วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีใครเห็นด้วยบ้าง ที่เสนอให้ลบกระทู้นี้ หรือไม่ก็ย้ายไปห้องดับจิตรอวันปรินิพพาน :b14: :b32:

พี่กรัชกาย ไม่แสดงความเห็นอัตตากับอนัตตาหน่อยหรอเจ้าค่ะ :b12: พี่กรัชกายก็เปรียบสเมือนผู้ใหญ่ที่คุนน้องเคารพคุนน้องอยากฟังความเห็น :b20:
คือตอนนี้คุนน้องเริ่มเกิดอัตตาค่ะ คันไม้คันมือบอกไม่ถูก :b6: ถ้าได้กระสอบทรายมากระแทกอัตตา คุนน้องอาจจะโล่งและเห็นว่ามันเป็นอนัตตา :b32: เพราะมันเกิดขึ้นและก็ดับไปเนาะ :b12:



ตามใจ เอาสักหน่อยก็ได้


“อัตตา” เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น “อาตมัน” แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ

อัตตานี้จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่ารู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง หรือหลงสมมติ



ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง ไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตาและการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 17:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีใครเห็นด้วยบ้าง ที่เสนอให้ลบกระทู้นี้ หรือไม่ก็ย้ายไปห้องดับจิตรอวันปรินิพพาน :b14: :b32:

พี่กรัชกาย ไม่แสดงความเห็นอัตตากับอนัตตาหน่อยหรอเจ้าค่ะ :b12: พี่กรัชกายก็เปรียบสเมือนผู้ใหญ่ที่คุนน้องเคารพคุนน้องอยากฟังความเห็น :b20:
คือตอนนี้คุนน้องเริ่มเกิดอัตตาค่ะ คันไม้คันมือบอกไม่ถูก :b6: ถ้าได้กระสอบทรายมากระแทกอัตตา คุนน้องอาจจะโล่งและเห็นว่ามันเป็นอนัตตา :b32: เพราะมันเกิดขึ้นและก็ดับไปเนาะ :b12:



ตามใจ เอาสักหน่อยก็ได้


“อัตตา” เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น “อาตมัน” แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ

อัตตานี้จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่ารู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง หรือหลงสมมติ



ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง ไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตาและการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

คุนน้องเข้าใจละ :b1:
แต่คุนน้องยังสงสัยในทางปรมัตถ์ สมมติ พี่กรัชกายเป็นสมมติบัญญัติ ในทางปรมัตถ์ พี่กรัชกายไม่มี มีแต่เป็นขันธ์ห้า
แล้วขันธ์5ก็คือคน เมื่อเป็นคนก็มีชีวิตแล้วที่เดินกันไปๆมาๆ มันก็เห็นอยู่ตำตาว่าเป็นตัวเป็นตน แล้วเราจะละว่าไม่มีตัวตนได้อย่างไรค่ะ ในเมื่อเรายังไม่ได้ตาย เราก็ยังเห็นอยู่ว่ามีตัวตน ถ้าบอกว่าพี่กรัชกายไม่มีจริง แต่เราก็เห็นๆอยู่ว่ามี จับต้องสัมผัสได้ มีแขนมีขามีหน้า (ลองจับลองหยิกดูก็ยังคิดว่าเป็นตัวตน :b5: ) แล้วเราจะพิจารณาว่าไม่มีตัวตนมันจะไม่สุดโต่งเกินไปรึป่าวค่ะ เราควรจะพิจารณาว่ารูปนี้ไม่เที่ยงแปรสภาพไป ไม่คงที่เป็นอนัตตา ไม่มีเราไม่มีเขา เป็นขันห้าและขันธ์ห้า เป็นอนัตตาแบบนี้ใช่มั้ยค่ะ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

สังขตธรรม เป็นธรรมที่เกิดด้วยเหตุปัจจัย ขันธ์ห้าเกิดด้วยเหตุปัจจัย
ขันธ์ห้าจึงมีลักษณะเป็นสังขตธรรม .....
ขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ สังขตธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์

ส่วนอสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
อสังขตธรรมจึงไม่ใช่ไตรลักษณ์ อสังขตธรรมจึงเป็นเพียงอนัตตาอย่างเดียว


และที่บอกว่า ไตรลักษณ์ของสังขตะ ไม่ปรากฎคำว่าอนัตตา
กรุณาไปดูที่ อนัตตลักขณสูตร...
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็น
อนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ
เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนา
ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไป
เพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ
เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้
ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้
เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้
ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น
วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... =479&Z=575


และที่บอกว่า อสังขตธรรมไม่มีคำว่า อนัตตา ก็ไปดูที่ อุปปาทสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 520&Z=7533


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

ธรรมอย่างหนึ่ง ไม่อาจควบเป็นสองประการได้
อนัตตา เป็นสังขตะธรรม หรืออสังขตะธรรม

ไตรลักษณ์เกิดได้แต่ สังขตธรรม ไม่เกิดกับอสังขตธรรม

มันจึงไม่ใช่ธรรมอย่างหนึ่งอย่างเดียว สังขตะเป็นไตรลักษณ์
อสังขตะเป็นอนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานแสดงได้เป็นลักษณะปฎิเสธ เช่นอะไรในโลกที่มีในนิพพานไม่มี แต่ถ้าแสดงเป็นลักษณะพระองค์แสดงนิพพานเป็นสูญญตาและอมตะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีพุทธพจน์รองรับ ว่า
ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
โฮฮับ เขียน:
ไตรลักษณ์เกิดได้แต่ สังขตธรรม ไม่เกิดกับอสังขตธรรม

มันจึงไม่ใช่ธรรมอย่างหนึ่งอย่างเดียว สังขตะเป็นไตรลักษณ์
อสังขตะเป็นอนัตตา

แต่มีพุทธพจน์รับรอง ใน สังขตะสูตร และอสังขตะสูตร
แสดงถึง ไตรลักษณ์ของทั้งสังขตะ และไตรลักษณ์ของอสังขตะ

[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

โฮฮับยังยืนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขตะ อยู่เช่นเดิมหรือเปล่า

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
สังขตธรรม เป็นธรรมที่เกิดด้วยเหตุปัจจัย ขันธ์ห้าเกิดด้วยเหตุปัจจัย
ขันธ์ห้าจึงมีลักษณะเป็นสังขตธรรม .....
ขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ สังขตธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์

ส่วนอสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
อสังขตธรรมจึงไม่ใช่ไตรลักษณ์ อสังขตธรรมจึงเป็นเพียงอนัตตาอย่างเดียว


ตามที่ โฮฮับแสดง
สังขตะธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์
อสังขตธรรมจึ่งเป็นอนัตตา

ธรรมมีสองที่พระพุทธองค์แสดง คืออสังขตะ และสังขตะจึงผิด?????
ต้องธรรมมีสอง คือ
ไตรลักษณ์ และ อนัตตา????

ถ้าสังขตธรรมเป็นไตรลักษณ์
อัตตา เป็นสังขตธรรม คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อัตตา เป็นอนัตตา????? หรือ อนัตตา เป็นอัตตา ????

และ อสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
หมายความว่า เหตุปัจจัยเคยมีอยู่แต่หมดเหตุปัจจัยแล้ว ก็เท่ากับเคยมีความเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว
แต่ตอนนี้มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแล้ว??????????

นั่นหมายความว่า อนัตตา เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว เพราะเคยมีเหตุปัจจัยมาก่อน???

แล้ว อัตตา เป็นขันธ์ไหน ?????

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไม่มีพุทธพจน์รองรับ ว่า
ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เช่นนั้น ไม่รู้จักธัมมวิจยะ พิจารณาธรรมไม่ได้เพราะ เลือกเฟ้นธรรมไม่เป็น
อาศัยแต่การท่องจำตัวหนังสือ ชอบอ้างว่า ไม่มีพุทธพจน์รับรอง
ทั้งๆที่สิ่งตัวเองอ้าง ก็เป็นพระไตรปิฎกแปล

ความหมายของพุทธพจน์ คือคำสอนของพระพุทธองค์ที่สอนบุคคล
ตามกาลและตามจริต พุทธพจน์ที่ทรงกล่าวจึงไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือหลักธรรม ดังเช่น ธรรมนิยามต่างๆ

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไตรลักษณ์เกิดได้แต่ สังขตธรรม ไม่เกิดกับอสังขตธรรม

มันจึงไม่ใช่ธรรมอย่างหนึ่งอย่างเดียว สังขตะเป็นไตรลักษณ์
อสังขตะเป็นอนัตตา

แต่มีพุทธพจน์รับรอง ใน สังขตะสูตร และอสังขตะสูตร
แสดงถึง ไตรลักษณ์ของทั้งสังขตะ และไตรลักษณ์ของอสังขตะ

[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

โฮฮับยังยืนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขตะ อยู่เช่นเดิมหรือเปล่า

ใน(๔๘๗) ที่ว่าด้วยเรื่อง อสังขตธรรม ท่านกล่าวไว้ว่า.. ไม่ปรากฎ
ความเสื่อม ๑เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฎความแปรป่วน

ท่านกล่าวว่าไม่ปรากฎ ก็แสดงว่าไม่มีสภาวะธรรมนั้นอยู่
แล้วมาบอกได้ไงว่า อสังขตเป็นไตรลักษณ์ เมื่อมันไม่มีในสิ่งที่กล่าว
จะบอกว่ามันเป็นในสิ่งที่กล่าวได้อย่างไร เช่นนั้นขาดสติในการพิจารณาธรรม


ดังนั้นสังขตเป็นไตรลักษณ์เพราะมีลักษณะ๓ประการปรากฎ
แต่อสังขตไม่ใช่ไตรลักษณ์เพราะไม่มีลักษณะ๓ปรากฎ หรือปรากฎไม่ครบสาม
จึงไม่ใช่ไตรลักษณ์


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับยังยืนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขตะ อยู่เช่นเดิมหรือเปล่า

นั่งยัน นอนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขต
เพียงแต่อนัตตาของสังขตเกิดด้วยเหตุปัจจัย
แต่อนัตตาของอสังขต เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย

สังขตธรรมเป็นไตรลักษณ์ ด้วยปัจจัยร่วมของ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา
อสังขตธรรมไม่ใช่ไตรลักษณ์ เป็นอนัตตาอย่างเดียวไม่มีปัจจัยร่วม

แล้วที่อ้างว่า ไตรลักษณ์ไม่มีพุทธพจน์รับรองว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นเพราะขาดปัญญาพิจารณาธรรม
สิ่งที่เช่นนั้นต้องพิจารณาก็คือ สังขตธรรมเป็นขันธ์ห้าใช่มั้ย
พระพุทธองค์กล่าวว่า สังขตธรรมเป็นลักษณะไตรลักษณ์

แต่ยังมีพุทธพจน์กล่าวไว้อีกว่า ขันธ์ห้าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ก็ในเมื่อขันธ์ห้าเป็นสังขตธรรม จะกล่าวว่า สังขตะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หรือขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ มันก็เหมือนกันนั้นแหล่ะ เหตุผลก็ได้กล่าวมาแล้วว่า
พุทธใช้ตามกาล สถานที่และจริตของบุคคลที่ทรงสอน
แต่ใช้อยู่ในกรอบของหลักธรรมเดียวกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"อนัตตา" เป็นคำปฏิเสธ "อัตตา" น+อัตตา = อนัตตา

อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ไม่เป็นอัตตา ก็เท่านี้ :b1:

ย้อนขึ้นไปดูความหมาย อัตตา ก่อนหน้าอีกที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สังขตธรรม เป็นธรรมที่เกิดด้วยเหตุปัจจัย ขันธ์ห้าเกิดด้วยเหตุปัจจัย
ขันธ์ห้าจึงมีลักษณะเป็นสังขตธรรม .....
ขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ สังขตธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์

ส่วนอสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
อสังขตธรรมจึงไม่ใช่ไตรลักษณ์ อสังขตธรรมจึงเป็นเพียงอนัตตาอย่างเดียว


ตามที่ โฮฮับแสดง
สังขตะธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์
อสังขตธรรมจึ่งเป็นอนัตตา

ธรรมมีสองที่พระพุทธองค์แสดง คืออสังขตะ และสังขตะจึงผิด?????
ต้องธรรมมีสอง คือ
ไตรลักษณ์ และ อนัตตา????

ความหมายของไตรลักษณ์ จะต้องมีลักษณะ๓อย่างเป็นปัจจัยร่วมกัน
ความเป็นอนัตตาในไตรลักษณ์ จะต้องมี อนิจจังและทุกขังเป็นปัจจัยร่วม
มันจจึงเกิดสภาวะแห่งไตรลักษณ์

ส่วนอนัตตาใน อสังขตะเป็นสภาวะธรรมเดียวไม่เกิดด้วยเหตุปัจจัยและไม่มีปัจจัยร่วม
ดังนั้น อนัตตาของสังขตะหรือในไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่อนัตตาของอสังขตะ
เช่นนั้น เขียน:
ถ้าสังขตธรรมเป็นไตรลักษณ์
อัตตา เป็นสังขตธรรม คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อัตตา เป็นอนัตตา????? หรือ อนัตตา เป็นอัตตา ????

และ อสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
หมายความว่า เหตุปัจจัยเคยมีอยู่แต่หมดเหตุปัจจัยแล้ว ก็เท่ากับเคยมีความเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว
แต่ตอนนี้มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแล้ว??????????

นั่นหมายความว่า อนัตตา เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว เพราะเคยมีเหตุปัจจัยมาก่อน???

แล้ว อัตตา เป็นขันธ์ไหน ?????

ที่เช่นนั้นงงก็เพราะ คิดว่าอนัตตาในสังขตะจะเหมือนกับอนัตตาในอสังขตะ
ถ้าเช่นนั้นยังไม่ฝึกพิจารณาธรรม ศึกษาธรรมในลักษณะท่องจำคำศัพท์แบบนี้
เช่นนั้นก็คงยัง งงต่อไปเรื่อยๆ

ที่บอกว่า อนัตตาของสังขตะเป็นคนละสภาวะกับอนัตตาของอสังขตะ
อนัตตาของสังขตะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับบัญชา ในความเป็นอนิจจังและทุกขัง

ส่วนอนัตตาแห่งอสังขตะก็ธรรมที่ปราศจาก อนิจจังและทุกขังเมื่อปราศจากสองสิ่งนี้
ย่อมต้องไม่มีอนัตตาในสองสิ่งนี้

แต่ในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ นั้นก็คือธรรมทั้งมวลล้วนเป็นอนัตตา
ความหมายก็คือ จิตที่ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ จิตนั้นย่อมต้องเป็นหนึ่งในธรรมชาติ
ธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร จิตที่เป็นอสังขตะก็เป็นอย่างนั้น

ขอถาม"เช่นนั้น" เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติหรือเปล่า
รู้ความหมายของ...สัพเพธัมมา อนัตตามั้ย ลองพูดให้ฟังหน่อยซิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไม่มีพุทธพจน์รองรับ ว่า
ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เช่นนั้น ไม่รู้จักธัมมวิจยะ พิจารณาธรรมไม่ได้เพราะ เลือกเฟ้นธรรมไม่เป็น
อาศัยแต่การท่องจำตัวหนังสือ ชอบอ้างว่า ไม่มีพุทธพจน์รับรอง
ทั้งๆที่สิ่งตัวเองอ้าง ก็เป็นพระไตรปิฎกแปล

ความหมายของพุทธพจน์ คือคำสอนของพระพุทธองค์ที่สอนบุคคล
ตามกาลและตามจริต พุทธพจน์ที่ทรงกล่าวจึงไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือหลักธรรม ดังเช่น ธรรมนิยามต่างๆ

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไตรลักษณ์เกิดได้แต่ สังขตธรรม ไม่เกิดกับอสังขตธรรม

มันจึงไม่ใช่ธรรมอย่างหนึ่งอย่างเดียว สังขตะเป็นไตรลักษณ์
อสังขตะเป็นอนัตตา

แต่มีพุทธพจน์รับรอง ใน สังขตะสูตร และอสังขตะสูตร
แสดงถึง ไตรลักษณ์ของทั้งสังขตะ และไตรลักษณ์ของอสังขตะ

[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

โฮฮับยังยืนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขตะ อยู่เช่นเดิมหรือเปล่า

ใน(๔๘๗) ที่ว่าด้วยเรื่อง อสังขตธรรม ท่านกล่าวไว้ว่า.. ไม่ปรากฎ
ความเสื่อม ๑เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฎความแปรป่วน

ท่านกล่าวว่าไม่ปรากฎ ก็แสดงว่าไม่มีสภาวะธรรมนั้นอยู่
แล้วมาบอกได้ไงว่า อสังขตเป็นไตรลักษณ์ เมื่อมันไม่มีในสิ่งที่กล่าว
จะบอกว่ามันเป็นในสิ่งที่กล่าวได้อย่างไร เช่นนั้นขาดสติในการพิจารณาธรรม


ดังนั้นสังขตเป็นไตรลักษณ์เพราะมีลักษณะ๓ประการปรากฎ
แต่อสังขตไม่ใช่ไตรลักษณ์เพราะไม่มีลักษณะ๓ปรากฎ หรือปรากฎไม่ครบสาม
จึงไม่ใช่ไตรลักษณ์


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับยังยืนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขตะ อยู่เช่นเดิมหรือเปล่า

นั่งยัน นอนยันว่า อนัตตาเป็นทั้ง สังขตะ และอสังขต
เพียงแต่อนัตตาของสังขตเกิดด้วยเหตุปัจจัย
แต่อนัตตาของอสังขต เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย

สังขตธรรมเป็นไตรลักษณ์ ด้วยปัจจัยร่วมของ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา
อสังขตธรรมไม่ใช่ไตรลักษณ์ เป็นอนัตตาอย่างเดียวไม่มีปัจจัยร่วม

แล้วที่อ้างว่า ไตรลักษณ์ไม่มีพุทธพจน์รับรองว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นเพราะขาดปัญญาพิจารณาธรรม
สิ่งที่เช่นนั้นต้องพิจารณาก็คือ สังขตธรรมเป็นขันธ์ห้าใช่มั้ย
พระพุทธองค์กล่าวว่า สังขตธรรมเป็นลักษณะไตรลักษณ์

แต่ยังมีพุทธพจน์กล่าวไว้อีกว่า ขันธ์ห้าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ก็ในเมื่อขันธ์ห้าเป็นสังขตธรรม จะกล่าวว่า สังขตะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หรือขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ มันก็เหมือนกันนั้นแหล่ะ เหตุผลก็ได้กล่าวมาแล้วว่า
พุทธใช้ตามกาล สถานที่และจริตของบุคคลที่ทรงสอน
แต่ใช้อยู่ในกรอบของหลักธรรมเดียวกัน


พุทธพจน์ แสดงไว้ชัดเจน ลักษณะ 3 ประการ ของแต่ธรรมทั้ง สองประการ
ไม่เหมือน สิ่งที่โฮฮับ ยกลอยๆ
แถมด้วยการแสดงต่ออีกว่า ธรรมนิยามต่างๆ
เพราะ นิยามในที่นี้ไม่ใช่การกำหนด นิยามความหมายของธรรม
สิ่งที่โฮฮับแสดงออกมา เพราะไม่รู้จัก อนัตตา ว่าเป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
พระพุทธองค์แสดงธรรม ไม่ขัดแย้งกัน ชัดเจน ไม่ก้ำกึ่งกำกวม
อนัตตา ต้องรู้จักว่า เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
ถ้าโฮฮับ ยังโลไปเลมา ตีขลุมลงไปในธรรมทั้งสอง ย่อมไม่รูู้จัก ธรรมฐิตตา ธรรมนิยามตา อิทัปัจจยตา
ปฏิจจสมุปบาท

ส่วนที่โฮฮับ อธิบายมา ใน[๔๘๗] ที่โฮฮับใช้สรรพนามว่า "ท่าน"
จะบอกไรอย่างนะ ท่านที่ท่านพูดถึง มีน้ำหนัก เพราะ คือพระพุทธองค์ ตรัสไว้
ถ้าเช่นนั้นขาดสติในการพิจารณาธรรมข้อนี้ ก็หมายถึงพระพุทธองค์ตรัสไว้ผิด
ว่า อสังขตะธรรม มีลักษณะ 3 ประการ นี้ผิด
พระพุทธองค์แสดงไว้ผิด หรือโฮฮับแสดงไว้ภายหลังถูกต้อง?????

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สังขตธรรม เป็นธรรมที่เกิดด้วยเหตุปัจจัย ขันธ์ห้าเกิดด้วยเหตุปัจจัย
ขันธ์ห้าจึงมีลักษณะเป็นสังขตธรรม .....
ขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ สังขตธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์

ส่วนอสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
อสังขตธรรมจึงไม่ใช่ไตรลักษณ์ อสังขตธรรมจึงเป็นเพียงอนัตตาอย่างเดียว


ตามที่ โฮฮับแสดง
สังขตะธรรมจึงเป็นไตรลักษณ์
อสังขตธรรมจึ่งเป็นอนัตตา

ธรรมมีสองที่พระพุทธองค์แสดง คืออสังขตะ และสังขตะจึงผิด?????
ต้องธรรมมีสอง คือ
ไตรลักษณ์ และ อนัตตา????

ความหมายของไตรลักษณ์ จะต้องมีลักษณะ๓อย่างเป็นปัจจัยร่วมกัน
ความเป็นอนัตตาในไตรลักษณ์ จะต้องมี อนิจจังและทุกขังเป็นปัจจัยร่วม
มันจจึงเกิดสภาวะแห่งไตรลักษณ์

ส่วนอนัตตาใน อสังขตะเป็นสภาวะธรรมเดียวไม่เกิดด้วยเหตุปัจจัยและไม่มีปัจจัยร่วม
ดังนั้น อนัตตาของสังขตะหรือในไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่อนัตตาของอสังขตะ
เช่นนั้น เขียน:
ถ้าสังขตธรรมเป็นไตรลักษณ์
อัตตา เป็นสังขตธรรม คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อัตตา เป็นอนัตตา????? หรือ อนัตตา เป็นอัตตา ????

และ อสังขตธรรม เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
หมายความว่า เหตุปัจจัยเคยมีอยู่แต่หมดเหตุปัจจัยแล้ว ก็เท่ากับเคยมีความเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว
แต่ตอนนี้มีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแล้ว??????????

นั่นหมายความว่า อนัตตา เป็นธรรมที่หมดเหตุปัจจัยแล้ว เพราะเคยมีเหตุปัจจัยมาก่อน???

แล้ว อัตตา เป็นขันธ์ไหน ?????

ที่เช่นนั้นงงก็เพราะ คิดว่าอนัตตาในสังขตะจะเหมือนกับอนัตตาในอสังขตะ
ถ้าเช่นนั้นยังไม่ฝึกพิจารณาธรรม ศึกษาธรรมในลักษณะท่องจำคำศัพท์แบบนี้
เช่นนั้นก็คงยัง งงต่อไปเรื่อยๆ

ที่บอกว่า อนัตตาของสังขตะเป็นคนละสภาวะกับอนัตตาของอสังขตะ
อนัตตาของสังขตะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับบัญชา ในความเป็นอนิจจังและทุกขัง

ส่วนอนัตตาแห่งอสังขตะก็ธรรมที่ปราศจาก อนิจจังและทุกขังเมื่อปราศจากสองสิ่งนี้
ย่อมต้องไม่มีอนัตตาในสองสิ่งนี้

แต่ในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ นั้นก็คือธรรมทั้งมวลล้วนเป็นอนัตตา
ความหมายก็คือ จิตที่ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ จิตนั้นย่อมต้องเป็นหนึ่งในธรรมชาติ
ธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร จิตที่เป็นอสังขตะก็เป็นอย่างนั้น

ขอถาม"เช่นนั้น" เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติหรือเปล่า
รู้ความหมายของ...สัพเพธัมมา อนัตตามั้ย ลองพูดให้ฟังหน่อยซิ


เช่นนั้นไม่ "งง" หรอก แต่โฮฮับโลเลไปมา เปลี่ยนถ้อยคำอธิบายไม่อยู่ในร่องในรอย
โฮฮับ กำลังพยายามอธิบายสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้แสดง คือไตรลักษณ์ ที่มีองค์ประกอบ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
และปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธองค์แสดง ว่า ไตรลักษณ์ ต้องแบ่งแยกว่า ไตรลักษณ์ของสังขตะธรรม หรือไตรลักษณ์ของอสังขตะธรรม

เช่นนั้นจะยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มแก่โฮฮับ จนกว่าโฮฮับจะแยกแยะได้ชัดเจนว่า
อนัตตา เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
และเมื่อโฮฮับ ทำความรู้จักไตรลักษณ์ตามพุทธดำรัส ไม่ใช่ตามความรู้ความเห็นที่ยกมาลอยๆ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไม่มีพุทธพจน์รองรับ ว่า
ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แต่มีพุทธพจน์รับรอง ใน สังขตะสูตร และอสังขตะสูตร
แสดงถึง ไตรลักษณ์ของทั้งสังขตะ และไตรลักษณ์ของอสังขตะ

[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ตามใจ เอาสักหน่อยก็ได้

“อัตตา” เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น “อาตมัน” แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ

อัตตานี้จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่ารู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง หรือหลงสมมติ

ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง ไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตาและการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร