ่ แล้วเรื่องอื่นๆทั้งหลายจะไม่มั่วไปยิ่งกว่านี้หรือ ลองไปอ่านธรรมของโฮฮับกันดูซิ มันรู้เรื่องง่ายหรือรู้เรื่องยาก เพราะมีศัพท์แปลกๆที่ไม่ค่อยคุ้น ไม่ค่อยนิยมพูดกันในวงสนทนาธรรมมากมาย

เพราะฉะนั้น การให้สติ ชี้แนะตักเตือนที่เกิดจากความปารถนาดีเพื่อให้โฮฮับปล่อยวางความรู้ผิดเเห็นผิดแต่โฮฮับเห็นว่าเป็นการโวยวายนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะโฮฮับมีปัญญารู้เห็นได้แค่ระดับนี้

อโศกะท่องไปทั่วทุกลานธรรม รวมทั้งลานธรรมจักรแห่งนี้ไม่หนีไปไหนหรอกโฮฮับ มาลานนี้ดีมีโฮฮับเป็นดาราชูโรงในด้านขัดคอขัดใจคนอยู่ จึงชอบและเห็นประโยชน์ที่จะได้แปลงวิกฤติเป็นโอกาส ใช้คนอย่างโฮฮับนี้เป็นเครื่องมือ กระทบคุ้ยเอา อัตตะ มานะทิฏฐิ กิเลสอนุสัยที่เหลือค้างอยู่ในจิตใจออกมาชำระให้ถึงความขาวรอบได้เร็วยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงไม่ต้องผลักใสโฮฮับ โฮฮับขัดธรรม แต่อโศกะจะขัดใจ จะช่วยขัดใจ(เข้าใจไหม?)ให้โฮฮับไปจนกว่า จะรู้ตัวตื่นจากความรู้ผิดเห็นผิด แปลธรรมมาผิดๆ กลับจิตกลับใจเป็นคนดีที่ไม่ขวางโลก ไม่ขวางธรรม ไม่สร้างบาปสร้างกรรมอันหนักให้กับตนเองและเพื่อนมนุษย์



อ้างโยคีนี่น่ะ เป็นพุทธวจนะ..........เริ่มมันก็มั่วแถแล้ว
ที่เหลือผมจึงไม่จำเป็นต้องอธิบาย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


อยากถามสั้นๆครับว่า.....คุณเป็นใคร


เธอเป็นใครฉันยังไม่แจ้ง แต่เธอเป็นแสงแห่งศรัทธา .....ใครลืมเธอฉันยังต้องการ เืพื่อจะพร่ำขานเรียกเธอแม่จ๋าาา :b8:

http://www.youtube.com/watch?v=uqpqJxiV8rc

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร