วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 13:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2013, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ความรู้ ต้องมาคู่กับ ความรัก :b45:

:b8: พระธรรมเทศนา ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต


.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

เรามาพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสกันเถอะค่ะ

เราโชคดีนะคะที่เราได้พบกับความทุกข์ ไม่อย่างนั้นเราก็จะติดอยู่กับความสุข สมมุติว่าท่านมีสามีที่รัก
ท่านชนิดไม่มองใครเลย ก็มีความสุขกันสองคน แล้วถ้าสามีของคุณไม่สนใจเข้าวัด ศึกษาธรรมะ คุณก็
ปลีกตัวยากเหมือนกันนะคะที่จะไปปฏิบัติธรรม คุณกับสามีก็จะไม่สนใจทำบุญทำกุศล ดิฉันเห็นมาเยอะ
นะคะที่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกัน บางคู่แก่มากแล้วครอบครัวมีความสุข วันๆ ก็ร้องคาราโอเกะกัน
ใ่ส่บาตรก็ไม่ ทำทานก็ยาก มีแบบนี้จริงๆ ค่ะ บางคู่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง ก็ไม่ได้
เต็มที่กับการทำกุศลทั้งๆ ที่อายุก็มากแล้ว กลับติดอยู่กันในสุข ทั้งๆ ที่สุขนั้นก็ไม่ยั้งยืน แต่ไม่รู้เพราะ
ไม่เคยใส่ใจไปรู้ มีแต่การใส่ใจแสวงหาความสุข ว่าวันนี้จะขับรถไปหาอะไรอร่อยๆ ที่ไหนกิน วันนี้มีหนัง
เรื่องอะไรสนุกเข้าโรงหนังบ้าง หาเพลงจะร้องในวันนี้ว่าจะร้องเพลงอะไรโชว์เพื่อนๆ (และข่มขืนโสต-
ทวารคนที่พลอยได้ยินไปด้วย :b12: ) เพลงอะไรดีนะ? มันแสวงหาความสุขตลอดแหล่ะค่ะ แล้วก็
สมปราถนาซะด้วย เพราะพร้อมด้วยคนที่รัก พร้อมด้วยเงินทอง

แต่จะบอกให้นะ ไม่ว่าคุณจะมีความสุขจนล้นเหลือทะลักจนคิดว่าคุณโชคดีกว่าใครๆ และ ไม่ว่าคุณจะจน
เศร้าสร้อย หรือว่าเสียใจจนแทบขาดใจ คุณมีแนวโน้มที่คุณจะไปอบายภูมิทั้งสิ้น

แนะนำพิจารณาในกระทู้นี้ค่ะ ทำความเข้าใจกับจิตกับแต่ดวง
กระทู้จิตที่นำเกิดใน อบายภูมิ๔

viewtopic.php?f=1&t=46132

คู่สามีภรรยาที่น่าชื่นใจคือ คู่ที่เข้าห้องพระสมาทานศีล สวดมนต์ นั่งสมาธินั่งวิปัสสนากัน เข้าวัดฟังธรรม
ทำบุญใส่บาตร คู่แบบนี้ก็มีให้เห็น แต่หายากค่ะ มันมีแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่ชอบทำกุศล

ในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องที่ภรรยาจะทำแต่กุศล ส่วนสามีส่ายหน้า บางท่านก็คงเคยอ่านมาบ้างแล้ว
เรื่องของนางอุตตราอุบาสิกา

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

05-นางอุตตรานันทมารดา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน

นางอุตตรา เกิดเป็นลูกสาวของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในเรือนของสุมมเศรษฐี
ในกรุงราชคฤห์ เขาเป็นคนขยันในการทำงาน แม้ในวันเทศกาล งานนักขัตฤกษ์ พวกทาสและ
กรรมกรอื่น ๆ พากันหยุดงานเพื่อฉลองนักขัตฤกษ์กัน แต่นายปุณณะก็ยังคงไปทำการไถนาตาม
หน้าที่ของตนตามปกติ
ขณะที่เขากำลังไถนาอยู่นั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจากออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ถือ
บาตรเที่ยวเดินภิกขาจารผ่านมายังทุ่งนาที่นายปุณณะกำลังไถอยู่นั้น นายปุณณะพอเห็นพระเถระ
ก็หยุดไถแล้วเข้าไปกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน พระเถระทำ
กิจสีฟันและบ้วนปากแล้วเดินภิกขาจารต่อไป นายปุณณะคิดว่า “เหตุที่พระเถระมาทางนี้ในวัน
นี้ก็คงจะมาสงเคราะห์เรา ถ้าภริยาของเราได้พบพระเถระแล้ว ขอให้นางได้อาหารที่นำมาให้เรา
ลงในบาตรของพระเถระด้วยเถิด”
ส่วนภริยาของเขาเมื่อนำอาหารไปส่งให้เขาที่นาในระหว่างทางได้พบพระเถระจึงคิดว่า
“วันอื่น ๆ เราพบพระเถระแต่ไทยธรรมของเราไม่มี ส่วนในวันที่มีไทยธรรมก็ไม่ได้พบพระเถระ
แต่วันนี้ทั้งสองอย่างของเรามีพร้อมแล้ว เราควรถวายอาหารที่เตรียมไปให้สามี แก่พระเถระก่อน
แล้วจึงกลับไปทำมาใหม่” เมื่อนางคิดดังนี้แล้วก็ใส่โภชนาหารลงในบาตรของพรเถระแล้วกล่าว
ว่า “ด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ ขอให้ชีวิตขอดิฉันพ้นจากความยากจนด้วยเถิด” พระเถระกล่าว
อนุโมทนาให้ความปรารถนาของนางสำเร็จตามที่ต้องการแล้วก็กลับไปสู่วิหาร
เมื่อนางได้ถวายอาหารแก่พระเถระแล้ว ก็รีบกลับบ้านเพื่อจัดหาอาหารมาให้สามีของ
ตน ฝ่ายนายปุณณะไถนาเรื่อยไปจนเวลาสาย ภริยาก็ยังไม่นำอาหารมาส่งเช่นทุกวัน รู้สึกหิวเป็น
กำลังจึงหยุดไถแล้วนอนพักที่ใต้ร่มไม้ เมื่อภริยามาถึงนา ก็เกรงว่าสามีจะโกรธที่มาช้า จึงรีบพูด
กับสามีขึ้นก่อนว่า “ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ขอให้ฟังดิฉันก่อน” แล้วนางก็เล่าเหตุที่มาช้าให้สามีฟัง
โดยตลอด นายปุณณะกล่าวว่า “เธอทำดีแล้ว แม้ฉันเองก็ได้ถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันแก่
พระเถระเหมือนกัน วันนี้นับว่าเป็นบุญของเราเหลือเกิน” ทั้งสองสามีภรรยานั้นต่างก็ปีติอิ่มเอิบ
ในการกระทำของตน

ขี้ไถกลายเป็นทอง
นายปุณณะ กินอาหารเสร็จแล้วก็นอนหนุนตักภริยาแล้วก็หลับไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมา
มองไปที่ทุ่งนา เห็นก้อนดินที่ตนไถมีสีเหมือนทองคำเต็มทั่วท้องนา จึงบอกให้ภริยาดูด้วย ภริยา
เมื่อมองดูก็เห็นมีแต่ก้อนดินจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะเหน็ดเหนื่อย และหิวจนตาลาย” แต่เมื่อเขา
ลุกไปหยิบมาให้ภริยาดู ต่างก็เห็นเป็นทองเหมือนกัน
สองสามีภรรยาเก็บทองใส่ถาดจนเต็มแล้ว นำไปถวายพระราชาพร้อมทั้งกราบทูลให้ส่ง
คนไปขนทองคำ ที่ทุ่งนาของตนนั้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลังพระราชาสั่งราชบุรุษพร้อมเกวียน
ไปบรรทุกทองคำตามที่นายปุณณะ กราบทูลราชบุรุษทั้งหลาย ในขณะที่กำลังขนทองคำใส่
เกวียนนั้นพากันพูดว่า “บุญของพระราชา” ทันใดนั้นทองคำก็กลายเป็นดินขี้ไถเหมือนเดิม
พวกราชบุรุษจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชารับสั่งว่า “พวกท่านจงไปขนมาใหม่
พร้อมกับจงพูดว่า บุญของนายปุณณะ” พวกราชบุรุษทำตามรับสั่ง ก็ปรากฏว่าได้ทองคำมา
หลายเล่มเกวียน นำมากองที่หน้าพระลานหลวง พระราชารับสั่งถามว่า ในพระนครนี้ ใครมี
ทรัพย์มากเท่านี้บ้าง เมื่อได้สดับว่าไม่มี จึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่นายปุณณะได้นามว่า
“ธนเศรษฐี” พร้อมทั้งมอบทองคำทั้งหมดให้แก่นายปุณณะด้วย
นายปุณณะเศรษฐี เมื่อทำการมงคลฉลองตำแหน่งเศรษฐี ได้กราบอาราธนาพระบรม
ศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน พระบรมศาสดา
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาทาน นายปุณณเศรษฐีพร้อมด้วยภริยาและธิดาได้บรรลุ
โสดาปัตตผล

นางอุตตราถูกน้ำมันเดือดราดศรีษะ
ในกาลต่อมา ราชคหเศรษฐี ได้ส่งคนไปสู่ขอนางอุตตราธิดาของนายปุณณะ เพื่อทำอา
วาหมงคลกับบุตรของตน เมื่อนายปุณณะ ไม่ขัดข้องจึงได้จัดพิธีอาวาหมงคลเป็นที่เรียบร้อยนาง
ได้มาอยู่ในตระกูลของสามีเมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษานางกล่าวกับสามีว่า ปกตินางจะอธิษฐานองค์
อุโบสถเดือนละ ๘ วัน ขอให้สามีอนุญาตให้นางด้วย แต่สามีไม่อนุญาต นางจึงส่งข่าวไปถึงบิดา
มารดาว่า นางถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในที่คุมขัง ไม่สามารถจะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้สักวันเดียว ขอ
ให้บิดามารดาช่วยส่งทรัพย์ไปให้นางจำนวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะด้วยเถิด
เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี
ประจำนครนั้น ได้เจรจาติดตามขอให้ช่วยเป็นตัวแทนในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็น
เวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ นางสิริมาก็ตกลงยอมรับ และสามีของ
นางก็พอใจอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ตามความปรารถนา
เมื่อสามีอนุญาตแล้ว นางอุตตราจึงได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุ
สงฆ์ เพื่อเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เป็นเวลา ๑๕ วัน นางพร้อมด้วยทาสีผู้เป็นบริวาร
ช่วยกันจัดของเคี้ยวของฉันอันควรแก่สมณบริโภคน้อมนำเข้าไปถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์ อธิษฐานองค์อุโบสถ ครบกำหนดกึ่งเดือนโดยทำนองนี้
ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะที่นางอัตตรากำลังขวนขวายจัดแจงภัตตาหาร
อยู่นั้น สามีของนางกับนางสิริมายืนดูอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาทพลางคิดว่า “นางอัตตราหญิงโง่
คนนี้ คงจะเกิดมาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรกเหมือนทาสีทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่
มากมายแต่กลับไม่ยินดี นางทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย” คิดดังนี้แล้วก็แสดงอาการยิ้มแย้มเป็นเชิง
เยาะเย้ย
ส่วนนางอุตตราผู้เป็นภริยาก็คิดว่า “บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของเรานี้ มีปกติประมาท โง่
เขลา สำคัญว่าทรัพย์สมบัติของตนเหล่านี้เป็นของยั่งยืนถาวรตลอดไป” แล้วนางก็แสดงอาการ
แย้มยิ้มบ้าง
นางสิริมา ซึ่งยืนอยู่กับบุตรเศรษฐีนั้น เห็นสองสามีภรรยายิ้มแย้มด้วยกันดังนั้นก็โกรธ
จึงรีบลงมาจากปราสาทเพื่อจะทำร้ายนางอุตตรา แม้นางอุตตราเห็นกิริยาอาการของนางสิริมานั้น
แล้วก็ทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงเข้าฌานทั้ง ๆ ที่กำลังยืนอยู่ เจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ แผ่
เมตตาไปยังนางสิริมานั้น
นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของ
นางอุตรา ที่กำลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่ ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ำมันที่กำลัง
ร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความร้อน และไหลตกไปประหนึ่งน้ำตกจากใบบัว นางสิริมาเห็นเช่น
นั้น จึงตกใจกลับได้สติสำนึกตัวว่าเป็นผู้มาอยู่เพียงชั่วคราว จึงกราบลงแทบเท้านางอุตตรา
วิงวอนขอให้ยกโทษให้แต่นางอุตตรากล่าวว่า “ฉันจะยกโทษให้ ก็ต่อเมื่อบิดาของฉันคือพระ
บรมศาสดายกโทษให้เธอก่อนเท่านั้น”
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์เพื่อเสวยภัตตาหาร
ณ ที่บ้านนของนางอุตตราในเช้าวันนั้น นางสิริมาได้กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้
ทรงทราบโดยตลอดแล้ว กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยกโทษให้แล้วก็
เข้าไปหานางอุตราให้ยกโทษให้อีกครั้งหนึ่ง

พระบรมศาสดาเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ตรัสพระคาถา
ภาษิตว่า:-
พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่มีด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ฯ

เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางสิริมาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสิกาให้
ทานรักษาศีลและฟังธรรมตามกาลเวลา พระบรมศาสดาอาศัยเหตุที่นางอุตตราเป็นผู้เชี่ยวชาญใน
การเข้าฌาน จึงประกาศยกย่องให้นางเป็นเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้
เพ่งด้วยฌาน หรือผู้เข้าฌาน

84000.org...::

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคยฟังพระท่านเทศนาสอนมาว่าอย่างนี้ค่ะ

คือ นางอุตตรานั้นนึกขอบคุณนางสิริมาอยู่เสมอ เพราะนางสิริมา นางถึงได้มีโอกาสได้ทำกุศล
นึกขอบคุณนางสิริมาเสมอค่ะ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีโอกาสได้ทำบุญเพราะต้องดูแลสามี

ดิฉันว่าเราต้องขอบคุณกิ๊กของสามีด้วยส่วนหนึ่ง เพราะหากเราสุขอยู่ เราก็ติดอยู่อย่างนั้น หลงอยู่ในสุข
ไม่ได้ทำกุศลเต็มที่ วันนี้หากใครว่างจากคนรัก ก็ทำกุศลเถอะค่ะ หากเกลียดกลัวความทุกข์ก็ให้เร่งทำไป
อย่าทำลายโอกาสเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ฮึดขึ้นมาทำกุศล ปล่อยให้ใจคิดไปจมอยู่กับเรื่องทุกข์ มันก็ยิ่งคิดไป
แล้วมันจะไม่หยุดคิดด้วย คราวนี้ต้องพึ่งยาแล้วค่ะ บางคนกินอาหารไม่ได้ ผะอืดผะอม กินอาหารเหมือน
คนโดนทรมาน สารเคมีในร่างกายมันเพี้ยนแล้วค่ะ ต้องฝืนกินเข้าไปนะคะ เรื่องอาหารนี่สำคัญนักแหล่ะ
ตอนเสียใจนั้น เสียใจอย่างไรกินอาหารเข้าไปตามปกติก่อน เพราะถ้าไม่กินไปเรื่อยๆ ร่างกายจะต่อต้าน
อาหาร ทีนี้แหล่ะเป็นโรคที่กินอาหารไม่ได้ แล้วมันกินไม่ได้จริง แต่ละคำนั้นทรมานมากค่ะ ถ้าใครเริ่มมี
อาการกินอาหารไม่ได้ รีบฝืนกินเข้าไปด่วนเลยค่ะ หากปล่อยไปจะยิ่งลำบากค่ะ เรามีชีวิตอยู่ได้ส่วนหนึ่ง
นั้นจากอาหารค่ะ ขาดอาหารไม่ได้นะคะ

เพราะฉะนั้นดูแลตนเองรักตนเอง ยิ่งคนที่เป็นแม่นั้น หากคุณไม่มีความสุข ลูกน้อยของคุณจะรับรู้และ
พลอยทุกข์ไปด้วยค่ะ มีผลต่อลูกด้วยค่ะ คนที่เป็นแม่นั้นมีอิทธิพลต่อครอบครัวมากค่ะ แม้ในครอบครัว
ที่อยู่ปกติสุข พ่อแม่ลูก คนที่เป็นแม่มีอารมณ์ขี้โมโหขุ่นมัวคนเดียวในบ้าน เชื่อมั้ยคะบ้านหลังนั้นดุจนรก
ก็ไม่ปาน ทั้งพ่อและลูกก็พลอยไม่มีความสุขไปด้วย ดังนั้นหากจะให้บ้านสุขนั้น คนเป็นแม่ต้องเสียสละ
ทั้งกายใจ และถ้าคุณมีความสุข คุณก็สามารถแผ่ความสุขไปสู่คนในครอบครัวได้ด้วยค่ะ

วิธีที่จะทำให้มีความสุขนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัฏฏสงสารต่อไป
หรือว่าคุณอยากจะออกไปพ้นวัฏฏสงสารนี้ แนวทางการอยู่อย่างมีสุขนั้นมีเสมอค่ะ หากคุณเชื่อเรื่อง
การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ วันนี้มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ความเจ็บปวดเล็กน้อยค่ะ
แต่ถ้าคุณผละออกจากความทุกข์นี้ไม่ได้ วันข้างหน้าภพชาติข้างหน้าจะทุกข์กว่านี้ค่ะ เรารีบๆ ออก
จากความทุกข์กันดีหรือไม่คะ บางคนก็มีเวลาไม่มาก บางคนก็มีเวลามากกว่าคนอื่น บางคนก็มีพอดีเป๊ะ
เราไม่รู้ว่าเราเหลือเวลาอีกเท่าไร ดังนั้นอย่าประมาทดีกว่านะคะ

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 20:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2013, 15:04
โพสต์: 30

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="SOAMUSA"]ดิฉันเคยฟังพระท่านเทศนาสอนมาว่าอย่างนี้ค่ะ

คือ นางอุตตรานั้นนึกขอบคุณนางสิริมาอยู่เสมอ เพราะนางสิริมา นางถึงได้มีโอกาสได้ทำกุศล
นึกขอบคุณนางสิริมาเสมอค่ะ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีโอกาสได้ทำบุญเพราะต้องดูแลสามี

ดิฉันว่าเราต้องขอบคุณกิ๊กของสามีด้วยส่วนหนึ่ง เพราะหากเราสุขอยู่ เราก็ติดอยู่อย่างนั้น หลงอยู่ในสุข
ไม่ได้ทำกุศลเต็มที่ วันนี้หากใครว่างจากคนรัก ก็ทำกุศลเถอะค่ะ
หากเกลียดกลัวความทุกข์ก็ให้เร่งทำไป
อย่าทำลายโอกาสเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ฮึดขึ้นมาทำกุศล ปล่อยให้ใจคิดไปจมอยู่กับเรื่องทุกข์ มันก็ยิ่งคิดไป
แล้วมันจะไม่หยุดคิดด้วย คราวนี้ต้องพึ่งยาแล้วค่ะ

เพราะฉะนั้นดูแลตนเองรักตนเอง ยิ่งคนที่เป็นแม่นั้น หากคุณไม่มีความสุข ลูกน้อยของคุณจะรับรู้และ
พลอยทุกข์ไปด้วยค่ะ มีผลต่อลูกด้วยค่ะ คนที่เป็นแม่นั้นมีอิทธิพลต่อครอบครัวมากค่ะ แม้ในครอบครัว
ที่อยู่ปกติสุข พ่อแม่ลูก คนที่เป็นแม่มีอารมณ์ขี้โมโหขุ่นมัวคนเดียวในบ้าน เชื่อมั้ยคะบ้านหลังนั้นดุจนรก
ก็ไม่ปาน ทั้งพ่อและลูกก็พลอยไม่มีความสุขไปด้วย ดังนั้นหากจะให้บ้านสุขนั้น คนเป็นแม่ต้องเสียสละ
ทั้งกายใจ และถ้าคุณมีความสุข คุณก็สามารถแผ่ความสุขไปสู่คนในครอบครัวได้ด้วยค่ะ

ขอบคุณคุณSOAMUSA. ค่ะที่หาบทความดีๆมาเตือนสติ จริงที่สุดเลยค่ะเมื่อเราอยู่กับความสุขก็มักจะลืมสร้างกุศล ตอนนี้เราเริ่มทำใจปล่อยวางเรื่องสามีได้บ้างแล้ว เขาอยากได้อิสระก็ให้เขาแต่ก็เตือนเขาอยู่เนื่องๆ ถึงบาปที่ทำ(ไม่รู้จะฟังบ้างรึป่าว)
แล้วก็คอยเตือนให้สวดมนต์ทุกๆวัน ส่วนตัวเราก็ทำและก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรคู่ครองทั้งในอดีตและคู่ครองปัจจุบัน มีเวลาก็เข้ามาอ่านในลานธรรม ใจสงบขึ้นเยอะเลยค่ะ ดูตัวเองในกระจกแล้วตกใจทำไมหน้าตาเหมือนคนอมโรคขนาดนี้ มิน่าสามีถึงออกจากบ้าน เพราะเราไม่ดูแลตัวเองนี่เอง เลยต้องปฏิวัติทั้งกายและใจใหม่เลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2013, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาในบุญกุศลด้วยค่ะคุณPathita
:b45: :b51: :b51:

พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องอริยสัจจ์4 ไว้ เราก็มี 2 ข้อกันทุกคนค่ะ คือ ทุกข์ กับ สมุทัย
รู้ว่าทุกข์ ก็ไปดับที่เหตุที่ทำให้ทุกข์ค่ะ เหตุคือ โลภะ ความอยากได้สิ่งต่างๆ อยากไม่ได้สิ่งต่างๆ
ดังนั้น หากมีสติเข้าไว้ช่วยได้ค่ะ

ทำความดีไปเรื่อยๆ จะงามเองค่ะ ดูไปนะคะถ้าคุณสมาทานศีล สวดมนต์ สมาธิ รักษาสติ
ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้วรออีกสักพักใหญ่ คุณมองกระจกใหม่อีกครั้ง คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ

:b27: ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

ดิฉันเองก็พยายามคิด ทำ พูด แต่ความดีให้มากที่สุด แม้ว่าบางครั้งจะพลาดไปบ้าง
ก็ดูกันที่เจตนา เจตนาเราจะทำความดีค่ะ ส่วนประกอบอื่นอะไรจะเกิดผิดพลาดบ้าง เราก็ยังเป็นปุถุชน ยังไม่บรรลุมรรค ผล นิพพาน ย่อมมีผิดเป็นธรรมดา

ดังนั้นหากดิฉันพูดอะไรผิดพลาด ทำให้ใครอ่าน เห็นแล้วระคายเคือง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: :b44:

:b8: มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน
เหมือนภมรไม่ทำกลีบ สี และกลิ่น
ของดอกไม้ให้ชอกช้ำ
ถือเอาแต่รสแล้วละไป

(ธัมมบท คาถาที่ ๔๙)


:b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

ความเบื่อของมนุษย์
จากเฟรสบุ๊ควัดท่ามะโอ


มนุษย์ทุกคนอยากได้อยากมีสิ่งที่ตนไม่มี ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ ทำให้ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

บางคนอยู่บ้านหลังโต มีสวนกว้างๆ ก็เบื่อ เบื่อที่จะต้องทำความสะอาด เบื่อที่จะต้องทำสวน วันเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องทำอะไร ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ต้องทำความสะอาดทั้งวัน

พอเบื่อบ้านหลังโต ก็มาซื้อคอนโดอยู่ พออยู่ไปก็เบื่อ เบื่อพื้นที่แคบๆ ไม่มีหญ้า ไม่มีสวน เดินไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เลยอยากได้บ้านหลังโตๆ กว้างๆ

พอไปหาซื้อบ้าน ๒ ชั้นก็เบื่อจะเดินขึ้นบันไดอีก เพราะอายุที่ค่อยๆ มากขึ้น เลยอยากได้บ้านชั้นเดียว หาเงินซื้ออีก

อยู่คนเดียวก็เบื่อ เหงา ต้องหาเพื่อนมาอยู่ด้วย และต้องเป็นเพื่อนต่างเพศด้วย เพราะผู้ชายจะรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับเพศเดียวกันนานๆ จึงต้องหาคู่สมรส พออยู่ไปๆ ก็เบื่ออีก อยากหาคนใหม่กลิ่นใหม่

อยู่สองคนก็เบื่อ ต้องหาลูกมาเพื่อให้หายเหงา พออีกลูกคนหนึ่งก็ต้องมีอีกคนหนึ่งเพื่อให้ดูแลกันและกันต่อไป แล้วต้องรับภาระในการเลี้ยงลูกอีก ทำให้เบื่อและเหนื่อยที่จะต้องเลี้ยงลูก ตอนนั้นรู้แล้วว่า "นรกมีจริง"

พอลูกโตเราก็ต้องทะเลาะกับครอบครัวบ้าง เด็กทะเลาะกันบ้าง ทำให้เบื่ออีก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก ยถา เทวา ตถา ทุเว

ยถา คามา ตถา ตโย โกลาหลํ ตตุตฺตรึ.

"อยู่คนเดียวเหมือนพรหม (เพราะพรหมมีแ่ต่เพศชาย) อยู่สองคนเหมือนเทวดา (เพราะเทวดาไม่มีลูกเล็กเหมือนมนุษย์) อยู่สามคนเหมือนชาวบ้าน อยู่เกินกว่านั้นย่อมเกิดโกลาหลวุ่นวาย"

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

การทำสมาธินั้น มีนิมิตเกิดขึ้น ข้อควรระวังคือ จะต้องรู้ว่าอะไรคือนิมิตแท้จริง อะไรคือนิมิตลวง
ดิฉันแนะนำเพื่อนๆ ทำสมาธิ เผื่อว่าท่านใดมีการสั่งสมมามาก ก็จะเกิดนิมิตได้ง่ายๆ ดิฉันขอเตือนเรื่อง
นิมิตเฉพาะคนที่ทำอานาปานสติเท่านั้นนะคะ เพราะแนะนำให้ทำสมาธิ แต่ไม่เคยบอกคำเตือนไว้ค่ะ
วันนี้จึงมาบอกมาเตือนกันไว้ว่า การทำสมาธินั้นอันตรายพอๆ กับการเดินป่า ร้อยทั้งร้อย ล้านทั้งล้าน
หากไม่มีปริยัติหรือความเข้าใจที่ถ่องแท้ หลงทุกคนค่ะ ดังนั้นหากใครจะทำจริงจัง ก็หาครูอาจารย์ด้วยค่ะ
และเลือกพระอาจารย์ ครูอาจารย์ที่ทราบปริยัติด้วยค่ะ แต่ดิฉันขอเตือนแบบง่ายๆ ไว้เป็นพื้นฐานก่อนค่ะ
และขอให้เชื่อกันด้วยนะคะว่า พระพุทธเจ้าสอนมาแบบนี้จริงๆ ว่า นิมิตของอานาปานสติเกิดได้แค่
นิมิตแท้เท่่านั้นนะคะ

นิมิตแท้ของอานาปานสติ คือ ภาพอะไรก็ได้ที่เป็นอัธยาศัยของผู้นั้น เช่นภาพน้ำตก กระถางดอกไม้
ล้อรถยนต์ ภาพสวรรค์เหมือนตามผนังโบสถ์ เป็นต้น ภาพนิมิตจะต้องเป็นภาพที่มีสีเหมือนควันบุหรี่ เป็นแค่ภาพเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเรื่องราว ไม่เป็นภาพสี หรือบางคนไม่ขึ้นเป็นภาพ แต่จะเป็นท่อควันก็มีค่ะ (ในควันบุหรี่ที่ประกอบเป็นภาพนั้นจะมีการไหวนิดหน่อยของควันนะคะ)
เรียกว่า อุคคหนิมิต และหากเพ่งอุคคหนิมิตนั้นต่อไปก็จะเป็นปฏิภาคนิมิตมีแต่ความใสไม่เป็นสีควัน
ไฟ ควันบุหรี่แล้วค่ะ คือถ้าเข้าถึงอัปปนาสมาธิก็ได้ปฐมฌานค่ะ

นอกจากนี้เห็นเป็นภาพตนเองกำลังเฝ้าพระพุทธเจ้า ภาพตัวเองทำโน้นทำนี่ ไม่ใช่ทั้งสิ้นนะคะ
เป็นนิมิตลวง พระท่านว่า "หลงนิมิต จิตฟั่นเฟื่อน"

หากเห็นแบบนี้ ให้มีสติแล้วกลับมาดูที่ใจทันทีนะคะ อย่าหลงไปกับเรื่องราวที่เห็นที่พบขณะนั้น อย่า
เพลินไปกับภาพที่เห็น หรือเสียงที่ได้ เป็นต้นค่ะ บางท่านหลงไปไกลว่าตนเป็นผู้มีบารมีสูงมาช่วยสัตว์
โลก บางท่านคิดว่าตนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า บางท่านเห็นตนเองนั่งอยู่บนก้อนเมฆ บางคนก็มีคนมาคุย
ด้วยแถมยังบอกหวยให้ด้วย บางท่านก็ได้กลิ่นอะไรต่อมิอะไร บางท่านก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ก้องในหู
แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไร (อันนี้ดิฉันก็เคยเป็น ถึงกับเปิดประตูบ้านออกไปฟังชัดๆ ว่าบ้านไหนทำบุญ เพราะ
มีเสียงพระสวด) เหล่านี้เป็นต้น หากไม่มีสติไว้และรับรู้นิมิตนั้นเป็นเรื่อยๆ จะถึงขั้นฟันเฟื่อนได้นะคะ

ขอบอกว่าเคยหลงมาแล้วนะคะ เป็นห่วงเพื่อนๆ หากใครมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพน่ากลัว หรือ
ภาพสวยงาม ขอให้มีสติแล้วกลับมาดูที่ใจตนเองทันทีค่ะ

:b8: ขอบพระคุณค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

ถึงจะรักกันมากมายเพียงไร วันหนึ่งอีกคนก็ต้องจากไป ใครจะไปก่อนกันเท่านั้นเอง

ถึงจะมีความสุข ความสุขก็หมดไป จริงๆ แล้ว ความสุขก็คือมีความทุกข์ผสมอยู่ด้วยน้อย
วันนี้จะทุกข์ หรือ วันหน้าจะทุกข์ ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นจริงๆ



.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: มีน้องคนหนึ่งส่งเรื่องมาให้ลงค่ะ อ่านเรื่องของเด็กวัยรุ่นกันบ้างค่ะ
พี่สาวเพิ่งจบมหาวิทยาลัย น้องชายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ขอบคุณน้องมากค่ะที่ส่งเรื่องมา
ให้พี่ๆ อ่านค่ะ :b27:


อัน นี้เกิดจากเรื่องที่โดนกับน้องชายของหนู๋ค่ะ

ไม่ได้เข้าข้างว่าน้องชายหนู๋เป็นคนดีแสนดีนะค่ะ แต่แค่จะบอกว่าผู้ชายดีๆก็มี และเจอกับผู้หญิงที่ไม่ดีค่ะ

อันนี้ไม่ได้เผาน้องตัวเองนะค่ะ แต่แค่อยากให้รับฟังว่าผู้หญิงบางทีก็ไม่ได้โดนกระทำแต่ฝ่ายเดียว ผู้ชายก็โดนได้ค่ะ. เรื่องมีอยู่ว่า น้องชายของหนู๋เพิ่งเลิกกับแฟนคนเก่าไปเพราะมีปัญหาเรื่องนอกใจของฝ่ายหญิง อันนี้น้องก็ปล่อยไปเพราะเสียใจ น้องชายหนู๋เป็นคนหล่อ เป็นเดือนมหาลัย ก็เป็นธรรมดาที่มีผู้หญิงลุมล้อม แต่น้องหนู๋เวลาคบใครมักจริงใจและไม่นอกใจกับแฟนเด็ดขาด ส่วนใหญ่ก็จะดูแลเอาใจใส่ พาไปวิ่งออกกำลังกาย(เล่นกีฬานะค่ะ อย่าคิดไปหลายอสงไขย์ล่ะ) และพาไปทำบุญบ้าง ทีนี้พอคบกันไปฝ่ายแฟนสาวบอกว่า "หนู๋ดูใจกับอีกคนมาเกือบ8ปีแล้วค่ะ ตอนนี้หนู๋สับสนมาก" อันนี้ขอเจาะรายละเอียดนิสสสหนึ่ง น้องเค้าห่างกับน้องหนู๋ปีหนึ่งนะค่ะ น้องชายหนู๋ก็บอกไปว่า"ถ้าการที่หนู๋สบายใจและมีความสุขมากกว่าพี่ก็ไปเถอะนะ พี่อยากเห็นหนู๋มีความสุข และหนู๋ก็ดูใจอีกฝ่ายมานานกว่าพี่ พี่ขอให้หนู๋โชคดีนะค่ะ" พอน้องชายพูดเสร็จฝ่ายหญิงก็เสียใจร้องไห้ค่ะ ก็ต้องปล่อยเค้าไป ทำไงได้ น้องหนู๋ไม่โกรธ ไม่ว่าเพราะบางทีเราไม่ถึงจุดๆนั้น เราก็ไปว่าเค้าไม่ได้ น้องหนู๋แอบร้องไห้ด้วยนะค่ะ หนู๋ก็แอบน้ำตาซึมๆเพราะเข้าใจหัวอกดี ว่าการที่เราโดนกระทำแบบนี้รู้สึกยังไง...

พอวันหนึ่ง นะตามประสาวัยรุ่นเพื่อนๆชวนกันไปสังสรรค์กลางคืน (แต่น้องหนู๋ไปไม่สูบหรี่กินเหล้านะค่ะ เพราะหนู๋ชอบเปิดคลิปผิดศีลข้อที่3,กับ5บ่อย เลยหดอีกนานนน. :)) น้องหนู๋ไปเจอแฟนเก่า กำลังเต้นอยู่บนโต๊ะและไปนั่งตักผู้ชายคุย คุณพระ งามไส้ บร๊ะ!!! น้องหนู๋หดยิ่งกว่าเดิมอีก(ใจนะค่ะที่หด อย่าคิดไปหมื่นโยชน์ล่ะ) และก็โมโหไม่ได้หึงนะค่ะ แต่เขามาระบายกับหนู๋ซึ่งเปรียบเสมือนทั้งพี่บังเกิดเกล้าและแม่ อิอิ (เข้าข้างตัวเองนิดหนึ่ง อย่าพึ่งตบหนู๋ละกัน*_*) บอกว่า "ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ไม่เข้าใจ แล้วแฟนที่คบกันตั้ง8ปีคงเสียใจมากถ้าเห็นกับตา ดีจริงๆที่เลิกได้ อกอิแบ้นจะแตก "นั้นแต๊วออกเลยน้องฉันT_T ก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ เจอหน้าก็ไม่คุย ทำเป็นวาโยธาตุที่ปลิวไปปลิวมา เห้อออ ดีแหละหมดกรรมไปอีก1 ดีกว่าที่จะต้องเจอในวันข้างหน้าอีก มันไม่คุ้มเจอก็เจอเมร่งเนี่ยแหละให้หมดๆ จะได้จบๆ (อันนี้หนู๋คิดว่ามันคงคิดแบบนั้นนะ555) และสิ่งที่หนู๋อดกังวลไม่ได้คือน้องหนู๋เริ่มจะกลายพันธ์ เริ่มรักความสวยงาม เห้อออ เอาหน่าไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ขอให้เป็นคนดีก็พอ

แต่มีคนเคยบอกกับหนู๋ แต่อย่าไปทำตามนะ เพราะบางทีมันไม่ค่อยถูกต้อง อ่านแบบฮาๆไป แบบสบายใจอ่ะ you know

1.ถ้าอกหักหรือเลิกกันถ้าคุณยังเป็นสาว ก็จงพูดกับตัวเองว่า "มันไม่ได้มีแค่อันเดียวบนโลกใบนี้!! หาใหม่ มีความตื่นเต้นอีกตั้งหาก 555 หาไม่ได้ก็ดี จะได้ไม่มีบ่วง พอถึงจุดสุดขีดที่แทบจะเป็นบ้ามันจะหลุดของมันไปเองงงจริงๆนะ!! เริ่มดูแลตัวเอง แต่งหน้าทำผม ขัดผิว คิดว่าฉันสวยและรวย ถือว่าให้ทานหมากิน พอกลับมาหาเราแบบที่ต้องเผชิญหน้าแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คุยแบบเย็นชาส่งท้ายไปว่า "ขอโทษนะ เธอชื่ออะไรนะ จำไม่ได้อ่ะ??" ให้เค้ารู้และอึง!!! ผู้ชายชอบผู้หญิงไม่อารัยอาวรณ์ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ(ในกรณีที่สันดานผู้ชายมันสุดๆนะ) และพอเรามีตัวเลือกเยอะ ผู้ชายเดี๊ยวก็สำนึก เพราะผู้ชายกว่าจะสำนึกจริงๆคือต้องสูญเสียก่อนค่ะ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน่ำตา

2.ถ้าในกรณีมีลูก ก็เราชิวๆไป อย่าไปคิดถึงอดีตเพราะมันคือโปรโมชั่นน ทำแบบปกติรักลูก รักพ่อแม่ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ใจร่มๆ เพราะยังไงมันจะถึงจุดที่เบื่อหน่ายของใหม่ทะเลาะกัน และสุดท้ายก็มาคิดว่าเราทำอะไรลงไป ก็มาคิดถึงเรากับลูก มีเคสมาเล่าให้ฟัง สามีนอกใจภรรยา ภรรยาเสียใจจะตายชัก แต่ก็ไปรับฟังความคิดเห็นอีกฝ่ายว่า ลองปฎิบัติเหมือนเดิม ทำดียิ่งกว่าคนใหม่ที่เคยเจอ เราต้องไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวนะ เราต้องสวยตลอดเวลา ผู้หญิงอย่าหยุดสวย มันคือสมัยอ่ะนะ มันไม่ใช่น้ำเน่า โอเคจริงอยู่เราควรเหมือนนางเอกแต่ขอMixผสมตัวร้าย ในบางเรื่องก็ดีนะ เช่นหันมาดูแลตัวเอง ไม่แคร์ใคร ประมาณ I don t need a manเค๊อะ You know!!! อย่าปล่อยตัวสมถะถึงขนาด เลดี้ก้าก้าก็ไม่ไหวนะค่ะ

ปล.หนู๋แค่ไม่อยากให้คุณเสียใจ อย่างน้อยมันน่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์(หรือมันเพิ่มขึ้นหว่า) ที่ทำไปก็อยากเห็นทุกคนแฮบปี้

ถ้าหนู๋มีสามีแบบนั้น ถ้าจะไปมีเมียใหม่จงบอกไปอย่างภาคภูมิใจเถอะว่า "ไปเถอะค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน" :b28:

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 16:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="SOAMUSA"]:b12: มีน้องคนหนึ่งส่งเรื่องมาให้ลงค่ะ อ่านเรื่องของเด็กวัยรุ่นกันบ้างค่ะ
พี่สาวเพิ่งจบมหาวิทยาลัย น้องชายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ขอบคุณน้องมากค่ะที่ส่งเรื่องมา
ให้พี่ๆ อ่านค่ะ :b27:


ขอบพระคุณค่ะคุณSOAMUSA ที่ลงนะค่ะ ตอนนี้มีรหัสเป็นของตัวเองรู้สึกดีใจยิ่งกว่ามีแฟนใหม่อีกค่ะ!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
SOAMUSA เขียน:
:b12: มีน้องคนหนึ่งส่งเรื่องมาให้ลงค่ะ อ่านเรื่องของเด็กวัยรุ่นกันบ้างค่ะ
พี่สาวเพิ่งจบมหาวิทยาลัย น้องชายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ขอบคุณน้องมากค่ะที่ส่งเรื่องมา
ให้พี่ๆ อ่านค่ะ :b27:


ขอบพระคุณค่ะคุณSOAMUSA ที่ลงนะค่ะ ตอนนี้มีรหัสเป็นของตัวเองรู้สึกดีใจยิ่งกว่ามีแฟนใหม่อีกค่ะ!!!


คุณJIT TREE คะ คุณจะฮาไปถึงไหนคะ :b12:

แผลตกสะเก็ดแล้วเหรอคะ ถึงฮาได้ :b28:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
SOAMUSA เขียน:
:b12: มีน้องคนหนึ่งส่งเรื่องมาให้ลงค่ะ อ่านเรื่องของเด็กวัยรุ่นกันบ้างค่ะ
พี่สาวเพิ่งจบมหาวิทยาลัย น้องชายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ขอบคุณน้องมากค่ะที่ส่งเรื่องมา
ให้พี่ๆ อ่านค่ะ :b27:


ขอบพระคุณค่ะคุณSOAMUSA ที่ลงนะค่ะ ตอนนี้มีรหัสเป็นของตัวเองรู้สึกดีใจยิ่งกว่ามีแฟนใหม่อีกค่ะ!!!


คุณJIT TREE คะ คุณจะฮาไปถึงไหนคะ :b12:

แผลตกสะเก็ดแล้วเหรอคะ ถึงฮาได้ :b28:



ตอนนี้ตกสะเก็ด และเริ่มคันแหละ ต้องเอาสำลีมาปั่นอย่างเดียวค่ะ :b1: :b1: Onion_R


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

โดย คณะสหายธรรม
เวป 84000

:b53: ทำอย่างไรจึงจะไม่ฟุ้งซ่าน

ถาม ทำใจอย่างไรจึงจะคลายความฟุ้งซ่านได้

ตอบ ความจริงเรื่องของความฟุ้งซ่านเป็นเรื่องธรรมดาของคนมีกิเลส ขณะกิเลสหรือบาปอกุศลเกิดขึ้นครั้งใด ขณะนั้นก็ถือว่าฟุ้งซ่านแล้ว เพราะอุทธัจจะอันเป็นสภาพของความฟุ้งซ่านไม่สงบเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง
ในทางตรงกันข้าม ขณะใดที่จิตเป็นกุศล เป็นบุญ ขณะนั้นจิตย่อมปราศจากความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ต้องการให้จิตฟุ้งซ่าน เราก็ต้องทำกุศลอยู่เสมอไม่ว่าจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ช่วยเหลือกิจการงานที่ชอบ การอ่อนน้อมถ่อมตน การให้ส่วนบุญที่ทำแล้วแก่ผู้อื่น การอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำแล้ว การฟังธรรม การแสดงธรรม แม้การทำความเห็นให้ถูกต้องตรงก็เป็นกุศลทั้งนั้น การมีเมตตากรุณา เอื้อเอ็นดูแก่ผู้อื่นก็เป็นกุศล การอ่านหนังสือธรรมะก็เป็นกุศล กุศลนั้นมีมากมาย เมื่อเจริญกุศลอยู่ จิตก็ย่อมสงบจากกิเลสไม่ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าจะละความฟุ้งซ่านให้เด็ดขาด ต้องเจริญมรรคจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นกิเลสทั้งมวลรวมทั้งความฟุ้งซ่านย่อมไม่เกิดอีกเลย

:b8: :b8: :b8:

:b38: คำคมของลุงหมาน "ก่อนจะรัก ต้องรู้การเลิกรัก เพราะมันเป็นของคู่กัน" :b14: ใครเข้าใจซึ้งคำคมของลุงแล้ว รักใครไม่ลง แล้วค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


โดย คณะสหายธรรม
ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด


ถามที่ว่ารัก รักนั้นประการใด

ตอบ ตั้งแต่จำความได้ ทุกคนรู้จักคำว่า “รัก รัก รัก” กันทั้งนั้น รักพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน วงศาคณาญาติ รักเพื่อนพ้อง ญาติสนิทมิตรสหาย รักสินทรัพย์ เงินทอง ข้าวของ ตลอดจนสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่มีรักใดที่ยิ่งใหญ่กว่ารักตนเอง
ดังที่พระพุทธพจน์ที่ว่า “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี” ที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสอนให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อเรารักตัวของเราเองยิ่งกว่าใครๆ คนอื่นเขาก็รักตัวของเขายิ่งกว่าใครๆ เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ต้องได้รับทุกข์ฉันนั้น
พระพุทธองค์ตรัสเรื่องเกี่ยวกับความรักไว้ว่า
“ความโศกเกิดแต่ความรัก ภัยคือความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก ความกลัวจักมีแต่ที่ไหน”
ก็ความรักอันเป็นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัวนี้ เป็นความรักที่เนื่องด้วยโลภะตัณหาอันเป็นบาปอกุศล เป็นความรักที่เกิดจากความต้องการผูกพันรักใคร่ แต่ยังมีความรักอีกชนิดหนึ่งซึ่งปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้รับความสุขโดยประการเดียว รักโดยไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะมีอโทสะ ความไม่โกรธเป็นมูลราก จึงเป็นบุญกุศลความรักชนิดนี้คือ เมตตา
ความรัก ๒ อย่างนี้ มีเหตุเกิดต่างกัน ผลที่ได้รับจึงต่างกัน ความรักชื่อว่าเมตตา เป็นประเสริฐ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ถ้าทุกคนมีเมตตาต่อกัน โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข เพราะไม่มีใครเบียดเบียนประทุษร้ายใครๆ ให้เดือดร้อน
พระพุทธเจ้านั้นมากไปด้วยพระเมตตา ทรงรักทุกคนแม้แต่ศัตรู เหมือนกับทรงรักพระราหุลราชโอรส พระองค์ทรงปรารถนาให้ชาวโลกได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงทรงสอนให้มีศัลห้าเป็นประการแรกนั่น คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะเพียงการมีศีลห้าเพียงอย่างเดียว ชาวโลกก็จะมีแต่ความสุขหาประมาณมิได้ เพราะการไม่ฆ่าสัตว์นั้น ไม่ทำให้สัตว์ต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือเรา เป็นการเอื้อเอ็นดูต่อสัตว์ เป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์
รองลงมาจากรักชีวิต ทุกคนรักทรัพย์สินสิ่งของของตน การไม่หยิบฉวยลักขโมยทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น
คนที่มีบุตรภรรยาสามี ก็รักบุตรภรยาสามีของตน การไม่ล่วงละเมิดในบุตรภรรยาสามีของผู้อื่น เป็นการให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น
การไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น
การงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติดมึนเมาทั้งปวง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ แก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตรภรรยาสามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มึนเมาย่อมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สามารถจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าบุตร ภรรยา สามีของตน ในที่สุดแม้แต่การฆ่าตนเองก็มิได้เว้น
เพราะฉะนั้น การมีศีลห้าจึงเป็นการรักษาตนเองและรักษาผู้อื่นให้พ้นจากภัยเวร ผู้มีศีลห้าจึงต้องมีเมตตาประจำใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นเขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น ทุกคนในโลกนี้ก็จะอยู่เป็นสุข แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็อยู่เป็นสุขในโลกอื่น
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน พระคาถาธรรมบท ปิยวรรค ว่า
บุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลที่ทำบุญไว้ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น เหมือนพวกญาติเห็นญาติที่รักที่จากไปต่างถิ่นแล้วกลับมา ย่อมต้อนรับด้วยความยินดี ฉะนั้น
คือย่อมต้อนรับด้วยเครื่องบรรณาการอันเป็นทิพย์ คืออายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์และความเป็นใหญ่ทิพย์ ตลอดจนรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะอันเป็นทิพย์
ชาวโลกทุกวันนี้ต่างอ้างว่ามีศาสนาประจำใจตน แต่ยังมากไปด้วยความโลภ อยากได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สินที่มิใช่ของตนโดยไม่ชอบธรรม แม้เมื่อไม่ได้หรือได้ไม่พอก็ทำลายล้างกัน ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย พิกลพิการ ขอให้ตนได้ในสิ่งที่ตนอยากได้เท่านั้น
ความริษยา อาฆาต พยาบาท ก็เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงไม่แพ้ความโลภ การไม่ชอบหน้ากันเพียงคนสองคน ก็สามารถทำลายล้างคนเป็นแสนๆ ล้านๆ ได้ โลกทั้งโลกที่ต้องวุ่นวายเดือดร้อน ลุกเป็นไฟอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความโลภและความริษยาอาฆาตของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน รวมทั้งผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติผิดธรรม ทอดทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แม้ผู้เป็นพ่อแม่ก็ทอดทิ้งลูกได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อให้พ้นความอับอายขายหน้าเท่านั้น
ภัยอันตรายร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเกิด ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนนับแสนนับล้านต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จะโทษใครเล่าถ้าไม่โทษการกระทำอันไร้เมตตาปราณีของพวกเราเองซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ขอมอบ พระพุทธภาษิต เป็นเครื่องเตือนใจเราทั้งหลายว่า
เมื่อโลกสันนิวาสอันไฟ (คือราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น) ลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะมัวร่าเริงบันเทิงอะไร เธอทั้งหลายอันความมืดคืออวิชชาปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป(คือญาณปัญญา) เพื่อขจัดความมืดคืออวิชชานั้นเสียเล่า

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุบุญรักษาค่ะ

s006 s006 โทษอะไรก็สู้โทษของความรักไม่ได้ เป็นดาบ2คมจริงๆ
แต่ส่วนใหญ่ ความรักเป็นความร้าย เป็นสิ่งทารุณ เราจะต้องห่วง กังวล พะวง แม้แต่ หึง หวง
:b8: :b8: ถ้าคิดจะรักใคร ก็ต้องเตรียมใจที่จะรับความขมขื่นในวันข้างหน้า
onion onion onion

สิ่งที่ทำได้ดีคือ ละ และฟุ้งซ่านกับอกุศลให้น้อยลงที่สุด
หมั่นสร้างกุศลทุกๆวัน เพราะภพนี้อิฉันยังเอาตัวไม่รอดเลยเจ้าค่ะ Onion_R Onion_R

:b8: :b8: ขอบพระคุณที่นำธรรมะและสิ่งดีๆให้อ่านค่ะ :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร