วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 23:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปหลงประเด็น พระอภิธรรมก็พุทธวจนะ ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ พระอรหันต์ 500 พระองค์ทรงสังคายนาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาอย่างสะดวกนั้น ควรจะสำนึกพระคุณกันนะ ที่พูดกันปาวๆ สอนกันปาวๆ อยู่นั้น บางคนก็เนรคุณกันอยู่ปาวๆ นั้น ว่านี่ใช่ นี้ไม่ใช่ เก่งๆ กันนัก คัดได้ว่าอันไหนพุทธวจนะ อันไหนไม่ใช่พุทธวัจนะ เก่งเกินกว่าพระอรหันต์ 500 พระองค์ในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน

แต่คนในสมัยนี้ออกมาต่อต้านว่าพระอภิธรรมไม่ใช่ แล้วก็พากันคัดตรงโน้นออกตรงนี้ออก อย่าเดินตามคนพวกนี้เด็ดขาด เพราะถ้าเห็นด้วยไปกับเค้าเมื่อไร ก็เดินตามลงนรกตามเค้าไปด้วยแน่ๆ น่ากลัวมากๆ เพราะจะไปเชื่อเค้าเหรอ ถ้าเค้าบอกว่าคำสอนนี้ไม่คำสอนพระพุทธเจ้า แล้วใครพิสูจน์ได้ พระอรหันต์ที่สังคายานาไว้ในยุคแรกตั้ง 500 พระองค์ หนึ่งใน500 นั้นมีพระอานนท์ เราไม่เชื่อ บอกว่าที่ท่านสังคายนาไว้ไม่ใช่คำสอน.........แล้วเรามาเชื่อคนยุคนี้นั้น ว่านี้ไม่ใช่คำสอน

ขอถามว่า เราจะเชื่อพระอรหันต์ 500 พระองค์ที่ทำสังคายนาหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานใหม่ๆ

กับการมาเชื่อ พระในยุคนี้ 2500 และพระก็ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือคนธรรมดาที่จะเอาแต่คำสอนพุทธเจ้าเท่านั้น ครูอาจารย์มาอธิบายให้เข้าใจ มาช่วยอธิบายบอกว่า ผิดไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า จะเชื่อคนสมัยนี้หรือ

ในทางกลับกันนะ มีคนแต่งตำราเรียนไว้
ถามว่าทุกคนจ้องจะไปเรียนกับคนแต่งตำราไหวมั้ย
มันก็มีอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย ยกเอาตำรามาสอน ถามว่า แล้วอาจารย์สอนเราให้เรียนจบได้หรือไม่
อาจารย์มหาวิทยาลัยก็คืออาจารย์ภายหลังที่มาช่วยอธิบาย แล้วคนก็จ้องไปด่าอาจารย์ บอกว่าอย่าไปฟังอาจารย์สอน ให้ไปอ่านตำราเองเลย ถามว่าอ่านตำราเองรู้เรื่องมั้ย ไม่มีอาจารย์คอยช่วยสอนให้

พุทธวจนะนั้น ถามว่ายกขึ้นมาแล้วเข้าใจเองได้จริงหรือ ไม่ต้องการคนอธิบายหรือ แล้วถ้ามีคนมาอธิบายคนๆ นั้นก็เข้าข่ายที่ว่าอย่าให้เราไปเชื่อเหมือนกัน ในเมื่อคนอื่นอธิบายแล้วตัวเองต่อต้าน แต่จะให้ฟังตนเองเชื่อตนเอง มันถูกที่ไหน คัดค้านคนอื่นแต่ให้ย่อมรับแค่คำตัดสินของตนเองว่า อันนี้พุทธวจนะ อันนี้ไม่ใช่พุทธวจนะ

อยากจะถามจริงๆ ว่า คนๆที่คัดว่าใช่พุทธวจนะ ไม่ใช่พุทธวจนะนั้น ได้นั่งฟังอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์หรือไม่ ถึงได้คัดได้แล้วเที่ยวบอกชาวบ้าน หรือพระอรหันต์ 499 พระองค์ + พระอานนท์อีก 1 พระองค์ เป็นผู้ฟังมาแล้วมาสังคายนา ให้แกมาดัดจริตคัดทิ้งดูเพิ่มเติม

copy มาจาก คุณ Jan Tomhom Facebook

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กด like

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อภิธรรม สอนเรื่อง ขันธ์5 ในส่วนที่ละเอียด
คือ รูป 28 จิต 100 กว่าแบบ เจตสิก 52 นิพพาน 1

พวกต่อต้านอภิธรรม จะเอาแต่ตี้นๆ คือ
รูปคือ ร่างกาย
จิต เจตสิก คือ ใจ

คือ ร่างกาย และจิตใจ

ร่างกาย ก็อาจจะยอมรับบ้างว่า ประกอบจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ .......... ส่วนอื่นๆ ไม่พูดถึง
จิตใจ ก็ พูดแค่ว่า เวทนา สัญญา สังข่าร วิญญาณ
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย
สัญญา คือ จำได้หมายรู้
สังขาร คือ ความคิด
วิญญาณ คือ การรับรู้ 6 ทาง

............................................. จบ ง่ายดี

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แล้วถามว่า จิต อยู่ที่ไหน ................ อยู่ที่สมอง

เพราะอะไร จิตจึงอยู่ที่สมอง

เพราะ ฝรั่งบอก ........................... (เรียนของฝรั่งมาเยอะ เรียนของพุทธน้อย)

จิตมี เพราะร่างกายมี

ถ้าร่างกายไม่มี ................... จิตจะไปเกิดอยู่ที่ไหน................. กันล่ะ

วิญญาณ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย หทยวัตถุ)

ในเมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หทยวัตถุ ................. ตายหมดแล้ว ถูกเผาทำลายหมดแล้ว

จะไปเกิดจิต ที่ไหนกันล่ะ

จริงมั๊ย

บุญ บาป มีมั๊ย

บุญ บาป ไม่กล้าปฏิเสธว่า ไม่มี ..................... ก็ไพล่ ไปว่า มี

บุญ คือ ความสบายใจ
บาป คือ ความลำบากใจ

นรก สวรรค์ มีมั๊ย ............................... มี สวรรค์ อยู่ในอก นรก อยู่ในใจ

จงเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น เท่านั้น

จัดเป็นความไม่งมงาย และเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างแท้จริง

จบ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 09:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กลุ่มที่...ต้องพระพุทธวจนะ..เท่านั้น
กับ...กลุ่มที่....ต้องพระไตรปิฎกเท่านั้น
กับ..กลุ่มที่...ต้องอย่างนี้....อย่างนั้น..เท่านั้น

ดูไป.....เหมือนจะเป็นสีลลัพตปรามาสละเอียด...นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 09:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มี...ต้อง....กับ....ต้องไม่.....นี้....มัน..อุปาทานใน..ภวตัณหา....กับ...วิภวตัณหา...ไปแล้ว.
...แล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่บนอุปาทานอย่างนี้....ผลมันจะพ้นไปจาก..ภพ...ชาติ....ได้อย่างไร

แล้ว..คิดอย่างนี้มาตั้งนาน....ป่านนี้...มันไม่ใช่ตกเป้น..ภพ...ของผู้นั้นไปแล้ว..หรือ?

วาง...ใจ...ใว้ตรงกลางของคำว่า...ต้อง...กับ...ต้องไม่...ได้หรือเปล่า?...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือปฏิบัติกันจริงๆจังๆ ก็คงต้องไปกันเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เหมือนเขาถกกันเรื่องไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน เถียงกันไปกันมา บางลัทธิศาสนาจึงตัดบทว่า พระเจ้าสร้าง เป็นอันจบได้เรื่องหนึ่ง
เรื่องชีวิตจิตใจก็ทำนองนั้น เขาถกเถียงกันมาก่อนพุทธศาสนาจะอุบัติแล้ว ไม่จบหรอกเพราะนามธรรมมันลึกซึ้ง ยิ่งอ่านตำรามากก็ยิ่งคิดมาก ถามว่า ใครคิด ตอบก็จิตใจนั่นแหละคิด ธรรมชาตินั่นแหละคิด คือตัวมันเองคิดมันเอง แต่คนละขณะกัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีคนมาว่าพระไตรปิฎก
เกิดความขุ่นใจขึ้นมาหรือเกิดความชอบใจขึ้นมา
เกิดความหลงเข้าไปยึดติดเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา
ก็จะขัดกับหลักพระไตรปิฎกที่สอนให้ลดละปล่อยวาง
ในความที่ไม่มีเราไม่มีเขาอยู่ในสิ่งนั้นเลย

การพิจารณาโดยทำใจกลางๆนี้ทำยากแท้...ขึ้นอยู่กับการเพียรฝึกฝนตามอุบายที่ได้ร่ำเรียนมาของแต่ล่ะคนเลยตามจริตนิสัย


แก้ไขล่าสุดโดย Rotala เมื่อ 08 มิ.ย. 2013, 14:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อภิธรรม สอนเรื่อง ขันธ์5 ในส่วนที่ละเอียด
คือ รูป 28 จิต 100 กว่าแบบ เจตสิก 52 นิพพาน 1

พวกต่อต้านอภิธรรม จะเอาแต่ตี้นๆ คือ
รูปคือ ร่างกาย
จิต เจตสิก คือ ใจ

คือ ร่างกาย และจิตใจ

ร่างกาย ก็อาจจะยอมรับบ้างว่า ประกอบจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ .......... ส่วนอื่นๆ ไม่พูดถึง
จิตใจ ก็ พูดแค่ว่า เวทนา สัญญา สังข่าร วิญญาณ
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย
สัญญา คือ จำได้หมายรู้
สังขาร คือ ความคิด
วิญญาณ คือ การรับรู้ 6 ทาง

............................................. จบ ง่ายดี


บางรายก็สอนกันว่านิพพานมีทางลัด....จบง่ายดี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าเรา ตรัสรู้ได้เอง ก็ไม่ต้อง อาศัยพระไตรปิฏก และตำราอื่นๆ
แต่นี่ ต้องอาศัยตำรา และครูบาอาจารย์ ช่วยอธิบาย ส่วนเรื่องจะเชื่อไม่เชื่อ ค่อยว่ากันอีกที
เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้เอง
เพราะครูบาอาจารย์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ย่อมมีพูดผิดพูดถูก
ขนาดรับฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ท่านยังบอกว่า อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเลย

แต่ถ้าไม่อ้างอิง จากพระไตรปิฏก ฉบับเถรวาท เสียแล้ว สุดท้ายก็จะมั่ว
เพราะพระรูปนั่น ว่าอย่างนั้น พระรูปโน้นว่าไปอีกอย่าง

แต่พระไตรปิฏกนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏ มั่นคงสืบทอดมานาน ไม่ใช่ใครจะแอบไปแปลงสาร ได้ง่ายๆ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
govit2552 เขียน:
อภิธรรม สอนเรื่อง ขันธ์5 ในส่วนที่ละเอียด
คือ รูป 28 จิต 100 กว่าแบบ เจตสิก 52 นิพพาน 1

พวกต่อต้านอภิธรรม จะเอาแต่ตี้นๆ คือ
รูปคือ ร่างกาย
จิต เจตสิก คือ ใจ

คือ ร่างกาย และจิตใจ

ร่างกาย ก็อาจจะยอมรับบ้างว่า ประกอบจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ .......... ส่วนอื่นๆ ไม่พูดถึง
จิตใจ ก็ พูดแค่ว่า เวทนา สัญญา สังข่าร วิญญาณ
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย
สัญญา คือ จำได้หมายรู้
สังขาร คือ ความคิด
วิญญาณ คือ การรับรู้ 6 ทาง

............................................. จบ ง่ายดี


บางรายก็สอนกันว่านิพพานมีทางลัด....จบง่ายดี


เข้าใจครับ ส่วนตัวอยากเรียนรู้อยากศึกษาคำศัพท์เยอะๆ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยได้อ่านเลยช่วงนี้ เวลามีความสงสัยอะไร ก็จะตามดูด้วยการปฏิบัติก่อนไปเรื่อยๆ เวลาเราปฏิบัติแล้ว มีความรู้เยอะแยะที่เราจะได้รับ เรามีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ธรรมที่เราเรียนรู้ทุกอย่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า เป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในพระไตรปิฏก สิ่งใดที่เกิดเป็นกุศล เราก็ตามดูตามรู้และรักษาแนวทางการปฏิบัติ สิ่งใดที่ไม่เป็นกุศลเราก็พยายามหลีกเลียง ลดละ คือช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน เพราะว่าหากเราด้อยในปัญญา ต่อให้เรายกพระไตรปิฏกมาอธิบายทั้งเล่ม มันก็ไม่มีประโยชน์แก่ตนอยู่ดี ทำให้เกิดความละอายแก่ใจปล่าวๆ พระนิพพานเป็นธรรมชั้นสูง จะมีทางลัดอย่างไรก็ต้องผ่าน อริยสัจ4 และ มรรคมีองค์8อยู่แล้ว ผมมีความเห็นอยู่ว่า ผู้ที่จะรักษาและถ่ายทอดพระไตรปิฏกได้สมบูรณ์ที่สุดคือพระอรหันต์ ไม่ใช่ผู้ที่ท่องจำเก่งและความจำดี เพราะพระอรหันต์เอาตัวรอดแล้ว แต่เราทั้งหลาย ยังเอาตัวไม่รอดเป็นส่วนใหญ่ แม้ส่วนตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด หลักธรรมที่เป็นพื้นฐานยังร่อแร่ ความเพียร สติที่เป็นพื้นฐานก็ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ และยังไม่เข้าใจความหมายของตัวรู้ จิตรู้ แต่จะเอาคำศัทพ์ไปเทียบว่าใช่พระพุทธพจน์หรือปล่าว เมื่อไหร่จะได้เริ่มทำความเพียรกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 17:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าไม่เรียนรู้ แล้วสัมมาทิฏฐิ จะมีได้อย่างไร

ขาดสัมมาทิฏฐิ แล้วจะเดินมรรค ได้อย่างไร

กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็ผิดหมด

ไม่รู้รูป ไม่รู้นามแล้วจะไปวิปัสสนาได้อย่างไร

ไม่แยกธาตุ แยกขันธ์ ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงนิพพาน ..................... หลวงตามหาบัว

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2013, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
คงไม่หลงประเด็นในเรื่องนี้
เพราะ พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ เรียบเรียงขึ้นให้สะดวกแก่การศึกษาพระสูตร

การศึกษาอาจจะต้องเสียเวลานาน ในการทำความเข้าใจ
ซึ่งจำเป็นแก่ครูอาจารย์ที่ต้องการเผยแผ่ บทบัญญัติที่ถูกต้อง

แต่ไม่จำเป็น แก่ผู้ปฏิบัติโดยทั่วไปที่จะต้องไปรู้ทั่ว ทุกบัญญัติที่ปรากฏในพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
V
หากมีฉันทะ ที่จะเรียนรู้พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ก็ย่อมสามารถเรียนรู้ได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จาก
อภิธรรมมัตถสังคหะ ซึ่งมีการเติมแต่งโดยมติตนจะเป็นการดี เพราะพระอรหันตเจ้าท่านได้เรียบเรียงไว้ดีแล้ว
V
ถามว่า อภิธรรมมัตถสังคหะ ใช้ประกอบการศึกษาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ได้ไหม?
ตอบว่าใช้ได้ ดังเช่นปทานุกรมอธิบายคำศัพท์ เพื่อให้เข้าใจบทพยัญชนะและอรรถของพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ได้บ้าง...แต่ก็ต้องระวังบทพยัญชนะที่เป็นไปตามอัตโนมติของผู้ประพันธ์คัมภีร์เล่มนี้บ้าง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2013, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
คงไม่หลงประเด็นในเรื่องนี้
เพราะ พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ เรียบเรียงขึ้นให้สะดวกแก่การศึกษาพระสูตร

พระอภิธรรมจะเป็น ๗คัมภีร์หรืออภิมัตถฯ ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นสิ่งที่ใช้อธิบาย พุทธพจน์
พุทธพจน์ที่เกียวกับพระวินัยหรือพระสูตร ถ้าเรารู้จักและปฏิบัติตามหลักที่พุทธพจน์กล่าวไว้
พระอภิธรรม๗คัมภีร์หรือพระอภิมัตถฯ ก็ไม่มีความจำเป็น

พุทธพจน์ในพระวินัยและพระสูตร เป็นธรรมที่ใช้ดับกิเลส หรือเรียกว่า จากผลไปหาเหตุ
แต่พระอภิธรรมเป็นธรรมที่บอกลักษณะของกิเลส หรือเรียกว่า เหตุไปหาผล


อรรถหรือเนื้อหาแท้ในพุทธพจน์ล้วนแล้วแต่เป็น...หลักของการปฏิบัติ
หลักการปฏิบัตินั้นก็คือ ปริยัติ
ปริยัติในความหมายของพุทธพจน์ ไม่ใช่การอ่านการศึกษาพระอภิธรรมหรืออภิมัตถฯ
หลักการปฏิบัติที่เรียกว่า ปริยัตินั้นก็คือ การรู้ตัวให้อยู่กับปัจจุบันและการรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในกายใจ
ในขณะปัจจุบันนั้น

เมื่อรู้แล้วก็ให้ลงมือปฏิบัติ เรียกว่า....ปฏิบัติ

เมื่อลงมือปฏิบัติก็จะได้ผลการปฏิบัตินั้นเรียกว่า ปฏิเวธ

นี่เป็นหลักธรรมเบื้องต้นที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ

การศึกษาหรือการอ่านพระไตรปิฎกโดยขาดปัญญาเป็นหลักในการพิจารณา
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกิด เป็นกิเลสทิฐิมานะ
ทิฐิมานะที่มีเหตุมาจากการอ่านพระไตรปิฎกโดยขาดปัญญา
ย่อมทำให้ไม่สามารถควบคุมกายสังขารและวจีสังขารได้ ส่วนใหญ่จะแสดงออกทางวาจา
นั้นก็คือการอ้างพระไตรปิฎก อ้างพุทธพจน์เพื่อข่มคนอื่น :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร