วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 16:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 15:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อื่มม....มันอาจอันตรายไปนิด...ถ้าจะบอกให้ชัดเจนไปเลย...เพราะมันอาจเป็นเฉพาะบุคคล
..และ...ผู้รู้ไม่เท่ามันอาจตั้งสัญญาใว้ล่วงหน้าเสียก่อน...

ที่ผมถามก็ไม่ใช่อะไรหรอก...เพราะเห็นบางคนมีปัญหา...สงสัยในพระสงฆ์บ้าง...พระองค์นี้บ้าง...บางคนถึงขนาดเกิดความคิดลามกผุดขึ้นมา...ทั้งที่ตัวเองก็เคารพพระ...ศรัทธาพระศาสนา...เข้าวัดทำบุญปฏิบัติธรรม...แต่ก็ห้ามความคิดอกุศลไม่ได้....มันเหมือนยังกะเป็นอิสระจากเรา....

ก็เลยสงสัยว่า....ความเชื่อมั่นศรัทธาขนาดไหนจึงจะเรียกว่า..ไม่สงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว?

เชื่อ..ระดับ...ความคิด
เชื่อ..ระดับ...สามัญสำนึก
เชื่อ...ในระดับ..จิตใต้สำนึก
หรือ..เชื่อ...ลึกขนาดจิตไร้สำนึก

คิดว่า...ที่ระดับ..จิตใต้สำนึก...เป็นนิวรณ์..ไม่รู้ว่าเก็บใว้แต่ชาติปางไหน...อยู่ ๆก็ผุดขึ้นมาเป็นธรรมารมณ์
ส่วน..จิตไร้สำนึก...อาจลึกถึงที่อยู่ของอวิชชา
วิจิกิจฉานั้นเป็นผู้เข้าไปพบความจริงดั่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน คือความเป้นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งนั้นคือประจักษ์ปัญญาวิจิกิจฉาที่ตามจริง หายสงสัยในคำสอน จึงทำให้เีราเชื่อมั่นและมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมที่พระองค์สอนนั้นเ็ป็นความจริง พระสงฆ์ผูปฎิบัติดีปฎิบัติตรงถึงความจริงมีแน่นอน แต่เราก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสได้หมด สติก็ยังไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นอกุศลใดๆจะเกิดกับเราก็ย่อมมีเป็นปรกติท่านไม่ต้องกังวล แต่การทำลายวิจิกิจฉานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ขบวนการของการคิดแน่นอน การทำลายวิจิกิฉานั้นจะต้อแทงบรมสัจจะด้วยกายและปัญญา นั้นหมายความว่าท่านจะต้องพิจารณากายจนกาย เวทนา จิต ธรรม นั้นต้องดับไปจนท่านหมดความสงสัยความเป็นอนัตตาอย่างสิ้นเชิง

(พุทธวจน เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทน
ได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ
ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว
ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา.) วิธีที่จะเข้าถึงนั้นมีหลายวิธี แต่วิธีที่พระองค์ทรงสรรเสริญไว้มากคือการพิจารณากายคตาสติ

(พุทธวจน ผู้ใดไม่บริโภคกายคตาสติ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่บริโภคอมตะ)


แก้ไขล่าสุดโดย amazing เมื่อ 12 เม.ย. 2013, 19:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อื่มม...อยู่ที่ความเข้าใจ..นี้เอง

หากเราพบแม้ธรรมเพียงข้อเดียวของพระพุทธองค์...อะไร ๆ อันอื่นแม้จะยังไม่ถึง..ก็เชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น...แม้อาสวะยังอยู่ก็ตาม

นี้แหละเหตุที่ผมไปตั้งกระทู้อีกอัน...นะครับ...


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 12 เม.ย. 2013, 22:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 19:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้ถึงความจริงของรูปและนามที่แสดงความเป็นไตรลักษณ์ หากยังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน บางขณะจิต
อาจเกิดความคิดลามก อกุศลจิตได้ แม้ผู้คิดจะห้ามความคิดแต่ก็ไม่สามรถทำได้ บางท่านอาจทำให้คิดมากยิ่งกว่าเดิม เกิดความกลัวผลที่จะเกิดจากความคิดนั้น นั่นเกิดจากกิเลสที่เป็นมูลเหตุความคิดอกุศล ซึ่งก็คือ สักกายทิฎฐิสัญโญชน์ ทีี่่ยังไม่ได้ถูกทำลายด้วยมรรคญาณ สำหรับวิจิกิจฉาและสีลพตปรามาส สัญโญชน์ เป็นผลตามมาจากสักกายทิฎฐิสัญโญชน์ที่หายไป ศูนย์กลางของความคิดก็จะหายไป พร้อมกิเลสบริวารได้แก่มักขะ(ความลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ(การยกตนเทียมท่าน) อิสสา(ความไม่พอใจในทรัพย์คุณของผู้อื่น) มัจฉริยะ(ความตระหนี่) มายา(การปิดบังความชั่วของตน) สาเทยยะ(การรู้โอ้อวดตนยิ่งกว่าคุณที่มีอยู่)ก็ตายขาดไปพร้อมกัน ความศรัทธาในพระรัตนตรัยจึงเป็นอจลศรัทธาเมื่อถึงสภาพธรรมนี้
แม้จะพยายามคิดที่เป็นอกุศลจิตก็หาคิดตามไม่ จึงไม่เกิดความกลัวผลที่จะเกิดจากความคิดนั้น :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เห็นจริงในสักกายทิฐิ...วิจิกิจฉาก็ขาด

:b20: อื่มม...ได้ข้อคิดดีดีทั้งนั้นเลยครับ
Kiss Kiss Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Amazingเขียน
(พุทธวจน ผู้ใดไม่บริโภคกายคตาสติ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่บริโภคอมตะ)


ชอบคำนี้มากเลยครับ ถ้าเรามีสติรู้อยู่กับกายใจ เราก็กำลังบริโภคกายคตาสติ ใช่ไหมครับ ย่อมไม่เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลัง

แต่หากเราบริโภคกาม อันเนื่องมาจากความไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมมีผลคือความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลัง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 15:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
Amazingเขียน
(พุทธวจน ผู้ใดไม่บริโภคกายคตาสติ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่บริโภคอมตะ)


ชอบคำนี้มากเลยครับ ถ้าเรามีสติรู้อยู่กับกายใจ เราก็กำลังบริโภคกายคตาสติ ใช่ไหมครับ ย่อมไม่เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลัง

แต่หากเราบริโภคกาม อันเนื่องมาจากความไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมมีผลคือความเดือดเนื้อร้อนใจภายหลัง
สาธุๆ ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกยคตสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ;
ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกยคตสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ;
ภิกษุทั้งหลาย !
กายคตสติอันชนเหล่ใดไม่ส้องเสพแล้ว
อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นไม่ส้องเสพแล้ว;
ภิกษุทั้งหลาย !
กายคตสติอันชนเหล่ใดส้องเสพแล้ว
อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นส้องเสพแล้ว;
ภิกษุทั้งหลาย !
กายคตาสติอันชนเหล่ใดเบื่อแล้ว
อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นเบื่อแล้ว;
ภิกษุทั้งหลาย !
กายคตสติอันชนเหล่ใดชอบใจแล้ว
อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นชอบใจแล้ว.
เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุขที่แท้จริง ...เป็นอย่างไร
สุขที่แท้จริง คือ สุขเวทนา อันมีผัสสะเป็นปัจจัย
เมื่อ เกิดสุขเวทนา ก็รู้ว่า เกิดสุขเวทนา

V
เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏหลังจากนั้น เป็นผลจากความปรุงแต่ง อันเนื่องด้วยความยึดมั่นถือมั่น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2013, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2004, 12:30
โพสต์: 147


 ข้อมูลส่วนตัว www


สมาธิ ไม่ใช่ คุณของพระอริยะ ...

เป็นเหมือนทุน พอ มีเงิน ก็ไปซื้อ ไปใช้ เงินมันก็ลดไปใช่ไหม

แล้ว ไม่ต้องหาเงิน ซิ จะได้ไม่ต้องรักษา ... เศรษฐีเขาต้องไปบอกให้ใครรู้

มีอยู่บาทเดียว ห้อย คอ มากังวล กลัวจะหาย แบบนี้หรือ ?

พอมีทุนความสงบยิ่งไป มันก็ ประจักษ์ธรรม ลึกซึ้ง อัศจรรย์ ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ

แล้ว จะจน ต่อไป อีก กี่ ภพ กี่ ชาติ ไม่ต้องไป กลัวว่าจะรวย ทำไปก่อน สะสมทุนความสงบไปซิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2013, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...สำหรับนิยามความสุขที่แท้จริงของข้าพเจ้าเป็นแบบนี้ค่ะ...
...ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับระลึกรู้อิริยาบทสี่ตามหลักสติปัฏฐานสี่...
...มีความโล่งอกเบากายเบาใจและมีจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ...
...สร้างเหตุปัจจัยให้หูได้ยินได้ฟังพระธรรมจากสถานีวิทยุ...
...การได้ทบทวนชีวิตและแสดงความคิดผ่านเว็บธรรมะแห่งนี้...
...เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง...
...ใจไม่ทุกข์เพียงรู้สึกว่างๆ เชื่อมั่นในการทำไม่ลดละโดยไม่รู้สึกเบื่อ...
...เพราะตามรู้อารมณ์ทุกระยะ เพื่อสร้างความสุขบนทุกข์ที่มีอย่างเข้าใจ...
...ถึงจะมีเบื่อบ้าง เจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ มีหิวมีอิ่ม ก็ทุกข์เพียงร่างกาย...
...ไม่กระทบกระเทือนถึงจิตใจให้ทุกข์ไปตามร่างกาย...ก็รู้ว่าพอมีหลักใจบ้างแล้ว...
...ก็ใช้ชีวิตแบบว่าต่อสู้ดูใจไปตามสภาพ ได้รักษาใจถูกทางก็แบบว่ากินอิ่มนอนหลับ...
...ก่อนนอนสวดมนต์ทำสมาธิได้ประพฤติปฏิบัติต่อจิตใจและร่างกายได้อย่างคุ้มค่าในแต่ละวัน...
...วันหยุดก็เป็นวันที่ว่างจากการทำงานก็สร้างเหตุปัจจัยให้ได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดโดยสม่ำเสมอค่ะ...
:b12: :b12:
:b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2013, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ข้าพเจ้าได้ค้นพบความจริงอีกสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ก็คือ...
...เมื่อข้าพเจ้ามีอารมณ์เดียวที่จดจ่อตามดูจิตตลอดเวลา...
...ที่ว่าไม่ทุกข์น่ะ...จริงๆทุกข์ยังอยู่เหมือนเดิมแต่จิตไม่ได้สนใจ...
...ทุกข์ก็เลยไม่มีทางออก...เห็นแค่เงาของทุกข์ที่พยายามวิ่งไล่ตามจิต...
:b31: :b31:
:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2013, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


พระท่านว่า นันทิ ความเมาม้น ความเพริดเพลิน ในหมู่สัตว์เป็นทุกข์ ผูัใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2013, 10:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม อัน ระงับ

....

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2013, 14:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20130419_181203_resize_resize_resize.jpg
IMG_20130419_181203_resize_resize_resize.jpg [ 81.41 KiB | เปิดดู 3353 ครั้ง ]
:b12:
1.สุขที่แท้จริงคือการที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เพราะที่ปัจจุบันอารมณ์นั้น ความนึกคิดปรุงแต่งไม่ทำงาน..มีแต่สมาธิหรือความสงบอย่างยิ่งในงาน
สมดั่งพุทธภาษิตที่ว่า....."นัตถิ สันติ ปรังสุขัง"....สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี

:b16:
2.ความลังเลสงสัยหมดไปโดยสิ้นเชิงเอาอะไรมาวัด

1.ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนอีกแล้ว.....ถึงแม้จะมีใครเอามีดดาบมาเข่นคอหรือเอาปืนมาจ่อแล้วบอกว่าให้เลิกเคารพนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย
เขาผู้นั้นก็จะยอมตาย

2.คนๆนั้นจะไม่แขวนพระ เครื่องราง ของขลังไว้กับตัว เพราะเขามีพระทั้ง 3 ไว้ในใจอยู่แล้ว

3.เขาจะเลิกไหว้ผีไหว้สาง ทรงเจ้า ศาลพระภูมิ และเรื่องมัวเมางมงายทั้งหลายต่างๆ

4.การเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นงานหลักที่สำคัญอันดับหนึ่ง งานอื่นนั้นเป็นเพียงเครื่องประกอบให้ชีวิตดำเนินไปและอยู่ร่วมกับสังคมได้เท่านั้น

ดังนี้เป็นต้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2013, 14:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อ3 น่าจะบอกว่า...เลิกงมงายในผีสางเทวดา...นะครับ

แต่ไม่ได้หมายความว่า...ไม่เชื่อว่ามีหรือจิตใจกระด้างอะไรนะ...แต่ไม่พึ่งพาจนลืมกฎของกรรมไป...

ไหว้ได้มั้ย? ผมว่าได้
ระลึกถึงได้มั้ย? ผมว่าได้

ไม่งั้นคงไม่บัญญัติเทวตานุสติกรรมฐานใว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2013, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
1.สุขที่แท้จริงคือการที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เพราะที่ปัจจุบันอารมณ์นั้น ความนึกคิดปรุงแต่งไม่ทำงาน..มีแต่สมาธิหรือความสงบอย่างยิ่งในงาน
สมดั่งพุทธภาษิตที่ว่า....."นัตถิ สันติ ปรังสุขัง"....สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี

:b16:
2.ความลังเลสงสัยหมดไปโดยสิ้นเชิงเอาอะไรมาวัด

1.ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนอีกแล้ว.....ถึงแม้จะมีใครเอามีดดาบมาเข่นคอหรือเอาปืนมาจ่อแล้วบอกว่าให้เลิกเคารพนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย
เขาผู้นั้นก็จะยอมตาย

2.คนๆนั้นจะไม่แขวนพระ เครื่องราง ของขลังไว้กับตัว เพราะเขามีพระทั้ง 3 ไว้ในใจอยู่แล้ว

3.เขาจะเลิกไหว้ผีไหว้สาง ทรงเจ้า ศาลพระภูมิ และเรื่องมัวเมางมงายทั้งหลายต่างๆ

4.การเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นงานหลักที่สำคัญอันดับหนึ่ง งานอื่นนั้นเป็นเพียงเครื่องประกอบให้ชีวิตดำเนินไปและอยู่ร่วมกับสังคมได้เท่านั้น

ดังนี้เป็นต้น
ที่จริงแล้วสุขที่แทจริงก็คือการที่เราดับทุกข์ได้นั้นเอง หรือพูดง่ายๆว่าเข้าถึงความเป็นอมตะนั้นเองครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร