วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2013, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามสิ่งที่ไม่เข้าใจอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ผู้ที่บรรลุธรรม ถึงขั้นอภิญญาแล้ว
คือผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ใช่อย่างนี้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b50:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2013, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอถามสิ่งที่ไม่เข้าใจอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ผู้ที่บรรลุธรรม ถึงขั้นอภิญญาแล้ว
คือผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ใช่อย่างนี้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b50:


ถ้ามี "ผู้ที่บรรลุธรรม" และเป็น "ผู้ที่ถึงขั้นอภิญญา" แล้ว
และคือ "ผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน" แล้ว
และ ผู้นั้นก็ "กลับมาเกิด"
...
คิดว่า ท่านผู้นั้นจะบอก จะพูด ว่าอะไร ยังไง ... :b12:

...
ถ้ามีผู้อย่างนั้น
ก็มีผู้ที่กล้าที่จะพูดออกมาอยู่เพียงไม่กี่คนนะ

หนึ่งในนั้น คือ ท่านพลศักดิ์ .... :b12:

เพราะ...ท่านมีแผนอนาคต...

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2013, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ eragon_joe เขียน



อ้างคำพูด:
ถ้ามี "ผู้ที่บรรลุธรรม" และเป็น "ผู้ที่ถึงขั้นอภิญญา" แล้ว
และคือ "ผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน" แล้ว
และ ผู้นั้นก็ "กลับมาเกิด"
...
คิดว่า ท่านผู้นั้นจะบอก จะพูด ว่าอะไร ยังไง ... :b12:

...
ถ้ามีผู้อย่างนั้น
ก็มีผู้ที่กล้าที่จะพูดออกมาอยู่เพียงไม่กี่คนนะ

หนึ่งในนั้น คือ ท่านพลศักดิ์ .... :b12:


หนึ่งในนั้น คือ ท่านพลศักดิ์ .... :b12:

เพราะ...ท่านมีแผนอนาคต...



:b12: :b12: :b12:






ไม่ใช่ คุณพลศักดิ์พูดหรอกค่ะ เพราะเราก็ไม่เคยคุย แล้วก็ไม่รู้จักด้วยค่ะ
คือเราไปฟังธรรมเทศนา มา น่ะค่ะ

หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ) :b8:



แต่อีกท่านหนึ่ง จะสำเร็จอภิญญาในชาตินี้ มีใครพอจะอธิบายคำว่า
สำเร็จอภิญญา แบบกว้างๆให้เราได้รู้บ้างค่ะ :b8: :b41: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย bbby เมื่อ 04 พ.ค. 2013, 23:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2013, 23:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ ... ถ้ามีผู้อย่างนั้น ...

จะต้องลองเอาคำสอนพระพุทธองค์เข้าจับก่อน
ว่า อริยะ / ผู้บรรลุธรรมชั้นไหน ไปเกิดอย่างไรได้บ้าง

และ ... ต้องลองจับ สภาวะ นั้น ๆ ดู
หมายถึง ... สภาวะ ที่ทำให้เราคิดว่านั่นเป็น นิพพาน นั่นล่ะ
และ จะเห็นวงรอบอายุ ...
จะเห็นการแขวนตัวของการรู้อารมณ์ ...หรือ...ภพ
จะเห็นผัสสะและการสนองตอบต่อผัสสะ ...
กรรมที่ทำให้ต้องเคลื่อนจากภพ/สภาวะ
เพราะมีเป็นจำนวนมากอยู่
ที่พรหมจะเข้าใจว่า นั่นเป็น นิพพาน ...


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณ eragon_joe เขียน



อ้างคำพูด:
ถ้ามี "ผู้ที่บรรลุธรรม" และเป็น "ผู้ที่ถึงขั้นอภิญญา" แล้ว
และคือ "ผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน" แล้ว
และ ผู้นั้นก็ "กลับมาเกิด"
...
คิดว่า ท่านผู้นั้นจะบอก จะพูด ว่าอะไร ยังไง ... :b12:

...
ถ้ามีผู้อย่างนั้น
ก็มีผู้ที่กล้าที่จะพูดออกมาอยู่เพียงไม่กี่คนนะ

หนึ่งในนั้น คือ ท่านพลศักดิ์ .... :b12:


เพราะ...ท่านพลเป็นผู้ที่มีอนาคต...
ท่านเป็นทีมปูพรม...เพื่อการในอนาคต...

:b12: :b12: :b12:


ไม่ใช่ คุณพลศักดิ์พูดหรอกค่ะ เพราะเราก็ไม่เคยคุย แล้วก็ไม่รู้จักด้วยค่ะ
คือเราไปฟังธรรมเทศนา มา น่ะค่ะ

หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ) :b8:


แต่อีกท่านหนึ่ง จะสำเร็จอภิญญาในชาตินี้ มีใครพอจะอธิบายคำว่า
สำเร็จอภิญญา แบบกว้างๆให้เราได้รู้บ้างค่ะ :b8: :b41: :b55:


เปล่า... อันนี้แอบแซวท่านพล...น่ะ
เพราะพอดีวันนี้มีคนทำให้นึกถึงท่านพล

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ) :b8:





เราเพิ่มอีกหน่อยน่ะค่ะ ตรงที่เป็นตัวอักษรสีแดงนั้น
ไม่ใช่หมายถึงตัวเราน่ะค่ะ


คือท่านอาจารย์องค์เทพ ท่านหมายถึงอีกท่านหนึ่งน่ะค่ะ :b1:


สำหรับเรา ถ้าจะถึงขั้นบรรลุธรรม คงอีกนานค่ะ
แค่ได้เจอถนน ที่เดินไปสู่ธรรม แค่นี้ก้อดีใจแล้วค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 00:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ) :b8:


เราเพิ่มอีกหน่อยน่ะค่ะ ตรงที่เป็นตัวอักษรสีแดงนั้น
ไม่ใช่หมายถึงตัวเราน่ะค่ะ

คือท่านอาจารย์องค์เทพ ท่านหมายถึงอีกท่านหนึ่งน่ะค่ะ :b1:

สำหรับเรา ถ้าจะถึงขั้นบรรลุธรรม คงอีกนานค่ะ
แค่ได้เจอถนน ที่เดินไปสู่ธรรม แค่นี้ก้อดีใจแล้วค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


ก็ถามให้ท่านเล่าเกี่ยวกับภพ/ภูมิ/สภาพแห่งภพ-ภูมิ/
สภาวะที่ตั้งอยู่/สภาวะการเปลี่ยนแปลง/ลักษณะการดำเนินไปแห่งกาล

แล้วเอาคำสอนของพระพุทธองค์เข้าจับ
.....
ผู้ที่ไม่กลับมาเกิด อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ติดในภพ
ซึ่งการไม่ติดในภพใด ๆ อย่างน้อยจะต้องเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของภพ...
จนคลายกำหนัดในภพจนหมดสิ้นแล้ว
และไม่มีกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีก

เอ้อ รู้สึกว่า วัดนาป่าพง จะจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง ภพภูมิ ซึ่งเป็นพุทธวจนะ
คุณเต้ลองไปหามาอ่านดู

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ) :b8:
การบรรลุธรรม หรือพระอริยะบุคคล มีสี่ระดับ คือ ..

- พระโสดาบัน เกิด ๑-๗ ชาติ
- พระสกิทาคามี เกิดอีก ๑ ชาติ
- พระอนาคามี เกิดเป็นพรหมแล้วนิพพาน
- พระอรหันต์ นิพพานเลย

"ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก" หมายถึงพระอรหัน์หรือพระอนาคามี
(ส่วนใหญ่จะหมายถึง นิพพาน คือท่านเป็นพระอรหันต์)


bbby เขียน:
แต่อีกท่านหนึ่ง จะสำเร็จอภิญญาในชาตินี้ มีใครพอจะอธิบายคำว่า
สำเร็จอภิญญา แบบกว้างๆให้เราได้รู้บ้างค่ะ :b8: :b41: :b55:

อภิญญาแปลว่า ความรู้อันยิ่ง เป็นความรู้พิเศษ ซึ่งเกิดจากการอบรมกรรมฐานได้แก่ ..

๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ฯลฯ
๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป

ผู้ได้ ๕ ข้อแรก ปุถุชนก็ทำได้ เป็นโลกียญาณ เช่น พระเทวทัต
ท่านเรียก ผู้ได้ "อภิญญาห้า" ยังไม่มีคติที่แน่นอน ยังตกนรกได้
ไม่เรียกผู้บรรลุธรรมหรือเป็นพระอริยะ

ถ้าได้ครบทั้ง ๖ ข้อ จึงจะเป็นพระอริยะบุคคล เป็นโลกุตระญาณ
คือ บรรลุธรรม ท่านเรียกว่า ผู้สำเร็จ "อภิญญาหก" มีคติแน่นอน

ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ หรือบอกว่าได้อภิญญา สำเร็จอภิญญา
ก็อย่าเข้าใจว่า ผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล หรือบรรลุธรรมแล้ว ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอถามสิ่งที่ไม่เข้าใจอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ผู้ที่บรรลุธรรม ถึงขั้นอภิญญาแล้ว
คือผู้ที่ได้เข้าสู่นิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ใช่อย่างนี้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b50:

ผู้บรรลุธรรม หมายถึงพระอริยะบุคคล ๔ จำพวก คือ พระโสดา พระสกิทา พระอนาคา พระอรหันต์
แต่ทั้ง ๔ จำพวกนี้ได้อภิญญามาด้วยก็ได้ ไม่ได้อภิญญามาก็ได้
แต่สำหรับผู้ที่ได้อภิญญานั้น ปุถุชนก็ได้อภิญญาได้ เช่นพวก ฤษี พวกพรหม เป็นต้น พวกนี้ไม่ใช่พระอริยะ (แต่พรหมเป็นพระอริยะก็มี)
สำหรับผู้ที่ไม่มาเกิดอีกนั้นมีประเภทเดียวคือพระอรหันต์ ทั้งที่ได้อภิญญา และไม่ได้อภิญญา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

คือเราไปฟังธรรมเทศนา มา น่ะค่ะ

หรือเราฟังสับสนเองน่ะ คือคำว่า " ท่านบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
(ตรงนี้ใช่หมายถึงเข้าสู่นิพพานหรือปล่าวค่ะ)



แต่อีกท่านหนึ่ง จะสำเร็จอภิญญาในชาตินี้ มีใครพอจะอธิบายคำว่า
สำเร็จอภิญญา แบบกว้างๆให้เราได้รู้บ้างค่ะ



สวัสดีค่ะคุณเต้

เมื่อได้ฟังสิ่งใดมา ไม่ว่าใครจะพูดว่าอะไร ไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดอีก หรือมีอภิญญาใดๆก็ตาม นั่นก็เหตุของเขา จะเกิดอีกหรือไม่เกิด นั่นก็เหตุของเขา มีอภิญญาหรือไม่มี นั่นก็เหตุของเขา

การฟังธรรม ควรเก็บเกี่ยวสิ่งที่คิดว่า มีประโยชน์แก่ตนจะดีกว่า
ดีกว่า ฟังแล้ว ไปเก็บเรื่องที่มีแต่การสร้างเหตุทั้งกับตัวเองและผู้อื่น

เหตุเพราะ เมื่อนำมาถาม ย่อมมีผู้เข้ามาร่วมวิพากย์วิจารณ์ มีแต่การสร้างเหตุของการเกิด ให้กับผู้ที่มีเหตุร่วมกัน



การตั้งคำถาม ที่สร้างเหตุน้อยที่สุด ควรถามสิ่งที่ตนเองข้องใจหรือสงสัยอยู่
เช่นในเรื่องนี้ ไม่ควรกล่าวถึงบุคคลอื่น ควรใช้คำถามทำนองว่า

"เคยได้ยินมาว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก หมายถึง เข้าสู่นิพพานใช่ไหม"
คำถามนี้ ปกติมากๆ เพราะเดี่ยวนี้ มีคำพูดทำนองนี้เยอะมาก

และ "ใครพอจะมีข้อมูลเรื่อง การสำเร็จอภิญญา แบบกว้างๆให้เราได้รู้บ้างค่ะ"

ถ้านำมาถามแบบนี้ เป็นการให้ทั้งตนเองและผู้อื่น ร่วมสร้างเหตุน้อยสุด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


สร้างเหตุยังไง...
ช่วยอธิบาย...
เพราะมีคนเข้ามาร่วมสนทนากับคุณเต้หลายความเห็นแล้ว
มันกลายเป็นเกิดเหตุอะไร...กันอยู่หรือ

:b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเอกอนถาม

อ้างคำพูด:
สร้างเหตุยังไง...
ช่วยอธิบาย...
เพราะมีคนเข้ามาร่วมสนทนากับคุณเต้หลายความเห็นแล้ว
มันกลายเป็นเกิดเหตุอะไร...กันอยู่หรือ

:b10: :b10:



สิ่งที่คุณน้ำเขียนมา ไม่มีตัวอักษรไหน ที่ผิดหรอกค่ะคุณเอกอน
เท่าที่เราพอจะทราบ มาบ้างนิดหน่อยน่ะค่ะ การปฎิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่นิพพานนั้น
สิ่งที่ต้องแน่วแน่ที่สุดคือ

ต้องหยุดการสร้างเหตุกับผู้อื่นค่ะ ไม่ว่าจะเหตุอะไรก้อช่าง เช่นเห็นคนทะเลาะตบตีกัน
ก้ออย่าไปร่วมกับเค้า หรือไปช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ผู้ที่ปฎิบัติธรรมเพื่อหยุดการเวียนว่ายเกิด ต้องปล่อยวางเรื่องนี้ให้ได้
แล้วสิ่งที่เรารู้เพิ่มเติมมาอีกนิดๆนั้น

บางท่านปฎิบัติธรรม เพื่อการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดมานาน
แต่พอเข้าไปช่วยผู้อื่น ให้หลุดพ้นจากการถูกรังแก
แต่สิ่งที่ผู้ปฎิบัติธรรมผู้นั้นได้รับ คือการต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
นี่คือ สิ่งที่เราได้รู้-ได้เห็น มาค่ะ


เราเข้าใจคุณน้ำค่ะ ว่าทำไมคุณน้ำ ถึงกลัวการสร้างเหตุกับผู้อื่น
แต่ทีนี้ ในความคิดของเราน่ะคะ

เรามองว่า การปฎิบัติธรรมมี2แบบน่ะ ( ตรงนี้ ไม่รู้ว่าเราเข้าใจผิดหรือปล่าวน่ะ )
คือเรามองว่า หลายๆท่านปฎิบัติ เพื่อต้องการหลุดพ้น
จากการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อเข้าสู่นิพพานนั่นเอง


แต่ทำไม ใจเรากลับคิดว่า เราต้องการปฎิบัติธรรม-สร้างบุญ-บารมี
เพื่อช่วยให้ผู้อื่น ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ไม่รู้สิค่ะ
แล้วคุณเอกอนล่ะค่ะ ปฎิบัติธรรมเพื่ออะไร :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ :b7: สงสัยคุนน้องคงต้องเกิดแล้วเกิดอีก จนกว่าโลกนี้จะอยู่กันอย่างสันติสุข เพราะถ้าคุนน้องเห็นคนทะเลาะตบตีกันคุนน้องคงโทรไปแจ้งตำรวจให้มาหยุดเรื่องนี้ ถ้าคุนน้องเห็นผู้หญิงกำลังโดนทำร้ายหรือโดนกระทำอนาจาร คุนน้องก็คงไม่ยืนดูเฉยๆ และปล่อยวางและอ้างเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม จิตใจคุนน้องมันร้อนยิ่งกว่าไฟเวลาเห็นคนอ่อนแอไม่มีทางสู้โดนรังแก คุนน้องทุกข์ ทุกข์มากจริงๆนะค่ะ อยากสาปให้พวกคนชั่วหมดไปจากโลกด้วยซ้ำ มิน่าคุนน้องเลยต้องโดนถีบให้ลงมาบนโลกมนุษย์ และไม่ได้นิพพานซะที :b24:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเรามีมากมายหลายประเภท มากหลายจริตนิสสัย ..

- ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
จิตใจกว้างขวาง เห็นคนหรือสัตว์ตกทุกข์ได้ยาก ทนอยู่ไม่ได้ต้องหาวิธี
ช่วยเหลือ จนสุดความสามารถ ไม่เพิกเฉย .. ฯลฯ

มุ่งช่วยเหลือผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจ หวังความเป็น "พุทธ" คือช่วยตนพร้อม
ผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน เป็นคนกว้างขวาง ..

- บางจริตไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบสบาย ๆ คนเดียว ไม่อยากยุ่งวุ่นวาย
ท่านชอบหลีกเร้น ไม่ค่อยชอบคบหากับใคร ขอแค่พอประมาณ
เรียกว่า "ปัจเจกพุทธ" คือ ไปคนเดียวมาคนเดียว หลุดพ้นคนเดียว
ไม่ค่อยกว้างขวาง ..

ตนเองเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน ก็ให้สังเกตุเอา ..

:b1: :b13:


.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


น้ำจบที่คุณเต้ค่ะ

ส่วนที่เกินจากนั้น แล้วแต่เหตุปัจจัยค่ะ

เหตุของความไม่รู้ จึงมีคำพูดที่นิยมพูดทำนองว่า เป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม หรือใครทำใครได้ เรียกว่า โยนให้ไปว่า เป็นกฏแห่งกรรม อันนี้ล้วนกล่าวตามทิฏฐิของตน หาใช่ตามความเป็นจริงไม่


เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร